ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 123 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2441 - 2460 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2441 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๒๘๖ ล้านบาท เป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๖,๐๗๓.๕ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๑๕,๖๔๘.๒ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๒๘ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น เจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติอีกครั้งหนึ่งเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ และตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ (เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗) ตามข้อ ๒ สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๑.๓ อนุมัติให้สำนักราชเลขาธิการเปลี่ยนแปลงวงเงินที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๔ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๑.๕ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมดูแลการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นในภาพรวมของแต่ละปีงบประมาณให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการหรือแผนงานต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล และใช้ประกอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2442 | การสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 ของจังหวัดเชียงใหม่ | มท | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระดับจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำฯ โดยการศึกษาสำรวจข้อมูล ความคิดเห็น และอุปสรรค/ปัญหา ตลอดจนข้อเสนอแนะ เพื่อนำมากำหนดเป็นแนวทางการปรับปรุงพัฒนาศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ และการจัดการประชุมให้มีประสิทธิภาพในระดับสากล ภายใต้กรอบการวิเคราะห์ ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ด้านการคมนาคมขนส่ง ด้านการบริหารจัดการ และด้านการประชาสัมพันธ์ ๒. ข้อเสนอแนะโครงการเพื่อการพัฒนาศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ ๒.๑ การนำผลสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำฯ มาวิเคราะห์ศักยภาพการพัฒนาการเป็น Global MICE City ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ตัวแบบคุณลักษณะและองค์ประกอบสู่การพัฒนาสร้างแบรนด์ Chiang Mai MICE City รวม ๕ ด้าน ได้แก่ สภาพแวดล้อมภายนอก (City External Environment) การผลิตของเมือง (City Production) อุตสาหกรรมสนับสนุน (City Supporting Industries) โครงสร้างของเมือง (City Foundation) และภาพลักษณ์ของเมือง (City Image) พบว่า โดยรวมของจังหวัดเชียงใหม่มีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาไปสู่ MICE City อย่างไรก็ตามในด้านที่จังหวัดเชียงใหม่ยังขาดความพร้อมหรือยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอ ควรได้รับการสนับสนุนเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่ ๒.๒ การพัฒนาศักยภาพของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ เพื่อการพัฒนาไปสู่การเป็น MICE City ในระดับสากล ในด้านการพัฒนาระบบเส้นทางการคมนาคมภายในจังหวัดเชียงใหม่และระหว่างจังหวัดในภาคเหนือตอนบน มีความสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ ซึ่งมีโครงการพัฒนาระบบเส้นทางคมนาคม ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๑ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่-แยกรินคำ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒๑ แนวใหม่ สนามกีฬา ๗๐๐ ปี-อำเภอแม่ริม โครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดทางแยกทางหลวง ๑๒๑ จำนวน ๘ แห่ง โครงการก่อสร้างทางขนาด ๔ ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข ๑๒๑ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่-อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และโครงการศึกษาความเหมาะสมทางหลวงวงแหวน รอบ ๔ (แนวใหม่)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2443 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เฉพาะที่จะดำเนินการในพื้นที่ถนนสายหลัก ในวงเงินลงทุนรวม ๘,๘๙๙.๕๘ ล้านบาท โดยให้ กฟน. เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณูปโภคทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินในคราวเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินงานตามแผนฯ เพิ่มความปลอดภัย และปรับสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของหน่วยงานอื่นที่เห็นควรให้ กฟน. ทบทวนแผนแม่บทโครงการเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๖๕ ที่จะดำเนินการในอนาคต และประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี เป็นต้น เพื่อร่วมกันวางแผนคัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญพื้นที่ที่จะดำเนินการปรับปรุงระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นระบบสายไฟฟ้าใต้ดินตามแผนแม่บทฯ ตลอดจนการวางแผนและกำหนดงบประมาณสำหรับการลงทุนดังกล่าวร่วมกัน และให้ กฟน. กำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินแผนงานฯ อย่างใกล้ชิดและประหยัด รวมทั้งเร่งประสานงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการในการดำเนินงานนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดิน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินการตามแผนงานฯ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงภูมิทัศน์เพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ปัจจุบันยังมีหลายพื้นที่ที่มีการติดตั้งระบบสายไฟฟ้าอากาศอยู่ในระดับความสูงที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. รับไปพิจารณาปรับแผนงานเพื่อเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน และจากกรณีปัญหากระแสไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น จึงควรมีการพิจารณาจัดทำแผนเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และจัดทำระบบสำรองเพื่อลดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้น้อยลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2444 | การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ 23 สิงหาคม 2555 ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2556) | นร | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของแต่ละหน่วยงานรับไปพิจารณาร่างรายงานฯ ดังกล่าวอีกครั้ง หากประสงค์จะปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลในร่างรายงานฯ ให้ส่งให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) ภายในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขและจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ก่อนนำเสนอต่อรัฐสภาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2445 | การจัดทำข้อมูลประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศ | นร04 | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศได้จัดทำเอกสารข้อมูล (Profile) ของประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “MODERN THAILAND” ขึ้น โดยมีข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญของประเทศ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค แผนบริหารจัดการน้ำ การปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น และได้พิมพ์ตราสัญลักษณ์ (Logo) ของประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ รวมทั้งเป็นการให้ข้อมูลและสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนจากต่างประเทศ โดยในระยะต่อไปจะทำเอกสารดังกล่าวเป็นฉบับภาษาไทย และจะทำเอกสารนี้เป็นข้อมูลของแต่ละจังหวัดต่อไปด้วย จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการจัดทำเอกสารข้อมูล (Profile) ของแต่ละจังหวัดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้มีข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ ของจังหวัดให้ครบถ้วน เช่น ยุทธศาสตร์ของจังหวัด พืชผลทางการเกษตร สินค้า ผลิตภัณฑ์ และพืชสมุนไพร เป็นต้น ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐนำตราสัญลักษณ์ของประเทศไทย (Logo) ไปใช้ประโยชน์ในวาระ/โอกาสต่าง ๆ เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้โดยทั่วกัน ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเร่งแจ้งรายละเอียดและแนวทางการใช้ตราสัญลักษณ์ดังกล่าวให้ทุกหน่วยงานทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2446 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" | สสป | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ ส่งเสริมการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณ ประเภท และชนิดของขยะมูลฝอย รวมถึงการส่งผ่านข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปยังประชาชนในท้องถิ่นเพื่อให้ได้รับทราบและตรวจสอบข้อมูลการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนของตนเอง และร่วมมือลดปริมาณ จำนวน และประเภทขยะมูลฝอยทุกชนิดจนให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ๒. ด้านมาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ ส่งเสริมให้ท้องถิ่นออกเป็นข้อบัญญัติของเทศบาลหรือมาตรการการจัดการขยะมูลฝอยที่สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ส่งเสริมให้ภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในการบริหารขยะมูลฝอยอย่างครบวงจรทั้งระบบ และจัดการขยะอันตราย รวมทั้งรัฐควรอำนวยความสะดวกด้วยการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เอกชนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ๓. ด้านงบประมาณและบุคลากร ได้แก่ สนับสนุนหรืออุดหนุนงบประมาณแก่ท้องถิ่นที่มีรายได้ไม่เพียงพอในการจัดการขยะมูลฝอยให้สามารถดำเนินการเดินระบบการจัดการในเบื้องต้นได้ตามความเหมาะสมกับสภาพจริงของท้องถิ่นนั้น ๆ และสนับสนุนให้มีบุคลากรสำหรับดำเนินการจัดการขยะมูลฝอยอย่างเพียงพอ และต้องกำหนดค่าตอบแทนที่ครอบคลุมทั้งเงินเดือนและสวัสดิการในอัตราที่สามารถดำรงชีพได้อย่างไม่ขัดสน ๔. ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยตั้งแต่ระดับครอบครัว จนถึงสังคมเมืองขนาดใหญ่ให้มีความตระหนักในการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยนำกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้ร่วมรับผิดชอบในการจ่ายค่าจัดการขยะมูลฝอยในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของท้องถิ่น ๕. ด้านการใช้เทคโนโลยีจัดการขยะมูลฝอย ได้แก่ สนับสนุนให้มีการบริหารจัดการขยะมูลฝอยแบบรวมกลุ่ม เพื่อให้มีต้นทุนในการดำเนินงานด้วยการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลเพียงพอ ดังที่มีการดำเนินการไปแล้วในบางพื้นที่ เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2447 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การขยายเวลามาตรการภาษีสำหรับวิสาหกิจชุมชน) | กค | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การขยายเวลามาตรการภาษีสำหรับวิสาหกิจชุมชน) มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๕๐๙) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อกำหนดให้เงินได้ของวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนในด้านการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ และพัฒนากลุ่มอาชีพที่ครบวงจรทั้งห่วงโซ่มูลค่า รวมทั้งการหาช่องทางการตลาดหรือช่องทางในการกระจายสินค้า และควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบของกองทุนต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางให้วิสาหกิจชุมชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรเพิ่มบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐให้สนับสนุนการดำเนินกิจการของวิสาหกิจชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2448 | รายงานประจำปี 2555 ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ | สสส. | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๕ ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การบริหารงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรวม ๓,๕๓๑ ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนโครงการใหม่ และโครงการต่อเนื่อง จำนวน ๓,๒๒๔ ล้านบาท ๑.๒ ผลงานเด่นประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ได้แก่ ขยายต้นแบบสถานประกอบการปลอดบุหรี่ ระดมความร่วมมือขยายพื้นที่วัฒนธรรมปลอดเหล้า ความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ขับเคลื่อนมาตรการเพื่อคนไทยปลอดภัยจากแร่ใยหิน สร้างคุณค่าผู้พิการทางสายตาเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะด้านการนวดไทย ร่วมคิดร่วมสร้างจังหวัดอุบลราชธานีเป็นเมืองต้นแบบส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชน เพิ่มพื้นที่สุขภาวะและพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย สร้างสุขภาวะในวัด เสริมสุขภาพที่ดีของพระสงฆ์ สร้างแรงจูงใจใหม่ เพิ่มจำนวนคนไทยออกกำลังกาย ฟื้นฟูชุมชนทั่วไทย และเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ จุดกระแสสวดมนต์ข้ามปี สร้างค่านิยมเริ่มต้นปีใหม่คนไทย ๑.๓ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสส. แล้วเห็นว่า รายงานการเงินแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวของแต่ปีของ สสส. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒. ให้ สสส. รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน ที่เห็นว่า สสส. ควรกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และนำข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ของคณะกรรมการประเมินผลฯ ไปดำเนินการปรับปรุงการดำเนินงานของ สสส. รวมทั้งควรให้มีการจัดทำแผนลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังร่วมกันระหว่าง สสส. กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเห็นควรพิจารณาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของมาตรการ แนวทางการจัดสรรและบริหารจัดการงบประมาณที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานสำหรับลดปัจจัยเสี่ยงและสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะต่อไป ตลอดจนควรมีการทบทวนระบบการควบคุมภายใน และการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องการเน้นการควบคุม/ป้องกันและรับช่วงต่อในการดูแลรักษาผู้ป่วยเรื้อรังอย่างต่อเนื่องไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2449 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และขอยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA | ทก | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยมีรูปแบบการให้บริการขายส่งบริการ (Wholesaler) และผู้ให้บริการขายต่อบริการ (Reseller) บนเทคโนโลยี HSPA เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้บริการรายเดิมและปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสื่อสารไร้สายของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) ให้สามารถแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม รวมทั้งเร่งฟื้นฟูฐานะการเงินเพื่อให้องค์กรอยู่ได้แม้ไม่มีรายได้จากสัญญาสัมปทาน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกฟื้นฐานะการเงิน ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว ๑.๒ อนุมัติให้ยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ส่วนภูมิภาค มูลค่า ๓,๘๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ [เรื่อง โครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)] อนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เนื่องจากหมดความจำเป็นจากการที่ กสท เลือกใช้ระบบ HSPA แทนระบบ CDMA ในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ ๑.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของ กสท ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด ๑.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดควรตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด และกระทรวงการคลังควรพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงาน บทบาท และความจำเป็นในการคงสภาพของรัฐวิสาหกิจในธุรกิจโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันในปัจจุบันและเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ไปดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตรวจสอบรายละเอียดของสัญญา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ กสท และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ ๒. ให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า ในอนาคตหาก กสท มีความประสงค์ที่จะยกเลิกการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ CDMA ทั้งหมด ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวข้องของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และให้ กสท พิจารณาถึงความผูกพันและผลกระทบในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA รวมถึงผลกระทบต่อผู้ใช้บริการระบบดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2450 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล และแผนการขับเคลื่อนมติฯ | สช | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล พร้อมทั้งแผนการขับเคลื่อนมติฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติฯ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ การห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] ให้กระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการในการลดและเลิกการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลให้ชัดเจน โดยเฉพาะในโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้ารวมต่ำกว่า ๑๐ เมกะวัตต์ ๑.๒ การให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการปรับปรุงการจัดทำประมวลหลักการปฏิบัติงาน (COP) โดยให้มีมาตรการควบคุมและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอย่างครอบคลุมด้วย และให้กรมอนามัยในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมในการออกประกาศตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้การประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อไป ๒. ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในประเด็นดังกล่าวว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่เพียงใด หรือมีแนวทางใดที่เหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2451 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ฟิลิปปินส์ | คค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการเจรจาการบินร่วมกัน โดยมีการปรับปรุงเส้นทางการบิน สิทธิความจุความถี่ และเพิ่มเติมข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ซึ่งจะทำให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการให้บริการ และเปิดโอกาสให้สามารถเพิ่มบริการระหว่างกันได้มากขึ้น รวมทั้งจะทำให้การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศทั้งสองขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสาร ธุรกิจการขนส่งสินค้า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้า และการบริการระหว่างทั้งสองประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในระดับรัฐบาลและระดับสายการบินของทั้งสองประเทศต่อไป ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2452 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" | สสป | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กองบัญชาการกองทัพไทย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การพาณิชย์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน สำนักผู้แทนการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการด้านเชิงนโยบาย ได้แก่ ๑.๑ ดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านแบบองค์รวม ๑.๒ จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่จังหวัดชายแดนที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้าและงานบริการ โดยมีการจัดตั้งในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นในจังหวัดที่มีการค้าชายแดน เพื่อปฏิบัติการและอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการการค้าชายแดน ๑.๓ เร่งรัดแก้ไข จัดทำ และเจรจา ข้อตกลง เงื่อนไข กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินงานตามข้อตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นมาตรฐานสากล ๑.๔ เร่งดำเนินการปรับปรุงพิธีการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้าชายแดนให้สอดคล้องกับกฎระเบียบองค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงความร่วมมืออาเซียน รวมถึงข้อตกลงความร่วมมือในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาค ๑.๕ ควรพิจารณากำหนดนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน พร้อมกับผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๑.๖ เร่งดำเนินการพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะในด้าน ๆ แก่บุคลากรให้มีศักยภาพ ๑.๗ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่เกี่ยวกับแผนการพัฒนาเขตพื้นที่จังหวัดชายแดน ในทุกด้านทั้งการวางแผนผังภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ พร้อมรูปแบบโครงสร้างการบริหารจัดการงานบริการ และการบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน ๑.๘ ส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๙ ส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้ง เมืองคู่แฝดทางการค้าระหว่างจังหวัดชายแดนกับจังหวัดในประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑๐ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนที่เกี่ยวกับพื้นที่การพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ประกอบด้วยอาคารโกดังสินค้า พื้นที่การค้า เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณการลงทุน ๒. การดำเนินการด้านเชิงการบริหารจัดการ ได้แก่ ๒.๑ การบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งดำเนินการก่อสร้างอาคารและสถานที่ต่าง ๆ เช่น อาคารบริการด้านสินค้าและบุคคลแบบเบ็ดเสร็จ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า สถานีตรวจปล่อยสินค้า พื้นที่ขบวนการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ถนน ระบบรางและสะพานในจังหวัดที่ขาดความพร้อม เช่น ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี บ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ๒.๒ การบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน โดย ๒.๒.๑ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐาน ถนน ระบบราง และสะพาน เพื่อให้การบริหารจัดการระบบการขนส่งสินค้าและคนให้ไหลเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเร่งรัดการพัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะทางบก ทางราง และทางน้ำ รวมทั้งพัฒนาการขนส่งระบบราง เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในระบบโลจิสติกส์ให้มีต้นทุนการขนส่งต่ำลงสามารถแข่งขันได้ ด้วยการขยายเส้นทางเชื่อมต่อระบบรางไปถึงพื้นที่จังหวัดชายแดนที่สำคัญ ๆ ที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้า และงานบริการ ตลอดจนปรับปรุงการวางผังเมือง การจัดภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่จังหวัดชายแดน เพื่อรองรับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ๒.๒.๒ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งรัดการนำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารมาใช้ในการนำเข้าส่งออก เร่งจัดทำข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศเมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย ในการเดินรถทุกประเภท และในกรณีที่มีการตรวจปล่อยสินค้า ที่จำเป็นต้องมีใบรับรองประเภทต่าง ๆ ที่ต้องสำแดง ณ ด่านศุลกากรกรุงเทพฯ เมื่อมีการตรวจปล่อยที่ด่านอื่น ๆ โดยเฉพาะประตูเศรษฐกิจการค้าและบริการที่เชื่อมต่อ ๔ ประเทศเพื่อนบ้าน ควรมีการปรับปรุงข้อกำหนดให้ยืดหยุ่นกับสถานการณ์การส่งออกในด้านนี้ด้วย ๒.๒.๓ ดำเนินการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดน โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ และข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดนเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงความรู้ด้านการพัฒนาด้านการผลิตของผู้ประกอบการรายย่อย ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนด้านเงินลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการ โดยผ่านระบบของธนาคารในเครือของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2453 | แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑.๑ ผลการดำเนินงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้กำกับกิจการพลังงานตามแผนการดำเนินงานฯ อย่างครบถ้วน โดยมีผลสำเร็จการดำเนินงานที่สำคัญ ๔ ด้าน ได้แก่ การประกอบกิจการพลังงานมีมาตรฐานความปลอดภัย วิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น ด้วยการกำกับผ่านการอนุญาตที่มีการบูรณาการกับหน่วยงานอนุญาตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการขอรับใบอนุญาต การกำกับการจัดหาพลังงานมีความเป็นธรรมและโปร่งใส การมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียเพื่อพัฒนาพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานกำกับกิจการพลังงานและการบริหารงานองค์กรตามเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ๑.๑.๒ การจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ กกพ. ได้ดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ อย่างครบถ้วน สามารถจัดเก็บรายได้ และเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินงาน โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จะจัดเก็บรายได้ฯ ได้จำนวน ๗๙๙.๗๙ ล้านบาท และจะเบิกจ่ายงบประมาณรวมทั้งผูกพันสัญญาได้ จำนวน ๗๙๙.๔๘ ล้านบาท ทั้งนี้ กกพ. อยู่ระหว่างการจัดหาสถานที่ทำการสำนักงาน กกพ. เป็นการถาวร และจัดสรรเงินงบประมาณเหลือจ่ายในปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้ไว้แล้ว จำนวนประมาณ ๑๙๗ ล้านบาท และจะกันเงินเป็นภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม (ถ้ามี) เพื่อให้เพียงพอต่อการจัดหาสถานที่ทำการสำนักงาน กกพ. ๑.๒ เห็นชอบแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่ายและประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีแผนการดำเนินงานฯ ที่สำคัญ ได้แก่ การบูรณาการงานออกใบอนุญาต ให้เป็นแบบบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) เพื่อเสริมสร้างกระบวนการกำกับดูแลกิจการพลังงานให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น การกำกับการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer : VSPP) ให้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ตามแผน PDP และ AEDP การคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้พลังงานและผู้มีส่วนได้เสียด้วยแผนคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่มุ่งเน้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติด้วยการสร้างความตระหนักรู้ผ่านเวทีการมีส่วนร่วม และการบูรณาการงานพิจารณาข้อร้องเรียน/พิพาทของผู้ใช้พลังงาน และผู้มีส่วนได้เสียด้วยการพัฒนาฐานข้อมูลผู้ร้องเรียน รวมทั้งการพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ โดยพัฒนากระบวนการกำกับกิจการพลังงานและการบริหารจัดการสำนักงานให้ทันสมัย สอดคล้องตามเกณฑ์ PMQA ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กกพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนบริหารงบประมาณ โดยมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งคำนึงถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างประหยัด เพื่อให้การใช้จ่ายรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้า เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2454 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ 20 | กห | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๐ เมื่อวันที่ ๑๕-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบว่าความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่จะหมดอายุลงในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ และเห็นว่าความตกลงดังกล่าวเป็นประโยชน์ จึงเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขความตกลงเพื่อให้มีผลต่อไปหรือทำความตกลงฉบับใหม่ โดยดำเนินการตามกฎหมายภายในของแต่ละฝ่ายให้ครบถ้วนก่อนมีผลบังคับใช้ ๒. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อความคืบหน้าในการปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว และเห็นชอบให้มีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น กรณีเร่งด่วน และมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายจะต้องเปิดการประชุมสมัยวิสามัญขึ้นทันที เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาให้จำกัดอยู่ในระดับท้องถิ่น โดยกำหนดจำนวนคณะอนุกรรมการฯ ผู้สังเกตการณ์พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าร่วมประชุม ฝ่ายละไม่เกิน ๒๕ คน ๓. ที่ประชุมสนับสนุนการจัดการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดนไทย-ลาว ครั้งที่ ๑๐ ซึ่งฝ่ายลาวจะเป็นเจ้าภาพต่อไป ๔. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อความสำเร็จในการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนระดับจังหวัดและแขวง สำหรับจังหวัดและแขวงที่ยังไม่ได้มีการประชุมร่วมกัน จะสนับสนุนให้มีการประสานงานและแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง และให้มีการประชุมร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยให้เชิญผู้แทนคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ฝ่ายละไม่เกิน ๒ คน ๕. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนการเยือนซึ่งกันและกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แม่ทัพภาคที่ ๒ และแม่ทัพภาคที่ ๓ ราชอาณาจักรไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ หัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพประชาชนลาว และหัวหน้ากรมใหญ่ตำรวจ กระทรวงป้องกันความสงบ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และแสดงความยินดีที่ฝ่ายลาวจะส่งข้าราชการของกองทัพประชาชนลาวเข้ารับการศึกษาหลักสูตรทางทหารของไทยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วม ไทย-ลาว ว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการตำรวจ ครั้งที่ ๓ ซึ่งฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพต่อไป ๖. ที่ประชุมยินดีต่อผลการหารือระหว่าง ดร. สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กับ ดร. ทองลุน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมของสองประเทศ ในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเห็นชอบที่จะให้การดำเนินการด้านเขตแดนอยู่ภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-ลาว และให้มีการจัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-ลาว ครั้งที่ ๙ ที่ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๗. ที่ประชุมเห็นชอบให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการตรวจพื้นที่ชายแดนร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง แต่ในกรณีมีปัญหาเกิดขึ้น หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายต้องพร้อมกันไปตรวจสอบพื้นที่โดยทันที ๘. ที่ประชุมสนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วม ไทย-ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามลำแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ครั้งที่ ๔ ซึ่งฝ่ายลาวเป็นเจ้าภาพโดยเร็ว ๙. ที่ประชุมเห็นชอบให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และให้แต่ละฝ่ายมีการลาดตระเวนตรวจพื้นที่ชายแดนของตนเพื่อร่วมกันสกัดกั้นและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว และสนับสนุนให้ปฏิบัติตามความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ไทย-ลาว ของบันทึกการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดน ไทย-ลาว ครั้งที่ ๙ อย่างเคร่งครัด ๑๐. ที่ประชุมเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว จัดทำร่างแผนงานประกอบการดำเนินการเพื่อความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน ไทย-ลาว ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๑๑. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปทั้งสองฝ่ายมีการปรับปรุงบัญชีรายชื่อผู้ประสานงานพร้อมระบบการติดต่อสื่อสารที่มีอยู่ในปัจจุบัน ระหว่างคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ระหว่างคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนระดับจังหวัดและแขวง ระหว่างกองกำลังป้องกันชายแดนของไทยกับกองบัญชาการทหารแขวงของลาว รวมทั้งระหว่างหน่วยประสานงานชายแดนประจำพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑๒. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลภายในกรอบของอาเซียนด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด ๑๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้เพิ่มการประสานงานและร่วมมือกันในการป้องกันการลักลอบค้าชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหายตามชายแดนของทั้งสองประเทศ ๑๔. ที่ประชุมเห็นชอบที่จะประสานและสนับสนุนให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองในภาพรวม รวมทั้งชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมืองที่ยังคงเหลือยู่ในไทยส่งกลับให้ลาว ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยเฉพาะชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมือง ให้แจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไขตามแนวทางที่เหมาะสมต่อไป ๑๕. ฝ่ายไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๒๑ โดยจะแจ้งกำหนดเวลาและสถานที่จัดการประชุมให้ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2455 | ขอความเห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2554 กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) | กษ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาทบทวนความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีขอความเห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดย ๑.๑.๑ การขอความช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกส้มโอและทุเรียน เป็นการขอความช่วยเหลือเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกร ประกอบกับพื้นที่ประสบภัยเป็นแหล่งผลิตสำคัญของส้มโอและทุเรียน จึงจำเป็นต้องช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถฟื้นฟูสภาพสวนได้ หากได้รับการช่วยเหลือตามอัตราที่เสนอ เกษตรกรจะต้องถูกหักเงินในอัตราไร่ละ ๕,๐๙๘ บาท ที่เคยได้รับการช่วยเหลือไปแล้วในเบื้องต้นออก ๑.๑.๒ การพิจารณาการช่วยเหลือกรณีส้มโอและทุเรียนที่ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ควรใช้แนวทางการช่วยเหลือเป็นเงินสดเหมือนกับการช่วยเหลือกรณีพืชอื่นซึ่งเกิดภัยในช่วงเดียวกัน ๑.๑.๓ ให้มีการทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรทั้งระบบ และในระยะต่อไปควรมีการปรับปรุงและกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรในรูปแบบอื่น เช่น การให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย และการประกันภัยพืชผลทางการเกษตร ในกรณีของหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย ๑.๒ เห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) วงเงินช่วยเหลือ ๔๕๘,๓๐๒,๘๗๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เนื่องจากสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ เกษตรกรที่จะได้รับการช่วยเหลือกรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) ดังกล่าว จะต้องเป็นเกษตรกรที่ประสบความเสียหายจากการเกิดอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ และจะต้องดำเนินการเพาะปลูกพืชชนิดเดิมที่ได้รับความเสียหาย (ส้มโอ และทุเรียน) เพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้พืชผลไม้ที่มีชื่อเสียงประจำถิ่นคงอยู่สืบไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานและหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผ่าน ธ.ก.ส. ไปยังเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในกรณีนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษที่ต้องการให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยสามารถนำเงินที่ได้รับการช่วยเหลือไปใช้สำหรับการเพาะปลูกและฟื้นฟูส้มโอ และทุเรียน ทดแทนของเดิมที่ได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ผลไม้ที่มีชื่อเสียงประจำถิ่นให้คงอยู่ได้อย่างแท้จริงต่อไป และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2456 | การปรับปรุงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของธนาคารออมสิน | กค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงค่ารักษาพยาบาลบิดา มารดาของพนักงานธนาคารออมสิน จากวงเงินปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท เป็น ๖๐,๐๐๐ บาท และการปรับปรุงค่ารักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลเอกชนและคลินิกประกอบโรคศิลปะ ประเภทผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริง ภายในวงเงินไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท โดยไม่ระบุวงเงินในแต่ละครั้ง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า กระทรวงการคลังควรพิจารณาศึกษาภาพรวมการกำหนดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และประมาณการภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เพื่อพิจารณาหาแนวทางในการพัฒนารูปแบบและกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2457 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2556 | นร | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่ประธาน กพต. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบ จำนวน ๖ เรื่อง ๑.๑.๑ รายงานการปฏิบัติตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ตามวัตถุประสงค์ ข้อ ๘ (เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการพูดคุยในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง และการให้หลักประกันในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการเสริมสร้างสันติภาพ) กรณีการพูดคุยกับผู้มีความเห็นต่าง ที่มีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ๑.๑.๒ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๓ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองยะลาและบ้านพักอาศัย ๑.๑.๔ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๕ การส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนสังคมพหุวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๖ การขอรับโอนโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี ๑.๒ เห็นชอบ จำนวน ๕ เรื่อง ๑.๒.๑ การทบทวนสรุปผลการประชุม กพต. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๒ เรื่อง ได้แก่ การขอขยายระยะเวลาการรับคำขอสินเชื่อโครงการส่งเสริมสินเชื่อผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะ ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ออกไป ๑ ปี ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ และการขอสนับสนุนงบประมาณงานระวังป้องกันเพิ่มเติมจากการขยายระยะเวลาการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๑๐ สายยะลา-เบตง ตอนสะพานข้ามอ่างเก็บน้ำบางลาง เป็นเงิน ๔,๐๒๖,๐๐๐ บาท ของกรมทางหลวง ๑.๒.๒ ร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ๑.๒.๓ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๔ การเพิ่มกรอบอัตรากำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๕ การขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานนราธิวาส ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอสะบ้าย้อย เทพา จะนะ นาทวี) ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบและครอบคลุมข้าราชการทุกประเภท โครงการปรับปรุงหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการจัดสรรเงินอุดหนุนรายบุคคล โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ศาสนาควบคู่สามัญ และประเภทอาชีวศึกษาในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการสร้างหอพัก อาคารเรียน อาคารเอนกประสงค์ ให้กระทรวงศึกษาธิการ และ ศอ.บต. ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เป็นธรรม โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสนับสนุนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบและให้ครอบคลุมข้าราชการทุกคนทุกประเภทที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้พัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี และรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณสำหรับการพัฒนาโครงการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของโครงการจัดสร้างสนามฟุตซอลเพื่อเยาวชนห่างไกลยาเสพติด ไม่หลงผิดในสิ่งที่ไม่ดี มีพลังสร้างสันติสุขชายแดนใต้ ตามแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนสังคมพหุวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้ ศอ.บต. ประสานงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตซอลต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2458 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2459 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2556 | ทส | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง ๑.๑ รับทราบสถานการณ์เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง และการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชย์นาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหล ๑.๔ ให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นำแผนการแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต และรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. แนวทางและขั้นตอนในการจัดทำและพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุมน้ำ ข้อ ๑๐ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๒.๑ เห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ข้อ ๑๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เป็นดังนี้ “ให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ออกตามมาตรา ๔๔ (๓) และมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) ที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแรมซาร์ ไซต์ (Ramsar site) พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ” และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทบทวนคำนิยาม (Definition) ของพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยให้เป็นไปตามความมุ่งหมายของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความชัดเจนเหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินงานของประเทศ พร้อมทั้งทบทวนสถานภาพและปรับปรุงทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความถูกต้องเหมาะสม และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้จัดทำแผนที่แสดงขอบเขตและแนวกันชน (Buffer Zone) สำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติที่ยังไม่มีขอบเขตชัดเจน ๒.๓ เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๒.๔ ให้เร่งรัดการดำเนินการตามมติทุกข้อ เนื่องจากพบว่ามีปัญหาการบูรณะแหล่งน้ำธรรมชาติจากน้ำท่วมใหญ่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากการใช้งบประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง พิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓.๑ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (ฉบับที่ ๔) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ๓.๒ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นชอบองค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานสำนักนายกรัฐมนตรีในการปรับแก้ไขระเบียบดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี) ๔.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ออกตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ลำดับที่ ๖ “การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี ทุกขนาด” และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป” ๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดให้การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด) ๕.๑ เห็นชอบการกำหนดให้อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้กทุกขนาดเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๕.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดประเภทและขนาดของอุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕.๓ เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร และเพิ่มอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถรองรับงานด้านการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และด้านการพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2460 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการการเช่ารถยนต์ (สำนักพระราชวัง) | พว | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักพระราชวังก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๓ วรรคท้าย สำหรับการเช่ารถยนต์ จำนวน ๑๑๐ คัน ในกรอบวงเงิน ๑๐๘,๑๓๒,๗๗๔ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพลางก่อน งบดำเนินงาน ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุจำนวน ๒๑,๖๒๖,๕๕๕ บาท ส่วนที่เหลือให้ใช้งบประมาณปีต่อไป สำหรับอัตราการเช่ารถยนต์ที่เกินกว่าที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้นั้น ให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) พิจารณา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
