ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 124 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2461 - 2480 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2461 | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN - German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนที่ตอบรับการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน และร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Secton) ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักของโครงการ ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่เลขาธิการอาเซียนลงนามความตกลงระหว่างประเทศของอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐบาลไทย แต่รัฐบาลไทยจะต้องให้ความยินยอมผ่านคณะผู้แทนไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามความตกลงฯ โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ นอกจากนี้ ข้อ ๔ ข้อย่อย ๔.๙ ของร่างความตกลงฯ ระบุว่า ความตกลงฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ใช้อยู่ของเยอรมนี ดังนั้น การจัดทำความตกลงฯ จึงต้องปฏิบัติตาม Rules of Authorisation for Legal Transaction under Domestic Laws ที่กำหนดให้มีการเสนอและรับรองรายชื่อบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินนิติกรรมที่อยู่ภายใต้กฎหมายภายในนามของอาเซียน ซึ่งหากมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสนอร่างความตกลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2462 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ๒. แต่งตั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ ในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ๓. แต่งตั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒ ในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร)
|
||||||||||||||||||||||||
| 2463 | เอกสารสำคัญที่จะรับรองในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 | กต | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองเอกสารดังกล่าวในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ระหว่างวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๑.๒ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในเชิงนโยบายเกี่ยวกับความร่วมมือและส่งเสริมการเปิดตลาดการค้า การลงทุน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ ระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกี่ยวกับการปฏิบัติตามปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคฯ ที่จะลดอัตราภาษีรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี ๒๕๕๘ โดยในส่วนของประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะทำงานจัดทำแผนการปรับปรุงภาษีศุลกากรเพื่อเปิดเสรีทางการค้า เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและแนวทางในการดำเนินการลดภาษีรายการสินค้าดังกล่าวแต่ละรายการ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงผลกระทบโดยรวมต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมตามแถลงการณ์ของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค จะลดเป็นการทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะกับเขตเศรษฐกิจที่เป็นสมาชิกเอเปคเท่านั้น และในการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปคดังกล่าว ให้รับฟังความเห็นจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน รวมทั้งพิจารณามาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2464 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร | นร11 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดประชุมหารือการปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้หน่วยงานพิจารณาทบทวนแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ใน ๓ กรณี ได้แก่ การเพิ่มเติมโครงการที่สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และมติคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ การเพิ่มเติมโครงการอื่นสมควรดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้การแก้ไขปัญหามาบตาพุดมีความครบถ้วนสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการทบทวนโครงการเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ ภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยหากยังไม่ได้รับงบประมาณและยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ให้ปรับปรุงรายละเอียดโครงการและแผนการใช้งบประมาณเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้เป็นปัจจุบัน ๒. การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๖๔/๒๕๕๖ แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกต่อคณะรัฐมนตรี และกำกับดูแล ประสานงาน และเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 2465 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ที่จะรับรองในช่วงการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ (The 31th ASEAN Ministers of Energy Meeting : AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี เมืองเดนปาซาร์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ ความพยายามของประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการพลังงานของอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation APAEC 2012-2015) ความพยายามของอาเซียนในการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง การพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการผลักดันการดำเนินการโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline : TAGP) และโครงการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Gird-APG) การดำเนินตามเป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์สันติ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาเซียน การพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) การสร้างเครือข่ายการกำกับกิจการพลังงานของอาเซียน การสนับสนุนข้อเสนอแนะของการศึกษาวิจัยเรื่องการบูรณาการตลาดพลังงานอาเซียน (ASEAN Energy Market Integration : AEMI) ของคณะนักวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับเครือข่ายคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศสมาชิกอาเซียน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศคู่เจรจาและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ เป็นต้น ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๐ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การหารือเกี่ยวกับบทเรียนจากกรณีเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมาไดอิชิ การร่วมมือกันในด้านการเก็บสำรองน้ำมัน (Oil Stockpiling) การสนับสนุนเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตลาดพลังงาน การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในภูมิภาคนี้ตามโครงการอบรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๗ แถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ การประกาศจุดยืนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังในสาขาพลังงานต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำฐานข้อมูลเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศเอเชียตะวันออก และการร่วมมือในโครงการมองภาพอนาคตด้านพลังงาน (Energy Outlook) เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในที่ประชุมได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตเกี่ยวกับถ้อยคำของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ของกระทรวงการต่างประเทศ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การก่อสร้างโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน และโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซอาเซียน หากมีการดำเนินการในประเทศไทย ขอให้มีการดำเนินการตามกฎระเบียบภายในประเทศอย่างเคร่งครัด เช่น การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนการดำเนินการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และให้เกิดความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2466 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 45 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๔๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ บันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการภายในอาเซียนไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑.๑.๑ ที่ประชุมรับทราบการดำเนินการตามแผนงานการไปสู่ประชาคมอาเซียน โดยประเทศที่ดำเนินการคืบหน้าได้มาก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่ตกลงไว้เพื่อไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๐๑๕ ๑.๑.๒ ที่ประชุมมีมติให้ทุกประเทศเสนอมาตรการทางการค้าของตนเองที่ถูกร้องเรียนว่าเป็นปัญหาอุปสรรคทางการค้าจำนวนหนึ่งเรื่องเพื่อเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของการแก้ไข หรือยกเลิกมาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าในอนาคต โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี ๑.๑.๓ ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการจัดทำพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าบริการของอาเซียน ซึ่งจะครอบคลุมสาขาบริการเพิ่มมากขึ้น โดยขอให้แต่ละประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๖ เพื่อให้ข้อผูกพันมีผลใช้บังคับโดยเร็วที่สุด ๑.๑.๔ ที่ประชุมรับทราบว่าอาเซียนได้ตกลงรับร่างพิธีสารสำหรับการปรับปรุงแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน เพื่อกำหนดกระบวนการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดในการให้อาเซียนเข้ามาลงทุน ๑.๒ ความคืบหน้าในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ๑.๒.๑ ที่ประชุมได้หารือเพื่อเตรียมการเยือนจีนและฮ่องกงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อประชาสัมพันธ์อาเซียนให้เป็นที่รู้จัก และขยายการค้าและการลงทุนกับจีนและฮ่องกงให้มากยิ่งขึ้น โดยไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นประเทศผู้ประสานงานของอาเซียนกับฮ่องกงในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ที่จะเริ่มต้นเจรจาในต้นปี ๒๕๕๗ ๑.๒.๒ การเจรจาความตกลงเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปการเจรจาความตกลงฯ ได้แล้ว โดยประเทศสมาชิกจะดำเนินกระบวนการภายในเพื่อลงนามความตกลงฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-อินเดีย ในเดือนตุลาคม ศกนี้ ๑.๒.๓ ที่ประชุมอยู่ระหว่างการเจรจาสรุปความตกลงเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนกับญี่ปุ่น โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการเจรจาให้มากขึ้น เพื่อให้สรุปการเจรจาได้ก่อนการฉลองครบรอบความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ๔๐ ปี ในช่วงเดือนธันวาคม ศกนี้ ๑.๒.๔ การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP : Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือความตกลงอาเซียน+๖ (อาเซียน ๑๐ ประเทศ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก โดยไทยได้ร่วมผลักดันให้ที่ประชุมเห็นพ้องในหลักการพื้นฐานสำคัญว่าประเทศสมาชิก RCEP ต้องมีตารางการเปิดตลาดเพียงตารางเดียว (single schedule of commitments) ที่เปิดให้กับทุกประเทศ ๑.๒.๕ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและรัสเซียได้ให้การรับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับไทยว่าควรจัดลำดับความสำคัญของความร่วมมือเพื่อเร่งดำเนินการก่อน เช่น การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ได้หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ การหารือกับรัฐมนตรีการค้าอาเซียน รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าอินโดนีเซีย การหารือกับรัฐมนตรีการค้าในภูมิภาคเอเชียและอเมริกาเหนือ ได้แก่ การหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น และผู้แทนการค้าสหรัฐ รวมทั้งการหารือกับคณะผู้แทนจากสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ (USABC) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นการหารือกับผู้แทนสหรัฐฯ ในการเข้าร่วมความตกลง TPP (Trans Pacific Partnership) ไม่น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยมากนัก การตัดสินใจเข้าร่วม TPP ควรตั้งอยู่บนผลประโยชน์สุทธิที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ โดยพิจารณาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกมิติ ส่วนประเด็นเรื่องการลด/เลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ควรผลักดันให้สมาชิกอาเซียนอื่นที่มีการบังคับใช้มาตรการ NTMs ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศเป็นจำนวนมากให้มีการลด/ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า เพิ่มความโปร่งใส เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2467 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
||||||||||||||||||||||||
| 2468 | รายงานประจำปี 2555 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 และ 2554 (ขอส่งรายงานประจำปี 2555 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 และ 2554) | ศธ | 10/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ วิจัย พัฒนาและเผยแพร่หลักสูตร สื่ออุปกรณ์ และกระบวนการเรียนรู้ โดยการพัฒนาหลักสูตรปฐมวัย การพัฒนาหลักสูตรอนาคตสองภาษา สสวท. ร่วมกับมูลนิธิคีนันแห่งเอเชีย และ Teachers College แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย การนำร่องใช้บทเรียน SAS Cumculum Pathways ในประเทศไทยซึ่งเป็นบทเรียนระดับมัธยมศึกษาออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา การจัดทำหนังสือเรียนดิจิทัลคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทุกช่วงชั้น รวมทั้งดำเนินการแปลงหนังสือเรียน คู่มือครู ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้เป็น Interactive Book จำนวน ๑๓๔ รายการ และการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ดิจิทัลด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี (IPST Learning Space) ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Upgrade) เป็นปีที่ ๒ จัดอบรมครูผ่านศูนย์แม่ข่ายการพัฒนาและอบรมครู ๑๐ ศูนย์ พร้อมกันทั่วประเทศ แต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มีความเชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการสอนและการพัฒนาตำรา ร่วมดำเนินการการวางเค้าโครงการของตำราและคัดเลือกผู้มายกร่าง จัดประชุมบรรณาธิการและตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจัดพิมพ์ และติดตามผลหลังการใช้ และการพัฒนาหลักสูตรอบรมครูวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้านการวัดผลประเมินผล ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ประเมินมาตรฐานการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการ IPST Teacher Award เพื่อยกย่องเชิดชูครูที่มีผลงานดีเด่นทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี การพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Thailand mathematics Evaluation : TME) ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สร้างความเข้าใจให้สาธารณชนตระหนักในความสำคัญของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ผ่านสื่อประเภทต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ให้กับครู บุคลากรทางการศึกษา และเยาวชนทั่วไป ผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ ๒. การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (โครงการ พสวท.) การพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โดยสรรหาและส่งเสริมนักเรียนระดับประถมศึกษาที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้ได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และการยกระดับคุณภาพด้านวิชาการ โดยร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) ดำเนินโครงการศูนย์โรงเรียนขยายผล สอวน. เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ของครูและนักเรียนในประเทศไทยให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาและส่งเสริมครูที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ๓. การปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการภายใน และความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง โดยดำเนินการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร การพัฒนาองค์กรและพัฒนาระบบพัฒนาทรัพยากรบุคคล ๔. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ และงบรายได้และค่าใช้จ่าย สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสวท. ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว โดยผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสวท. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญ ตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
| 2469 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2556 | นร11 | 10/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กบส. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ กบส. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ ซึ่งมีมติรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความคืบหน้าการดำเนินงานการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ รายงานภาพรวมต้นทุนโลจิสติกส์ของปี ๒๕๕๔ และแนวทางในการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศในระยะต่อไป แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ “การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการจัดการโซ่อุปทานเพื่อความสามารถในการแข่งขัน” และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ๑.๒ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ดำเนินการปรับกรอบแผนยุทธศาสตร์ฯ ตามมติ กบส. แล้ว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ฯ และรายงานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อบูรณาการการดำเนินการในภาพรวมต่อไป สรุปสาระสำคัญในการปรับกรอบแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้ ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้ ยังคงหลักการและเหตุผลเดิมใน ๕ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ กรอบแนวคิดในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ส่วนที่ ๒ การประเมินผลการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่วนที่ ๓ การเปลี่ยนแปลงของบริบทภายในประเทศและภายนอกประเทศ ส่วนที่ ๔ สรุปประเด็นการพัฒนาในช่วง ๕ ปีข้างหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) และหลักการของแผนยุทธศาสตร์ฯ และส่วนที่ ๕ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ๑.๒.๒ มีการปรับปรุงยุทธศาสตร์และประเด็นกลยุทธ์การพัฒนาให้มีความกระชับมากขึ้น โดยยังคงเป้าหมายความสำเร็จ ๓ ประการ และ ๓ ภารกิจในการพัฒนา รวมทั้งปรับปรุงยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่สามารถดำเนินการไปด้วยกันได้โดยไม่กระทบกับกรอบหลักการของแผนยุทธศาสตร์ฯ โดยปรับปรุงยุทธศาสตร์ ๙ ยุทธศาสตร์ เป็น ๗ ยุทธศาสตร์ และปรับปรุงกลยุทธ์ จาก ๓๑ กลยุทธ์ เป็น ๒๑ กลยุทธ์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแปลงไปสู่แผนปฏิบัติการ ประสานการดำเนินการ และบูรณาการระหว่างหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตลอดระยะเวลา ๕ ปี ของแผนยุทธศาสตร์ฯ ๑.๒.๓ เพิ่มเติมประเด็นการพัฒนาเพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ฯ มีความสมบูรณ์มากขึ้น ได้แก่ ความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล และความเชื่อมโยงต่อการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ เพื่อให้การจัดทำแผนปฏิบัติการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ มีความชัดเจนในการกำหนดแผนงาน/โครงการพัฒนาและการขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี การกำหนดแนวทางการรองรับการหยุดชะงักของโซ่อุปทานจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ในการขนส่งสินค้า ความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกในระหว่างการขนส่ง และการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานสนับสนุนเพิ่มเติมในแต่ละภารกิจและประเด็นยุทธศาสตร์ เพื่อให้มีการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนสามารถวัดผลการดำเนินการตามแผนและการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ของแผนเป็นระยะ และสามารถปรับแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องสำหรับการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาขับเคลื่อนระบบโลจิสติกส์ของประเทศในระยะต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงวัฒนธรรม เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการตามข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการขนส่งทั้งที่ได้มีพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก อาเซียน และกรอบอนุภูมิภาค อาทิ Greater Mekong Subregion เช่น การเร่งกระบวนการออกกฎหมายรองรับและการปฏิบัติให้เป็นไปตาม ASEAN Single Window และ GMS Single Stop Inspection (SSI) โดยเร็ว การให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณตามแผนงานโครงการเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์สินค้าเกษตร โดยเฉพาะการเพิ่มองค์ความรู้และทักษะในระดับฟาร์มของเกษตรกร การจัดตั้งศูนย์รวบรวมและกระจายการผลิตสินค้าเกษตร การพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านสินค้าเกษตรตามด่านการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน การพิจารณาให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขนส่งทางราง โดยเพิ่มความชัดเจนในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ การสนับสนุนการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และอิเล็กทรอนิกส์ มาใช้ในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ตลอดห่วงโซ่อุปทานในทุกสาขาการผลิต รวมทั้งการสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการให้มีความรู้ในเรื่องวิทยาการวิศวกรรมและการจัดการบริการ (Service Science, Managerment and Engineering : SSME) เพื่อให้เกิดนวัตกรรมในการให้บริการโลจิสติกส์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2470 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จังหวัดพะเยา) - เมืองคอบ - เมืองเชียงฮ่อน และ เมืองคอบ - บ้านปากคอบ - บ้านก้อนตื้น สปป. ลาว | กค | 10/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จังหวัดพะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น สปป.ลาว ระยะทางโดยรวมประมาณ ๑๑๐ กิโลเมตร ในวงเงินรวม ๑,๓๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในส่วนของที่มาของแหล่งเงินทุน เนื่องจาก สพพ. ไม่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รองรับโครงการดังกล่าวไว้ จึงเห็นควรให้ สพพ. พิจารณาแหล่งเงินทุนอื่นเป็นลำดับแรกก่อน อาทิ เงินสะสมของหน่วยงานหรือการกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศ และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีงบประมาณต่อไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า ช่วงถนนบนภูเขาควรพิจารณาออกแบบ Climbing lane เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้ใช้ทาง และให้ สพพ. จัดทำรายงานติดตามและประเมินผลโครงการการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินความสัมพันธ์อย่างมั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2471 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 | กค | 03/09/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑,๒๕๓,๑๓๔.๔๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ รวม ๔๖๒,๕๑๙.๕๒ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ รวม ๖๖๑,๘๐๙.๐๘ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง รวม ๑๒๘,๘๐๕.๘๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๖๘,๓๖๕.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้ฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดการติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายการใช้เงินกู้ของหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ตามแผนการบริหารหนี้ฯ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงปี ๒๕๕๗ ให้ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณนั้น ๆ โดยการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ฯ ต้องยึดหลักการรักษาวินัยทางการคลังให้สอดคล้องกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และเนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องส่วนเกินในประเทศยังอยู่ในระดับสูง จึงเห็นควรให้หน่วยงานพิจารณากู้เงินในประเทศเป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2472 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 5 ชั้น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร | ศธ | 27/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ ๕ ชั้น พร้อมค่าถมดินโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร ๑ หลัง วงเงินรวม ๘๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอยู่อีก จำนวน ๖๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ให้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ ขอให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่กำหนดให้ส่วนราชการที่ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณานำเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อพิจารณาอนุมัติผ่อนผันต่อไป และในโอกาสต่อไปขอให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่ส่วนราชการมีความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการสิ่งก่อสร้างที่มีผลทำให้ประมาณราคากลางสูงกว่าวงเงินงบประมาณรวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันเกินร้อยละ ๕ ขอให้ส่วนราชการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนดำเนินการประกวดราคา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2473 | ขออนุมัติกู้เงินสำหรับใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินเพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องการดำเนินงาน ในวงเงิน ๔,๘๙๑.๔๖๐ ล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินที่บรรจุไว้ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ เนื่องจากได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๗๘๙.๒๕๓๙ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๑.๗๑๖๑ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๘๑๐.๙๗๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้แล้ว สำหรับกรณีขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเร่งปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งประกอบด้วย ๓ หน่วยธุรกิจ ได้แก่ หน่วยธุรกิจการเดินรถ หน่วยธุรกิจการซ่อมบำรุง หน่วยธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน และ ๑ บริษัทลูก เพื่อดำเนินโครงการ Airport Rail Link โดยให้แต่ละหน่วยธุรกิจสามารถบริหารจัดการตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากการบริหารหน่วยธุรกิจในปัจจุบันของ รฟท. ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถบริหารจัดการแบ่งแยกบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน และรับรู้ผลกำไรขาดทุนของแต่ละหน่วยธุรกิจได้อย่างชัดเจน และให้ รฟท. เร่งดำเนินการศึกษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพทั้งการดำเนินงานในเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม รวมทั้งให้ความสำคัญและเร่งดำเนินงานปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2474 | ผลการเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์และสาธารณรัฐตุรกีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 27/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์และสาธารณรัฐตุรกีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓-๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. การเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์ ประเด็นติดตาม ได้แก่ การเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ และการเยือนไทยของนาย Lech Walesa อดีตประธานาธิบดีโปแลนด์ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการหารือเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๑ ความร่วมมือด้านการทหาร อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับรัฐมนตรีกลาโหม การจัดหาอุปกรณ์เรดาร์จากโปแลนด์ การส่งนักเรียนไทยไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยการทหารของโปแลนด์ เป็นต้น การทำความตกลงว่าด้วยการรักษาข้อมูลลับ การส่งเสริมมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศให้มีความสมดุลมากขึ้น และการส่งเสริมธุรกิจร้านอาหารไทยในโปแลนด์ การส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตไทยในโปแลนด์ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจเอกชน การจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศไทย การดำเนินการตามความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมตามโครงการ Green Evo ของโปแลนด์ การพิจารณาใช้ถ่านหินลิกไนต์จากโปแลนด์ การลงทุนในการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน (Shale Gas) และความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน การจัดหาอุปกรณ์กู้ภัยจากโปแลนด์ อาทิ รถดับเพลิง การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเกษตร การปรับปรุงคุณภาพดิน และปศุสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ปีก การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม การแลกเสียงสนับสนุนการสมัครสมาชิกไม่ถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย และวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๑๙ ของโปแลนด์ การขอเสียงสนับสนุนจากโปแลนด์สำหรับตำแหน่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗ รวมทั้งการพิจารณาคำขอของโปแลนด์ในการสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีขององค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ กลุ่มที่ ๓ และการสมัครเป็นเจ้าภาพกีฬาในโอลิมปิกฤดูหนาว ๒๐๒๒ ๒. การเยือนสาธารณรัฐตุรกี ประเด็นติดตาม ได้แก่ การเชิญนายกรัฐมนตรีตุรกีเยือนไทย การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี การมุ่งเป้าหมายการค้า ๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ๒๕๖๑ การจัดกิจกรรมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ตุรกี ๖๐ ปี การแลกเปลี่ยนทุนการศึกษา การสนับสนุนทุนการศึกษาให้นักเรียนไทยไปศึกษาต่อที่ตุรกี การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำนครอิซเมียร์และเมืองอันทาเลีย และการเสริมสร้างความร่วมมือภายใต้กรอบแผนปฏิบัติการร่วมไทย-ตุรกี (Joint Plan of Action) ๒๕๕๖-๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||
| 2475 | การปรับปรุงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 193/2554 ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2554 | นร04 | 27/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๓/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๗/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๓/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ปรับปรุงโครงสร้างการปฏิบัติงานของ ศปภ. ๑.๑ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ผอ.ศปภ.) จากพลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็น พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ผอ.ศปภ.) ๑.๒ ฝ่ายเลขานุการ ศปภ. ให้พลตำรวจตรี เกษม รัตนสุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นเลขานุการ ศปภ. และพลตำรวจตรี สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ศปภ. และให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผอ.ศปภ. มอบหมาย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบงานด้านธุรการ ด้านงบประมาณ และด้านบุคลากร รวมทั้งการประสานงานและการบริหารจัดการงานด้านคดีของ ศปภ. ตามที่ ผอ.ศปภ. มอบหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2476 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2555 | นร12 | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาระบบราชการไทยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑-พ.ศ. ๒๕๕๕) บรรลุเป้าหมายในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินการสูงกว่าค่าเป้าหมาย เช่น ประชาชนมีความพึงพอใจในระบบราชการ ร้อยละ ๘๒.๖๕ ส่วนราชการมีการปรับปรุงรูปแบบหรือวิธีการทำงาน ร้อยละ ๘๙.๕๐ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถบรรลุตามค่าเป้าหมายการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการบริการประชาชน ดังนั้น ควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้บริการประชาชน ผ่านรูปแบบของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ให้บริการประชาชนมากขึ้น ๒. ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ๒.๑ ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการจากการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา และองค์การมหาชน มีผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ที่สูงกว่าค่าเป้าหมาย โดยส่วนราชการมีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมค่อนข้างสูงซึ่งสูงกว่าค่าเป้าหมาย ในส่วนของจังหวัดในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน สถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมมีผลคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเป้าหมาย รวมทั้งองค์การมหาชนในภาพรวมการปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ๒.๒ การผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทย ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒.๑ การสนับสนุนให้มีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การมอบรางวัลระดับชาติให้แก่หน่วยงานที่มีนวัตกรรมหรือมีพัฒนาการในการบริการประชาชน และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการให้บริการ (e-Services) พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ๒.๒.๒ การปรับรูปแบบการทำงานให้มีลักษณะเชิงบูรณาการ และเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ปรับกลยุทธ์การบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ การพัฒนาและส่งเสริมให้มีการแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะและการเปิดให้องค์กรในภาคส่วนอื่นเสนอตัวเข้ามาให้บริการของรัฐ การส่งเสริมการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม และความร่วมมือการทำงานในลักษณะเครือข่าย รวมทั้งปรับปรุงระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง ๒.๒.๓ การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของส่วนราชการ เพื่อเปิดให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความพร้อมเข้ามาจัดบริการสาธารณะแทนภาครัฐ การพัฒนาเสริมสร้างขีดสมรรถนะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการ ทั้งกลุ่มผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chief Change Officer : CCO) กลุ่มพัฒนาระบบบริหารของกระทรวงและกรม และนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการบริหารองค์การมหาชน เพื่อให้องค์การมหาชนมีแนวทางในการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานตามกรอบการประเมินผลที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์การมหาชนสู่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมผลักดันให้ภาครัฐมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน และการรับมือกับสภาวะวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้การปฏิบัติงานของภาครัฐสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุดหยุดลง ๒.๒.๔ การสร้างระบบการกำกับดูแลตนเองที่ดี เกิดความโปร่งใส มั่นใจ และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งทำให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อสังคมโดยรวม ทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การสร้างการกำกับดูแลองค์การที่ดีของส่วนราชการ การจัดทำแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมระบบการตรวจสอบที่ให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ที่ประชาชนจะได้รับจากหน่วยงานผ่านทางคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ |
||||||||||||||||||||||||
| 2477 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดระบบประกันสังคมถ้วนหน้า" | สสป | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดระบบประกันสังคมถ้วนหน้า" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านความครอบคลุม โดยให้ขยายความครอบคลุมไปถึงแรงงานทุกคนทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ (รวมทั้งแรงงานข้ามชาติ ทั้งนี้ด้านความครอบคลุมในเรื่องสิทธิประโยชน์ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการทำงานของกลุ่มนี้ด้วย) เพื่อให้สามารถบริหารจัดการระบบประกันสังคมถ้วนหน้าในระยะยาว ๒. ด้านสิทธิและผลประโยชน์ของแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนควรเท่าเทียมกับประชากรกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ควรเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายให้สถานประกอบการขึ้นทะเบียนแรงงานในระบบตามกฎหมายประกันสังคมเป็นผู้ประกันตนให้ครบถ้วน และจัดส่งเงินสมทบให้ถูกต้องเพื่อมิให้ลูกจ้างเสียสิทธิประโยชน์ในระยะยาว รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบตามกฎหมายประกันสังคมขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน โดยให้ผู้ประกันมีสิทธิในการเป็นสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ด้วย รวมทั้งสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ควรมีการพัฒนาฐานข้อมูลร่วมกันเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ในการสืบค้นข้อมูลอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ๓. ด้านกลไกการบริหาร ได้แก่ ให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระภายใต้การกำกับของรัฐ ให้มีระบบและกลไกการสรรหาคณะกรรมการประกันสังคม ทั้งฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายผู้แทนผู้ประกันตน และผู้ทรงคุณวุฒิ และสำนักงานประกันสังคมควรเป็นองค์กรอิสระที่กำหนดระเบียบวิธีการบริหารจัดการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้เอง ๔. ด้านกลไกการลงทุน ได้แก่ ควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กำหนดให้กองทุนประกันสังคมมีสถานะเป็นนิติบุคคล ให้มีคณะกรรมการลงทุนที่มีองค์ประกอบทั้งฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายผู้แทนผู้ประกันตน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติเหมาะสม กระบวนการได้มาและวาระการดำรงตำแหน่งชัดเจน โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และควรแยกการบริหารกองทุนประกันสังคมเพื่อสร้างความมั่นคงของกองทุนตามสิทธิประโยชน์แต่ละกลุ่มในระยะยาว ๕. ด้านการติดตามตรวจสอบ ได้แก่ การเปิดเผยข้อมูลการประกันสังคมโดยการดำเนินการของกองทุนประกันสังคมต่อรัฐสภาปีละครั้ง และให้ประชาชนทั่วไปและผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก ให้มีเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกันตน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง และควรกำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการประกันสังคม คณะกรรมการลงทุน และสำนักงานประกันสังคม เพิ่มเติมในร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. .... รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ประกันตน ให้คณะกรรมการประกันสังคมปรับปรุงและพัฒนาระบบสวัสดิการทางสังคม ยกเว้นด้านสุขภาพเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ๖. ด้านการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนแรงงานนอกระบบ ควรมีกองทุนแรงงานนอกระบบ รองรับผู้ประกันตนมาตรา ๔๐ ที่เพิ่มจำนวนสูงขึ้น และควรพิจารณากลุ่มอาชีพที่มีความพร้อมพัฒนารูปแบบการประกันตนจากภาคสมัครใจมาตรา ๔๐ มาเป็นการบังคับด้านกฎหมายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ หรือภายหลังจากได้มีการดำเนินการมาประมาณ ๕ ปี จึงควรมีการตรากฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนแรงงานนอกระบบ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2478 | การทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2550 | อื่นๆ | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๕๐ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ ซึ่งได้จำแนกการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเป็นกฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ (แก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย) กฎหมายที่ควรให้ยกเลิก และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม (แต่อาจมีการพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขภายหลัง) โดยแบ่งออกเป็น ๑.๑.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒ ฉบับ ๑.๑.๒ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๓๗ ฉบับ ๑.๑.๓ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๙ ฉบับ กฎหมายที่ควรยกเลิก จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๗ ฉบับ ๑.๑.๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๑๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๙ ฉบับ ๑.๑.๕ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ประกอบด้วย กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒๐ ฉบับ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีความเห็นสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายตามที่ คปก. เสนอ จำนวน ๘ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้ ทั้งนี้ หากมีกฎหมายที่ไม่ใช่ในส่วนของฝ่ายบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนราชการเห็นว่าควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเร่งรัด ก็ให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2479 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และที่บ้านหนองสมอ พ.ศ. .... | คค | 13/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ สายกรุงเทพมหานคร- บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และที่บ้านหนองสมอ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และที่บ้านหนองสมอ ในท้องที่อำเภอเมืองชลบุรี อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นว่าควรมอบหมายให้กรมทางหลวงดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ พิจารณาความเหมาะสมของการลงทุนปรับปรุงระบบเก็บค่าผ่านทางของโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ จากระบบเปิดให้เป็นระบบปิด และพิจารณาการออกแบบระบบจัดเก็บค่าผ่านทางโดยให้ความสำคัญกับความสามารถในการบริหารจัดการปริมาณจราจรบริเวณหน้าด่าน ตลอดจนการสร้างความเข้าใจและความยอมรับจากประชาชนโดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บค่าผ่านทาง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการทำการเวนคืนอย่างเหมาะสม ๒.๒ สำหรับการจัดให้มีจุดบริการ (Service Area) เพิ่มขึ้น ๑ แห่ง เห็นควรให้กรม ทางหลวง ศึกษาออกแบบและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีความสอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ทางในแต่ละประเภท โดยเฉพาะผู้ประกอบการและพนักงานขนส่งสินค้าโลจิสติกส์ รวมทั้งพิจารณารูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐ และการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดจนการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์โดยรวมให้อยู่ในสภาพที่ดีและปลอดภัยต่อผู้ใช้ทางตลอดอายุการใช้งาน |
||||||||||||||||||||||||
| 2480 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 (เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล ชายหาดแม่พิมพ์ ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง) | มท | 13/08/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง เปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการเขื่อนป้องกันตลิ่ง ริมทะเลชายหาดแม่พิมพ์ ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง จำนวน ๑๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท สมทบกับงบดำเนินงาน จำนวน ๒,๓๑๙,๒๐๐ บาท เพื่อไปดำเนินรายการปรับปรุงอาคารสำนักงานกรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระรามที่ ๖ พร้อมจัดหาครุภัณฑ์ จำนวน ๑๕,๙๑๙,๒๐๐ บาท ได้ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ไปศึกษาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิชาการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศในภาพรวม เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
.....
