ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 121 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2401 - 2420 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2401 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. 2554 | ปช | 11/02/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมข้อสังเกต ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านป้องกันการทุจริต และด้านตรวจสอบทรัพย์สิน ๒. ข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๒.๑ แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตไปสู่การปฏิบัติเพื่อเอาชนะการทุจริตคอร์รัปชัน ๒.๑.๑ ขาดระบบบริหารจัดการในการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติอย่างมีบูรณาการ มุ่งผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพ การแปลงแผนยุทธศาสตร์ชาติฯ สู่การปฏิบัติยังขาดการเตรียมการรับรองในเรื่องการผลักดันยุทธศาสตร์และแนวทางของแผนสู่การปฏิบัติและมุ่งผลสำเร็จตามเป้าหมายของแผน การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกับพหุภาคีที่ไม่ใช่ภาคราชการ การสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนระหว่างภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถบุคลากรของสำนักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งการวางระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงานทั้งในระดับภาพรวมของยุทธศาสตร์ฯ และระดับยุทธศาสตร์การพัฒนา ๒.๑.๒ ประสิทธิภาพในการแปลงยุทธศาสตร์ฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีหน่วยงานที่จัดส่งแผนปฏิบัติการแล้ว จำนวน ๓,๘๗๖ หน่วยงาน หรือร้อยละ ๔๗.๓ จากหน่วยงานทั้งสิ้น ๘,๑๘๐ หน่วยงาน ๒.๑.๓ การสนับสนุนของภาคการเมือง และภาคราชการต่อการแก้ไขปัญหาการทุจริต ยังไม่ส่งผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ยังไม่ได้ให้การสนับสนุนจัดงบประมาณให้แก่หน่วยงาน/โครงการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของหน่วยงานภาครัฐอย่างเพียงพอและทั่วถึง การออกกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องมีความล่าช้า รวมถึงความล่าช้าในการปรับปรุงแก้ไขระบบกฎหมายและการบังคับใช้ให้มีความสอดคล้องกับระดับสากล หน่วยงานภาครัฐมีปัญหาการขาดความเอาใจใส่และตั้งใจจริงในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ๒.๑.๔ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนยังอยู่ในวงจำกัดและประชาชนบางกลุ่มในสังคมไทยให้การยอมรับต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ๒.๒ การจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานของรัฐ การบังคับใช้กฎหมายตามมาตรา ๑๐๓/๗ ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตนั้น จะต้องดำเนินการเปิดเผยราคากลางหรือราคาอ้างอิงตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ เพื่อสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ และเป็นการป้องกันปัญหาการทุจริตของประเทศที่มีระดับความรุนแรงอยู่ในขณะนี้
|
||||||||||||||||||
| 2402 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 1 | กค | 21/01/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๕,๑๖๘.๙๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๓๒๑,๔๙๙.๗๖ ล้านบาท เหลือ ๑,๓๑๖,๓๓๐.๘๔ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการโดยมติคณะรัฐมนตรี และ/หรือโดยหน่วยงานไว้ก่อนวันที่ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒. กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการต่อไปได้เมื่อมติคณะรัฐมนตรีไม่ขัดหรือแย้งต่อมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ |
||||||||||||||||||
| 2403 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าว | กษ | 07/01/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะทำงานประสานงานวิจัยและพัฒนาข้าว โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นประธาน ทำหน้าที่ประสานการจัดทำข้อมูล กำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าข้าว เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายการพัฒนาสินค้าข้าวตลอดห่วงโซ่คุณค่าการผลิต พิจารณากำหนดหัวข้อวิจัยผลิตภัณฑ์ข้าวที่มีเป้าหมายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก มีมูลค่าสูง มีคุณภาพได้มาตรฐานสูง สามารถเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตได้ รวมทั้งพิจารณากำหนดหัวข้อวิจัยในแต่ละห่วงโซ่คุณค่าการผลิตข้าวตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ผลักดันให้มีการนำผลงานวิจัยด้านข้าวที่มีแล้วและการวิจัยใหม่ ๆ ไปใช้ในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนา การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาในกิจการสินค้าข้าว ๒. ทิศทางการวิจัยและพัฒนาสินค้าข้าวของประเทศไทย และข้อเสนอโครงการวิจัยด้านข้าว (นำร่อง) ปี ๒๕๕๗ ๒.๑ กรอบยุทธศาสตร์การวิจัย ได้มีการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์การวิจัยเรื่องข้าวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ โดยต้นน้ำ ประกอบด้วย ๒ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การปรับปรุงพันธุ์ และยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตข้าว กลางน้ำ ประกอบด้วย ๑ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการหลังจากเก็บเกี่ยวและโลจิสติกส์ และปลายน้ำ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการแปรรูป ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและการตลาดข้าว และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ๒.๒ ผลงานตามกรอบยุทธศาสตร์ที่พร้อมจะนำไปขยายผล แยกเป็น ต้นน้ำ จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ ด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ด้านเทคโนโลยีการผลิตข้าว ด้านลดความสูญเสียจากโรคและแมลงศัตรูข้าว ด้าน Zoning/ภาพถ่ายดาวเทียม กลางน้ำ จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ ด้านการเก็บรักษาข้าว การลดความชื้น และการตรวจวิเคราะห์ข้าว และปลายน้ำ จำนวน ๑๒ เรื่อง ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อเป็นยา และการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิตและการตลาด (Rice Watch) ๒.๓ แผนงานดำเนินการวิจัยที่สำคัญ ปี ๒๕๕๗ ได้มีการกำหนดหัวข้องานวิจัยด้านข้าวที่สำคัญที่จะดำเนินการ จำนวน ๑๔ หัวข้อ แบ่งเป็น ต้นน้ำ มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาข้าวคุณภาพสูงเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน ๔ หัวข้อ กลางน้ำ มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว จำนวน ๔ หัวข้อ และปลายน้ำ มุ่งเน้นการแปรรูปและผลิตภัณฑ์จากข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่าและการเพิ่มขีดความสามารถในการขยายตลาดข้าวไทย จำนวน ๔ หัวข้อ รวมทั้งมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร จำนวน ๒ หัวข้อ ๒.๔ ข้อเสนอโครงการวิจัยด้านข้าวนำร่อง ปี ๒๕๕๗ มีจำนวน ๒ โครงการ วงเงินงบประมาณรวม ๑๖๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขยายผลโรงอบแห้งข้าวเปลือกเพื่อลดความชื้นและการกำจัดศัตรูข้าวหลังการเก็บเกี่ยว วงเงิน ๖๐ ล้านบาท และโครงการขยายผลเครื่องต้นแบบในการกำจัดแมลงในข้าวสารโดยเทคโนโลยีจากคลื่นความถี่วิทยุเพื่ออาหารที่สะอาดและปลอดภัยระดับชุมชนและอุตสาหกรรม วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ๓. โครงการสนับสนุนให้ชาวนารายใหญ่ที่มีผลผลิตส่วนเกินไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกได้ (เกินวงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทต่อฤดู) มาเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยกำหนดให้มีการจัดทำโครงการส่งเสริมชาวนาที่มีศักยภาพให้เป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์เชิงธุรกิจ โดยชาวนาสามารถเลือกที่จะประกอบธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวในกรณีต่าง ๆ ได้แก่ เป็นผู้ผลิต รวบรวม และจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวเอง เป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้กับหน่วยงานและผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้อยู่แล้ว เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวร่วมกับเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชนกรณีชาวนาที่มีพื้นที่มากและมีศักยภาพอยู่รวมกันในชุมชนหลายรายประสงค์จะรวมกลุ่มกันผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ๔. การผลิตเอทานอลจากข้าว ได้มีการศึกษาแนวทางการนำข้าวไปผลิตเอทานอล ได้แก่ กระบวนการผลิตเอทานอล การประเมินต้นทุนการผลิตเอทานอล และโรงงานที่ผลิตเอทานอลในประเทศไทย ๕. ในการดำเนินการตามข้อ ๑-๓ จะใช้งบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ของหน่วยงานในการดำเนินงาน สำหรับข้อเสนอโครงการวิจัยด้านข้าวนำร่อง ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๒ โครงการ อยู่ระหว่างการพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณ ซึ่งหากมีการดำเนินงานทั้ง ๒ โครงการจะทำให้เกิดการขยายผลในเชิงพาณิชย์และมีความคุ้มค่าที่จะดำเนินโครงการวิจัย
|
||||||||||||||||||
| 2404 | รายงานผลการจัดหาเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 มิถุนายน 2556 | กค | 07/01/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการจัดหาเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีการบริหารจัดการในกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นจำนวนรวม ๔๖๓,๘๐๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ต่ำกว่ากรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ เงินกู้ที่กระทรวงการคลังได้จัดหาเพื่อเป็นทุนหมุนเวียน ภายใต้กรอบวงเงินกู้ไม่เกิน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีหนี้คงค้างสำหรับโครงการฯ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นจำนวนรวม ๓๙๖,๗๕๖ ล้านบาท ยังคงเหลือกรอบวงเงินกู้ จำนวน ๑๓,๒๔๔ ล้านบาท (๔๑๐,๐๐๐-๓๙๖,๗๕๖ ล้านบาท) ๑.๒ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ใช้เงินทุนหมุนเวียนของ ธ.ก.ส. ภายใต้กรอบวงเงิน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ธ.ก.ส. ได้ใช้เงินทุนไปแล้ว สำหรับปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ จำนวนรวม ๓๗,๙๙๔ ล้านบาท และปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ จำนวน ๒๙,๐๕๕ ล้านบาท คงเหลือวงเงินอีก จำนวน ๒๒,๙๕๑ ล้านบาท (๙๐,๐๐๐-๓๗,๙๙๔-๒๙,๐๕๕ ล้านบาท) ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเห็นควรให้มีการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เหมาะสม ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้นำเรื่องการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวไว้แล้ว กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และ ธ.ก.ส. สามารถดำเนินการโครงการฯ ต่อไปได้ตามแนวทางที่เคยปฏิบัติมาตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติ ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่ได้อนุมัติหรือเห็นชอบไว้ก่อนมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
|
||||||||||||||||||
| 2405 | แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 10/12/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่วมกัน และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓. เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติ ๓.๑ กำชับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกประเภททุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ [เรื่อง การปรับปรุง แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๑๖/ว ๑๔๑ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙)] โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุน การดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการวางตัวเป็นกลางของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับดังกล่าวด้วย ๓.๒ เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนำงบประมาณมาสนับสนุนการเลือกตั้งได้ โดย ๓.๒.๑ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาดำเนินการไปได้ตามความเหมาะสม ๓.๒.๒ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานเสนอขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓.๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐)]
|
||||||||||||||||||
| 2406 | รายงานสรุปผลการประชุมประจำปี 2556 เรื่อง เส้นทางประเทศไทย....สู่ประชาคมอาเซียน | นร11 | 03/12/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมประจำปี ๒๕๕๖ เรื่อง เส้นทางประเทศไทย...สู่ประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อติดตามความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความคิดเห็นของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑ การพัฒนาการศึกษาที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง และการปรับเปลี่ยนระบบการประเมินคุณภาพจากการประเมินเฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียว เป็นการประเมินที่ครบทั้งการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ๑.๒ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อใช้ประกอบการดำเนินงานในกิจการภาครัฐ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ๑.๓ การสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ๑.๔ การพัฒนาคนทั้งด้านองค์ความรู้และทักษะการทำงานควบคู่ไปกับการเร่งสร้างความปรองดองของคนในชาติ ๒. สรุปความเห็นร่วมกันจากการประชุมกลุ่มย่อย ๒.๑ กลุ่มที่ ๑ : การเตรียมความพร้อมด้านการเงิน การคลัง และการค้าการลงทุนเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การวางบทบาทหรือตำแหน่ง (Positioning) ของประเทศ และการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีความเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่น ประเทศ และโลก การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และโครงสร้างภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การผลิต และการลงทุนให้เหมาะสมและเอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การให้ความสำคัญกับการค้าชายแดน และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรทั้งในภาครัฐ ภาคการผลิต และภาคบริการ อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการ การเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเตรียมมาตรการเพื่อรองรับและบริหารจัดการผลกระทบ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนในการพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินและการบริการในอนุภูมิภาค ๒.๒ กลุ่มที่ ๒ : สร้างสังคมผู้ประกอบการไทยก้าวอย่างมั่นใจสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงการปรับแบบแผนธุรกิจด้วยการปรับปรุงผลิตภาพและลดต้นทุน หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยเลือกผลิตสินค้าและบริการที่มีความเชี่ยวชาญ การเร่งพัฒนาทักษะและความรู้ที่หลากหลายเพื่อยกระดับศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการโดยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งระบบ และการพัฒนาต่อยอดด้านการศึกษาเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ และการส่งเสริมสินค้าไทยที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงอยู่แล้ว ต้องมีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แข่งขันได้ ๒.๓ กลุ่มที่ ๓ : สร้างสรรค์สังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การกระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถเผชิญการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีด้านต่าง ๆ ทั้งเงินทุน สินค้า บริการ และแรงงาน เพื่อมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามที่มากับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาคุณภาพคน โดยต้องปฏิรูปวิธีเรียนการสอนให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์ มีความต้องการใฝ่เรียนรู้ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างจิตสำนึกที่ดี เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานการสร้างสังคมที่ดีและสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม การเน้นให้สมาชิกอาเซียนสร้างค่านิยมร่วม การเห็นประโยชน์ส่วนรวมและการเปิดใจกว้างยอมรับคนอื่นเพื่อลดความแตกแยกของสังคม และการมีระบบคุ้มครองทางสังคมให้กับคนไทยและประชาชนอาเซียนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ๒.๔ กลุ่มที่ ๔ : การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานสู่อาเซียน ได้แก่ การเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานได้เต็มศักยภาพ การพัฒนาเชิงพื้นที่รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในเมืองหลักและเมืองชายแดน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดความต้องการพลังงานในอนาคตบางส่วนที่ต้องจัดหาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศและสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน ๒.๕ กลุ่มที่ ๕ : การเตรียมความพร้อมระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน ได้แก่ บทบาทการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบริการหลัก บทบาทการพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ บทบาทการพัฒนาเมืองชายแดนในแต่ละภูมิภาคที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน บทบาทการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และบทบาทการพัฒนาเป็นเครือข่ายสนับสนุนเชื่อมโยงกับเมือง ๒.๖ กลุ่มที่ ๖ : สู่ประชาคมอาเซียน : บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างไรให้ยั่งยืน ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายและกฎ ระเบียบต่าง ๆ ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการปรับประสานกฎ ระเบียบ และกฎหมายการป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน การนำเสนอปัญหาด้านการท่องเที่ยวให้เป็นวาระแห่งชาติ และการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริโภคอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง การสร้างกลไกภาคประชาชน ประชาสังคม และนักวิชาการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสารสนเทศฐานข้อมูลและเทคโนโลยีการติดตามตรวจสอบที่ทันสมัย และภาครัฐควรเป็นผู้นำในการสนับสนุน การสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน
|
||||||||||||||||||
| 2407 | การแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ | กษ | 03/12/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้น (ณ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) มีเกษตรกรยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียน จำนวน ๑,๑๙๓,๓๓๒ ครัวเรือน (ในจำนวนนี้มีเอกสารไม่ครบถ้วนอยู่ระหว่างรอเอกสารเพิ่มเติม จำนวน ๕๐,๘๘๗ ครัวเรือน) ส่วนผู้ที่มีเอกสารครบถ้วน จำนวน ๑,๑๔๒,๔๔๕ ครัวเรือน มีการบันทึกข้อมูลลงระบบแล้ว จำนวน ๑,๑๒๓,๖๖๒ ครัวเรือน (คิดเป็นพื้นที่เข้าร่วมโครงการ ๑๕.๑๗๗ ล้านไร่) แยกเป็นผู้ที่พร้อมตรวจสอบแปลงได้ จำนวน ๗๘๖,๑๙๕ ครัวเรือน และผู้ที่ยังไม่สามารถตรวจสอบแปลงในขณะนี้ได้ จำนวน ๓๓๗,๔๖๗ ครัวเรือน ทั้งนี้ การตรวจสอบแปลงซึ่งต้องดำเนินการทุกแปลง ตรวจสอบเสร็จและออกใบรับรองแล้ว จำนวน ๔๔๙,๒๘๒ ครัวเรือน จำนวน ๖๔๐,๔๖๖ แปลง โดยแจ้งรายชื่อเกษตรกรพร้อมเลขที่บัญชีธนาคารให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงิน จำนวน ๓๓๓,๒๘๓ ครัวเรือน จำนวน ๔๗๙,๒๖๗ แปลง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๙,๕๕๐.๙๒ ล้านบาท จากวงเงินที่สำนักงบประมาณได้โอนมาตั้งจ่ายที่ ธ.ก.ส. แล้ว จำนวน ๙,๙๗๐.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะปานกลาง/ระยะยาว ได้สนับสนุนสินเชื่อ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท แก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการปรับปรุง/ก่อสร้างโรงงาน รวมถึงการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจแปรรูปยางพารา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สำรวจความต้องการของสถาบันเกษตรกร ซึ่งเบื้องต้นได้มีการยื่นแบบจำนง รวม ๒๔๕ สหกรณ์ วงเงินปริมาณ ๖,๗๑๖ ล้านบาท ส่วนสินเชื่อ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารานั้น อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยธนาคารออมสินร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ๒. งบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้นส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท นั้น อนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่โดยที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้เสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำหนดไว้ พร้อมทั้งจัดทำคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณตามรายจ่ายจริง และให้ถือว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของ ธ.ก.ส. พร้อมสำเนาส่ง ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย |
||||||||||||||||||
| 2408 | แนวทางการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และความคืบหน้า | ทส | 03/12/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าเรื่อง การลดระยะเวลาการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) และความรับผิดชอบของคณะกรรมการแต่ละชุด โดยยุบรวมคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณาโครงการภาครัฐและเอกชนแต่รับผิดชอบในเรื่องเดียวกันเข้าด้วยกัน และกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการแต่ละชุดให้เหมือนกันเพื่อสร้างมาตรฐานในการพิจารณาให้เหลือเพียงมาตรฐานเดียว ๑.๒ จัดทำแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการและโครงการหรือกิจการที่ไม่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และแนวทางพิจารณารายงาน EIA สำหรับ คชก. โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเร่งรัดตรวจสอบรายงาน EIA และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่เสนอมา หากรายงานที่เสนอมามิได้จัดทำให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือมีเอกสารข้อมูลไม่ครบถ้วน ให้แจ้งบุคคลผู้ขออนุญาตที่เสนอรายงานทราบภายในกำหนด ๗ วันทำการ ๑.๓ จัดทำวาระเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยเบื้องต้นกำหนดให้โครงการประเภทอาคารอยู่อาศัยรวมและโรงแรมซึ่งต้องจัดทำรายงาน EIA ที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และพื้นที่ใช้สอยรวมทุกอาคารน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA โดยยินยอมปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA ของโครงการในลักษณะเดียวกันที่ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้ว ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเว้นการทำรายงาน EIA โครงการประเภทที่อยู่อาศัยรวม หรือโรงแรมที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร ควรเปิดช่องทางการสื่อสารในรูปแบบสาธารณะให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะยื่นขอแบบอาคารพักอาศัยขนาดดังกล่าวได้รับทราบว่ามีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้วในพื้นที่ใด และในการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงาน EIA เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบรายโครงการ จึงไม่สามารถตอบภาพรวมของการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ได้ รวมทั้งยังมีกิจการ และโครงการจำนวนมากตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ที่จะขอยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จึงควรมีมาตรการหรือเครื่องมือที่สามารถสื่อสารกับทุกภาคส่วนให้เข้าใจตรงกันในมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ ควรมีการเก็บข้อมูลผลหรือเสียงสะท้อนของโครงการที่ไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จากการปฏิบัติตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม เพื่อนำไปสู่การพิจารณาเพิ่มเติมประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA และการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ ให้มีความเหมาะสมถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
| 2409 | โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 03/12/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รองประธานกรรมการ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ ในวงเงินลงทุนรวม ๔,๕๓๐ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ ๓,๓๙๕ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. วงเงิน ๑,๑๓๕ ล้านบาท และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๓,๓๙๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. ให้ กฟภ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟทั้งด้านฮาร์ตแวร์ และซอฟต์แวร์ โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กฟภ. จึงควรมุ่งเน้นด้านการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้ากำลังเป็นอันดับแรก เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟให้สอดรับกับแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในอนาคต นอกจากนี้ กฟภ. ควรพิจารณาดำเนินการปรับปรุงพัฒนาให้ระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟสามารถรองรับการใช้งานได้ในระยะยาว เพื่อเป็นการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2410 | ขออนุมัติกู้เงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้
๑. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ยืมเงินต่อจากกระทรวงการคลังเมื่อมีความพร้อมในการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล (สายสีแดง) บางซื่อ-รังสิต วงเงิน ๗๑๐.๕๑ ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย วงเงิน ๓,๓๒๑.๔๓ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัย ๘ สายทาง วงเงิน ๒,๘๙๒.๐๖ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เฉพาะในส่วนที่รัฐบาลรับภาระเพื่อชำระหนี้คืนแหล่งเงินกู้โดยตรง ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป รวมทั้งให้ รฟท. จัดทำแผนการดำเนินงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และแผนการกู้เงินที่สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะดำเนินการจริง โดยให้ รฟท. ทยอยเบิกเงินกู้โดยตรงจากแหล่งเงินกู้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ ให้ รฟท. ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นก่อนการกู้เงิน ๒. ให้ รฟท. กู้เงินในประเทศเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ (รถจักรดีเซลไฟฟ้า) จำนวน ๕๐ คัน วงเงิน ๘๘๕ ล้านบาท โครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตอม จำนวน ๕๖ คัน วงเงิน ๓๔๒.๗๓ ล้านบาท และโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน วงเงิน ๖๗๒.๔๔ ล้านบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑,๙๐๐.๑๗ ล้านบาท โดย รฟท. เป็นผู้รับภาระในการชำระคืนต้นเงิน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายจากการกู้เงิน และสำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จำนวน ๓๐๘ คัน (น้ำหนักกดเพลา ๒๐ ตัน) วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการประกวดราคาสากล โดยให้ผู้ประกวดราคาเสนอแหล่งเงินกู้ในลักษณะของ Supplier Credit/Export Credit และกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมของแหล่งเงินกู้ที่ผู้ประกวดราคาเสนอมา หากพบว่าต้นทุนเงินกู้ที่เสนอสูงกว่าต้นทุนที่กระทรวงการคลังจะจัดหาให้ รฟท. ได้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาแหล่งเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวให้ต่อไป แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคซึ่งโครงการดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนของแหล่งเงินทุน ดังนั้น เมื่อ รฟท. ทราบแหล่งเงินที่ชัดเจนแล้ว ให้ รฟท. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติแหล่งเงินสำหรับโครงการดังกล่าวต่อไป ๓. ให้ รฟท. กู้เงินเพื่อชำระคืนเงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระ (Roll-over) ตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๑๔,๙๘๙.๒๘ ล้านบาท รวมทั้งให้ รฟท. ต่ออายุสัญญาเงินกู้เบิกเกินบัญชี วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ออกไปอีก ๑ ปี เพื่อไว้รองรับปัญหาเงินสดขาดมือในการดำเนินงาน ๔. กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ค้ำประกัน และเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น |
||||||||||||||||||
| 2411 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ปรับอัตราขั้นสูง-ขั้นต่ำของการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ให้มีผลใช้บังคับเป็น ๒ ระยะเวลา ๑.๑.๑ ระยะที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ปรับอัตราขั้นต่ำจาก ๘,๒๐๐ บาท เป็น ๘,๖๑๐ บาท และปรับอัตราขั้นสูงจาก ๑๑,๗๐๐ บาท เป็น ๑๒,๒๘๕ บาท ๑.๑.๒ ระยะที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ปรับอัตราขั้นต่ำจาก ๘,๒๐๐ บาท เป็น ๙,๐๐๐ บาท และปรับอัตราขั้นสูงจาก ๑๑,๗๐๐ บาท เป็น ๑๒,๒๘๕ บาท ๑.๒ กำหนดให้สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนได้รับเงินค่าตอบแทนตามบัญชีท้ายระเบียบฯ โดยได้รับเงินค่าตอบแทน ๑๓ ขั้น อัตราตั้งแต่ ๔,๘๗๐-๘,๔๕๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับปรุงระเบียบดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๖ จำนวน ๒๑๐,๕๐๔,๒๙๖ บาท ที่กรมการปกครองได้ขออนุมัติกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังแล้ว และหากไม่เพียงพอก็ให้กรมการปกครองปรับแผนการปฏิบัติและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาสมทบ โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2412 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2555 | ศป | 25/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๕ ยุทธศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองให้เป็นที่เชื่อมั่นแก่สังคมไทย โดยได้เสริมสร้างมาตรฐานการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองที่รวดเร็วและมีคุณภาพ ตลอดจนได้เสริมสร้างระบบการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้มีประสิทธิผล ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาหลักกฎหมายและองค์ความรู้เพื่อให้เป็นศูนย์กลางวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่เป็นที่ยอมรับ โดยได้จัดทำองค์ความรู้ด้านกฎหมายมหาชนเพื่อเผยแพร่แก่ตุลาการศาลปกครองและข้าราชการฝ่ายปกครอง เช่น คำแปลคำพิพากษาของต่างประเทศ งานวิจัย เป็นต้น และได้พัฒนาการให้บริการของหอสมุดกฎหมายมหาชน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีให้แก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยได้ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองของประชาชน เช่น กิจกรรมศาลปกครองพบประชาชนและเสริมสร้างเครือข่ายด้านสื่อมวลชน กิจกรรมศาลปกครองของประชาชนในเวทีสื่อมวลชน เป็นต้น และได้เสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีแก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อมุ่งสู่องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง โดยได้ดำเนินการปรับปรุงภารกิจ โครงสร้าง และอัตรากำลังของสำนักงานศาลปกครอง ตลอดจนได้เสริมสร้างความเชี่ยวชาญและขีดสมรรถนะของบุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ พัฒนาระบบบริหารจัดการองค์การเพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติภารกิจของศาลปกครอง โดยได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานระดับหน่วยงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานจัดทำแนวทางการยกระดับขีดความสามารถในการทำงานและคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานในสำนักงานศาลปกครองให้อยู่ในระดับสูงและได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานตามภารกิจของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองและรองรับการพัฒนาองค์การในอนาคตอีกด้วย
|
||||||||||||||||||
| 2413 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ส่วนที่ ๑ ผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และส่วนที่ ๒ รายงานผลสำเร็จของโครงการเงินกู้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมในเขตปฏิรูปที่ดินด้วยการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสานของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม และโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ ๖ ของการประปานครหลวง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2414 | การประเมินค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รอบที่ 3 | นร01 | 25/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เกณฑ์ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการประเมินตนเอง รอบที่ ๓ ซึ่งจะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีเกณฑ์ชี้วัด จำนวน ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย ด้านการวางแผน การส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและด้านศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนา จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น จำแนกเป็น ๑.๑.๑ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด แบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก จำนวน ๑๓ ภารกิจ ๔๖ ตัวชี้วัด ๑.๑.๒ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๓ ภารกิจ ๔๙ ตัวชี้วัด ๑.๑.๓ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของเมืองพัทยา จำนวน ๑๘ ภารกิจ ๗๓ ตัวชี้วัด ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทางด้านเทคนิค วิชาการ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการได้มาตรฐานตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะ ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการประเมินตนเองตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะดังกล่าว โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรผนวกการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับด้านศิลปะ วัฒนธรรมในงานด้านส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้รวมอยู่ในงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งควรเพิ่มงานด้านศาสนาเป็นเกณฑ์ตัวชี้วัดในงานด้านดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดเชิงคุณภาพเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงาน/ศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการจัดบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2415 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 19/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้มีการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ เพื่อให้มีการกำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนและแน่นอนในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่ครบถ้วน สมบูรณ์ ๒. เห็นว่าตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ซึ่งใช้บังคับมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ การร่วมลงทุนต้องผ่านสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมีขั้นตอนในการที่จะเสนอผ่านหลายหน่วยงานหลายชุดของคณะกรรมการ ซึ่งไม่มีความจำเป็น และหน่วยงานอาจไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในกิจการต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ทำให้เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ๓. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและหลักวินัยการเงิน การคลัง การส่งเสริมและสนับสนุนการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ๔. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน กล่าวคือ มีคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนโยบายหลักของหลักการร่วมทุนกับเอกชน วิธีการในการที่จะนำเสนอโครงการของแต่ละหน่วยงานจะต้องมีที่ปรึกษา มีข้อกำหนดว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งมีความชัดเจนกว่ากฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ยังขาดกรอบการดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ ๕. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่แน่นอนซึ่งตามร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายที่ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศว่าจะเดินทางทิศใดและต้องให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ดังนั้น กระทรวงทุกกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดเกี่ยวกับการลงทุนไว้อย่างชัดเจน ๖. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้จะมีความชัดเจนว่า ๑) ยุทธศาสตร์ใดที่เจ้ากระทรวงหรือหน่วยงานใดเสนอมาต้องมีความชัดเจนและอยู่ภายในกรอบยุทธศาสตร์หลักที่กำหนดไว้ ๒) ในการพิจารณาแต่ละขั้นตอน มีกรอบเวลาที่แน่นอน เช่น ไม่เกิน ๖๐ วัน หรือต้องอนุมัติภายใน ๖๐ วัน และ ๓) ในแต่ละขั้นตอนต้องมีที่ปรึกษาที่สามารถให้คำปรึกษาในโครงการได้ ๗. โครงการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ทุกโครงการก่อนที่จะดำเนินการ หน่วยงานที่จะเสนอโครงการต้องอ่านและเข้าใจยุทธศาสตร์หลักและต้องใช้เป็นแม่บทในการเขียนโครงการ โดยเฉพาะต้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเป็นผู้เห็นชอบในหลักการ การดำเนินการให้มีประสิทธิภาพตามร่างพระราชบัญญัตินี้จะเกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นหลักในระยะเริ่มแรก ๘. โดยที่ปัจจุบันผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐได้รับจากเอกชนในการให้สัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม และการให้ประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่ มิได้อยู่ภายใต้หลักผลตอบแทนตามสัดส่วนการลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่เป็นธรรม โดยถือว่ารัฐไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จึงมีการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของเอกชนฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม และกฎหมายว่าด้วยแร่ เพื่อบัญญัติให้นำหลักผลตอบแทนตามสัดส่วนการลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งนี้ เพื่อให้การแบ่งผลตอบแทนระหว่างรัฐและเอกชนมีสัดส่วนที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||
| 2416 | ขออนุมัติอัตรากำลังเพิ่มใหม่ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ | ศธ | 19/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการขออนุมัติอัตรากำลังเพิ่มใหม่ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ตามข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ เพื่อรองรับการเปิดการสอนในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการผลิตแพทย์และเป็นสาขาวิชาที่มีความขาดแคลนและจำเป็นต่อการให้บริการทางวิชาการและการแพทย์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การขอสนับสนุนนโยบายการโอนย้ายข้าราชการจากส่วนราชการอื่นมารับราชการในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี) ซึ่งอนุมัติในหลักการให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่มีวิทยาเขตในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) สามารถใช้อัตราข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ว่างลงจาการเกษียณอายุและอัตราว่างโดยเหตุอื่น เพื่อรองรับการโอนย้ายข้าราชการต่างประเภทจากส่วนราชการอื่นมาเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะตัว โดยต้องปฏิบัติงานในตำแหน่งวิชาการซึ่งทำหน้าที่สอนและวิจัยเท่านั้น ๒. ในส่วนกรอบอัตรากำลังเพิ่มใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์นั้น เห็นสมควรให้การสนับสนุนอัตรากำลังเพิ่มใหม่ตำแหน่งพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นกรณีพิเศษ จำนวน ๑๕๐ อัตรา โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์) ไปดำเนินการเกลี่ยอัตรากำลังให้เป็นสายผู้สอนและสายสนับสนุนตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงค่าตอบแทน สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ รวมทั้งความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของพนักงานมหาวิทยาลัยที่มีวิทยาเขตในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนและสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรไว้ในระบบ ภายใต้ความจำเป็นตามภาระงานของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2417 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดขอนแก่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) | นร01 | 19/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ ๑๒ (จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๑๒ รายงานสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดขอนแก่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสถานการณ์อุทกภัย ตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๕๐๐ คน รวมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อค้นพบจากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสถานการณ์อุทกภัยพบว่า ภูมิประเทศของพื้นที่ทั้ง ๓ แห่ง ได้แก่ พื้นที่บ้านป่าม่วง หมู่ที่ ๙ พื้นที่บ้านแจ้งกระหนวน หมู่ที่ ๑๓ ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด และพื้นที่บ้านชีกกค้อ หมู่ที่ ๗ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ ตั้งติดกับแม่น้ำชีและอ่างเก็บน้ำแก่งละว้า ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลางมีพื้นที่ประมาณ ๑๓,๐๐๐ ไร่ และมีลักษณะเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง เมื่อเกิดฝนตกหนักหรือน้ำป่าไหลหลากพื้นที่บริเวณนี้จะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเป็นเส้นทางของมวลน้ำจากจังหวัดชัยภูมิไหลตามแม่น้ำชีลงสู่แก่งละว้า ซึ่งที่ผ่านมาพื้นที่บริเวณดังกล่าวประสบปัญหาอุทกภัยต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๗ ปีแล้ว โดยในส่วนของพื้นที่บ้านชีกกค้อ หมู่ที่ ๗ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ ผู้แทนโครงการชลประทานขอนแก่นรายงานว่า มีการก่อสร้างทำนบดินเพื่อใช้กั้นแม่น้ำชีและใช้เป็นเส้นทางสัญจรของหมู่บ้าน ปัจจุบันประตูระบายน้ำของแก่งละว้า ๒ จุด เสียหาย จึงมีความต้องการจะขอรับการสนับสนุนงบประมาณปรับปรุงทำนบดินในบริเวณที่เป็นประตูระบายน้ำ มาเป็นการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว ๑๐๐ เมตร และสร้างฝายสันกว้างด้านล่าง ระดับหลังฝายเท่ากับระดับเก็บกัก เพื่อช่วยให้การระบายน้ำลงสู่อ่างเก็บน้ำแก่งละว้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว โดยโครงการปรับปรุงทางระบายน้ำอ่างเก็บน้ำแก่งละว้าดังกล่าวเป็นโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของโครงการชลประทานจังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้เตรียมขออนุมัติงบประมาณดำเนินการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในวงเงิน ๒๓,๙๕๐,๐๐๐ บาท ๒. จากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสถานการณ์อุทกภัยในบริเวณดังกล่าว เห็นสมควรดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ ได้แก่ ๒.๑ ให้จังหวัดสำรวจพื้นที่ที่เกิดปัญหาอุทกภัยแต่ละจุด ว่ามีจุดใดที่มีสิ่งก่อสร้าง ถนน หรือจุดระบายน้ำที่ควรปรับปรุง/แก้ไข และให้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับงบประมาณต่อไป สามารถแบ่งช่วงเวลาการแก้ไขปัญหาออกเป็น ๒ ระยะ คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้จังหวัดเร่งบริหารจัดการให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และการแก้ไขปัญหาระยะยาว ให้มีการขุดลอกแก้มลิงในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเพื่อรองรับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งจะสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างถาวร ๒.๒ ประตูระบายน้ำในพื้นที่บ้านชีกกค้อ ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ เกิดความเสียหาย จำเป็นต้องได้รับซ่อมแซมและปรับปรุงโดยเร่งด่วน จึงเห็นควรพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงทางระบายน้ำอ่างเก็บน้ำแก่งละว้า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และประสานแจ้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือกรมชลประทาน เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓ ให้เขตตรวจราชการที่ ๑๒ ที่มีโครงการขุดลอกแหล่งน้ำในพื้นที่นำแนวทางการขุดลอกของกระทรวงมหาดไทยมาใช้ โดยให้เอกชนผู้ขุดลอกสามารถที่จะนำดินหรือทรายที่ได้จากการขุดลอกไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง ซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนก่อสร้างต่ำหรือเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ประชาชนได้รับประโยชน์จากการมีแหล่งน้ำไว้ใช้และทำให้ทางน้ำไหลสะดวก ลดปัญหาอุทกภัยหรือภัยแล้ง มาทดลองปฏิบัติสำหรับโครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ที่จังหวัดรอของบประมาณ รวมทั้งโครงการ Y2 ที่รอการจัดสรรงบประมาณอยู่ โดยในบริเวณที่เป็นที่สาธารณประโยชน์ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการเกี่ยวกับการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. ๒๕๔๗ และในบริเวณที่เป็นที่ราชพัสดุ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และการใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๖
|
||||||||||||||||||
| 2418 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ | กค | 19/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๓ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่น เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นสำคัญ และการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวสมควรมีการรายงานผลจำแนกตามกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและประโยชน์ที่จะได้รับในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2419 | แนวทางการดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 19/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ที่จะมีการปรับปรุงการกำหนดรูปแบบประเภทบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ราคาบัตร สิทธิประโยชน์/บริการต่าง ๆ และค่าธรรมเนียมการโอนให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการกำหนดค่าตอบแทน (Commission) ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ตามข้อบังคับของบริษัทฯ อยู่แล้ว ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้คณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและผลประโยชน์ของบริษัทฯ ๑.๒ การที่คณะกรรมการบริษัทฯ ควรให้มีการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง โดยได้มีการพิจารณาแล้วว่า การดำเนินการจะก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัทฯ สมาชิก และประเทศ สามารถดำเนินการได้ตามอำนาจของคณะกรรมการบริษัทฯ ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งจะต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจศึกษาในรายละเอียดเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดตั้งบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจทั้งในกรณีรัฐวิสาหกิจถือหุ้นทั้งหมดหรือถือหุ้นเพียงบางส่วน และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำเสนอคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาลงทุนหรือร่วมทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ควรให้มีการพิจารณาวิเคราะห์แผนธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 2420 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้ สำหรับบุคคลธรรมดา) | กค | 19/11/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิ ๑๕๐,๐๐๐ บาทแรก สำหรับเงินได้ทุกประเภทที่คำนวณภาษี ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๐) พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) เพื่อปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิ จากเดิม ๕ ขั้นอัตรา เป็น ๗ ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๗ คงเหลือร้อยละ ๓๕ และให้มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๖ และประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมิให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ในเรื่องนี้ขัดกับหลักการของพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๐) พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนจัดทำมาตรการแนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพิจารณาถึงภาพรวมการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีทั้งระบบที่จะมีผลทั้งในเรื่องฐานการจัดเก็บภาษี และรายได้จากการจัดเก็บภาษี และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
.....
