ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 126 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2501 - 2520 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2501 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาในรายละเอียดของความคุ้มค่าและความเหมาะสมของโครงการพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงโคนมและนมอินทรีย์ครบวงจร โดยเฉพาะรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐในอนาคต รวมทั้งความเชื่อมโยงกับกลไกดำเนินงานที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๑.๓ ให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดคำร้องพร้อมเหตุผลการขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เพื่อประกอบการปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยาต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเร่งรัดขั้นตอนการปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการเกษตร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ รวมทั้งรูปแบบการบริหารจัดการของโครงการฯ อย่างยั่งยืน และความเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณา ๒.๑.๒.๑ เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนน ๓ เส้นทาง [ถนนวงแหวนต่างระดับ ๙ สาย ตัด ๓๔๐ และตัด ๓๔๕ เชื่อมโยงจังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี, ทางด่วนโทลเวย์ (รังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์) และเส้นทางหมายเลข ๓๒ ต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ ที่อำเภอนครหลวง (สถานีขนส่งสินค้า)] การขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ๓ เส้นทาง [ถนนเลียบคลองเจ็ด ฝั่งตะวันตก (ปท. ๓๐๐๔) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง ๑๐.๔ กิโลเมตร, เส้นทางหมายเลข ๓๒๙ (มาจากหินกอง) ช่วงอำเภอนครหลวง-อำเภอบางปะหัน เพื่อการขนส่งลงทางน้ำของแม่น้ำป่าสัก และถนน ๓๐๕๖ อำเภอภาชี-อำเภออุทัย-อำเภอบางปะอิน ชนหมายเลข ๓๒ เส้นทางหลักของทางออกนิคมอุตสาหกรรมโรจนะไปกรุงเทพมหานคร] และโครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข ๙ จากแยกทางต่างระดับ ๓๔๐ (จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๑๐ ช่องจราจร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ ไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและความเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือการสนับสนุนจากแหล่งเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้พิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๑.๒.๒ รับข้อเสนอการขยายเส้นทางรถไฟสายสีม่วงจากบางใหญ่-ไทรน้อย (๒.๕ กิโลเมตร) และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนชัยพฤกษ์ ระยะทาง ๙ กิโลเมตร (สายสีทอง) ไปพิจารณาการออกแบบในภาพรวม โดยอาจดำเนินการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารเพื่อเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองสายด้วย ๒.๑.๒.๓ รับข้อเสนอการสนับสนุนโครงการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงสะพานนวลฉวีเพื่อการสัญจรทางน้ำ และการยกระดับเส้นทางรถไฟ เพื่อการแก้ไขปัญหาการจราจร กรณีเส้นทางรถไฟผ่ากลางเมือง จังหวัดสระบุรี ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นและความเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินที่เหมาะสมต่อไป ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอของภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาโครงการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก และการพิจารณาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำได้ตามเป้าหมาย ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๒.๒.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สทท. เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแนวทางการบริหารจัดการศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก รวมทั้งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และ สทท. พิจารณาในรายละเอียดการพัฒนาถนนวัฒนธรรมไท-ยวนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มจังหวัดและการส่งเสริมด้านการตลาด ๒.๓ เรื่องอื่น ๆ รวม ๖ เรื่อง เสนอโดย สทท./กกร. ๒.๓.๑ การเร่งรัดการวางแผนการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ต เพื่อเตรียมรองรับ High Season ๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกับที่เคยใช้แก้ไขปัญหากรณีท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อแก้ไขปัญหาแออัดรองรับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยว ๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต โดยเฉพาะในด้านการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโดยรอบของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิด้วย ๒.๓.๒ แนวทางการรณรงค์เพื่อดำเนินการด้านการใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ (ตามรายงานกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขร่วมกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนเผยแพร่แนวปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมและประเทศชาติต่อไป ๒.๓.๓ การทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาตตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ กกร. พิจารณาการกำหนดแนวทางการหารือเพื่อทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยการพิจารณาให้คำนึงถึงผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกระดับทั้งระบบร่วมกัน ๒.๓.๔ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากรในประเด็นว่าด้วยโทษสำ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2502 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 18 - 19 กรกฎาคม 2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๓ โครงการ วงเงินรวม ๕๐๙.๓๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ภาคกลางตอนบน ๑ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และสระบุรี) จำนวน ๕ โครงการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน ๔ โครงการ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๖ โครงการ จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๓ โครงการ และจังหวัดสระบุรี จำนวน ๕ โครงการ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ สำหรับโครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๓๖.๑๗ ล้านบาท ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยารับไปหารือร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจนก่อน ทั้งนี้ หากผลการหารือได้ข้อยุติว่าโครงการฯ มีความจำเป็นในการดำเนินการ ให้จังหวัดยืนยันโดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดตามขั้นตอน แต่หากมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินโครงการใหม่ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษา อาคารเรียนแบบ สปช ๒/๒๘ [โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ตำบลบางกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี] วงเงิน ๑๓.๖๐ ล้านบาท ของสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษานนทบุรี เขต ๑ และ ๒ โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๕ ให้กรมทางหลวงชนบทรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม สายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว สายบ้านหินซ้อน วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดสระบุรี โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๖ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงินรวม ๗๓,๒๐๒.๔๐ ล้านบาท โดยเห็นควรมอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๒. สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์สระบุรี มอบให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) ประสานหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่จะดำเนินการในที่ดินของเอกชนเป็นไปโดยถูกต้องตามข้อกฎหมายด้วย ๓. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โครงการแก้มลิงบ้านมาบพระจันทร์ กรอบวงเงิน ๓๘ ล้านบาท ของกรมชลประทาน เป็นโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการใช้น้ำเพื่อการเกษตร แต่อาจมีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครเนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งถ้าสามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ทั้งในด้านการส่งน้ำ การระบายน้ำ และการกักเก็บน้ำ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับโครงการดังกล่าวไปพิจารณา หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการดังกล่าวให้เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติที่ได้รับการจัดสรรไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2503 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2553 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๑,๘๗๕.๗๒ ล้านบาท และจำนวน ๓๕๖.๖๓๗ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๘๖.๑๕ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ๑.๒ ให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๕ ที่กำหนดให้รัฐวิสากิจนำเงินอุดหนุนบริการสาธารณะส่วนเกินส่งคืนคลัง หากผลประกอบการจากการให้บริการสาธารณะเมื่อสิ้นปีบัญชีต่ำกว่าวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ดังนี้ ๑.๓.๑ ปรับปรุงระบบการปันส่วนต้นทุนให้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการตรวจสอบตั๋วให้สอดคล้องกับจำนวนและระยะทางที่ผู้โดยสารเดินทางจริง เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานมีความถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น ๑.๓.๒ เร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพและความสะอาดของการให้บริการภายในตัวรถโดยสารให้ได้มาตรฐาน ๑.๓.๓ จัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวต่อคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้การกำกับดูแลการดำเนินงานให้บริการสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๑.๓.๔ พิจารณาปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับต้นทุนการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ภายในกรอบระยะเวลาดำเนินการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการทุกระดับและภาระการอุดหนุนโดยรวมของรัฐบาลในระยะยาว ๑.๓.๕ ดำเนินการศึกษาต้นทุนต่อหน่วยในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนพิจารณากำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานรองรับเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปีต่อไป ๑.๓.๖ เร่งรัดการปิดบัญชีเพื่อส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับรองความถูกต้องโดยเร็ว ๒. กรณีการให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. ชะลอการส่งเงินคืนคลังออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบัน ขสมก. ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะไม่ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการรถเมล์ฟรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน และเมื่อ ขสมก. ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการดังกล่าวและมีสภาพคล่องทางการเงิน จะดำเนินการทยอยส่งเงินคืนคลังต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2504 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ) | สม | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรส่งประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องจากเป็นประกาศที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป และเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ๑.๒ กระทรวงศึกษาธิการควรมีการปรับปรุงชื่อเรื่องของประกาศที่ชัดเจน และสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้โดยไม่เกิดความสับสน เนื่องจากประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นประกาศที่ระบุเกี่ยวกับการเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ เพื่อมิให้เป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๑.๓ คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงศึกษาธิการ ควรมีการบรรจุการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา โดยให้เหลือเฉพาะรายการที่เป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามความสมัครใจของผู้ปกครองและนักเรียน ๒. กรณีการออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานออกประกาศให้สถานศึกษาของรัฐในสังกัดเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการศึกษานอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้นั้น เป็นการออกประกาศเพื่อกำหนดว่า กรณีใดบ้างที่เป็นการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและให้มีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และกรณีใดบ้างที่อยู่นอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอันอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งประกาศดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับภายในสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการประกาศให้นักเรียนและผู้ปกครองแสดงความสมัครใจว่า ประสงค์จะเข้าร่วมในการศึกษานอกหลักสูตรโดยเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ประกาศดังกล่าวจึงมิได้มุ่งหมายที่จะใช้บังคับแก่ประชาชนทั่วไปให้ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่อย่างใด ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการปรับปรุงชื่อเรื่องของประกาศให้ชัดเจนสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้โดยไม่เกิดความสับสน และข้อเสนอแนะที่ควรมีการบรรจุการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา ให้เหลือเฉพาะรายการที่เป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง ไปพิจารณาในรายละเอียดตามอำนาจหน้าที่ว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๔. อนุมัติให้ถอนความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการตามหนังสือกระทรวงศึกษาธิการ ด่วนที่สุด ที่ ศธ ๐๔๐๐๖/๒๔๗๑ ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เรื่อง ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ) ไปได้ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2505 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | นร11 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และสระบุรี) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ ได้แก่ โครงการศูนย์วัฒนธรรมริมสายน้ำ (หมู่บ้าน ครม.สัญจร) โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวทางน้ำ โครงการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมสายน้ำเจ้าพระยา การปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม (สายแยก ทล.๓๕๒๐-นิคมอุตสาหกรรมเหมราช และสายคันคลองแปดอาร์) และโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้และปฏิบัติการภาคสนาม และตลาดราชมงคล ๑.๒ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ โครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน (เพิ่มเติม) โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครบวงจร และโครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑.๓ จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาอาคารเรียนแบบ สปช ๒/๒๘ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดโปรดเกษ หมู่ที่ ๒ ตำบลคลองพระอุดม อำเภอปากเกร็ด โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลี หมู่ที่ ๑ ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองวัดสนามนอก พร้อมสถานีสูบน้ำ โครงการปรับปรุงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โครงการเพิ่มศักยภาพพื้นที่ตลาดน้ำไทรน้อยเพื่อการท่องเที่ยว และโครงการก่อสร้างโป๊ะท่าเรือบริการประชาชน (ท่าเทศบาลบางศรีเมือง ท่าน้ำนนท์) ๑.๔ จังหวัดปทุมธานี ได้แก่ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดกร่าง โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดบางเตยนอก และโครงการก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์และเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณชุมชนหลังตลาดเทศบาลเมืองปทุมธานี ๑.๕ จังหวัดสระบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างระบบประปา โครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์สระบุรี โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมสายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง โครงการศูนย์ส่งเสริมอาชีพไม้ขุดล้อม ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย โครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสายบ้านหินซ้อน และศูนย์ฝึกอาชีพเศรษฐกิจชุมชนพอเพียงเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ๒. สำหรับการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) กำหนดในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๓๐ น.-๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารเทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้น ๘ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (ศูนย์หันตรา) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2506 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี | นร04 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๙/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยจัดทำเป็นคำสั่งใหม่ ๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ประกอบด้วย ๒.๑ คณะที่ ๑ ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร สถาบันการเงิน การลงทุน การผลิต การหารายได้เข้าประเทศ การนำเข้าและส่งออกสินค้า นโยบายรัฐวิสาหกิจ และการพลังงาน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในภาพรวมอื่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือเรื่องที่มีผลกระทบด้านการท่องเที่ยวและกีฬา การเกษตร การคมนาคม หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การพลังงาน วิทยาศาสตร์ และการอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ และการส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน ๒.๒ คณะที่ ๒ ฝ่ายสังคมและกฎหมาย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านแรงงาน ด้านวัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านกฎหมาย การพัฒนาสังคม การพัฒนาองค์กร ชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ และการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ และการเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ๒.๓ คณะที่ ๓ ฝ่ายความมั่นคงและต่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านความมั่นคง การทหาร การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การต่างประเทศ แรงงานต่างด้าว กระบวนการยุติธรรม การพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย การเร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง การกำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” และการเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2507 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2556 | กนร | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาและมติที่ประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๑.๒ เห็นชอบเรื่อง การปรับปรุงระบบแรงจูงใจในส่วนของค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ตามผลการประชุม กนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ๑.๒.๑ กำหนดกลุ่มรัฐวิสาหกิจเพื่อใช้ระบบแรงจูงใจในส่วนของค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลฯ เพื่อให้สอดคล้องการดำเนินงานและรูปแบบระบบแรงจูงใจที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจแต่ละประเภท ๑.๒.๒ กำหนดให้มีแรงจูงใจที่เป็นตัวเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะและประสบผลขาดทุน เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เป็นต้น โดยพิจารณาจากผลการประเมินตามการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจเปรียบเทียบค่าเป้าหมาย ๑.๒.๓ กำหนดเงื่อนไขในการจัดสรรโบนัสของรัฐวิสาหกิจโดยรวบรวมจากมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๘ มติ และปรับปรุงเพิ่มเติมในบางประเด็น ได้แก่ วิธีการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำหนด การจัดสรรโบนัสของรัฐวิสาหกิจจะกระทำได้เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินแล้ว และต้องได้รับการอนุมัติการจัดสรรโบนัสจาก สคร. รวมทั้งห้ามมิให้รัฐวิสาหกิจจ่ายเงินในลักษณะเดียวกันกับโบนัส ไม่ว่าจะจ่ายจากงบทำการของรัฐวิสาหกิจหรือจากแหล่งเงินอื่นใด และให้รัฐวิสาหกิจกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสภายในวงเงินโบนัสที่ได้รับอนุมัติให้แก่พนักงานและลูกจ้างประจำของรัฐวิสาหกิจตามผลการปฏิบัติงานที่อิงจากผลการประเมินประจำปี ๑.๒.๔ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๘ (เรื่อง ระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ) เฉพาะในส่วนที่เชื่อมโยงการกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนกับผลการประเมิน โดยให้รัฐวิสาหกิจกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี โดยพิจารณาถึงสถานภาพขององค์กร และให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ๑.๓ เห็นชอบเรื่อง อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามผลการประชุม กนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ๑.๓.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๑.๓.๒ ให้ความเห็นชอบการจัดกลุ่มรัฐวิสาหกิจ อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ และหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการชุดย่อย/คณะอนุกรรมการ/คณะทำงานอื่น ๑.๓.๓ อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมดังกล่าวเป็นอัตราขั้นสูงสุดในการพิจารณากำหนดและปรับปรุงค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการชุดย่อย/คณะอนุกรรมการ/คณะทำงานอื่น ซึ่งรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะต้องพิจารณาถึงฐานะการเงินและความสามารถในการจ่ายขององค์กรเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐวิสาหกิจที่ใช้เงินงบประมาณ ขอให้พิจารณาถึงความเหมาะสมและภาระของงบประมาณประกอบด้วย เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กร ๑.๓.๔ ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้การพัฒนาการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจดียิ่งขึ้น และให้สามารถเทียบได้กับมาตรฐานสากล ๑.๓.๕ ให้มีผลใช้บังคับถัดจากเดือนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสสำหรับใช้เป็นฐานในการคำนวณโบนัสให้กับพนักงานนั้น ได้กำหนดไม่ให้นำบางรายการมารวมไว้ในการคำนวณ อย่างไรก็ตาม ยังมีรายได้หรือค่าใช้จ่ายบางรายการที่นำมารวมไว้ในการคำนวณ อาทิ ค่าเสื่อมราคา โดยรัฐวิสาหกิจบางแห่งมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสื่อมราคาซึ่งรัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนดังกล่าวแต่บันทึกบัญชีไว้ในงบการเงินของรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้รัฐวิสาหกิจมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการคำนวณกำไรข้างต้นให้มีความชัดเจนและเกิดความเป็นธรรมต่อรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2508 | รายงานประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงาน ประจำปี 2553 - 2554 | สม | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงาน ประจำปี ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ได้แก่ ๑.๑ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ประกอบด้วย การเคารพสิทธิมนุษยชน และสิทธิการเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง ๑.๒ สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ประกอบด้วย สิทธิและเสรีภาพในการทำงาน/การประกอบอาชีพ เสรีภาพในการแสดงความเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน สิทธิเด็ก สิทธิสตรี ชนกลุ่มน้อย บุคคลไร้รัฐ คนต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง และการคุ้มครองและช่วยเหลือคนพิการ ๑.๓ สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายจากการถูกกระทำทรมาน และการประกาศใช้กฎหมายด้านความมั่นคง ๑.๔ สิทธิชุมชนและการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย สิทธิชุมชน : สิทธิการมีส่วนร่วม และปัญหาการละเมิดเกี่ยวกับที่ดินและป่าไม้ ๑.๕ สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมาตรการเพื่อเยียวยาผู้เสียหาย ๒. รายงานผลการปฏิบัติงาน ประจำปี ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ได้แก่ ๒.๑ การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๒.๒ การติดตามการดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาจากรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ๒.๓ การเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย ๒.๔ การเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายและนโยบายของรัฐ ๒.๕ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการประสานเครือข่าย ๒.๖ การศึกษาวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน ๒.๗ การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่สำคัญในปี ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2509 | ผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย | สม | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงกลาโหม ควรมีการระบุรายละเอียดข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด พ.ศ. ๒๔๙๕ ข้อ ๘ (๓) และข้อ ๑๐ ในเอกสารการขอรับเงินเบี้ยหวัด เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการทหารที่ลาออกได้รับทราบข้อบังคับดังกล่าวถึงกรณีการงดเบี้ยหวัด และหน้าที่ของข้าราชการที่ลาออกต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด และต้องแจ้งให้ส่วนราชการเดิมที่เบิกจ่ายเบี้ยหวัดของตนทราบ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดการเบิกจ่ายที่ซ้ำซ้อนและมีการเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง อันเนื่องมาจากส่วนราชการเดิมได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ๑.๒ กระทรวงมหาดไทย ควรมีการสำรวจข้อมูลและรายละเอียดของข้าราชการที่ได้รับผลกระทบจากพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๓ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการศึกษาข้อมูลตามที่คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ก.บ.ท.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ได้มีมติให้จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการว่าจ้างศึกษาในการพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน และข้าราชการประเภทอื่น รวมทั้งมิให้เกิดการลักลั่นและเกิดความไม่เป็นธรรมกับข้าราชการไทยในภาพรวมทั้งระบบต่อไป ๑.๓ กรมบัญชีกลาง ควรพิจารณาหามาตรการในการป้องกันปัญหากรณีการเบิกจ่ายเงินเบี้ยหวัด บำนาญ เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัด (ช.ค.บ.) และการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยการพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อมูลของทหารซึ่งได้รับเบี้ยหวัด และได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกรม กอง กระทรวง ที่บรรจุใหม่ จะต้องไม่ใช้สิทธิในการเบิกจ่ายเงินที่ซ้ำซ้อนกัน และควรมีการจัดทำฐานข้อมูลรวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เนื่องจากความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการส่วนท้องถิ่นแล้ว มีรายละเอียดและข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติ แนวทางการดำเนินการในการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการที่เกี่ยวข้อง จึงมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของการดำเนินการดังกล่าว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2510 | ผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและแนวทางดำเนินการในระยะต่อไป | นร12 | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการที่ผ่านมาของการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาล ๑.๑.๑. ด้านการปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ ได้แก่ การประกาศ “ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน” การจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคประชาชน การออกสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนัก และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการจัดคาราวานสัญจร ๔ ภูมิภาค เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ๑.๑.๒ ด้านการพัฒนาองค์กร ได้แก่ การดำเนินโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (๑ กรม ๑ ป้องกันโกง) โดยให้ส่วนราชการระดับกรมและส่วนราชการระดับจังหวัดดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกระบวนงานเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต รวมทั้งเสนอแนะให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ประจำกระทรวง เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนแผนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในส่วนราชการ ๑.๑.๓ ด้านการตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (Anti-Corruption War Room) โดยเปิดสายด่วนรับเรื่องร้องเรียนการทุจริต “๑๒๐๖” การจัดทำเว็บไซต์ www.stopcorruption.go.th และติดตั้งตู้รับเรื่องร้องเรียนการทุจริต ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนมีช่องทางในการร้องเรียน และมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ๑.๑.๔ ด้านการปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด ได้แก่ การบูรณการการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ในการเร่งดำเนินคดีปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่อยู่ในความสนใจและเผยแพร่ผลการดำเนินการต่อสาธารณะ เพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ๑.๑.๕ การดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... ทั้ง ๒ ฉบับ แล้วเสร็จ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นต้นมา รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมจริยธรรมขึ้นในสำนักงาน ก.พ. เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมให้ข้าราชการยึดถือปฏิบัติตามหลักคุณธรรม จรรยาข้าราชการ และประมวลจริยธรรม ๑.๑.๖ แนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกฯ ในระยะต่อไป ได้แก่ การแต่งตั้งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการ ป.ป.ท. เพื่อรับผิดชอบหลักในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของแต่ละหน่วยงาน การขับเคลื่อนการดำเนินงานของ ศปท. ประจำกระทรวง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและเป็นเครือข่ายสำคัญที่รับผิดชอบการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในกระทรวง การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ระยะที่ ๒ (๑ กรม ๑ ป้องกันโกง) และการเสริมสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกันยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดสาระสำคัญ และวิธีการดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการกำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐร่วมกันพิจารณาทบทวนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ ไม่ซ้ำซ้อน และมีความเชื่อมโยงกับระบบเดิมที่มีอยู่ การกำหนดเกณฑ์และตัวชี้วัดประเมินผลความสำเร็จในการดำเนินโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (๑ กรม ๑ ป้องกัน) ให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน การกำหนดให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่แม้ไม่มีเรื่องร้องเรียนก็ต้องรายงานผลในแง่ของการดำเนินมาตรการหรือการดำเนินการที่เป็นเชิงป้องกันทำให้ไม่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันในองค์กร เพื่อเป็นข้อมูลและองค์ความรู้ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้เรียนรู้ร่วมกันด้วย รวมทั้งการจัดทำสื่อการเผยแพร่การดำเนินคดีปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้ง่ายแก่การทำความเข้าใจของประชาชน ในภาษาที่เข้าใจง่าย โดยเฉพาะการเผยแพร่ผ่าน Social Network ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2511 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | สสป | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กรมการขนส่งทางบก องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวคิดสมมติฐานการให้สัมปทาน ได้แก่ รายได้ทั้งหมดจากการให้สัมปทานเป็นยอดรวมระหว่างรายได้จากค่าประมูลและจากค่าสัมปทานรายเดือน และรายได้อื่น ๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเป็นการให้สัมปทาน ภาระหนี้สินทั้งหมดขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) คิดจากภาระหนี้สินเดิมรวมกับดอกเบี้ย และภาระหนี้ที่เกิดจากการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเป็นการให้สัมปทาน สมมติฐานการประมูล คือ รายได้จากค่าประมูลต้องครอบคลุมภาระหนี้สินทั้งหมดของ ขสมก. และรายได้จากค่าสัมปทานรายเดือนต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือนของ ขสมก. ตามโครงสร้างใหม่ และกำหนดระยะเวลาในการให้สัมปทานขึ้นกับการคำนวณระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้รายได้ที่จะได้รับทั้งหมดของ ขสมก. สามารถครอบคลุมกับภาระหนี้สินทั้งหมดของ ขสมก. หรือตามสมมติฐานการประมูล ๒. การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการและการบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยให้สัมปทานการเดินรถโดยสารประจำทางทั้งหมดให้กับผู้ประกอบการเอกชน ๒.๑ โครงการเช่ารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติ (CNG) ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผลประกอบการของ ขสมก. ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เนื่องจาก ขสมก. ยังคงต้องแบกรับภาระต้นทุนการเดินรถโดยสารทั้งเงินเดือนค่าตอบแทน ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่า ค่าซ่อมบำรุง และค่าดอกเบี้ย อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนด้านความคุ้มค่าของการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการเช่า ๒.๒ รัฐต้องใช้ระบบสัมปทานการดินรถโดยสารประจำทางทั้งหมดให้กับผู้ประกอบการเอกชน คือผู้รับสัมปทานต้องเป็นผู้ลงทุนในการเดินรถเอง ส่วน ขสมก. มีหน้าที่ในการอำนวยการ บริหารสัญญา และตรวจสอบควบคุมมาตรฐานคุณภาพการบริการสภาพรถและอุปกรณ์ ซึ่งจะทำให้ผลประกอบของ ขสมก. ดีขึ้น ๒.๓ ขสมก. มีหน้าที่ในการบริหารสัญญา (Regulator/Contract Management) กำกับและบริหารสัญญาเดินรถให้เป็นไปตามสัญญาการให้บริการเชิงคุณภาพ (Performance Base Contract : PBC) โดยกำหนดมาตรฐาน และเงื่อนไขขั้นต่ำที่เหมาะสมในการให้บริการเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องถือปฏิบัติ (Single Operation by Multiple Operators) ประกอบด้วย แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมที่มีองค์ประกอบจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง กำหนดให้ผู้รับสัมปทานทุกรายต้องรับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายในการเดินรถโดยสารประจำทางทั้งหมด กำหนดให้ผู้ขอรับสัมปทานต้องขอรับสัมปทานเป็นจำนวนรถโดยสารประจำทางในแต่ละเส้นทางการเดินรถตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และควรกำหนดสัดส่วนร้อยละของจำนวนรถโดยสารที่จะรับสัมปทานได้มากที่สุดในแต่ละเส้นทาง อาจเลือกใช้วิธีการประมูลขายรถโดยสารที่มีอยู่เดิมของ ขสมก. หรือกำหนดให้ผู้รับสัมปทานทุกรายต้องรับซื้อรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ที่เคยวิ่งบริการในเส้นทางที่ได้รับสัมปทาน กำหนดให้ผู้รับสัมปทานทุกรายต้องปรับปรุงระบบเชื้อเพลิงของรถโดยสารประจำทางเปลี่ยนมาใช้ CNG ภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา กำหนดให้ผู้รับสัมปทานทุกรายต้องใช้รถโดยสารประจำทางที่ได้มาตรฐานและมีคุณลักษณะทั้งทางกายภาพ และการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ (E-Ticket, GPS, GPRS) ตามที่กำหนดในสัญญา การกำหนดเงื่อนไขการปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร การให้เงินอุดหนุนกรณีที่รัฐขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้ชะลอการขึ้นค่าโดยสาร ต้องคำนวณจากต้นทุนการดำเนินงานและค่าเชื้อเพลิงโดยใช้ราคา CNG เป็นฐาน กำหนดให้ผู้รับสัมปทานทุกรายต้องรับลูกจ้างเดิมบางส่วนของ ขสมก. มาเป็นพนักงานใหม่ของผู้ได้รับสัมปทานโดยต้องมีจำนวน และระยะเวลาการจ้างไม่น้อยกว่าที่กำหนดในสัญญา ในรูปแบบอัตราถอยหลัง คือจำนวนร้อยละของลูกจ้างเดิม ขสมก. ที่กำหนดให้ผู้รับสัมปทานต้องจ้างจะลดลงตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น และกำหนดให้รัฐจะต้องมีมาตรการรองรับที่ชัดเจน และเป็นธรรมต่อพนักงาน ขสมก. ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงต้องมีกระบวนการสร้างความเข้าใจต่อพนักงานของ ขสมก. ก่อนเริ่มดำเนินการ ๒.๔ รัฐต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรและการบริหารงานของ ขสมก. ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง ๒.๕ การบริหารจัดการเดินรถรูปแบบใหม่และการประเมินการบริการเชิงคุณภาพ (PBC) โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ ให้กำหนดตามเกณฑ์ที่ ขสมก. ได้นำเสนอในแผนปรับปรุงการบริหารจัดการ ๒.๖ กรณีที่รัฐมีความจำเป็นต้องดำเนินการมาตรการลดค่าครองชีพประชาชนในส่วนของการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (รถโดยสารประจำทางธรรมดา) เพื่อให้มาตรการดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง รัฐต้องดำเนินการให้มีการขึ้นทะเบียนประชาชนผู้มีรายได้น้อย และควรเลือกใช้วิธีการแจกคูปองที่ใช้ได้กับรถบริการทุกคันแทนการจัดรถบริการเฉพาะให้กับผู้มีรายได้น้อย (กรณี ๘๐๐ คัน) เพราะจะทำให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสเลือกเส้นทางและมีจำนวนรถบริการรองรับผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น ทั้งยังก่อให้เกิดรายได้แบบกระจายตัวกับผู้รับสัมปทาน รวมทั้งรัฐบาลจะจ่ายค่าบริการเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยตามจริง และเก็บข้อมูลเพื่อการวางแผนที่เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2512 | รายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น | ยธ | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ H.E. Mr. Mostafa Mohammad Najjar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเลขาธิการสำนักงานควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เป็นผู้ลงนามฝ่ายอิหร่าน โดยบันทึกความเข้าใจฯ ได้กำหนดขอบเขตที่สำคัญของความร่วมมือระหว่างคู่ภาคี ได้แก่
๑. การลดอุปทานและอุปสงค์ยาเสพติด ตลอดจนการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการ ๒. การดำเนินมาตรการร่วมในการกำจัดแหล่งที่มาของอุปทานยาเสพติดผิดกฎหมาย ๓. การประสานความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบผลิตและค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย ตลอดจนความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเวทีระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ๔. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับวิธีการตรวจค้นและจับกุมยาเสพติดที่มีการซุกซ่อนไว้ ๕. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อสนเทศเกี่ยวกับวิธีการและแผนการของนักค้ายาเสพติด ๖. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศเกี่ยวกับเครือข่ายและบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือที่ถูกจับกุมในการลักลอบค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย ตลอดจนเส้นทางใหม่ ๆ ในการลักลอบขนส่งยาเสพติด ๗. การนำเครื่องมือทางวิชาการใหม่ ๆ มาใช้ในการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจค้นและตรวจพิสูจน์ยาเสพติดผิดกฎหมาย ๘. การให้ข้อสนเทศเกี่ยวกับยาเสพติดรูปแบบใหม่ ๆ ๙. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและประสบการณ์เกี่ยวกับแผนการด้านการศึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับหน่วยงาน องค์การและบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ๑๐. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและประสบการณ์เกี่ยวกับกฎหมายและแนวปฏิบัติทางการศาลในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด ๑๑. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและประสบการณ์เกี่ยวกับโครงการที่มีประสิทธิภาพสำหรับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถสภาพผู้ติดยาเสพติด ๑๒. การแลกเปลี่ยนผลงานวิจัย สิ่งตีพิมพ์ด้านวิทยาศาสตร์ รายงานสิ่งตีพิมพ์พิเศษ ภาพยนตร์ และสื่อการศึกษาอื่น ๆ เกี่ยวกับการป้องกันการใช้ยาเสพติดในทางที่ผิดเพื่อเสริมสร้างความตระหนักให้แก่สาธารณชน ๑๓. สาขาอื่น ๆ ที่เป็นความกังวลร่วมกันในเรื่องยาเสพติด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2513 | แผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงใหม่ ปี 2556 - 2570 | มท | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงใหม่ ปี ๒๕๕๖-๒๕๗๐ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๕๗.๓๒๕ ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ภายในประเทศ ทั้งนี้ การลงทุนโครงการแต่ละระยะภายใต้แผนการลงทุนหลักดังกล่าว ให้ กปภ. นำเสนอโครงการแต่ละระยะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ วงเงินลงทุน ๑,๓๙๐.๖๗๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) ทั้งหมด ๒. ในส่วนของโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงิน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การจัดหาแหล่งน้ำดิบเพื่อใช้ในระบบผลิตน้ำประปาควรประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) และการเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การเร่งดำเนินการลดอัตราน้ำสูญเสียของประปาเชียงใหม่และกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับจ้างให้เป็นไปตามเป้าหมาย การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่กำหนด การให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) การถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านน้ำประปาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การติดตามการจัดทำแผนงานและประสานงานกับกรมชลประทานในการจัดสรรน้ำจากการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาทางเลือกแหล่งน้ำดิบอื่นในการรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนติดตามสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำและปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนการลงทุนโครงการในช่วงต่อไป นอกจากนี้ ให้ กปภ. ประสานความร่วมมือกับองค์การจัดการน้ำเสีย และเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อบูรณาการแผนการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวมเทศบาลนครเชียงใหม่ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับปริมาณน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำประปาจากโครงการดังกล่าวเข้าสู่ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียของเทศบาลนครเชียงใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2514 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล 5 (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ พ.ศ. .... | มท | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล ๕ (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล ๕ (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ ในท้องที่แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน แขวงออเงิน เขตสายไหม และแขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ที่เห็นควรให้กรุงเทพมหานครจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งและจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการภายใต้ความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครให้สอดคล้องกับขีดความสามารถทางด้านงบประมาณของกรุงเทพมหานครและรัฐบาล และเนื่องจากแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนบางส่วนอยู่สองฝั่งของคลองสามวาตะวันตกซึ่งเป็นคลองระบายน้ำหลักของพื้นที่โดยรอบ ดังนั้น ในการออกแบบและก่อสร้างทางหลวงท้องถิ่นจะต้องไม่กระทบต่อการระบายน้ำและเขตคลอง หากจะต้องมีการปรับปรุงหรือการขยายขนาดคลองในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2515 | รายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ | กค | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ ซึ่งมีความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ในภาพรวมมากกว่าร้อยละ ๘๐ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๑๐ โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓ โครงการ และยกเลิกดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ สรุปสาระสำคัญของผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้ดังนี้ ๑.๑. ยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการพัฒนาระบบการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในรูปแบบคณะกรรมการ อยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางการพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เพื่อใช้เป็นกรอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารเงินนอกงบประมาณ และการจัดทำร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดตั้ง การบริหารจัดการและการประเมินผลทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๑.๒ โครงการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ได้จัดทำรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบบัญชี ๒๕๔๗-๒๕๕๓ พร้อมทั้งเสนอแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ระหว่างจัดทำร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... ๑.๑.๓ โครงการพัฒนาระบบประเมินสถานะการเงินของเงินนอกงบประมาณและการนำส่งเงินนอกงบประมาณส่วนเกินเป็นรายได้แผ่นดิน ได้จัดทำข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การนำเงินรายได้สะสมเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๑.๑.๔ โครงการพัฒนาระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ และได้จัดให้มีการอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยจะมีการขยายผลให้ครอบคลุมถึงการให้บริการผ่านระบบ Web Services พร้อมทั้งเชื่อมโยงบูรณาการร่วมกับระบบงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ GFMIS ๑.๑.๕ โครงการพัฒนาระบบบริหารบัญชีเงินฝาก ได้ดำเนินการสำรวจและปิดบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่หมดความจำเป็นในส่วนภูมิภาคในระบบ GFMIS จำนวน ๑,๕๘๖ บัญชี ส่งผลให้การบริหารเงินนอกงบประมาณประเภทเงินฝากกระทรวงการคลังเกิดประโยชน์ต่อทางราชการมากยิ่งขึ้น ๑.๑.๖ โครงการพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายฉบับแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมและยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยร่วมมือกับมูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ศึกษาวิเคราะห์การจัดทำร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... รวมทั้งได้ประมวลแนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๑.๑.๗ โครงการศึกษาและพัฒนาโครงสร้างองค์กรให้มีความพร้อมในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลางได้มีการปรับโครงสร้างจากกลุ่มพัฒนาเงินนอกงบประมาณ เป็นสำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ ๑.๑.๘ โครงการปรับปรุงระบบงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติกระบวนการให้บริการทางเครือข่ายสารสนเทศ (E-mail Address) ซึ่งจะสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงานกับทุนหมุนเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น ๑.๒. ยุทธศาสตร์ด้านสารสนเทศ ได้ยุติการดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ (e-Nonbudgeting) และโครงการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานด้านระบบสารสนเทศการบริหารเงินนอกงบประมาณ ๑.๓. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากร ประกอบด้วย ๑.๓.๑ โครงการพัฒนาการจัดทำองค์ความรู้ด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้มีการศึกษาและกำหนดหัวข้อองค์ความรู้เรื่องเงินฝากบูรณะทรัพย์สิน และจัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินแจ้งเวียนส่วนราชการถือปฏิบัติ พร้อมทั้งได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคลากรในสำนักในลักษณะ Coffee Talk เป็นประจำทุกสัปดาห์ ๑.๓.๒ โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค ได้จัดทำโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค โดยจัดประชุมสัมมนาภายในสำนักงานคลังเขต ๖ และเขต ๙ จำนวน ๑๖ จังหวัด โดยจะมีการขยายผลการดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งประเทศโดยเร็วต่อไป ๑.๓.๓ โครงการพัฒนาสมรรถนะเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางในฐานะที่ปรึกษาในการบริหารระบบเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ ได้ดำเนินการตามโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยง เพื่อเป็นการอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรภายในหน่วยงาน ๑.๓.๔ โครงการจัดประชุมสัมมนาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประเมินผลการดำเนินงานเงินนอกงบประมาณเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ ได้จัดประชุมสัมมนาและชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลแก่เจ้าหน้าที่ของทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลตัวชี้วัดร่วมด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน และจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยงให้แก่เจ้าหน้าที่ทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ รุ่น ๑.๓.๕ โครงการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๐" ได้จัดฝึกอบรมและชี้แจงการจัดทำรายงานฯ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานให้จัดส่งรายงานฯ ให้ครบถ้วน เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้อย่างครบถ้วน ถูกต้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย (มติคณะรัฐมนตรี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) ในการรายงานครั้งต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2516 | ผลการตรวจสอบราคากลางและวงเงินอุดหนุนระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร | อก | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการตรวจสอบราคากลางการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๓๔๙,๓๑๐,๐๙๑.๖๗ บาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งรัดให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ดำเนินการจัดส่งแบบก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร พร้อมทั้งข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้าง เพื่อพิจารณาตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย ซึ่งต่อมาบริษัทฯ ได้จัดส่งแบบก่อสร้าง ข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้างและเอกสารที่เกี่ยวข้องของระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครให้กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย โดยพิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมทางด้านราคาของแบบการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยในขั้นรายละเอียด พร้อมทั้งพิจารณาวงเงินอุดหนุนของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โดยมอบหมายให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคำนวณและตรวจสอบราคาแบบก่อสร้างทั้งหมดของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างประเภทงานชลประทานของกระทรวงการคลัง ๑.๒ วงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๒๒๖,๐๓๐,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามวงเงินอุดหนุนเดิม โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการซึ่งน่าเชื่อถือและยอมรับได้ และได้พิจารณากำหนดเงินอุดหนุนของแต่ละนิคม โดยคำนวณจาก ๒ ใน ๓ ส่วนของราคากลาง ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ [ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕] ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเป็นการพิจารณาค่างานและวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างเพื่อขอรับการสนับสนุนให้กับนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และไม่อยู่ในข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการดำเนินการในขั้นตอนการคำนวณราคากลางหลังจากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณและดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ต้องการนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้ ไปคำนวณขอตั้งราคาค่าก่อสร้างเพื่อกรณีดังกล่าว ก็สามารถนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้มาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องถือปฏิบัติตามนัยหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๓/ว ๓๑ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ และด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๑๒๖ ลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๘ โดยจะเบิกเงินจากคลังได้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ หรือใกล้จะถึงกำหนดชำระ และตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ภายในวงเงินกู้ที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้ เพื่อจ่ายให้แก่ภาคเอกชนในการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2517 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 ครั้งที่ 2 | กค | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๑๒,๒๓๑.๕๘ ล้านบาท จากเดิม ๑,๙๔๘,๒๑๑.๘๒ ล้านบาท เป็น ๑,๙๓๕,๙๘๐.๒๔ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๕,๕๓๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๒๑,๗๐๓.๕๐ ล้านบาท เป็น ๑๓๗,๒๓๓.๕๐ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่และการปรับโครงสร้างหนี้และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ปรับปรุง ครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้กระทรวงการคลังกู้เงินบาทแทนการกู้เงินจากธนาคารโลก ในวงเงินรวมไม่เกิน ๑๖,๕๔๔ ล้านบาท รวมทั้งให้กระทรวงการคลังนำเงินที่ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารโลกไปให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กู้ยืมต่อจากกระทรวงการคลัง วงเงิน ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อปรับปรุงรายละเอียดแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ให้เป็นปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2518 | การปรับปรุงแนวทางการขยายความคุ้มครองประกันสังคมแรงงานนอกระบบ | รง | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ประสานกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบและกฏหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า "เงินบำเหน็จชราภาพ" และ "เงินบำนาญชราภาพ" ระหว่างบทนิยามคำว่า "เงินสมทบ" และคำว่า "สำนักงาน" ๑.๒ เพิ่มเติมการจ่ายเงินสมทบเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ๑.๓ ผู้ประกันตนเลือกจ่ายเงินเพื่อรับประโยชน์ทดแทนได้ ๑.๔ แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามมาตรา ๘/๑ ขอรับประโยชน์ทดแทนได้ ๑.๕ แก้ไขเพิ่มเติมเงินทดแทนขาดรายได้กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ๑.๖ แก้ไขเพิ่มเติมการจ่ายเงินสมทบเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีตาย ๑.๗ แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ประกันตนที่เลือกสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๘/๑ ได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพเป็นเงินบำนาญชราภาพ ๑.๘ แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ประกันตนตามมาตรา ๘/๑ ได้รับบำนาญตลอดชีวิต และการคำนวณเงินบำนาญชราภาพให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ๑.๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกำหนดอัตราเงินสมทบระยะเริ่มแรกที่ผู้ประกันตนที่มีสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๘/๑ จะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ๑.๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ที่มีอายุหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไปสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจ่ายเงินสิทธิประโยชน์กรณีบำนาญชราภาพให้แก่ผู้ประกันตน (มาตรา ๔๐) เห็นควรให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับผู้ประกันตน มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๙ และควรให้ความสำคัญกับการเร่งสร้างวินัยในการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการพัฒนากระบวนการขอรับสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนแรงงานนอกระบบให้มีความสะดวก รวดเร็ว เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานนอกระบบให้มีความชัดเจนและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสถานะของผู้ประกันตนจากแรงงานนอกระบบเป็นแรงงานในระบบเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการจ่ายเงินสมทบของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2519 | ผลการประชุมเต็มคณะของ FATF ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ | ปง | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการประชุมเต็มคณะของ Financial Action Task Force (FATF) ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยมีพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และพันตำรวจเอกสีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เดินทางไปร่วมการประชุมเพื่อชี้แจงความคืบหน้าในการปรับปรุงระบบการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ของประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ประชุมได้รับรองผลการตรวจประเมินระบบ AML/CFT ของประเทศไทย และมีมติถอดรายชื่อประเทศไทยออกจาก Public Statement อย่างสมบูรณ์ โดยในเอกสารชื่อ Improving Global AML/CFT Compliance : On-going process ที่ประชุม FATF ได้กล่าวถึงประเทศไทยความว่า “FATF มีความยินดีต่อความก้าวหน้าครั้งสำคัญของประเทศไทยในการปรับปรุงระบบ AML/CFT และรับทราบว่าประเทศไทยได้จัดตั้งกรอบทางกฎหมายและการกำกับดูแลเพื่อบรรลุพันธกิจตามแผนปฏิบัติการที่มุ่งขจัดข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ที่ FATF ได้ระบุไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ดังนั้น ประเทศไทยไม่อยู่ในกระบวนการติดตามความก้าวหน้าของ FATF อีกต่อไป ประเทศไทยจะยังคงร่วมงานกับ APG ในการแก้ไขข้อบกพร่องด้าน AML/CFT ส่วนที่เหลืออยู่ตามที่ระบุไว้ใน Mutual Evaluation Report”
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2520 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด | นร12 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๐๗/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน โดยให้ดำเนินการครอบคลุมส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายตุลาการ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
