ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 125 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2481 - 2500 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2481 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอีกครั้งหนึ่ง พร้อมขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีกรณีจำนวนเงินงบประมาณในปีแรกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 และขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีเกิน 1,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา | มท | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา วงเงินโครงการทั้งสิ้น ๒,๔๘๓,๕๔๘,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็นวงเงินค่าก่อสร้าง จำนวน ๒,๔๔๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท และวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารและควบคุมงานโครงการ จำนวน ๔๑,๑๔๘,๐๐๐ บาท ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนวงเงินค่าก่อสร้างในอัตราร้อยละ ๕๐ (๑,๒๒๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท) และใช้เงินงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๕๐ ส่วนงบประมาณค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อควบคุมงานโครงการฯ จำนวน ๔๑,๑๔๘,๐๐๐ บาท ให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากรายได้ของกรุงเทพมหานครเอง ทั้งนี้ ในส่วนของเงินงบประมาณที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้กรุงเทพมหานครไปแล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕๐๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้นำมาหักออกจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุน ๑.๒ ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ) กรณีเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปีแรกต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น และให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของโครงการฯ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๙ ๑.๓ ในกรณีการเสนอโครงการลงทุนแก้ไขปัญหาการระบายน้ำในอนาคต ให้กรุงเทพมหานครเสนอแผนทางเลือกในการดำเนินการเอง อาทิ แผนพัฒนาขุดลอกคูคลอง รวมทั้งแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อาศัยริมคลอง โดยระบุวิธีการ งบประมาณ ระยะเวลาดำเนินการ ควบคู่กับการเสนอโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการระบายน้ำ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร นำโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา หารือกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเพื่อพิจารณาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการในการระบายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัยตามแผนบริหารจัดการน้ำของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย โดยยึดหลักของประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2482 | การปฏิบัติเกี่ยวกับการขอเพิ่มวงเงินงบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ | นร | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีเห็นว่าเพื่อให้การขอเพิ่มเติมวงเงินรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล จึงมีมติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณใด ๆ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ มีความจำเป็นต้องเพิ่มวงเงินงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ (ไม่รวมถึงกรณีการเปลี่ยนแปลงวงเงินอันเนื่องมาจากอัตราแลกเปลี่ยน และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ/อนุมัติก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2483 | การเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ (พ.ศ. 2556 - 2560) | นร08 | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อใช้แทนยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดน (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ที่ได้สิ้นสุดลง มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการมีภูมิคุ้มกัน การป้องกัน การลดเงื่อนไขของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและการพัฒนาพื้นที่เป้าหมาย ด้วยการใช้กระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการป้องกันประเทศเข้ามาดำเนินงานร่วมกัน ทั้งในระดับกระทรวง/กรม ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น ประกอบด้วย ๖ ประเด็นยุทธศาสตร์รองรับ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ผนึกกำลังทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและภูมิคุ้มกันของคน ชุมชน และพื้นที่เป้าหมายอย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์การจัดระบบป้องกันเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงในมิติวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นและการจัดการโดยสันติวิธี ยุทธศาสตร์การพัฒนาฐานข้อมูลและองค์ความรู้ด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์เสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่มีเอกภาพและประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรเพิ่มเติมสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกลไกสำหรับแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ชายแดนซึ่งมีข้อระเบียบกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่อนุรักษ์หลากหลายฉบับ เพื่อสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้บรรลุเป้าประสงค์ได้โดยเร็ว และในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ เห็นควรให้หน่วยงานหลักที่เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานสนับสนุนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือและจัดทำแผนงานและงบประมาณให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ฯ ต่อไป สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณดำเนินการเป็นลำดับแรกและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ เห็นควรเร่งปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ให้ทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง และเหมาะสมกับการปรับปรุงกระทรวง กรม และหน่วยงานเทียบเท่าในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานและจัดทำแผนงานและแผนงบประมาณรองรับการดำเนินงานยุทธศาสตร์ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2484 | ความคืบหน้าการดำเนินงานเรื่องน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเลจังหวัดระยอง | ทส | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณชายหาดท่องเที่ยวรอบเกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓-๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคุณภาพน้ำพารามิเตอร์พื้นฐานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล สำหรับพารามิเตอร์อื่น ๆ เช่น โลหะหนัก ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน (TPH) และโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) คาดว่า จะสามารถทราบผลภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการทำความสะอาดชายหาดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ สภาพหาดอ่าวพร้าวเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังพบคราบน้ำมันเป็นลักษณะฟิล์มบาง ๆ ในน้ำทะเลอยู่บ้าง สำหรับผลการสำรวจระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล คือ ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ ไม่พบผลกระทบโดยตรงและได้รับความเสียหายจากกรณีการรั่วไหลของน้ำมันที่ชัดเจน ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะดำเนินการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลในระยะยาวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็วอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งในส่วนขององค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องและทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้คำนึงถึงขั้นตอนในการดำเนินงานให้อยู่ในระบบ single command และแบ่งการดำเนินการให้ชัดเจนออกเป็นการช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Response) ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน ส่วนการเยียวยา ฟื้นฟู (Recovery) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2485 | รายงานความก้าวหน้าการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา | สธ | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ๑.๑.๑ ให้หน่วยงานของรัฐใช้ราคามาตรฐานของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ทั้งทางเอกสารหรือทางเว็บไซต์ของศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข (http://dmsic.moph.go.th) ๑.๑.๒ หากไม่มีราคามาตรฐานของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ ให้ใช้ราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ๑.๑.๓ หากไม่มีราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ให้ใช้ราคาตลาดโดยสืบราคาจากท้องตลาด รวมทั้งจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ๑.๒ หลักเกณฑ์ราคากลางของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานของรัฐใช้ราคามาตรฐานของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ทั้งทางเอกสารหรือทางเว็บไซต์ของศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข (http://dmsic.moph.go.th) ๑.๒.๒ หากไม่มีราคามาตรฐานของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ ให้ใช้ราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ๑.๒.๓ หากไม่มีราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ให้ใช้ราคาตลาดโดยสืบราคาจากท้องตลาด รวมทั้งจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ราคากลางของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐทราบและถือปฏิบัติ ส่วนหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ทั้งนี้ หากผลการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญไปจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวนี้ ก็ให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐทราบและถือปฏิบัติ โดยเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทางและวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2486 | รายงานผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ | กค | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการเปิดเผยราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา โดยมีรองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นประธาน โดยคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาหลักเกณฑ์ ความเหมาะสม และเสนอแนะในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางค่าจ้างที่ปรึกษา และอยู่ระหว่างเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อจะแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อไป ๒. สำนักงบประมาณได้กำหนดราคามาตรฐานและปรับปรุงราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และได้เวียนแจ้งส่วนราชการถือปฏิบัติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งมีรายละเอียดรายการมาตรฐานครุภัณฑ์เพิ่มขึ้น จำนวน ๔๘ รายการ ปัจจุบันสำนักงบประมาณอยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศราคามาตรฐานครุภัณฑ์เพิ่มเติม และพัฒนาระบบราคาอ้างอิงสำหรับรายการนอกบัญชีราคามาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ และใช้ในการจัดทำงบประมาณของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลางของหน่วยงานภาครัฐ ๓. กระทรวงสาธารณสุข โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการคำนวณราคากลางของยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพิ่มขึ้น จากยาในบัญชียาหลัก เพื่อให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้ในการประกาศราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางสำหรับการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา โดยยาในบัญชียาหลัก และยานอกบัญชียาหลัก ให้ใช้ราคากลางตามประกาศของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ส่วนเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ให้ใช้ราคามาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้น ๔. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางประเภทฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และประกาศบังคับใช้แล้ว สำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ อยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินราคากลางเพื่อประกาศให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2487 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม หลักเกณฑ์ และวิธีการชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม หลักเกณฑ์ และวิธีการชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม หลักเกณฑ์ และวิธีการชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยลดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม ตามข้อ ๑ (๗) ของกฎกระทรวงฯ ลงร้อยละ ๕๐ จากค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ ๘๐ บาทต่อห้องพัก เหลือปีละ ๔๐ บาทต่อห้องพัก ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ เป็นระยะเวลา ๓ ปี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับลดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าของการบริหารจัดการการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวด้วย และเมื่อครบระยะเวลาการปรับลดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมตามที่กำหนดในร่างกฎกระทรวงนี้แล้ว ควรปรับปรุงค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมเสียใหม่ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและคุ้มค่าต่อการบริหารจัดการการจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนให้สถานประกอบการโรงแรมมีการจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคู่ไปกับการเข้มงวดกวดขันผู้ประกอบการด้าน Service Apartment ที่ดำเนินการไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. ๒๕๔๗ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงการคลังจัดทำการปรับปรุงค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นธรรม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2488 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจในการขยายความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา | ทส | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจในการขยายความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา (Memorandum of Understanding between the Ministry of Natural Resources and Environment, Thailand and Smithsonian Institution, USA) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์ให้เป็นความร่วมมือทางวิชาการที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ Smithsonian Conservation Biology Institute (SCBI) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ดำเนินการโดยใช้กฎ ระเบียบ รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีขอบเขตความร่วมมือ (Areas of Cooperation) ในการดำเนินการวิจัยร่วม การอนุรักษ์และการจัดการสัตว์ป่า เทคโนโลยีชีวภาพและการปรับปรุงพันธุ์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี เสริมสร้างศักยภาพ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และความร่วมมือสาขาอื่น ๆ ในเรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่าและวิทยาศาสตร์สัตวแพทย์ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยหากมีความจำเป็นโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สัตว์ป่าเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนที่ส่งผลกระทบทั้งต่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่และวิถีชีวิตของประชาชนโดยรอบ ควรมีการศึกษาผลกระทบในวงกว้างร่วมกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องก่อน ทั้งในมิติด้านวิชาการและมิติด้านกฎหมาย และตามที่บันทึกความเข้าใจฯ ได้จัดทำเป็น ๒ ภาษา ได้แก่ ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในการตีความกรณีที่มีข้อความแตกต่างกัน ให้ถือตามฉบับภาษาอังกฤษเป็นหลัก ดังนั้น ก่อนการลงนามในสัญญา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรตรวจสอบบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทยที่จะมีการลงนามด้วยว่าถูกต้องและครบถ้วนตรงกับเนื้อความในฉบับภาษาอังกฤษ รวมถึงการตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้องทั้งหมดด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดังกล่าวในภายหลัง ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2489 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของพระสงฆ์ต่อสังคมและประเทศชาติ" | สสป | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของพระสงฆ์ต่อสังคมและประเทศชาติ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย สภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบทบาทของพระสงฆ์ต่อสังคมและประเทศชาติ รัฐบาลควรให้การส่งเสริมบทบาทของพระสงฆ์ในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพุทธปณิธาน การศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา การเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้เข้าถึงจิตใจของประชาชนและเยาวชน การสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน เช่น เด็กยากจน ผู้สูงอายุ คนพิการ การแก้ไขปัญหาสังคมที่เพิ่มมากขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นให้ลดลง โดยใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนาตามหลักอริยสัจสี่ การช่วยเหลือในการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ โดยช่วยพัฒนาผู้นำชุมชนและประชาชนในการพัฒนาชุมชน โดยอาจจะน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง หรือปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนหรือหมู่บ้าน การพัฒนาสังคม ครอบคลุมถึงการพัฒนาคน การพัฒนาครอบครัว และการพัฒนาสังคม และการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญที่เป็นแกนหลักแห่งความมั่นคงของชาติ ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา เพื่อให้การส่งเสริมบทบาทของพระสงฆ์ต่อสังคมและประเทศชาติตามข้อ ๑ บรรลุผลสำเร็จ รัฐบาลควรดำเนินการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาควบคู่กันไปด้วย โดยสนับสนุนให้มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่ว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ให้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง จัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติคู่กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดร่วมกับเจ้าคณะจังหวัดจัดทำทำเนียบเครือข่ายพระสงฆ์เพื่อสังคมของแต่ละจังหวัด โดยคัดเลือกพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีผลงานในการเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน ในการทำประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ เป็นสมาชิกเครือข่ายพระสงฆ์เพื่อสังคม และรัฐบาลควรให้การส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของเครือข่ายพระสงฆ์เพื่อสังคมของแต่ละจังหวัด โดยให้มีงบประมาณที่เหมาะสมเพียงพอ และส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ และสมัชชาชาวพุทธประจำจังหวัด โดยมีกฎหมายรองรับสถานภาพเพื่อให้มีความเข้มแข็ง จัดให้มีงบประมาณและบุคลากรอย่างเหมาะสมเพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2490 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) | กค | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา และปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราภาษีในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังทำความตกลงกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหาข้อยุติในประเด็นการแยกการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลออกจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และหลังจากพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับไประยะหนึ่ง ควรศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนจัดทำมาตรการ แนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบเพิ่มมากขึ้น ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2491 | ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ | สม | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึงยิ่งขึ้น ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑.๑.๑ กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนแนวคิดและวิธีจัดบริการและระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ บนฐานหลักความเสมอภาค โดยให้ประเภทและมาตรฐานของบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นบริการฯ ขั้นพื้นฐานและที่จำเป็นที่ทุกคนไม่ว่าอยู่ภายใต้ระบบบริหารสาธารณสุขใดพึงได้รับโดยไม่เสียค่าบริการ ผู้รับบริการหรือผู้มีสิทธิที่มีกองทุนหรือระบบบริการสาธารณสุขอื่นดูแลโดยเฉพาะ สามารถได้รับบริการสุขภาพหรือสาธารณสุขอื่นเพิ่มเติมได้ ๑.๑.๒ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทบทวนแนวคิดและวิธีการจัดบริการสาธารณสุข โดยแยกบทบาทระหว่างผู้ให้บริการและผู้ซื้อบริการ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบกำหนดนโยบายและหลักเกณฑ์การบริการสาธารณสุข และกระจายอำนาจการบริหารจัดการหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลไปยังเขตพื้นที่ ส่วนหน่วยงานที่รับผิดชอบกองทุน/ระบบบริการสาธารณสุข ได้แก่ สปสช. สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลางหรืออื่นใดซึ่งเป็นผู้ซื้อบริการ ให้หารือกระทรวงสาธารณสุข/เขตพื้นที่ ในการกำหนดนโยบายการจัดบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบบริการฯ นั้น ๆ ๑.๑.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. องค์กรกลางบริหารงานบุคคลทุกแห่งหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนนโยบายและแนวคิดว่าด้วยสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด รวมถึงสวัสดิการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับแนวทางตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ข้อ ๑๒ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๘๐ (๒) โดยจัดให้มีกลไกรับผิดชอบดูแลสวัสดิการ และสวัสดิการด้านสุขภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด เพื่อประกันว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดจะได้รับการดูแลสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงด้านสุขภาพ สาธารณสุข อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถรองรับการบริการฯ ในโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาลรัฐได้ รวมถึงดูแลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงานหรือสถานประกอบการ และศึกษาเกี่ยวกับการนำระบบ Medisave มาใช้ในระบบสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนการจ่ายเงินให้แก่หน่วยบริการหรือเครือข่ายหน่วยบริการเพื่อจัดบริการสาธารณสุข ซึ่งกำหนดให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร โดยให้แยกค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวออกมาต่างหาก ๑.๑.๕ กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนและผลักดันให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการ เมื่อได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ภายใต้ระบบบริการสาธารณสุขใด ๑.๑.๖ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกันเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ รวมทั้งสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่น เช่น จัดตั้งเป็นกองทุนการรักษาพยาบาล ตลอดจนการหาแนวทางเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามารถใช้ระบบการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลได้เช่นเดียวกับข้าราชการอื่น ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนนโยบายการปฏิรูประบบสาธารณสุขแก่ผู้บริหารองค์กรด้านสุขภาพ เช่น การตั้งคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติขึ้นมาดูแลระบบสาธารณสุขทั้งหมด ควรตระหนักและให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรสุขภาพหรือคณะกรรมการด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว และให้องค์กรหรือคณะกรรมการดังกล่าว ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้ส่วนเสียสำคัญอื่นใดเกี่ยวกับตน เช่น ค่าตอบแทน วิธีการประเมินผลงาน จำนวนบุคลากรในหน่วยปฏิบัติ และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเรื่อง ๑.๒ ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ๑.๒.๑ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. เร่งรัดการจัดทำและประกาศใช้พระราชกฤษฎีกามาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือ ๑.๒.๒ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ จากที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิรับบริการสาธารณสุขตามกฎหมายอื่นต้องไปใช้สิทธิตามกฎหมายนั้น เป็น ให้ผู้รับบริการต้องใช้สิทธิจากระบบบริการอื่นที่ตนเองมีสิทธิอยู่ก่อน หากสิทธินั้นด้อยกว่าหรือไม่ครอบคลุมเท่ากับสิทธิที่จะได้รับตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ได้รับสิทธิเท่ากับที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด โดยให้ สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีสิทธิเป็นหลัก ๑.๒.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง ปรับปรุงหรือแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้มีคณะกรรมการบริหารจัดระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการหรือกลไกอื่นใด รับผิดชอบบริหารจัดการและควบคุมการเบิกจ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาล หารือกับผู้ให้บริการ ได้แก่ สาธารณสุขเขตพื้นที่ในการกำหนดประเภทและมาตรฐานบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยไม่ต้องต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐาน สามารถรับบริการฯ จากโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ ฯลฯ ๑.๒.๔ สปสช. แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง บุคคลที่ไม่ต้องจ่ายร่วมค่าบริการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มสาระสำคัญของบุคคลที่ไม่ต้องร่วมค่าบริการอีก ๑ ข้อ คือ บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร คนเร่ร่อน คนไร้ที่พักพิง และคนไร้รากเหง้า ๑.๒.๕ สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ ว่าด้วยการจ่ายเงินให้หน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการ โดยให้เปลี่ยนจาก (๒) ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร เป็น (๒) คำนึงถึงค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ (basal utilization) ของโรงพยาบาล และให้แยกบัญชีเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ๑.๒.๖ กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ซึ่งให้ผู้เสียหายได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยจากกองทุน โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เว้นแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติธรรมดาของโรคนั้น หรือซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้เกิดจากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ หรือเมื่อสิ้นสุดกระบวนการให้บริการสาธารณสุขแล้วไม่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติ ๑.๒.๗ สำนักงานประกันสังคม ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ประกันตนด้านการป้องกันโรค การให้ผู้ประกันตนซึ่งจงใจหรือยินยอมก่อให้เกิดอันตรายหรือเจ็บป่วย เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ การให้ผู้จ่ายเงินสมทบตามกฎหมายประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และคลอดบุตรทันที การให้แรงงานนอกระบบ (งานบ้าน) เป็นผู้ประกันตน รวมทั้งการให้ผู้ประกันตนได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ หากประเด็นใดได้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็ให้เร่งรัดดำเนินการ ส่วนประเด็นใดยังมิได้ดำเนินการ ก็ให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่มีความอ่อนไหว/จำเป็นต้องศึกษาถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน เช่น การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และการเสนอให้จ่ายเงินสถานบริการโดยแยกเงินเดือนและค่าตอบแทน เป็นต้น รวมทั้งประเด็นที่มีผลกระทบสูง/อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเงินการคลัง เช่น การกำหนดให้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบริการพื้นฐาน โดยให้ผู้มีสิทธิที่มีกองทุนอื่นดูแลเฉพาะสามารถได้รับบริการเพิ่มเติมขึ้นได้ และการกำหนดให้บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ต้องร่วมจ่าย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย และหากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายเรื่องใด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันศึกษารายละเอียดและแนวทางการดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2492 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสระบุรี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศูนย์วัฒนธรรมริมสายน้ำ (หมู่บ้าน ครม. สัญจร) ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวทางน้ำ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี วงเงิน ๒๒.๗๐ ล้านบาท (๓) โครงการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมริมสายน้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี วงเงิน ๒๒.๐๐ ล้านบาท (๔) โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี วงเงิน ๒๒.๐๐ ล้านบาท และ (๕) โครงการก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้และปฏิบัติการภาคสนาม และตลาดราชมงคล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของ ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ วงเงิน ๓๖.๑๗ ล้านบาท (๒) โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน (เพิ่มเติม) ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๒๙.๙๙ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครบวงจร บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ทุ่งหันตรา ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๒๙.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับนักท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดนนทบุรี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๗ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาอาคารเรียนแบบ สปช. ๒/๒๘ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ต.บางกร่าง อ.เมือง และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย วงเงิน ๑๓.๖๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดโปรดเกษ หมู่ที่ ๒ ตำบลคลองพระอุดม อำเภอปากเกร็ด วงเงิน ๑๗.๕๐ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลี หมู่ที่ ๑ ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด วงเงิน ๒๔.๕๐ ล้านบาท (๔) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองวัดสนามนอก พร้อมสถานีสูบน้ำ ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย วงเงิน ๑๘.๐๐ ล้านบาท (๕) โครงการปรับปรุงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด วงเงิน ๑๔.๐๐ ล้านบาท (๖) โครงการเพิ่มศักยภาพพื้นที่ตลาดน้ำไทรน้อยเพื่อการท่องเที่ยว หมู่ที่ ๕ อำเภอไทรน้อย วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และ (๗) โครงการก่อสร้างท่าเรือบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว (ท่าน้ำนนท์ และท่าน้ำบางศรีเมือง) วงเงิน ๖.๕๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดปทุมธานี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดกร่าง หมู่ที่ ๑ ตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคก วงเงิน ๙.๔๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดบางเตยนอก หมู่ที่ ๙ ตำบลบางเตย อำเภอสามโคก วงเงิน ๑๖.๕๒ ล้านบาท และ (๓) โครงการก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์และเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณชุมชนหลังตลาดเทศบาลเมืองปทุมธานี ตำบลบางปรอก อำเภอเมือง วงเงิน ๗๔.๐๘ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดสระบุรี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๖ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างระบบประปา ในบริเวณหมู่ที่ ๑ บ้านลำสมพุง หมู่ที่ ๒ บ้านโป่งสนวน หมู่ที่ ๓ บ้านเขาช่องลม หมู่ที่ ๘ บ้านโป่งไทร หมู่ที่ ๙ บ้านลำน้ำอ้อย หมู่ที่ ๑๐ บ้านหนองกระทิง ตำบลลำสมพุง อำเภอมวกเหล็ก วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์ สระบุรี ที่บ้านพุแค หมู่ที่ ๑ ตำบลพุแค อำเภอเฉลิมพระเกียรติ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมสายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง อำเภอแก่งคอย วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท โครงการศูนย์ส่งเสริมอาชีพไม้ขุดล้อม ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย วงเงิน ๑๒.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสายบ้านหินซ้อน วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท และ (๖) โครงการศูนย์ฝึกอาชีพเศรษฐกิจชุมชนพอเพียงเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ๒. เห็นชอบความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรี ๒.๑ จังหวัดนนทบุรี เห็นควรให้ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลีที่ยังเหลืออยู่ประมาณ ๓๖ เมตร ให้ครบสมบูรณ์ โดยเพิ่มวงเงินอีก ๑๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อป้องกันการกัดเซาะตลิ่ง ช่วยเสริมการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของวัดฉิมพลี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของกลุ่มจังหวัด ๒.๒ จังหวัดปทุมธานี ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีประสานภาคเอกชนขยายเส้นทางการให้บริการเดินเรือและการท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงถึงท่าเรือบริเวณชุมชนหลังตลาดเทศบาลเมืองปทุมธานี เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดต่อไป ๓. เห็นชอบให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสระบุรี ดำเนินการตามผลการประชุมนายกรัฐมนตรีพบผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๓.๑ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูบริการจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปหารือกับกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยให้ได้ข้อยุติ หากยืนยันว่าโครงการเดิมเป็นประโยชน์ต่อราษฎรในพื้นที่และสามารถดำเนินการได้ตามกำหนดระยะเวลา ให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป แต่หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโครงการ ให้จัดทำโครงการใหม่เสนอมายังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณานำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ๓.๒ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลี ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ให้เพิ่มความยาวของเขื่อน จาก ๙๐ เมตร เป็น ๑๒๖ เมตร โดยเพิ่มวงเงินให้อีก ๑๐.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินในโครงการ ๓๔.๕๐ ล้านบาท สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษา อาคารเรียนแบบ สปช. ๒/๒๘ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ต.บางกร่าง อ.เมือง และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย ให้ปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓.๓ โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม อำเภอแก่งคอย และโครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสายบ้านหินซ้อน ให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ และให้จังหวัดสระบุรีนำโครงการถนนสายวัฒนธรรมไท-ยวน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งภาคเอกชนเสนอในการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชน วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท มาดำเนินการแทน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2493 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" | สสป | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เร่งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตัวบทกฎหมายหรืออนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แผนงาน และการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควรเร่งผลักดันให้มีการบังคับใช้ ได้แก่ การกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา การกำหนดหรือการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เยาวชน และการปรับปรุงเนื้อหาอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการห้ามโฆษณาเพียงบางส่วนเข้มข้นขึ้น ๑.๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และกำหนดมาตรการลงโทษในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ควรเพิ่มระดับความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเนื่องจากเป็นแนวทางที่มีประสิทธิผลในการจัดการปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งกับเยาวชนและสังคมในภาพรวม ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดประสิทธิผลได้ หากการบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีความเข้มงวดในข้อห้าม ๔ ประการ ได้แก่ การห้ามขายผู้ที่อายุต่ำกว่า ๒๐ ปี การห้ามขายนอกเวลาที่กำหนด การห้ามขายและห้ามดื่มในสถานที่ที่กำหนด และการเปิด-ปิดสถานบันเทิงตามเวลาที่กำหนด ๑.๓ ขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เต็มเพดาน เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างประเภทเครื่องดื่ม และเพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว สามารถช่วยอุดช่องว่างการเก็บอัตราภาษี ณ ปัจจุบัน โดยยังไม่จำเป็นต้องรื้อหรือปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการที่ไม่ซับซ้อน แต่สามารถช่วยเพิ่มรายได้ภาษีสรรพสามิตให้กับรัฐได้ ๑.๔ เตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรีในการไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นรายชื่อสินค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี และยืนยืนมติคณะรัฐมนตรีในการถอน (Bracketing) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบริการที่เกี่ยวข้องออกรายชื่อสินค้าในข้อตกลงการเจรจาการค้าที่ได้ลงนามและมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีที่รับรองมติสมัชชาสุขภาพครั้งที่ ๒ มติ ๕ ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ ในยุทธศาสตร์ที่ ๕ ที่ว่าด้วยมาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้า ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขที่มีข้อสังเกตว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ เกี่ยวกับมาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศในการไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นรายชื่อสินค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี นั้น อาจมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ ไปพิจารณา หากมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ก็ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2494 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานระยะต่อไปของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติของคณะกรรมการส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนฯ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕ ถึง ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ มีการจำหน่ายกรมธรรม์ ๙๙๒,๑๙๒ ฉบับ โดยมีทุนประกันภัยพิบัติ ๘๕,๕๗๔ ล้านบาท เบี้ยประกันภัย ๖๔๘ ล้านบาท ทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนกองทุนฯ ๕๓,๖๘๒ ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยต่อตามสัดส่วนกองทุนฯ ๔๖๖ ล้านบาท โดยสัดส่วนการรับประกันภัยแบ่งตามกลุ่มผู้เอาประกันภัย พบว่า กลุ่มบ้านและที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนของการรับประกันภัยสูงสุดถึงร้อยละ ๙๒ รองลงมาคือ SMEs ร้อยละ ๗ และอุตสาหกรรม ร้อยละ ๑ ส่วนกลุ่มบ้านอยู่อาศัยมีสัดส่วนของทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนกองทุนฯ สูงสุดถึงร้อยละ ๕๘ อุตสาหกรรม ร้อยละ ๒๖ และ SMEs ร้อยละ ๑๖ สำหรับอุตสาหกรรมมีสัดส่วนของเบี้ยประกันภัยต่อตามสัดส่วนกองทุนฯ สูงสุดถึงร้อยละ ๔๔ รองลงมาคือ บ้านและที่อยู่อาศัย ร้อยละ ๓๖ และ SMEs ร้อยละ ๒๐ โดยอัตราการเติบโตของทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนกองทุนฯ เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. แนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไปของกองทุนฯ ได้แก่ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับประกันภัยของกองทุนฯ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พิจารณาแนวทางการปรับลดอัตราค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับแต่ละกลุ่มลง โดยกองทุนฯ จะพิจารณาให้บริษัทประกันภัยรับประกันภัยไว้เองทั้งหมด หรืออาจให้บางส่วนประกันต่อให้กับกองทุนฯ และปรับบทบาท โดยกองทุนฯ ทำหน้าที่เหมือนบริษัทรับประกันภัยทั่วไป ๓. มอบหมายคณะกรรมการ กยอ. รับไปศึกษาทบทวนบทบาทและแนวทางการดำเนินการของกองทุนฯ ในระยะต่อไปเพิ่มเติม ได้แก่ การลงทุนเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตของประเทศ ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในวงเงิน ๓๔๐,๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากยังไม่เห็นผลในทางปฏิบัติ กองทุนฯ ควรดำเนินการต่อเนื่องระยะหนึ่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และเมื่อการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยมีความชัดเจนและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จึงควรพิจารณาทบทวนบทบาทความจำเป็นของกองทุนฯ ต่อไป นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาทบทวนบทบาทและแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ ในระยะต่อไปอย่างรอบคอบว่าควรจะยกเลิกหรือปรับบทบาทกองทุนฯ ในอนาคต ซึ่งการพิจารณาให้คำนึงถึงผลดี ผลเสีย รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ ของภาครัฐที่มุ่งรักษาความมั่นคงของประเทศ สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการให้ได้รับความคุ้มครองภัยพิบัติอย่างทั่วถึง ซึ่งต่างจากวัตถุประสงค์ของบริษัทประกันภัยภาคเอกชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2495 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีหลักการที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๘ เพื่อกำหนดให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีสิทธิที่จะได้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพได้รับบำนาญพิเศษเพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณามาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่เป็นบทบัญญัติกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่จะมีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษไว้เป็นการเฉพาะให้ต้องเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งได้รับอันตรายจนพิการเสียแขนหรือขา หูหนวกทั้งสองข้าง ตาบอดหรือได้รับการป่วยเจ็บ ซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจแล้วและแสดงว่าถึงทุพพลภาพไม่สามารถจะรับราชการต่อไปได้อีก และเหตุนั้นจะต้องเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่ โดยมิได้รวมถึงกรณีที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นนั้นยังคงรับราชการได้ต่อไป แม้จะเป็นผู้ประสบเหตุอันเนื่องมาจากการปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่เช่นเดียวกัน สมควรที่จะมีการพิจารณาดำเนินการปรับปรุงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นในกรณีดังกล่าวมีสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จหรือบำนาญพิเศษเช่นเดียวกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2496 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาและปรับปรุงสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) และความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ก.พ.ร. มีความเห็นต่อแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (ฉบับปรับปรุง) มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗ สาระสำคัญของผลสัมฤทธิ์ตามแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. เป็นประเด็นเดียวกัน แต่ในแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. จัดมิติในการปฏิบัติงานเป็น ๔ มิติ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับมิติการประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดตัวชี้วัดของ สคพ. ๑.๒.๒ สคพ. ต้องนำตัวชี้วัดต่าง ๆ ในแผนการพัฒนาฯ มาพิจารณาเป็นตัวชี้วัดตามคำรับรองการปฏิบัติงานของ สคพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ โดยจะต้องปรับปรุงตัวชี้วัดให้มีความท้าทาย ทันสมัย และเหมาะสมตามระยะเวลาที่ผ่านไป โดยมอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานดังกล่าว ๑.๒.๓ สคพ. จะต้องบริหารจัดการภารกิจที่อาจมีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น การวิจัยต่าง ๆ โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ร่วมมือ” เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแผนพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ควรปรับปรุงให้มีตัวชี้วัดเชิงคุณภาพมากขึ้นและเป็นตัวชี้วัดที่มีความท้าทาย รวมทั้งพัฒนาการบริหารจัดการภายในเพื่อผลักดันให้การปฏิบัติงาน สคพ. เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเห็นควรปรับแก้ไขข้อมูลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานฯ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีแผนทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมาย ในส่วนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จากข้อความเดิม “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของโรงเรียน ...” เป็น “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ...” เพื่อให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการองค์ความรู้และการเผยแพร่ข้อมูลการค้าการลงทุนเพื่อการสนับสนุนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจนและเน้นการนำผลงานไปต่อยอดและใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ โดยนำจุดเน้นดังกล่าวมาประกอบการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและสอดรับกันด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2497 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ | นร07 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวน ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙๔๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว รวม ๒๒๒ โครงการ วงเงิน ๕,๓๑๒.๒๒๘๐ ล้านบาท ทั้งนี้ หน่วยงานยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๒ โครงการ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ และโครงการเสริมดินปากท่อและสะพานเพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดสุพรรณบุรี วงเงิน ๕ ล้านบาท ของกรมการปกครอง ๒. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุตรดิตถ์ ฉะเชิงเทรา และกำแพงเพชร จำนวน ๙๒ โครงการ โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๙๑ โครงการ วงเงิน ๒,๒๗๐.๖๑๑๖ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๖.๐๐๐๐ ล้านบาท มีหน่วยงานขอรับการจัดสรรแล้ว ณ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๗๓ โครงการ วงเงิน ๑,๕๒๑.๐๑๓๗ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว จำนวน ๗๒ โครงการ วงเงิน ๑,๕๐๙.๐๙๖๙ ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับอนุมัติงบกลางแต่หน่วยงานยังไม่ขอรับการจัดสรร จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงิน ๗๔๗.๘๓๐๐ ล้านบาท อยู่ระหว่างหน่วยงานจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับการจัดสรรต่อไป คาดว่าจะขอรับการจัดสรรได้ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2498 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กปต.) | นร08 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กปต.) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๗๘/๒๕๕๖ เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2499 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครนายก ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 30 - 31 มีนาคม 2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครนายก ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๔ โครงการ ตามที่จังหวัดนครนายกเสนอ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ได้แก่ ๑.๑ โครงการภายใต้แผนงานบริการและปรับปรุงทัศนียภาพ จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๔๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์สร้างความร่มรื่นบริเวณสันเขื่อนขุนด่านฯ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล กรมชลประทาน) และโครงการก่อสร้างอาคารชมวิวและทัศนียภาพอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล และสิ่งก่อสร้างประกอบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล กรมชลประทาน) ๑.๒ โครงการภายใต้แผนงานก่อสร้างและปรับปรุงอาคารบริการและอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างแหล่งเรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางวิศวกรรมแหล่งน้ำและเทคโนโลยีการสร้างเขื่อน วงเงิน ๒๒ ล้านบาท (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล กรมชลประทาน) และโครงการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการบริการในการท่องเที่ยวหัวงานเขื่อนขุนด่านปราการชล วงเงิน ๓๘ ล้านบาท (สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครนายก กรมโยธาธิการและผังเมือง) ๒. ให้จังหวัดนครนายกรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณสันเขื่อนขุนด่านปราการชล ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเอกลักษณ์หรือการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของเขื่อนขุนด่านปราการชล และจังหวัดนครนายก ส่งเสริมให้ภาคเอกชนหรือท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการหรือการจัดหาสถานที่เพื่อให้ชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นเข้ามาจำหน่ายภายในเขื่อนได้อย่างกลมกลืนและเป็นระเบียบ ส่วนการก่อสร้างและปรับปรุงอาคารเพื่ออำนวยความสะดวกและพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางวิศวกรรมแหล่งน้ำและเทคโนโลยีการสร้างเขื่อน ควรให้ความสำคัญกับการแสดงแบบจำลองทางกายภาพด้านชลศาสตร์และการเรียนรู้เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำ การเตรียมแผนบริหารจัดการอาคารสถานที่ บุคลากร และการจัดหาแหล่งเงิน (รายได้) ที่จะนำมาใช้ในการบำรุงรักษา การประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านชลประทานแก่เยาวชน ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สำคัญ สำหรับแผนงาน/โครงการในส่วนที่เหลือ ให้จังหวัดนครนายกพิจารณาดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวตรวจราชการที่จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยเฉพาะในประเด็นการศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและสังคม การออกแบบทางภูมิทัศน์ที่เหมาะสม (Landscape) การวิเคราะห์ทางด้านการเงิน และการบริหารจัดการแผนธุรกิจด้านการตลาดให้มีความชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ โดยอาจแบ่งช่วงระยะเวลาการลงทุน (Phasing) ตามศักยภาพความพร้อมของหน่วยงานรับผิดชอบ รวมถึงบทบาทการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ชุมชน และภาคเอกชน ประกอบการพัฒนาพื้นที่บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล (ขุนด่านแลนด์) ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2500 | รายงานความก้าวหน้างบลงทุนที่ดำเนินการล่าช้า และขอขยายระยะเวลาลงนามในสัญญาจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - พ.ศ. 2556 | สธ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความก้าวหน้างบลงทุนและปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ดำเนินการล่าช้า ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการบริหารงบประมาณ งบลงทุน ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๖ ผลการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน ซึ่งต้องขอขยายระยะเวลาการลงนามสัญญา ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒๔ รายการ ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒๒ รายการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จำนวน ๑ รายการ และกรมอนามัย จำนวน ๑ รายการ ๑.๒ สาเหตุของการดำเนินการล่าช้า เนื่องจาก ๑.๒.๑ แบบแปลนก่อสร้างของกองแบบแผนเป็นแบบมาตรฐานกลาง บางแบบไม่เหมาะกับพื้นที่ ต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดรูปแบบรายการ ๑.๒.๒ ขณะตั้งคำของบประมาณราคากองแบบแผน ยังไม่แล้วเสร็จ ๑.๒.๓ ไม่ได้เตรียมความพร้อมในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้าง ๑.๒.๔ การเปลี่ยนแปลงฐานรากและเสาเข็ม ตามผลการทดสอบดิน ๑.๒.๕ เจ้าหน้าที่พัสดุ/ผู้ปฏิบัติงานขาดความรู้ ความเข้าใจเรื่องระเบียบพัสดุฯ และขั้นตอนการดำเนินงานการจัดซื้อ/จัดจ้าง การดำเนินงานจึงไม่เป็นไปตามระเบียบพัสดุฯ ทำให้ต้องแจ้งกรมบัญชีกลางเพื่อขอยกเว้นผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบพัสดุฯ (กวพ.อ) ๑.๒.๖ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรต่ำกว่าความเป็นจริงจนไม่สามารถนำไปดำเนินการจัดหาได้ ต้องดำเนินการหลายครั้ง ๑.๒.๗ ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหลายครั้ง เนื่องจากไม่มีผู้รับจ้างเสนอราคา ๑.๒.๘ เจ้าหน้าที่ขาดทักษะการบริหารสัญญา ๑.๓ กระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย ๑.๓.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงสาเหตุของความล่าช้า ๑.๓.๒ หลังงบประมาณผ่านคณะรัฐมนตรี แจ้งหน่วยงานที่จะได้รับจัดสรรงบประมาณดำเนินขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้าโดยให้ดำเนินไปตามระเบียบพัสดุและจะลงนามสัญญาต่อเมื่อได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ ๑.๓.๓ จัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุในภูมิภาคเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับระเบียบฯ ว่าด้วยการจัดซื้อ/จัดจ้าง มติคณะรัฐมนตรี และกฎหมายข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันไม่ให้ดำเนินการผิดระเบียบฯ ต้องขอผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามระเบียบต่อ กวพ.อ. และการบริหารสัญญา ทุกหน่วยงาน ๑.๓.๔ หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดติดตามผลการดำเนินงานส่วนภูมิภาคทุกรายการ เพื่อทราบและหาแนวทางแก้ไขปัญหา ๑.๓.๕ ติดตามเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารสัญญา โดยคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการจัดซื้อ/จัดจ้างของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๒. สำหรับการขอขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาจ้างภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒๔ รายการ นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ พิจารณารายละเอียดเหตุผลและความจำเป็นของการขอขยายระยะเวลาดังกล่าว ตามขั้นตอนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่องมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติม) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
