ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 49 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 961 - 980 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
961 | ขออัตรากำลังข้าราชการเพิ่ม | ยธ | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่อนุมัติเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) อีกจำนวน ๑๕๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติภารกิจในการปราบปรามยาเสพติด และภารกิจบังคับโทษปรับตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)]
|
|||||||||||||||||||||||||||
962 | การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และข้อเสนอของกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แยกบัญชีการดำเนินงานและบัญชีธนาคารของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ โดยเฉพาะ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไปตามผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการจำหน่ายข้าว โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้มีการรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการจำนำข้าวในปีนั้น ๆ การชดเชยต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน รวมทั้งเงินที่ใช้ในการดำเนินงานโครงการทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และส่วนที่กู้จากสถาบันการเงิน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณด้านดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้คงค้างโครงการเป็นเวลานาน รวมทั้งเพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อใช้ในโครงการอื่นในปีต่อ ๆ ไป หากมีกำไรเกิดขึ้นจากการดำเนินงานหลังจากการระบายผลผลิตหรือสิ้นสุดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ ธ.ก.ส. นำเงินส่งคลังทันที ๑.๒ ให้หน่วยงานดำเนินการที่ได้จำหน่ายสินค้าตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ได้แก่ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เมื่อได้รับชำระค่าสินค้าแล้วให้นำส่งเงินดังกล่าวแก่ ธ.ก.ส. ทันที และ/หรือภายใน ๓๐ วันนับจากวันที่ได้รับเงิน หากล่าช้าให้ชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี สำหรับดอกผลที่เกิดขึ้นจากการเก็บรักษาเงินค่าชำระสินค้า ให้หน่วยงานดำเนินการนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินทันที เนื่องจากเป็นโครงการที่รัฐบาลรับภาระและเป็นรายได้ที่ อคส. และ อ.ต.ก. ไม่พึงได้ ทั้งนี้ เพื่อ ธ.ก.ส. จะได้นำไปชำระหนี้และลดภาระหนี้เงินกู้ต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินงาน ระบายข้าว ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นครั้งคราวตามความเห็นชอบของ กขช. หรือตามที่เห็นเหมาะสม โดยไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง ต่อปี เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีข้อมูลในการตัดสินใจได้ทันที ๑.๔ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. จัดทำเอกสาร/หลักฐานสำหรับเก็บข้อมูลปริมาณข้าวสารที่ได้จากการสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คุณภาพ และปริมาณข้าวสารที่นำออกจากโกดังเป็นรายเดือน แล้วแจ้งให้ ธ.ก.ส. ทราบปริมาณข้าวสารและจำนวนเงินที่ได้รับสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และเป็นหลักฐานในการตรวจสอบต่อไป ๑.๕ สำหรับโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๑/๕๒ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. สำรวจปริมาณสินค้าในสต็อกของรัฐบาลที่เหลืออยู่พร้อมทั้งประเมินมูลค่าของสินค้าที่เหลืออยู่และรายงานให้คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังทราบตามความเหมาะสม สำหรับการชำระค่าสินค้าในสต็อกรัฐบาลให้ดำเนินการเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๖ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท จนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น โดยรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๗ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้ง ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ จำนวนไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๒. ในส่วนของการให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไปตามผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการจำหน่ายข้าว โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อนนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนและเร่งระบายผลผลิตให้เสร็จสิ้นในปีการผลิตโดยเร็วเพื่อมิให้ผลผลิตเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ำ และเมื่อทราบผลกำไร/ขาดทุนของผลผลิตแล้ว หากมีความจำเป็นต้องชำระผลขาดทุนและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นทุนและดอกเบี้ยตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพและคุณค่าของสินค้า เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ภายใต้กลไกตลาดที่จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้ ธ.ก.ส. เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบการออกใบประทวนในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แล้วให้จัดทำรายงานเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
963 | การขอชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูวิกฤตการท่องเที่ยวของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ การชดเชยรายได้ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) สูญเสียจากการดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูวิกฤตการท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นการชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและมติคณะรัฐมนตรีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม โดยปรับลดวงเงินชดเชยตามที่ ทอท. เสนอมาจำนวน ๑,๕๕๐.๓๓๗ ล้านบาท เหลือจำนวน ๑,๕๑๑.๖๖๑ ล้านบาท ๑.๒ ให้มีการเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อชดเชยรายได้ในส่วนที่เหลือจำนวน ๑,๒๑๑.๖๖๑ ล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้ ทอท. เร่งดำเนินการเพิ่มรายได้ที่ไม่ได้มาจากการบินให้มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ ๖๐ ของรายได้รวม เพื่อยกระดับความสามารถในการประกอบการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและรองรับสถานการณ์ที่รายได้มาจากการบินลดต่ำลง ๑.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เกี่ยวกับการประเมินผลมาตรการการชดเชยรายได้จากเงินงบประมาณมาประกอบการพิจารณาดำเนินมาตรการชดเชยอื่น ๆ ในครั้งต่อไป ๒. สำหรับวงเงินและการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้แก่ ทอท. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปตกลงรายละเอียดกับ ทอท. อีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป โดยหากจำเป็นต้องขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง หรือขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
964 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 5 นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ | สช | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ มติ ๕ นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ เป็นนโยบายสำคัญ โดยมอบให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นแกนประสานการดำเนินงานโดยขอความร่วมมือจากสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่เป็นกลไกการดำเนินการ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการชุมชนท้องถิ่น ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาชน โดยให้มีผู้แทนชุมชน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ๑.๒ ขอให้สมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติพิจารณากำหนดเรื่องพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะเป็นหนึ่งในระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อติดตาม ประเมินผลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ทุกระดับภายในจังหวัด ๑.๓ ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นองค์กรหลักในการสนับสนุนงบประมาณ และประสานการดำเนินงานร่วมกับสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดใช้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๘(๓) มาตรา ๘๗(๑) และ (๔) และมาตรา ๑๖๓ ดำเนินการออกแบบและผลักดันให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการตนเองตามรูปแบบที่เหมาะสม ๒. ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณสนับสนุนจากท้องถิ่น ไม่ควรกำหนดสัดส่วนไว้เป็นการเฉพาะ แต่ควรขึ้นอยู่กับศักยภาพ ความพร้อมและสถานการณ์คลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเห็นควรระบุเจ้าภาพหลักในการประสานการจัดตั้งแกนประสานการดำเนินการเพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่มีหน้าที่พัฒนากลไกการจัดการตนเองและพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่นให้จัดการตนเองในทุกระดับ ส่วนการให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนงบประมาณ ต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพและสถานะทางการคลังของ อปท. เป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การเข้าไปมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติดังกล่าวให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและอยู่ภายในกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๓.๒ กรณีเรื่องงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนด ๓.๓ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ อปท. และให้ อปท. มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การเงินการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น การดำเนินการตามมติดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความเป็นอิสระของ อปท. |
|||||||||||||||||||||||||||
965 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เพื่อขอเพิ่มอัตรากำลังพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 2,438 อัตรา | คค | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานการประชุม ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ตามมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สามารถเพิ่มอัตรากำลังพนักงาน จำนวน ๒,๔๓๘ อัตรา ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. บริหารจัดการเพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายจ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เร่งรัดการจัดทำแผนการบริหารจัดการกิจการรถไฟในภาพรวม โดยให้ครอบคลุมถึงการปรับโครงสร้างองค์กร กรอบอัตรากำลัง และการกำหนดกลุ่มบุคลากรในสายงานที่ควรจะใช้วิธีการจ้างพนักงานจากภายนอกองค์กร (Outsource) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งจัดทำแผนการเพิ่มทุน การบริหารจัดการหน่วยธุรกิจ และบริษัทดำเนินโครงการ Airport Rail Link ให้แล้วเสร็จตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
966 | การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของกระทรวงกลาโหม | กห | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๑ ฉบับ และร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร และการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารให้เป็นไปตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้ และอาจกำหนดให้ข้าราชการทหารที่มีคุณวุฒิเดียวกันอาจได้รับเงินเดือนแตกต่างกันได้โดยมีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ๑.๒ กำหนดอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร โดยกรณีบุคคลที่มีคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้ให้ได้รับเงินเดือนตามบัญชี และกรณีบุคคลที่มีคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้ และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่กระทรวงกลาโหมกำหนดให้ได้รับเงินเดือนไม่เกินอัตราที่กำหนดบัญชีอัตราเงินเดือน ๑.๓ กำหนดให้บุคคลที่มีคุณวุฒิที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง นายทหารประทวนซึ่งเลื่อนฐานะเป็นนายทหารสัญญาบัตรฯ และนายทหารประทวนที่ได้เลื่อนฐานะเนื่องจากสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ รวมทั้งผู้ที่เคยรับราชการกลับเข้ารับราชการใหม่ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ได้รับเงินเดือนตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ๑.๔ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ๒. ร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ได้รับเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับข้าราชการทหารที่มีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของกระทรวงกลาโหม มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ได้รับเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับข้าราชการทหารที่มีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ๓. ร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยแก่ข้าราชการทหารที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยแก่ข้าราชการทหารที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายในการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของกระทรวงกลาโหม จำนวนเงิน ๙๕๒,๔๕๔,๐๒๐ บาท นั้น อนุมัติตามความเห็นของผู้แทนสำนักงบประมาณ โดยให้กระทวงกลาโหมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของแต่ละส่วนราชการไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายการปรับเพิ่มเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ และทหารกองประจำการในลำดับต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับค่าตอบแทนพนักงานราชการ) |
|||||||||||||||||||||||||||
967 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 6 มาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบ | สช | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ มติ ๖ มาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานราชการปฏิบัติตามแนวทางของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก โดยเฉพาะมาตรา ๕.๓ การป้องกันการแทรกแซงนโยบายการควบคุมยาสูบของรัฐโดยอุตสาหกรรมยาสูบ โดยการกำหนดนโยบายหรือระเบียบภายในหน่วยงานเพื่อป้องกันการแทรกแซงดังกล่าว ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปรับโครงสร้างภาษียาสูบให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบันเพื่อทำให้ราคาขายปลีกยาสูบโดยเฉลี่ยสูงขึ้น โดยขอให้พิจารณาจัดเก็บภาษีบุหรี่ซิกาแรตทั้งตามสภาพและตามราคาขายปลีก รวมทั้งให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสูบปิดแสตมป์ยาสูบบนซองบรรจุยาเส้นที่ทำจากใบยาสูบพันธุ์พื้นเมืองด้วย และดำเนินการทยอยปรับขึ้นภาษียาเส้นและยาสูบประเภทอื่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และห้ามธุรกิจยาสูบทำกิจกรรมภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ (Corporate Social Responsibility ; CSR) ๑.๓ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง และกระทรวงสาธารณสุข ให้หลักประกันการเข้าถึงการบำบัดโรคติดบุหรี่ รวมถึงการเข้าถึงการรับยา สมุนไพร แพทย์แผนไทยหรือบริการแพทย์ทางเลือกที่จำเป็นต่อการบำบัดโรคติดบุหรี่ และสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในงานเลิกบุหรี่ในชุมชน ๑.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงกฎหมายเพื่อห้ามการโฆษณา และการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์ยาสูบ และการประชาสัมพันธ์การให้ทุนอุปถัมภ์จากอุตสาหกรรมยาสูบทางสื่อคอมพิวเตอร์ทั้งจากภายในและต่างประเทศ และออกกฎหมายจัดสรรเวลาในการนำเสนอโทษของยาสูบในทุกประเภทสื่อในสัดส่วนที่เหมาะสม ๑.๕ ให้กระทรวงวัฒนธรรม กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงกฎหมายเพื่อห้ามมีฉลากสูบบุหรี่ และการส่งเสริมการตลาดด้วยวิธีประชาสัมพันธ์ความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ทางภาพยนตร์ โทรทัศน์และสื่อมวลชนต่าง ๆ และมีมาตรการส่งเสริมให้บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา นักร้อง เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สาธารณชน โดยการไม่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ๑.๖ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรมควบคุมกำกับองค์กรและเครือข่ายไม่ให้รับการสนับสนุนใด ๆ จากบริษัทยาสูบทั้งภายในและต่างประเทศตามกฎหมาย ๑.๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุเรื่องโรคที่เกี่ยวกับบุหรี่เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนและหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาสูบในสถานศึกษา กำชับให้สถานศึกษาทุกแห่งติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ในสถานศึกษาและห้ามสูบบุหรี่ในสถานศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด ห้ามสูบบุหรี่ในขณะที่อยู่ในชุดของสถาบันหรือชุดนักศึกษา ให้บุคลากรทางการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ นักการภารโรง ผู้นำทางศาสนา เป็นต้น เป็นแบบอย่างแก่นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณการผลิตสื่อนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ด้านพิษภัยจากบุหรี่อย่างเป็นรูปธรรม และการวิจัยกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ๑.๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการ โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ๑.๙ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมีบทบาทร่วมในการควบคุมแหล่งผลิต วัตถุดิบในพื้นที่ และการใช้มาตรการทางกฎหมาย/ข้อบังคับอย่างจริงจัง ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญในการปราบปรามบุหรี่ต่างประเทศที่มีการลักลอบนำเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้ราคาบุหรี่ดังกล่าวต่ำกว่าบุหรี่ที่มีจำหน่ายอยู่โดยทั่วไป และส่งผลให้เกิดการบริโภคเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกรณีการสำแดงราคานำเข้าของบุหรี่ต่างประเทศที่ต่ำกว่าปกติทำให้รัฐได้รับความเสียหาย |
|||||||||||||||||||||||||||
968 | การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม | พณ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ และผลการประชุมหารือกับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศเท่าที่จำเป็น เพื่อมิให้กระทบต่อเกษตรกร หลังจากนั้นให้ประเมินสถานการณ์เป็นระยะ หากยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าเพิ่มเติม ก็ให้พิจารณาทยอยนำเข้าครั้งละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ตัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยเบื้องต้นกำหนดให้มีการนำเข้ารวมไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ ตัน โดยมีกรอบการนำเข้า ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์ม (อคส. ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าภายใต้ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน) ตามปริมาณที่กำหนดในราคาที่เหมาะสม ๑.๒ กรมการค้าภายในเป็นผู้จัดสรรน้ำมันปาล์มดิบ ให้แก่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เพื่อจำหน่ายต่อให้แก่โรงกลั่นน้ำมันปาล์มผลิตน้ำมันพืชปาล์ม และจำหน่ายปลีกในราคาไม่เกินขวดลิตรละ ๔๒.๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศเพิ่มเติมตามแต่กรณีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
969 | ขอความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่พนักงานและลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ใช้เงินงบประมาณขององค์การเภสัชกรรมและเบิกเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและเงินทำประกันภัยหลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน แต่มีระยะเวลาตั้งแต่ ๑๕ วันขึ้นไปให้จ่ายในอัตราคนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน หากปฏิบัติงานในพื้นที่น้อยกว่า ๑๕ วันคำนวณเงินเฉลี่ยตามสัดส่วนจำนวนวันที่ผู้นั้นไปปฏิบัติงาน ๒. ทำประกันภัย กรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวร สูญเสียอวัยวะ ๒ ชิ้น ค่าสินไหมทดแทน ไม่เกินรายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. หากกระทรวงการคลังมีประกาศยกเลิกพื้นที่พิเศษจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ให้ยกเลิกการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
970 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งงบประมาณสำหรับดำเนินการตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางดำเนินการ ๑.๑.๑ ส่วนของข้าราชการพลเรือนสามัญ ๑.๑.๑.๑ กำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลในอีก ๒ ปีถัดไป โดยให้อัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของวุฒิปริญญาตรีในปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๕,๐๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๓,๐๐๐ บาท วุฒิ ปวส. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๑,๕๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๐,๒๐๐ บาท (วุฒิ ปวส. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิปริญญาตรี) และวุฒิ ปวช. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๙,๔๐๐ บาท และปีที่ ๑ เท่ากับ ๘,๓๐๐ บาท (วุฒิ ปวช. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิ ปวส.) และกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของคุณวุฒิอื่นให้สอดคล้องกับอัตราความแตกต่างระหว่างคุณวุฒิต่าง ๆ ที่กำหนดไว้เดิม ๑.๑.๑.๒ ปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รบผลกระทบ ๒ ครั้ง ให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ ๑ และปีที่ ๒ โดยปรับเงินเดือนชดเชยให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับราชการในตำแหน่งระดับแรกบรรจุก่อนวันที่อัตราเงินเดือนแรกบรรจุที่ปรับใหม่มีผลใช้บังคับอย่างน้อย ๑๐ ปี (มีอายุราชการตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๑๐ ปี โดยประมาณ) ๑.๑.๒ ส่วนของข้าราชการประเภทอื่นและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหลักการ เดียวกัน โดยมีความเป็นธรรมไม่เหลื่อมล้ำกัน และให้มีผลใช้บังคับภายใน ๒ ปี ในทำนองเดียวกัน โดยให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท นำเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นชอบในรายละเอียดก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ใช้งบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ก่อนที่จะดำเนินการบังคับใช้ต่อไป ๑.๒ การมีผลใช้บังคับ ให้การปรับเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีผลใช้บังคับในปีที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และปีที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา คาดว่าจะใช้งบประมาณเพื่อปรับเงินเดือนแรกบรรจุและปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการทุกประเภทและเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำหรับดำเนินการในปีที่ ๑ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖) เพิ่มขึ้นประมาณ ๕,๐๑๐ ล้านบาท และสำหรับดำเนินการในปีที่ ๒ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗) เพิ่มขึ้นประมาณ ๗,๑๓๕ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรมีแนวทางในการควบคุมงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือให้ต่ำกว่า โดยอาจมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น และเพื่อควบคุมรายจ่ายในส่วนของรายจ่ายประจำโดยเฉพาะในหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากรไม่ให้สูงขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป อาจใช้มาตรการเกษียณอายุก่อนกำหนดควบคู่การจำกัดจำนวนข้าราชการใหม่ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้สะท้อนถึงค่าตอบแทนที่ได้รับสูงขึ้นจากการปรับปรุงค่าตอบแทนในครั้งนี้ โดยอาจดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประเมินผลการปฏิบัติราชการให้เข้มข้นขึ้น และเพื่อความเป็นธรรม และลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นจากการปรับฐานเงินเดือน ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างและสวัสดิการบางประการของข้าราชการที่เข้ารับการบรรจุใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ให้เหมาะสม ส่วนผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนดังกล่าว อาจส่งผลให้กำลังคนด้านทักษะวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญา สายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ดังนั้น ในช่วงที่ผลตอบแทนในวิชาชีพอื่นยังไม่ปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด ควรมีมาตรการส่งเสริมหรือกระตุ้นให้นักเรียนเข้าเรียนในสาขาวิชาชีพดังกล่าวไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ควรมีนโยบายหรือมาตรการให้แก่กลุ่มข้าราชการที่ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งได้แก่ กลุ่มข้าราชการที่มีอายุราชการมากกว่า ๑๐ ปี ด้วย เช่น การจัดให้มีเงินรางวัลประจำปีตามผลงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
971 | การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณในการดำเนินการปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุ การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการและเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖,๖๓๔ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเสนอ ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๓.๑ การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐประเภทอื่น จะส่งผลต่องบประมาณรายจ่ายประจำในส่วนของงบบุคลากรมีจำนวนที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นติดต่อกันไปทุก ๆ ปีงบประมาณและจะมีผลกระทบต่อสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่จะนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นควรจะต้องมีแนวทางในการควบคุมสัดส่วนของจำนวนงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินไป โดยอาจจะต้องมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น อาจส่งผลให้กำลังคนด้านวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาสายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เพราะนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ซึ่งอาจจะเกิดการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านวิชาชีพในโครงสร้างระบบแรงงานของประเทศได้ในระยะยาว ๓.๓ ภาครัฐควรให้ความสำคัญในกระบวนการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาปฏิบัติหน้าที่จะต้องมีศักยภาพและสมรรถนะที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน การฝึกอบรมและพัฒนาให้มีทักษะและความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานราชการให้เพิ่มสูงขึ้นตามการปรับอัตราค่าตอบแทนที่ได้รับมากขึ้น รวมถึงเมื่อมีการพิจารณาต่ออายุสัญญาจ้างจะต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาอย่างเที่ยงตรง และต้องประเมินความต้องการใช้พนักงานราชการในแต่ละตำแหน่งให้คุ้มค่าอย่างแท้จริง |
|||||||||||||||||||||||||||
972 | ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ออกจากราชการ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕) ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของกรอบระยะเวลาที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด)] ทั้งนี้ หากจะดำเนินตามมาตรการดังกล่าวในอนาคต จะต้องมีการทบทวน ผลการดำเนินการและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๑.๒ กำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็น ๔ กรณี คือ ๑.๒.๑ กรณีที่ ๑ คณะรัฐมตรีมีมติให้ส่วนราชการปรับเปลี่ยนสถานภาพโดยออกจากระบบราชการ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๒ กรณีที่ ๒ ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๓ กรณีที่ ๓ ส่วนราชการที่อัตรากำลังเกิน กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกลุ่มเป้าหมาย ๑.๒.๔ กรณีที่ ๔ ส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) มากกว่าร้อยละที่กำหนด โดยส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของกลุ่มเป้าหมาย และส่วนราชการมีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขี้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๒๐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๓ ของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กรณีที่ ๑ - ๓ ส่วนราชการต้องยุบเลิกตำแหน่ง ส่วนกรณีที่ ๔ ไม่ต้องยุบเลิกตำแหน่งของผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ ส่วนราชการรายละเอียดการดำเนินมาตรการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดกรองข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้มีผลกระทบและเกิดความเสียหายแก่ราชการ ๑.๓ ให้ผู้มีเงินได้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ และได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน (เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการฯ) ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินก้อนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดแนวทางหรือแผนการบริหารจัดการอัตรากำลัง เพื่อให้การลาออกตามมมาตรการฯ ของข้าราชการครูไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาในภาพรวม รวมทั้งให้การเรียนการสอนมีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจอนุญาตการลาออกจากราชการตามมาตรการฯ ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนประกอบในการพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการครูออกจากราชการตามมาตรการฯ ด้วย ๒. ให้ คปร. และส่วนราชการต่าง ๆ รับข้อเสนอเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีกรณีที่ส่วนราชการจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการการดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ที่ดี คือ จะต้องมีกระบวนการคัดกรองผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้รักษาบุคลากรที่มีคุณภาพและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานมานานให้อยู่ในระบบราชการต่อไป เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงานขององค์กรในระยะยาว ส่วนการคัดสรรบุคลากรเข้ามาทดแทนควรพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรเพื่อให้องค์กรได้รับประโยชน์คุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ คปร. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งนำผลการประเมินผลโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดมาพิจารณาร่วมกับบทบาทภารกิจของภาครัฐในภาพรวม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขยายการดำเนินโครงการในระยะต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณากลุ่มเป้าหมายและสัดส่วนผู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการอย่างเหมาะสมกบสถานการณ์ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ควรคำนึงถึงการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการให้เชื่อมโยงกับการกำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคลในกรณีที่ ๒ (ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ) และกรณีที่ ๓ (ส่วนราชการมีอัตรากำลังเกิน) เพื่อให้การกำหนดขนาดกำลังคนรองรับภารกิจในอนาคตได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้ สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการศึกษาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานให้เหมาะสม คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
973 | ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ เพื่อบรรจุบุคคลตามคำขอของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบรรจุทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) จำนวน ๒,๖๖๖ อัตรา เป็นการเร่งด่วน ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ยกเว้นหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการเฉพาะราย ๑.๒ ในระยะเร่งด่วนเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขนำตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕๒๑ อัตรา ไปบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อน ส่วนที่เหลือให้จัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ จำนวน ๒,๑๔๕ อัตรา เพื่อบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นว่า อัตรากำลังใหม่ดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นอัตราที่ตรึงไว้สำหรับการบรรจุนักเรียนทุนคู่สัญญาเพื่อปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานบริการสุขภาพทุกระดับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานการบรรจุแต่งตั้งนักศึกษาคู่สัญญาที่ได้รับการบรรจุในครั้งนี้ไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ไปดำเนินการด้วย ๑.๓ ในระยะต่อไปเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบเพื่อวางระบบการบริหารอัตรากำลังและการวางแผนกำลังคนของกระทรวงให้การจัดการภารกิจบริการสุขภาพมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดผลการศึกษาแนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจการบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐกำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||
974 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2555 | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๕ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๕ ตามที่ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ โดยสาระสำคัญของแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ มีดังนี้ ๑.๑ ชื่อในการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๕ ใช้ชื่อว่า “สงกรานต์ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์” ๑.๒ ช่วงเวลาการดำเนินการ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ รวม ๗ วัน ๑.๓ เป้าหมายการดำเนินการ ให้สามารถลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๔ ๑.๔ มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ๖ มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านสังคม มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กู้ชีพ กู้ภัย ๑.๕ ช่วงเวลาดำเนินการ กำหนดเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ๒. ให้คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเข้มงวด จริงจัง เพื่อเป็นการป้องปรามผู้กระทำผิดจากการเมาแล้วขับ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบในเรื่องการให้บริการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินของกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการข้าราชการ ว่าผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉินกรณีต่าง ๆ สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ทุกแห่ง ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน หรือโรงพยาบาลนอกระบบ โดยใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว ไม่มีการถามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย และไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
975 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 (ครั้งที่ 140) | พน | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ รับทราบ และอนุมัติหลักการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๐) เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ ๑.๑.๑ แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๑.๑.๑.๑ เห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการขยายระยะเวลาการชำระคืนหนี้วงเงินกู้ยืมเดิม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท จาก ๑ ปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และ/หรือออกตราสารหนี้ เพิ่มอีกในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาการชำระหนี้ภายใน ๓ ปี ซึ่งจะทำให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานมีวงเงินกู้ยืมทั้งสิ้นไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องคงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรองการเบิกเงินได้อย่างแน่นอน (Committed Line) ๑.๑.๑.๒ หากรัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใด ๆ ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ/หรือ ความสามารถในการชำระหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ควรขอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีการประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการในการให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา ๑.๑.๒ อัตราค่าไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ และโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสด ๑.๑.๒.๑ เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ โดยให้มีผลบังคับใช้ตามเงื่อนไขในสัญญาฯ คือ ในช่วง ๔ ปีหลังของสัญญาปัจจุบัน (วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ - วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) จากเดิมที่คิดในช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้ามาก (Peak) อยู่ที่ ๑.๖๐ บาท/หน่วย เป็น ๑.๗๔ บาท/หน่วย และช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่มาก (Off Peak) จากเดิมอยู่ที่ ๑.๒๐ บาท/หน่วย เป็น ๑.๓๔ บาท/หน่วย ๑.๑.๒.๓ เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเขื่อนเซเสดในอัตราค่าไฟฟ้าเดียวกับสัญญาฯ โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ โดยให้มีผลบังคับใช้นับจากเดือนถัดไปของวันที่ลงนามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสด ๑.๑.๒.๓ เห็นชอบให้ใช้อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่ขายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) แทนราคาขายให้ประเทศเพื่อนบ้านตามสัญญาฯ โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ และสัญญาฯ โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสดปัจจุบัน สำหรับปริมาณพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินที่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวซื้อมากกว่าขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในแต่ละรอบปีสัญญาโดยให้มีผลบังคับใช้ในปีสัญญา ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๑.๒.๔ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปรับปรุงแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสดในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าตามที่อนุมัติและเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลงนามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ๑.๒ รับทราบ ๑.๒.๑ โครงการน้ำงึม ๓ ขอปรับกำหนดเวลาใหม่ (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Scheduled Commercial Operation Date : SCOD) โดยขอให้เห็นชอบการขยายเวลาการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของโครงการน้ำงึม ๓ ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง ๔๔๐ เมกกะวัตต์ ออกไปจากเดิมเดือนมกราคม ๒๕๖๐ เป็นหลังเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เนื่องจากส่วนที่ได้มีการเตรียมงานไว้ล่วงหน้ารวมถึงถนนเข้าสู่โครงการได้รับความเสียหายจากลมพายุไหหม่าในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ทำให้ต้องมีการเตรียมงานดังกล่าวส่วนใหญ่อีกครั้ง จึงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแก้ไขร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่อไป ๑.๒.๒ การบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานในอาคารควบคุมภาครัฐ ๑.๒.๒.๑ เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงพลังงานดำเนินโครงการบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานในอาคารควบคุมภาครัฐ ในลักษณะธุรกิจจัดการพลังงาน (Energy Service Company : ESCO) ซึ่งให้บริการด้านการอนุรักษ์พลังงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจ ตรวจสอบและวิเคราะห์เพื่อกำหนดมาตรการอนุรักษ์พลังงานและการลงทุน รวมทั้งออกแบบ การหาแหล่งเงินทุน การควบคุมการติดตั้ง และการติดตามประเมินผล ตามที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเสนอ โดยให้ดำเนินการโครงการนำร่อง ๓ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๑.๒.๒.๒ ให้กระทรวงพลังงานประสานกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และแนวทางการเบิกค่าใช้จ่ายให้อาคารควบคุมภาครัฐสามารถนำค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากการประหยัดพลังงานมาเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนและบริหารจัดการได้ และให้ติดตามผลการดำเนินงานการจัดการใช้พลังงานในอาคารควบคุมภาครัฐและรายงานให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นประจำทุก ๓ เดือน เพื่อสรุปเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป ๑.๓ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน ๓ ฉบับ (๓ ผลิตภัณฑ์) ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลอดฟลูออเรสเซนต์ขั้วคู่ที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดโคมไฟฟ้าอนุรักษ์พลังงานสำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ขั้วคู่ พ.ศ. .... โดยให้กระทรวงพลังงานนำร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดความผันผวนของราคาพลังงานในระยะต่อไป ต้องให้ความสำคัญกับภาระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเกิดขึ้นจากการอุดหนุนราคาพลังงานชนิดต่าง ๆ และพิจารณาให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างราคาพลังงานที่จะช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
976 | ขอความเห็นชอบจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานและลูกจ้างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่มีเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง | กก | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานและลูกจ้างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง โดยให้มีผลสำหรับการเลื่อนขั้นเงินเดือนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ผลงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างหนึ่งขั้น ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนหรือค่าจ้างขั้นสูงของระดับตำแหน่ง ๒. กรณีได้รับการประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างหนึ่งขั้นครึ่ง ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๓. กรณีได้รับการประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างสองขั้น ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๔. กรณีไม่ได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้าง ให้เบิกจ่ายเงินเดือนในอัตราขั้นสูงของระดับตำแหน่งตามเดิม โดยการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวไม่ถือเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้างมีลักษณะเป็นการจ่ายชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์อื่น ๆ แก่พนักงานและลูกจ้าง ซึ่ง ททท. ได้พิจารณาประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวข้างต้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว เป็นเงิน ๑,๓๘๐,๘๕๒ บาท ต่อปี |
|||||||||||||||||||||||||||
977 | การรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การสวนยางกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ ส่วนค่าบริหารโครงการเห็นควรอนุมัติให้องค์การสวนยางใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามแผนการใช้จ่ายเงิน (เมษายน - กันยายน ๒๕๕๕) ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๑๔๘ ล้านบาท และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับแผนการดำเนินงานส่วนที่เหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อยางพาราแปรรูปและจำหน่ายในระยะเวลาที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพของตลาดอย่างต่อเนื่อง และควรดำเนินการให้ครอบคลุมสถาบันเกษตรกรทั่วทั้งประเทศที่กระจายตัวอยู่ในภาคต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. อนุมัติให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุเงินกู้ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
978 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2555 | นร | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่มีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กพต. ตามที่ประธาน กพต. เสนอ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนงาน โครงการต่าง ๆ ควรมีระบบประสานการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน ศาสนา และวัฒนธรรมของท้องถิ่น ตลอดจนประหยัดงบประมาณภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ และประกาศคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยอัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องจาก กพต. ได้ออกระเบียบและประกาศดังกล่าวตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว จึงรับทราบผลการประชุม กพต. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ในเรื่องดังกล่าว ๓. ให้ กพต. รับข้อสังเกตของผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรนำเนื้อหาของประกาศฯ ที่กำหนดอัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาฯ มากำหนดไว้ในระเบียบฯ ส่วนการกำหนดคำนิยามคำว่า “ผู้ได้รับความเสียหาย” ที่กำหนดให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจาก “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” เท่ากับเป็นการยอมรับว่าในการบังคับใช้กฎหมาย รัฐยอมรับว่ามีการบังคับใช้กฎหมายที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายจริง ซึ่งในทางปฏิบัติอาจมีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจริงก็ได้ แต่ในการเขียนกฎหมายอาจไม่จำเป็นต้องระบุกรณีนี้ไว้ให้ชัดเจน เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจอยู่แล้ว รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และวันใช้บังคับของระเบียบฯ ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับรูปแบบและแนวทางที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ๔. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบฯ และประกาศฯ ให้ กพต. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
979 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง "ปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2553 - 2573 (PDP 2010)" | สว | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง “ปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (PDP 2010) และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว โดยกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) ในการทบทวนแผน PDP ครั้งนี้ ได้นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ มาร่วมพิจารณา โดยเฉพาะเรื่องการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าและการเพิ่มความสำคัญของพลังงานหมุนเวียนโดยกำหนดเป็นเป้าหมายในการทบทวนแผนฯ โดยจะนำแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) (Energy Efficiency Development Plan : EEDP) ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งมีเป้าหมายลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี (เทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2012-2021) ตามมติ กพช. ซึ่งกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้อยร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี มากำหนดเป็นเป้าหมายไว้ในแผน PDP ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
980 | แนวทางการรับประกันภัยพิบัติภายใต้พระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการรับประกันภัย ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินความคุ้มครองและการจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ (sub limit) แบ่งตามประเภทของผู้เอาประกันภัยเป็น ๓ ประเภท ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ กลุ่มบ้านอยู่อาศัย วงเงินความคุ้มครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๐.๕ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หมายถึง ธุรกิจที่มีทุนประกันภัยไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท จะจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ภัยพิบัติที่ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของทุนประกันภัย คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๑.๐ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ และกลุ่มอุตสาหกรรม หมายถึง ธุรกิจที่มีทุนประกันภัยตั้งแต่ ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป จะจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ภัยพิบัติที่ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของทุนประกันภัย คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๑.๒๕ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ๑.๒ เกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทนของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ (Trigger) ครอบคลุมประเภทภัยพิบัติรวม ๓ ภัย ได้แก่ วาตภัย อุทกภัย และธรณีพิบัติภัย ๑.๓ วิธีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยจะสำรวจและประเมินความเสียหายโดยจะจ่ายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติในทุกกรณี ยกเว้นกรณีอุทกภัยในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย เนื่องจากมีผู้เอาประกันภัยจำนวนมาก โดยหากน้ำท่วมพื้นที่อาคารจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ ๓๐,๐๐๐ บาท หากระดับน้ำสูง ๕๐ เซนติเมตร ๗๕ เซนติเมตร และ ๑๐๐ เซนติเมตรจากพื้นที่อาคาร จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ ๕๐,๐๐๐ บาท ๗๕,๐๐๐ บาท และ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ๑.๔ ประมาณการวงเงินความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ คาดว่าจะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติเฉลี่ยที่ร้อยละ ๙๐.๔๕ ของจำนวนกรมธรรม์ทั้งหมดในปัจจุบัน โดยในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย จำนวน ๑.๓ ล้านกรมธรรม์ในปัจจุบัน คาดว่าจะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติทั้งหมด ในขณะที่กลุ่ม SMEs และอุตสาหกรรม อีกประมาณ ๒๔๕,๐๐๐ กรมธรรม์ คาดว่าร้อยละ ๙๐ จะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติ ดังนั้น ประมาณการวงเงินความคุ้มครองรวมของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติจะอยู่ที่ระดับ ๒,๕๙๘,๔๘๖ ล้านบาท ๑.๕ ค่าสินไหมทดแทนที่อาจเป็นไปได้สูงสุด (Probable Maximum Loss : PML) ที่เหมาะสมสำหรับกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในการบริหารความเสี่ยงควรอยู่ที่ระดับ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ ความเสี่ยงของรัฐบาล โดยที่กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติมีวงเงินในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท สามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสียหายสูงสุดที่ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเกิดภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด ทำให้ความเสียหายสูงกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าความสามารถของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในการบริหารจัดการความเสียหาย ในส่วนนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบ โดยคาดว่ารัฐบาลจะมีความเสี่ยงสูงสุดที่ ๒,๒๙๘,๔๘๖ ล้านบาท ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกองทุนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติคำนึงถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงในระยะยาว และมีการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนทุกปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ส่วนการกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมของผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติให้ต้องมากกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท ต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน ๖๐ วัน อาจเป็นจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมต่อครั้งที่สูงเกินไป เห็นควรให้คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติลดข้อกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมต่อครั้งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....