ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 43 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 841 - 860 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
841 | โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ภายในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถโดยสารประจำทาง การพัฒนาอู่จอดรถ และโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด จะต้องมีการพิจารณาถึงแหล่งเงินในการดำเนินการดังกล่าว โดยคำนึงถึงกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ความเหมาะสมต่อวินัยการเงินการคลัง และแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมา นอกจากนี้ บทบาทของ ขสมก. ในปัจจุบันที่เป็นทั้งผู้กำกับดูแล (Regulator) และผู้ปฏิบัติ (Operator) ควรจะต้องมีการพิจารณากำหนดบทบาทของ ขสมก. ให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ให้ ขสมก. กู้เงิน หรือให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อตามพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๗ (๗) และค้ำประกันเงินกู้ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับประเด็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ การประสานกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดซื้อจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่จะสามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อรถโดยสารในประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศทุกรายที่สนใจสามารถเข้าร่วมการประกวดราคาได้ การแต่งตั้งผู้แทนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคและในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์โดยสารเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในการจัดหารถโดยสาร การประสานกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานในรายละเอียดของแผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินเพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินการต่อไปได้ และพิจารณาปรับรูปแบบการให้บริการรถโดยสารสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม โดยอาจกำหนดประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับบริการดังกล่าวที่ชัดเจน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งการจัดทำตัวชี้วัดผลการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการ เช่น ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง เป็นต้น และปริมาณผู้โดยสาร เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการดังกล่าว ๑.๔ รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลของ ขสมก. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๑.๕ เห็นชอบในหลักการยกหนี้สินเดิมของ ขสมก. จำนวนไม่เกินร้อยละ ๒๕ ให้ ขสมก. และให้พักหนี้สินในส่วนที่เหลือไว้จนกว่า ขสมก. จะสามารถดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมพิจารณาหนี้สินที่จะยกให้ ขสมก. ส่วนที่เหลือและกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาดำเนินการตามเงื่อนไขที่จะยกหนี้ให้ต่อไป และให้ ขสมก. จัดทำประมาณการทางการเงินตามแผนฟื้นฟูกิจการอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แยกภาระหนี้เดิมออก ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๖ ให้กระทรวงพลังงาน ขสมก. และกระทรวงคมนาคม ติดตามการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์เพื่อรองรับการใช้พลังงานทางเลือกอย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายหรือมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๗ เพื่อให้การจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ของ ขสมก. มีความยืดหยุ่นในการพิจารณาเลือกใช้พลังงานเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. สามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือเลือกใช้รถโดยสารที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือกหรือพลังงานชีวภาพในขั้นการดำเนินงานได้ตามความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้หรือจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อ และให้ ขสมก. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการชำระคืนต้นเงินกู้ ค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในกรณีที่หากมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมการจัดซื้อรถโดยสารธรรมดาไปเป็นรถโดยสารปรับอากาศ รวมถึงการจัดระบบเส้นทางเดินรถ การปรับอัตราค่าโดยสาร การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีด้านพลังงานทางเลือกที่ใช้กับรถโดยสาร โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อการให้บริการ การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย การจูงใจให้มีการใช้รถโดยสารสาธารณะมากยิ่งขึ้น การประหยัดพลังงาน รวมทั้งการลดปัญหาการจราจรและลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม และให้รายงานผลการศึกษาต่อคณะรัฐมนตรีด้วย โดยหากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อรถโดยสารตามโครงการดังกล่าวไปจากที่ได้อนุมัติไว้ตามข้อ ๑ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
842 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 4/2556 | อื่นๆ | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบคู่มือปฏิบัติงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบและมอบหมายให้กระทรวง กรม หรือหน่วยงานที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอื่นใดที่มีอำนาจหน้าที่ในลักษณะเดียวกันหรือดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันกับคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามแผนปฏิบัติโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ และยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอื่นดังกล่าวเพื่อให้การดำเนินงานมีเอกภาพตามหลัก Single Command ๑.๓ เห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เพื่อเป็นหน่วยปฏิบัติให้กับคณะกรรมการทั้ง ๔ คณะ ตามที่ระบุไว้ในแผนแม่บทการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ (๒๕ ลุ่มน้ำ) ได้แก่ ๑.๓.๑ คณะกรรมการนโยบายการบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ (กนป.) มีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธานกรรมการ ๑.๓.๒ คณะกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ (กอป.) มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ ๑.๓.๓ คณะกรรมการบริหารและดำเนินโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระดับกระทรวง จำนวน ๒ คณะ (กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ๑.๓.๔ คณะกรรมการปฏิบัติการโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระดับกรม จำนวน ๓ คณะ (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) และระดับจังหวัด จำนวน ๗๗ คณะ ๒. เห็นชอบแผนแม่บทการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ (๒๕ ลุ่มน้ำ) (ภายใต้ยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และอนุมัติกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับดำเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าว ในระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ประกอบด้วย การดำเนินการใน Module AO ลุ่มน้ำเจ้าพระยา (๘ ลุ่มน้ำหลัก) วงเงิน ๕,๗๙๐.๑๘๕๓ ล้านบาท และใน Module BO (๑๗ ลุ่มน้ำ) วงเงิน ๔,๒๐๙.๘๑๔๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติแผนปฏิบัติโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๕๖) และอนุมัติวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการ จำนวน ๒,๐๘๕.๓๓๖๑ ล้านบาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการตรวจสอบกล้าไม้แต่ละประเภทที่คงเหลืออยู่จริง รวมทั้งค่าพิกัดของตำแหน่งพื้นที่ปลูกป่า เพื่อใช้ประกอบในการเสนอขอรับจัดสรรเงินกู้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำเอาระบบ Radio Frequency Identification (RFID) มาใช้ในการตรวจ ติดตาม และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกและการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่นำมาปลูกในโครงการฯ รวมทั้งควรพิจารณานำพันธุ์ไม้เศรษฐกิจหรือพันธุ์ไม้เฉพาะที่ใช้ประโยชน์ในงานพิธีสำคัญมาร่วมปลูกด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
843 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 | ทส | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างสะพานเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรเลียบชายฝั่งทะเลในเขตผังเมืองรวมเมืองชลบุรีของจังหวัดชลบุรี โดยให้จังหวัดชลบุรีดำเนินการเกี่ยวกับการทบทวนการออกแบบตอม่อให้มีความเหมาะสม และกำหนดให้กรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และการขอผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าชายเลน เพื่อให้จังหวัดชลบุรีเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเป็นการถาวรเพื่อก่อสร้างโครงการ ๒. ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองรับผิดชอบในการตั้งงบประมาณปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ โดยดำเนินการร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๓. ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมงบประมาณปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมบนพื้นที่ดินเลนที่งอกใหม่จากการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
844 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 | พณ | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒ ในวงเงิน ๑๐๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินจากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ที่อนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ที่ยังคงเหลืออยู่ และเงินที่ได้จากการระบายข้าวของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ เป็นต้นไป เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินโครงการรับจำนำข้าวฯ ๒. สำหรับการดำเนินงานตามกรอบ ชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา วิธีการรับจำนำ หลักเกณฑ์ เงื่อนไขโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และให้รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป เมื่อมีการรับรองผลการประชุมแล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
845 | แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร12 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๐ โครงการ รวม ๘,๗๙๔,๔๖๖,๘๕๗ บาท และโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๒๙๒ โครงการ รวม ๒๒,๒๔๐,๒๗๑,๙๗๒ บาท ทั้งนี้ กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ ให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม สำหรับโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
846 | ข้อเสนอการดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านการสาธารณสุข | สธ | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับข้อเสนอการดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านการสาธารณสุข ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในอัตราที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้ใช้ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ตามมติคณะกรรมการพิจารณาทบทวนระบบการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในภาครัฐ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ หากมีผู้ใดได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายรวมกับค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายที่เคยได้รับอยู่เดิมอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือในกรณีดังกล่าวเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบมากเกินไป ๑.๒ สำหรับแหล่งเงินในการดำเนินการเพื่อเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากเงินบำรุงของโรงพยาบาลก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอขอใช้เงินงบประมาณต่อไป ๒. ระยะต่อไป มอบให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนระบบการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในภาครัฐพิจารณาถึงความเหมาะสม โดยให้ศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ โดยให้จัดทำข้อสรุปอย่างรอบด้านและชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้กับบุคลากรด้านการสาธารณสุขทุกกลุ่มวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
847 | การขอนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มาใช้ในการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ | พณ | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๔๐๐ ล้านบาท มาใช้เพื่อดำเนินการ ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๖-๒๕๕๘) วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยถัวจ่ายเพื่อจ่ายเพื่อดำเนินโครงการเป็นระยะเวลา ๓ ปี และโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดสรรไว้สำหรับดำเนินโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ปีละ ๕๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงพาณิชย์บูรณาการแนวทางการดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และการค้าระหว่างประเทศร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงและดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเจ้าของเรื่องพิจารณาให้การดำเนินโครงการมีความสอดคล้องกับการขยายผลการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี และกำหนดกลุ่มประเทศเป้าหมายที่เป็นตลาดใหม่และมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย ควรพิจารณาบูรณาการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน รวมทั้งเห็นควรจัดทำรายละเอียดของกิจกรรม กลุ่มเป้าหมาย และหลักเกณฑ์ในส่วนของโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว และพิจารณาหาแนวทางในการบริหารจัดการเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้มีดอกผลจากเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแต่ละปี ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
848 | การทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามนโยบายการบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล | อื่นๆ | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่อื่นตามมาตรา ๑๘ (๑๔) แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ในการควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ปฏิบัติหน้าที่อื่น ได้แก่ การทำหน้าที่หน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ตามนโยบายการบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล เพื่อบริหารการเรียกเก็บค่าบริการสาธารณสุข (Claim center) ของสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่ให้บริการผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและบุคคลในครอบครัว และผู้ประกันตน รวมทั้งข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่สมัครใจ โดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๖ (๑๔) ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงานโดยคณะกรรมการประกันสังคม ให้ความร่วมมือ และให้ สปสช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ของสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้กับกรมบัญชีกลางและสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนให้สำนักงานประกันสังคม ๑.๓ เห็นชอบให้มีกลไกคณะทำงานเพื่อผลักดันการพัฒนาระบบอย่างมีส่วนร่วมของกองทุนประกันสุขภาพทั้งสามระบบ ได้แก่ ระบบประกันสังคม ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยให้รองปลัดกระทรวงการคลังท่านหนึ่งเป็นประธาน และให้มีหัวหน้าหรือผู้แทนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ รวมถึงการร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง สปสช. กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน รวมทั้งหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่สมัครใจ เพื่อผลักดันการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยมีระยะเตรียมการในปี ๒๕๕๖ ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ด้านระบบข้อมูล และการประสานงาน การกำหนดสิทธิประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กลไกการจ่ายเงิน และอัตราการชดเชยตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติแต่ละกองทุนกำหนด การสื่อสารทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนให้ได้รับทราบข้อเท็จจริง ประโยชน์ และผลกระทบของการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) รวมทั้งเห็นควรมีระบบตรวจสอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นกลางเพื่อควบคุมแนวทางการจัดสรรทรัพยากรทั้งในเชิงประสิทธิภาพและความเป็นธรรมให้กับผู้ที่อยู่ภายใต้แต่ละกองทุน และหาข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานให้เป็นที่ยุติ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
849 | มาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เพิ่มเติม | กค | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑.๑ ณ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว จำนวน ๙๖๐,๗๖๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๐.๐๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๙.๐๓ โดยการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๘๙๐,๖๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๔.๕๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๒,๐๐๐,๔๘๙ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๗๐,๑๐๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๗.๕๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๓๙๙,๕๑๑ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๐.๐๕ ๑.๑.๒ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วยเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๙,๔๑๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๒๕,๘๑๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๒.๐๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ๑.๑.๓ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๙๙๗ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๕๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒๒,๑๘๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๓๓ ของวงเงินที่จัดสรร ๑.๑.๔ เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำนวน ๔,๐๕๑ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒๒,๖๔๒ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕,๘๑๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๕.๖๘ ของวงเงินที่จัดสรร ๑.๑.๕ งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒,๙๗๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๖๘,๖๘๖ ล้านบาท ประกอบด้วย รัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีงบประมาณเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕,๔๗๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑ ของแผนงบลงทุนทั้งปี จำนวน ๑๔๐,๓๓๐ ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีปฏิทิน เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๗,๕๐๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓ ของแผนงบลงทุนทั้งปี จำนวน ๒๒๘,๓๕๖ ล้านบาท ๑.๑.๖ เงินทุนหมุนเวียน ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๗,๖๓๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๐.๗๗ ของแผนการใช้จ่ายเงิน จำนวน ๓๖๒,๑๒๔ ล้านบาท ประกอบด้วย งบประจำ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๘๗,๘๗๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๒๘ ของแผนการใช้จ่ายเงิน จำนวน ๑๗๔,๗๖๗ ล้านบาท และงบลงทุนรวม เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๕๙,๗๕๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๑.๘๙ ของแผนการใช้จ่ายเงิน จำนวน ๑๘๗,๓๕๗ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบการขยายระยะเวลาการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนและการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณตามอำนาจส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน โดยให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๒ ขยายระยะเวลาการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณตามอำนาจส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ประกอบด้วย การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายลงทุน ให้หน่วยงานดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ และการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำที่เหลือจ่ายจากการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ของบประมาณ ให้หน่วยงานดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ และเบิกจ่ายภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณของหน่วยงาน ควรให้ความสำคัญกับงบประมาณในส่วนที่จะโอนเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคำขอรับจัดสรรงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
850 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | พน | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในวงเงินลงทุนรวม ๗,๓๐๐ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๒.๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๑.๒ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจะดำเนินการผูกพันสัญญาก่อสร้างโครงการฯ และจัดซื้อที่ดินสำหรับขยายสถานีแห่งใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อ สปป.ลาว มีความชัดเจนที่จะให้ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซน้ำน้อยเริ่มการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว ได้รับการอนุมัติเงินกู้ครบถ้วนจากสถาบันการเงินแล้ว การปรับปรุงและขยายแนวสายส่งสถานีไฟฟ้าอุบลราชธานี ๓-สถานีไฟฟ้าอุบลราชธานี ๑ ซึ่งพาดผ่านพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (ป่า C) เห็นควรดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมีการติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาและดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในพื้นที่ภาคใต้ของ สปป.ลาว อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ในการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การวิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศ การกำกับการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อมิให้ กฟผ. ต้องเสียค่าปรับจากการไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ได้ รวมทั้งการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบ และมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน ภาระทางการเงินและผลกระทบที่อาจมีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ กฟผ. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
851 | แผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2557 - พ.ศ. 2561) | ยธ | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) และเห็นชอบแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) เพื่อสอดรับผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๑ โดยอาศัยหลักการของการนำกรอบแนวคิดการดำเนินงานตามแนวทางของโครงการหลวงและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย การพัฒนาอาชีพและรายได้บนพื้นฐานความรู้ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการสนับสนุนการเรียนรู้จากโครงการหลวง การจัดการเชิงพื้นที่ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และยึดถือกรอบนโยบายรัฐบาลด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นแนวทางในการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาชุมชนเป้าหมายและชุมชนข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบหรือสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของฝิ่นและยาเสพติดชนิดต่าง ๆ ครอบคลุม ๑๒๖ หมู่บ้าน ใน ๑๘ ตำบล ๗ อำเภอ ของ ๓ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ประชากรที่จะได้รับประโยชน์และมีส่วนร่วมในการพัฒนา จำนวน ๒๖,๗๐๗ คน ๕,๔๙๓ ครัวเรือน ๕ ชนเผ่า คือ กะเหรี่ยง ลีซอ มูเซอ ม้ง และจีนฮ่อ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ตามที่ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ในวงเงิน ๑,๘๗๕,๐๕๖,๒๖๐ บาท เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการจัดทำคำของบประมาณประจำปี ภายใต้ชื่อรายการ “โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน” เสนอต่อสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมของแผนงานโครงการ เหตุผลความจำเป็น และความพร้อมในการดำเนินงาน ตามกระบวนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รับไปบูรณาการแผนงานโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นประโยชน์สูงสุดและให้กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนด้านการตลาดและระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงระบบทั้งในและนอกพื้นที่โครงการฯ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
852 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 3/2556 | นร | 19/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับวงเงินในการดำเนินงานตามโครงการออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย จากกรอบวงเงิน ๓๔๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๓๐๑,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ใช้เงินที่เหลือจากการปรับลดค่าก่อสร้าง จำนวน ๘,๗๓๐.๘๓ ล้านบาท ในการบริหารโครงการในส่วนของ Project Management and Engineering Consultant (PMEC) และ Project Supervision Consultant (PSC) ตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี และให้ กบอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการดำเนินการในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ไม่ต้องนำการปรับกรอบวงเงินตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ เสนอรัฐสภาเพื่อทราบ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเรื่อง โครงการชลประทานพิษณุโลกฝั่งซ้าย ระยะที่ ๒ ของกรมชลประทาน เสนอ กบอ. พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีข้อยุติเรื่อง ความเชื่อมโยงของโครงการกับแผนงานหลักการบริหารจัดการน้ำของ กบอ. ตลอดจนการตอบสนองและแก้ไขปัญหาในภาพรวม ในเรื่องปริมาณ/สัดส่วนของน้ำที่จะส่งเข้าระบบ และสามารถช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรและป้องกันน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ อย่างไร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
853 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 (ครั้งที่ 144) | พน | 19/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๔๔) เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้ขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ ๑๘.๑๓ บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยและร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหารสามารถรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ๒. เห็นชอบในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Inter-Governmental Memorandum of Understanding for the Establishment of the Regional Power Coordination Centre in the Greater Mekong Subregion : IGM) เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อไปตามนัยแห่งมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ๓. เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเงี้ยบ ๑ และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในสัญญาฯ เมื่อร่างสัญญาฯ ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างสัญญาฯ ที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่างสัญญาฯ และเงื่อนไขสำคัญ รวมทั้งการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในการกักเก็บน้ำและการทดสอบโรงไฟฟ้า ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ในการแก้ไขโดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบอีก และให้นำร่างสัญญาฯ ซึ่งมีเงื่อนไขการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการฯ เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๔. เห็นชอบการพิจารณาอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงานในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับโครงการที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ด้วยอัตรา ๔.๕๐ บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา ๒๐ ปี และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเร่งจัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานภายใต้โครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน ในรูปแบบ FiT ต่อไป ๕. เห็นชอบแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ๖. รับทราบการขยายอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และเซเสด และการเพิ่มจุดซื้อขาย ที่เห็นชอบการขยายอายุของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และโครงการเซเสดออกไป เพื่อให้ครอบคลุมระยะเวลาที่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (ฟฟล.) จะคืนพลังงานไฟฟ้า โดยใช้เงื่อนไขและอัตราไฟฟ้าเดิม (ฟฟล. ซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ช่วงเวลา Peak ๑.๗๔ บาทต่อหน่วย และช่วงเวลา Off Peak ๑.๓๔ บาทต่อหน่วย) ทั้งนี้ ให้มีการขยายอายุสัญญาฯ โครงการน้ำงึม ๑ ออกไป ๓ ปี (๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗-๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) และขยายอนุสัญญาฯ โครงการเซเสด ออกไป ๔ ปี (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐) รวมทั้งให้แก้ไขจุดส่งมอบมุกดาหาร-ปากบ่อ ที่เป็นจุดที่ กฟผ. ขายฝ่ายเดียวเป็นจุดซื้อและขาย และให้ กฟผ. แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และโครงการเซเสด โดยอนุมัติให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ๗. รับทราบโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน ที่ให้กระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงานแบบให้ครบ โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการเป็นผู้แทนจาก ๙ กระทรวง ประกอบด้วยกระทรวงพลังงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน โดยให้ดำเนินงานโครงการนำร่องในพื้นที่ ๓ ลักษณะ ได้แก่ พื้นที่แล้งน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่ปลูกข้าวได้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน และให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท และให้รายงานผลการดำเนินงานให้ กพช. ทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
854 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี 2555/2556 | อก | 19/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐.๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับค่าอ้อยในระดับที่คุ้มต้นทุนการผลิตด้วยวิธีการกู้เงิน โดยให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐.๐๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทราย ในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ จากผลผลิตอ้อยเบื้องต้นที่ ๙๔.๖๔ ล้านตัน รวมเป็นจำนวนเงินประมาณ ๑๕,๑๔๒.๔๐ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริง ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนฯ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนฯ และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน รวมทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๓. เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศอีกกิโลกรัมละ ๕ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๑ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยและวาระอ้อยแห่งชาติ) เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๑๔ เดือน เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนฯ สำหรับนำไปชำระหนี้ เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ เท่านั้น ๔. รับทราบแนวทางการดำเนินการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบการช่วยเหลือชาวไร่ที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ควบคุม ตรวจสอบ ดูแลและติดตามผลการดำเนินงาน กำกับการบริหารเงินกองทุนฯ ให้สามารถชำระหนี้เงินกู้ได้โดยเร็ว และประเมินสถานการณ์ราคาน้ำตาลทรายอย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายราคาอ้อยและน้ำตาลทรายในปีต่อไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕) ที่มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการนำผลการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย ซึ่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ดำเนินการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) มาพิจารณาประกอบการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยให้เชิญรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๕. ในส่วนของการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นในแต่ละฤดูการผลิต ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และประกาศให้ชาวไร่อ้อยและผู้เกี่ยวข้องได้ทราบล่วงหน้าก่อนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวและส่งอ้อยเข้าหีบ เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ในการพิจารณาตัดสินใจขายอ้อยของชาวไร่อ้อย นั้น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จ และประกาศให้ชาวไร่อ้อยและผู้เกี่ยวข้องได้ทราบล่วงหน้าภายในเดือนตุลาคม ก่อนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวและส่งอ้อยเข้าหีบ ๖. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งจัดตั้งคณะทำงานด้านวิชาการเพื่อศึกษาพิจารณาเรื่องนี้ เพื่อนำข้อมูลต้นทุนราคาในทุกขั้นตอนของการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายเสนอต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมเป็นคณะทำงานดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
855 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2554/2555 | อก | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ เฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๑,๐๗๔.๕๔ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๔.๔๗ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายเท่ากับ ๔๖๐.๕๒ บาทต่อตันอ้อย ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญและเตรียมแผนรองรับกับปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย รวมทั้งหาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตอ้อยของเกษตรกรเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และควรเร่งนำผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาประกอบการพิจารณาทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อย เพื่อให้กำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายสะท้อนต้นทุนจริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖) รวมทั้งให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางในการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้จากการนำอ้อยและผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาล เช่น โมลาส หรือกากน้ำตาล ไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการนำผลการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย ซึ่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ดำเนินการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) มาพิจารณาประกอบการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยให้เชิญรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
856 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 ครั้งที่ 1 | กค | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ จากเดิม ๑,๙๒๐,๑๓๓.๑๕ ล้านบาท เป็น ๑,๙๔๘,๒๑๑.๘๒ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินเพื่อบริหารโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๖,๑๘๑.๗๑ ล้านบาท จากเดิม ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท เป็น ๑๒๑,๗๐๓.๕๐ ล้านบาท ๓. อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่และการปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๔. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
857 | มาตรการแก้ไขปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด | กษ | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์ แนวทาง และมาตรการแก้ไขปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าเป็นภารกิจและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ในการกำกับดูแลและพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ทั้งระบบ รวมทั้งแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ สำหรับแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด มีดังนี้ ๑.๑ ด้านปริมาณ เพื่อลดผลผลิตไข่ไก่ส่วนเกิน ขอสนับสนุนเงินจ่ายขาดจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชดเชยและจูงใจให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ โดย ๑.๑.๑ ปลดไก่ไข่ให้เร็วขึ้นที่อายุไม่เกิน ๖๕ สัปดาห์ มีเงื่อนไขต้องไม่นำไก่ไข่เข้าเลี้ยงภายใน ๓ เดือน หลังจากปลดไก่ไข่ เป้าหมายดำเนินการ ๒.๕๘ ล้านตัว ภายใน ๓ เดือน โดยจ่ายเงินชดเชยตัวละ ๑๐ บาท เป็นเงิน ๒๕.๘๐ ล้านบาท ๑.๑.๒ รวบรวมไข่ไก่ออกจากระบบ เป้าหมายจำนวน ๑๙๕ ล้านฟอง ภายใน ๖ เดือน โดยจ่ายเงินชดเชยการดำเนินงานฟองละ ๕๐ สตางค์ เป็นเงิน ๙๘ ล้านบาท ๑.๑.๓ รณรงค์การบริโภคไข่ไก่ โดยกลุ่มสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ และสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและผู้ส่งออกไข่ไก่ ดำเนินการในพื้นที่แหล่งผลิตที่สำคัญเป็นเงิน ๘ ล้านบาท ๑.๒ ด้านนโยบาย เพื่อบริหารจัดการระบบการผลิตไข่ไก่ให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภค โดยคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์บริหารจัดการไก่ไข่พันธุ์ให้มีปริมาณที่เหมาะสม สำหรับการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ ให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องช่วยดำเนินการ และให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพประชาสัมพันธ์คุณประโยชน์ของไข่ไก่ให้เกิดผลในวงกว้าง ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานด้านการวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการและส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากไข่ไก่เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณประโยชน์และการบริโภคไข่ไก่ในชีวิตประจำวันของประชาชนทุกเพศวัยให้ถูกต้องตรงกันและเกิดผลในวงกว้างต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
858 | การป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนและรางวัลของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง | ปช | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนและรางวัลของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการระยะยาว ๑.๑.๑ การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ โดยการปรับลดเงินสินบนและรางวัลตามมาตรา ๑๐๒ ตรี ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. ไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่วมกับร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ส่วนการลดอายุความการเรียกอากรที่ขาดตามมาตรา ๑๐ จากอายุความ ๑๐ ปี เหลือ ๓ ปี ให้คงอายุความดังกล่าวไว้ ๑๐ ปี ตามหลักทั่วไปในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ๑.๑.๒ การปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและถูกฟ้องเป็นคดีหลังเกษียณอายุราชการ โดยมีสำนักงานอัยการสูงสุดให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีจนกว่าจะถึงที่สุด ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาดำเนินการ ๑.๒ มาตรการระยะสั้น ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ประเด็นการปรับลดเงินสินบนและรางวัลตามมาตรา ๑๐๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๒) พุทธศักราช ๒๔๗๙ นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งมีบทบัญญัติให้มีการทบทวนการปรับลดเงินรางวัลสินบนจากเงินค่าขายของกลางลง โดยขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. ประเด็นอายุความที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมให้ลดอายุความจาก ๑๐ ปี นับแต่วันที่นำของเข้าหรือส่งของออก เป็น ๓ ปี นั้น มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
859 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย : มาตรการที่ 3 มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี | นร12 | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย : มาตรการที่ ๓ มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่อไป สำหรับมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีดังนี้ ๑.๑ การจัดประชุมร่วมระหว่างคณะรัฐมนตรี ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นควรให้เป็นดุลยพินิจของคณะรัฐมนตรี ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องรับผิดชอบในการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในประเด็นที่เป็นปัญหาของสังคม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นอาจจัดตั้งกลไกพิเศษเป็นรายกรณี ๑.๓ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ อย่างจริงจัง ๑.๔ เห็นชอบข้อเสนอแนะสำนักงาน ก.พ.ร. ในการแก้ไขปัญหาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐ ๒. สำหรับแนวทางตามมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย : มาตรการที่ ๓ มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้มีการดำเนินการแล้วหลายประการ เช่น คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี) กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจรแล้ว เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีระยะเวลาพิจารณาเรื่องในระเบียบวาระการประชุมล่วงหน้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการนำเสนอข้อมูลและความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน และทุกครั้งที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ครั้งแรก ได้มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งได้มีการจัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่มติคณะรัฐมนตรีให้ประชาชนสามารถตรวจดูได้ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
860 | ขอความเห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานผู้ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง | คค | 05/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานและลูกจ้างสถาบันการบินพลเรือนที่มีเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่งตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์หนึ่งขั้น ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง ๑.๒ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์หนึ่งขั้นครึ่ง ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๓ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์สองขั้น ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๔ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์ครึ่งขั้นหรือไม่ได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ให้เบิกจ่ายเงินเดือนในอัตราขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่งตามเดิม ทั้งนี้ การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษนี้ ไม่ถือเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง มีลักษณะเป็นการจ่ายชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์อื่น ๆ แก่พนักงานและลูกจ้าง ๒. ให้สถาบันการบินพลเรือนรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับผลประกอบการของสถาบันการบินพลเรือนซึ่งมีแนวโน้มของรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายลดลง เพราะมีจำนวนนักศึกษาลดลง ในขณะที่ยังคงมีรายจ่ายอยู่ในปริมาณสูง จึงเห็นควรมีแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายและจัดทำแผนธุรกิจเชิงรุกเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....