ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 127 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2521 - 2540 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2521 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์ส่วนกลางและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | กต | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับเรื่อง ขออนุมัติเช่ารถยนต์ส่วนกลางและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณว่า จากเดิม “อนุมัติทั้ง ๒ ข้อ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ” เป็น “อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ” ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับเรื่อง ขออนุมัติเช่ารถยนต์ส่วนกลางและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ “อนุมัติทั้ง ๒ ข้อ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ” และต่อมาสำนักงบประมาณได้เสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย จึงเห็นควรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
| 2522 | รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดพิจิตร | นร01 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ณ จังหวัดพิจิตร ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และคณะ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบึงสีไฟ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จังหวัดพิจิตรมีแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการขุดลอกบึงสีไฟ งบประมาณ ๘๘,๒๕๒,๐๐๐ บาท และโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบึงสีไฟ งบประมาณ ๔๙,๕๖๑,๐๐๐ บาท และแผนงาน/โครงการที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ได้แก่ โครงการปรับปรุงระดับโครงสร้างทางเพื่อเป็นพนังกั้นน้ำ ถนนรอบบึงสีไฟ สร้างเส้นทางรถจักรยาน และจุดชมวิว งบประมาณ ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ งบประมาณ ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. โครงการชลประทานพิษณุโลกฝั่งซ้าย ระยะที่ ๒ เป็นโครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่ ๓ อำเภอของจังหวัดพิษณุโลก และ ๔ อำเภอของจังหวัดพิจิตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทาน จำนวน ๓๔๐,๘๗๖ ไร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้ จำนวนประมาณ ๓.๓๕ ล้านไร่ ซึ่งรวมถึงโครงการชลประทานพิษณุโลกฝั่งซ้าย ระยะที่ ๒ จังหวัดพิษณุโลก ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒) งบประมาณโครงการ ๙,๗๐๐ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำโครงการนี้ของกรมชลประทานเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จังหวัดพิจิตรมีกองทุนหมู่บ้าน ๑ กองทุน ที่มีการพัฒนากองทุนตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนถึงปัจจุบัน จนได้รับการคัดเลือกเป็นสถาบันการเรียนรู้กองทุนหมู่บ้านชุมชนเมืองแห่งชาติ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ คือ กองทุนหมู่บ้านหนองโสนใต้ หมู่ที่ ๑๖ ตำบลหนองโสน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร โดยกองทุนฯ ได้ยกฐานะเป็นสถาบันการเงินชุมชนตำบลหนองโสน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๘ มีแหล่งเงิน ๓ ส่วน บัญชีที่ ๑ จำนวน ๒,๗๒๓,๐๕๕ บาท บัญชีที่ ๒ จำนวน ๖๓,๐๙๐ บาท บัญชีที่ ๓ จำนวน ๔๐,๖๑๗,๙๙๒ บาท และเป็นสถาบันการเงินชุมชนระดับตำบลแห่งแรกของจังหวัดพิจิตร โดยสถาบันการเงินชุมชนตำบลหนองโสนได้รับการเพิ่มทุนระยะที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๔. โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) มีหมู่บ้านและชุมชน จำนวนทั้งสิ้น ๙๓๐ หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับการโอนเงินตามโครงการฯ แล้ว จำนวน ๙๐๖ หมู่บ้าน/ชุมชน จำนวนเงิน ๓๒๓,๘๐๐,๐๐๐ บาท คงเหลือที่ยังไม่ได้รับการโอนเงิน จำนวน ๒๔ หมู่บ้าน/ชุมชน
|
|||||||||||||||||||||
| 2523 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ | นร07 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวน ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙๐๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรเสร็จสิ้นแล้วรวม ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๓.๐๑๗๘ ล้านบาท โดยหน่วยงานยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) ๒. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุตรดิตถ์ และฉะเชิงเทรา จำนวน ๗๘ โครงการ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๗๗ โครงการ วงเงิน ๑,๗๕๗.๙๐๑๖ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี ๒๕๕๗ จำนวน ๓๖.๐๐๐๐ ล้านบาท หน่วยงานขอรับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๗๐ โครงการ วงเงิน ๑,๔๓๕.๕๑๓๗ ล้านบาท และสำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรให้แล้ว จำนวน ๖๖ โครงการ วงเงิน ๑,๓๕๖.๖๓๒๙ ล้านบาท โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติงบกลางแต่ยังไม่ขอรับการจัดสรร จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๓๒๐.๖๒๐๐ ล้านบาท อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับการจัดสรร คาดว่าจะขอรับการจัดสรรได้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
| 2524 | ร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยสำหรับการส่งออกรังนกจากไทยไปจีน | กษ | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยสำหรับการนำผลิตภัณฑ์รังนกจากไทยไปจีน มีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในระบบการควบคุมตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของรังนกและผลิตภัณฑ์ของราชอาณาจักรไทย และเร่งเปิดตลาดรังนกของไทยส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนหลังจากที่กระทรวงควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (AQSIO) สาธารณรัฐประชาชนจีน ออกมาตรการห้ามนำเข้าชั่วคราว ๑.๒ อนุมัติในหลักการเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยสำหรับการนำผลิตภัณฑ์รังนกจากไทยไปจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับ AQSIO แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการลงนามร่างพิธีสารฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการเตรียมความพร้อมด้านเทคนิคในการให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ รวมถึงการเตรียมความพร้อมของกรมปศุสัตว์ซึ่งจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยเพื่ออนุมัติการขึ้นทะเบียนแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์รังนกที่จะส่งออกจากราชอาณาจักรไทยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านเทคนิคในร่างพิธีสารฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการควบคุมตรวจสอบแหล่งที่มาของนกนางแอ่นและคุณภาพวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์รังนกอย่างเข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพรังนกให้ได้มาตรฐาน และพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครอง ดูแลหรือควบคุมนกนางแอ่นที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ นอกเหนือจากการได้รับสัมปทานรังนก เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนหรือสิ่งแปลกปลอมในผลิตภัณฑ์รังนกส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2525 | รายงานความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ | กค | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการซึ่งเป็นผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเปิดเผยราคากลางของทางราชการ ในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) กรมบัญชีกลางได้มีการพัฒนาระบบ e-GP เพื่อรองรับการเปิดเผยราคากลางที่มิใช่งานก่อสร้าง และได้มีหนังสือแจ้งเวียนแนวทางการเปิดเผยราคากลางของทางราชการในระบบ e-GP ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐให้ถือปฏิบัติ ๑.๒ การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ในเบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแผนการดำเนินงานโดยจะกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางยาในกลุ่มยาที่มีการใช้สูงมาประกาศใช้ก่อน สำหรับกลุ่มอื่นจะใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ไปก่อน สำหรับเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหลักเกณฑ์กำหนดราคากลางยาในบัญชียาหลักและนอกบัญชียาหลัก ซึ่งคาดว่าสามารถจัดทำหลักเกณฑ์ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดทำแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และคู่มือการประเมินราคาการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ (Application Software) ดิจิตอลคอนเทนต์ (Digital Content) และสื่อสร้างสรรค์ (Animation) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถนำไปใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างได้ ซึ่งแนวทางและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ประเภทโปรแกรมประยุกต์ดังกล่าว มีโปรแกรมให้หน่วยงานภาครัฐสามารถกรอกข้อมูลตามแนวทางที่กำหนด สามารถทราบจำนวนเงินที่เป็นราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ได้ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ก่อนเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๔ การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษา สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา ซึ่งคาดว่าจะเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรีได้ภายในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ๑.๕ การกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ สำนักงบประมาณได้ปรับปรุงราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และปัจจุบันสำนักงบประมาณอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการจัดทำราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้สามารถรายงานผลการจัดซื้อครุภัณฑ์ตามบัญชีราคามาตรฐาน และนอกบัญชีราคามาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้เหมาะสม โปร่งใส เป็นธรรม และใช้ในการจัดทำงบประมาณของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลางของหน่วยงานภาครัฐต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รวม ๒๙ ฉบับ) โดยเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีหลักการให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตขึ้นในทุกส่วนราชการ จึงสมควรที่ทุกส่วนราชการจะได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตที่จะจัดตั้งขึ้นดังกล่าวไปดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2526 | รายงานการปรึกษาหารือเรื่องการสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ | สธ | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปรึกษาหารือเรื่องการสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ) เป็นประธานในการปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องร้องเรียนด้านความเป็นธรรมด้านสาธารณสุข มีผู้แทนจาก ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กลุ่มสหภาพแรงงานองค์การเภสัชกรรม และกลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพโรงพยาบาลชุมชน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมชี้แจงและหาแนวทางแก้ไข สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้แก่ รัฐต้องไม่ใช้ระบบร่วมจ่าย (Co-Payment) ในระบบหลักประกันสุขภาพ ให้ยกเลิกการเก็บ ๓๐ บาทในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้การจัดหา (จัดซื้อ) บริการสาธารณสุขเป็นหน้าที่ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยุติการแทรกแซงการบริหารของ สปสช. และคืนความเป็นธรรมและเยียวยาแก่ นพ. วิทิต อรรถเวชกุล ๒. ข้อเสนอของสหภาพแรงงานองค์การเภสัชกรรม ได้แก่ รัฐต้องไม่แปรรูปองค์การเภสัชกรรม การให้เงินสะสมขององค์การเภสัชกรรมในเรื่องการย้ายสถานที่ขององค์การเภสัชกรรม และการใช้เงินตามโครงการสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐโดยมิชอบ เช่น กรณีสั่งจ่ายเงิน ๗๕ ล้านบาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๓. ข้อเสนอของเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพโรงพยาบาลชุมชน มีข้อเสนอ ๔ เรื่อง คือ การคงเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับ ๔ และ ๖ เหมือนเดิม การปรับปรุงระบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้เป็นธรรมกับวิชาชีพอื่น ๆ การตั้งคณะกรรมการที่มีส่วนร่วมทบทวนการกำหนดพื้นที่ การยกเลิกการใช้ P4P ในโรงพยาบาลชุมชน และมีข้อสรุป ดังนี้ ๓.๑ ผลการปรึกษาหารือเป็นที่เข้าใจได้ว่าทุกฝ่ายเห็นด้วยกับหลักการของระบบค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน หรือ พีฟอร์พี (P4P) ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพการบริการต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เห็นด้วยว่าการคงบุคลากรทางการแพทย์ให้อยู่ในชนบท ซึ่งมาตรการหนึ่งที่จำเป็นคือมาตรการทางการเงิน และเห็นด้วยว่าต้องมีมาตรการลดความเหลื่อมล้ำของรายได้บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้โดยไม่ดึงผู้มีรายได้สูงลงมา แต่จะหาวิธีฉุดผู้มีรายได้น้อยขึ้นไป ซึ่งการทำ P4P เป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยได้ ๓.๒ ที่ประชุมเข้าใจตรงกันว่า การทำ P4P มีบริบทในการทำงานของแต่ละหน่วยบริการมีความแตกต่างกัน หลักการที่สำคัญที่สำคัญที่สุดคือต้องมีกติกากลางกำหนดขึ้นมา เพื่อให้แต่ละหน่วยบริการใช้ดำเนินการไม่ให้มีความแตกต่างหรือเกิดปัญหามากขึ้น เช่น ด้านความมั่นคง ไม่ใช้เงินมากเกินไป ขณะที่มีปัญหาค่าใช้จ่ายในสถานพยาบาลอยู่แล้ว สามารถนำรายละเอียดปลีกย่อยไปปรับให้เหมาะสมกับหน่วยบริการแต่ละระดับได้ ๓.๓ ที่ประชุมเห็นต้องกันว่า จะทำ P4P ที่เป็นไปตามบริบทของพื้นที่ ที่จัดให้เหมาะสมตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงรายละเอียด หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและเตรียมความพร้อมให้สำนักเร่งรัดพัฒนาชนบททุกแห่งสามารถทำ P4P ได้ และระหว่างนี้โรงพยาบาลที่ได้มีการดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ อาจมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำ P4P จะต้องได้รับการชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ทำที่เกิดจากความไม่พร้อมของกระทรวงสาธารณสุขอันเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนของข้อมูล จนไม่สามารถที่จะทำได้ก็จะได้รับการชดเชย แต่ทั้งนี้ การชดเชยจะไม่รวมถึงผู้ที่ไม่ทำ เพราะจะเป็นอันตรายทางด้านจริยธรรม ๓.๔ โดยที่มีความเห็นตรงกัน จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน ๑ ชุด ซึ่งมาจากบุคลากรทุกวิชาชีพ สถานบริการแต่ละระดับ เนื่องจาก P4P เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหลายวิชาชีพ โดยจะถือหลักการทำงานด้วยเหตุและผล ไม่ใช้วิธีการตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งกำหนดไว้ว่าจะดำเนินการให้ได้ข้อสรุปภายใน ๖๐ วัน เตรียมพร้อมก่อน ๒ เดือน ก่อนที่จะดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยคณะทำงานดังกล่าวทำหน้าที่ ๒ ประการ คือ ๓.๔.๑ ปรับปรุงกฎหมายระเบียบ ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาอุปสรรคหรือไม่สอดคล้องแต่ละพื้นที่หรือระดับของหน่วยบริการให้ชัดเจน เพื่อเป็นหลักการที่ทุกคนต้องทำ เพื่อพัฒนา P4P ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยบริการแต่ละระดับ และให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอยู่ในระบบได้ ๓.๔.๒ คิดมาตรการชดเชย เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายตามฉบับ ๘ และการทำ P4P ตามฉบับ ๙ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ได้มีการดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ รวมถึงผู้ต้องการจะทำ P4P แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ อันเนื่องจากความไม่พร้อมของกระทรวงสาธารณสุข ที่ไม่สามารถสนับสนุนการทำ P4P หรือความไม่ชัดเจนของข้อมูลจนโรงพยาบาลไม่สามารถที่จะทำได้ก็จะได้รับการชดเชย แต่มาตรการนี้จะไม่ครอบคลุมถึงผู้ที่ตั้งใจต่อต้านหรือจะไม่ทำ เพราะจะเป็นอันตรายทางด้านจริยธรรม
|
|||||||||||||||||||||
| 2527 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ ๙-๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๒.๗๑ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๒ ได้แก่ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาริมบึงบอระเพ็ด วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๒๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกำแพงเพชร ได้แก่ โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก วงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองแม่ระกา วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ โครงการขุดลอกแควตากแดดบริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม.๘๖+๐๐๐-กม.๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำ บ้านดอนเพชร หมู่ที่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ที่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๒. ให้จังหวัดพิจิตรปรับปรุงข้อเสนอโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีภายใต้กรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๔. เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๑๗๗ โครงการ วงเงินรวม ๗๑,๗๔๗.๗๖ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีเพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน
|
|||||||||||||||||||||
| 2528 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดอุทัยธานี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ในพื้นที่จังหวัดนครสรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท (๒ ) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และ (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดพิจิตร วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ความเห็นของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของ ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดนครสวรรค์ เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายปลาริมบึงบอระเพ็ด ตำบลเกรียงไกร อำเภอเมือง วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตำบลเนินศาลา อำเภอโกรกพระ และตำบลจันเสน อำเภอตาคลี วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำจำนวน ๓ แห่ง ตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง และตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย วงเงิน ๓๒.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก อำเภอเมือง วงเงิน ๓๘.๖๒ ล้านบาท (๒) โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง อำเภอเมือง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท (๓) โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) ตำบลโค้งไผ่ อำเภอขาณุวรลักษบุรี วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการขุดลอกคลองแม่ระกา ตำบลท่าไม้ ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดพิจิตร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง ฯ จำนวน ๘ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการขุดลอกศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) ตำบลบึงนาราง และตำบลบางลาย อำเภอบึงนาราง วงเงิน ๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด หมู่ที่ ๕ ตำบลแหลมรัง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร-นาตาเซา หมู่ ๑๒ ตำบลวังชะโอน อำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร วงเงิน ๑๘.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ ตำบลไทรโรงโขน ตำบลดงตะขบ อำเภอตะพานหิน ตำบลบางไผ่ อำเภอบางมูลนาก วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท (๔) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน หมู่ที่ ๔ ตำบลไผ่หลวง อำเภอตะพานหิน วงเงิน ๑๒.๐๐ ล้านบาท (๕) โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไปตำบลท่าหลวง อำเภอเมืองพิจิตร วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท (๖) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายแยก ทล.๑๑๕-วัดสวนโพธิบัลลังค์ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๑.๒๐ ล้านบาท (๗) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายกลางหมู่บ้าน หมู่ ๔ บ้านมาบฝาง-หมู่ ๘ บ้านดงยาง ตำบลบึงบัว อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และ (๘) โครงการซ่อมสร้างผิวทางจราจรถนนลาดยาง หมูที่ ๖ บ้านสระประทุม-หมู่ที่ ๗ บ้านหนองคล้า-หมู่ที่ ๑๐ บ้านหนองนาร้าง ตำบลไผ่รอบ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง วงเงิน ๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดอุทัยธานี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำบ้านดอนเพชร หมู่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการขุดลอกแควตากแดด บริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า อำเภอเมือง วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม. ๘๖+๐๐๐-กม. ๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) อำเภอบ้านไร่ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ ให้จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณโครงการให้เหลือจังหวัดละไม่เกิน ๑๐๕ ล้านบาท โดยจังหวัดกำแพงเพชรได้ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก เหลือวงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท จังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง เหลือวงเงิน ๒๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้จังหวัดพิจิตรทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดจัดทำข้อเสนอโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ๓.๑ จังหวัดพิจิตร ๓.๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ (ขุดลอกบึงสีไฟ) โดยให้จังหวัดพิจิตรจัดทำรายละเอียดโครงการที่มีลักษณะบูรณาการของกิจกรรมทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยว และการพัฒนาอาชีพ โดยประสานงานกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการนอกกรอบงบ ๑๐๐ ล้านบาท จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๘ ตอนควบคุม ๐๑๐๑ ต่อเขตเทศบาลบางมูลนาก-กม. ๒๒+๐๐๐ (๒) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องทางจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม และ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๙ ตอนบางมูลนาก-ตลิ่งชัน โดยให้แขวงการทางพิจิตรจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และเสนอกรมทางหลวงเพื่อบรรจุในแผนงานประจำปีเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี ๒๕๕๘ หรือ ปีอื่น ๆ ถัดไปตามความจำเป็นเร่งด่วน ๓.๒ จังหวัดอุทัยธานี ๓.๒.๑ ให้จังหวัดและกรมชลประทานพิจารณาศักยภาพรอบเขื่อนวังร่มเกล้า กรณีปรับภูมิทัศน์แล้วอาจสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ๓.๒.๒ ให้กรมชลประทานและสำนักงบประมาณหารือปรับปรุงการขอจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๗ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการวางท่อส่งน้ำจากสถานีสูบน้ำบ้านจักษามาถึงแก้มลิงตำบลเขาขี้ฝอย เขื่อนวังร่มเกล้า ในส่วนที่ยังขาดอยู่เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ๓.๒.๓ โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสำรวจออกแบบการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์สู่ลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มน้ำสะแกกรัง งบประมาณ ๔๐ ล้านบาท ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งนี้เป็นวงเงินนอกกรอบ ควรมีการศึกษาความทับซ้อนด้านกฎหมายของส่วนราชการที่ถือปฏิบัติแต่ละหน่วยงาน ประเด็นที่อาจเป็นข้อร้องเรียนของ NGO ตลอดจนแนวทางการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ดำเนินการและควรให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการความร่วมมือสำหรับการดำเนินการแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน ๓.๓ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบโครงการตามที่วัดพระบรมธาตุเจดียารามได้นำเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเมืองเก่านครชุมเพิ่มเติม โดยให้จังหวัดหารือร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลนครชุม สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกำแพงเพชร และกรมศิลปากร เพื่อจัดทำรายละเอียดโครงการพร้อมประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หรือให้บรรจุโครงการไว้ในแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอุทยานประวัติศาสตร์ (สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร) ที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||
| 2529 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. .... | ศธ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. .... ที่แก้ไขปรับปรุงจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น ๑.๒ กำหนดวัตถุประสงค์ ภาระหน้าที่ การแบ่งส่วนงาน หลักเกณฑ์ การจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกส่วนงาน การรับสถานศึกษาอื่นเข้าสมทบ และอำนาจหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ๑.๓ กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้นและรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุน รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และให้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมีผู้อุทิศให้หรือได้จากการซื้อหรือแลกเปลี่ยนไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุและให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วยนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้ดำรงตำแหน่งและคณาจารย์ประจำตามที่กำหนด กำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาคณาจารย์ สภาพนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย คณะกรรมการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัย คณะกรรมการการเงินและทรัพย์สินมหาวิทยาลัย คณะกรรมการอุทธรณ์ ร้องทุกข์และพิทักษ์ระบบคุณธรรมประจำมหาวิทยาลัย และคณะกรรมการอื่นที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง โดยให้องค์ประกอบ ที่มาของกรรมการ อำนาจหน้าที่เป็นไปตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมเป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๑.๖ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย ประกอบด้วยอธิการบดีเป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง และให้คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๘ กำหนดให้มหาวิทยาลัยอาจจัดตั้งวิทยาเขตซึ่งทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนได้ ๑.๙ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา และการประเมินการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการบัญชีและการตรวจสอบทางบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัย ให้อธิการบดีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับและดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของมหาวิทยาลัย ๑.๑๑ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การดำรงตำแหน่ง และคณะกรรมการต่าง ๆ ส่วนราชการ การโอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานของมหาวิทยาลัย ตำแหน่งทางวิชาการ ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการกู้ยืมเงิน การให้กู้ยืมเงิน การลงทุน หรือการร่วมลงทุน เห็นควรกำหนดกรอบเพดานการกู้เงินให้ชัดเจน โดยอาจใช้เกณฑ์การกู้เงินต่องบประมาณประจำปี หรือใช้เกณฑ์ยอดหนี้คงค้างต่อปีในการกำหนดกรอบเพดานการกู้เงินตามที่เห็นสมควร ส่วนการกำหนดให้มหาวิทยาลัยนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารพาณิชย์ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน รวมทั้งควรกำหนดให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัยในกรณีรายได้ของมหาวิทยาลัยมีจำนวนไม่เพียงพอตามความจำเป็น เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานะการเงินการคลังของประเทศ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับพันธกิจในการพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัยขอนแก่นสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำในระดับนานาชาติ การพัฒนาและวางระบบการบริหารการเงินการคลังที่เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อการวางแผนการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้สามารถรองรับการพัฒนาประเทศ และการติดตามประเมินผลเพื่อหาจุดที่คุ้มทุนในการจัดการศึกษาของแต่ละสาขาวิชา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2530 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระหว่างกัมพูชากับไทย ครั้งที่ 4 | พณ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างกัมพูชากับไทย ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในภาคเกษตร ได้แก่ การส่งเสริมความคิดริเริ่มของภาคเอกชน โดยครอบคลุมถึงการจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน และสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน และการจัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษด้านสินค้าเกษตร” “สมาพันธ์ผู้สีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน” และ “สมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน” ๑.๒ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกัน ได้แก่ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้นและปรับปรุงการจัดการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างไทยและกัมพูชา ในด้านการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจร ความร่วมมือบ้านพี่เมืองน้อง จุดผ่านแดน ตลาดนัดชายแดน และสินค้าผ่านแดน ๑.๓ การส่งเสริมและการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน ได้แก่ การผลักดันและอำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ การประชุม กิจกรรมการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจ ให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น การแต่งตั้งผู้ประสานงานใน ๓ ระดับ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ สถานทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) และจังหวัดชายแดนของไทยและกัมพูชา การเพิ่มความโปร่งใสโดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกความร่วมมือของภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือภายใต้สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา การสรุปผลการจัดทำและบังคับใช้ความตกลงเพื่อการยกเว้นภาษีซ้อนโดยเร็วที่สุด การส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชาในสาขาที่สำคัญลำดับแรกที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน การทำให้ง่ายขึ้นและปรับประสานพิธีการศุลกากร โดยการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดี และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมจุดพักรถที่จังหวัดโพธิสัตว์ให้เป็นศูนย์แสดงและกระจายสินค้า โดยเฉพาะ OTOP ๑.๔ การให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการ ได้แก่ การจัดทำแผนความร่วมมือด้านวิชาการไทย-กัมพูชา ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ และการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่กัมพูชาต่อไป โดยครอบคลุมการฝึกอบรม สัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ ในสาขาที่สำคัญลำดับแรก ได้แก่ นโยบายการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการบริหารจัดการตลาด ๑.๕ ความร่วมมือการขนส่งข้ามพรมแดน ได้แก่ การยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมอย่างไม่เป็นทางการบนเส้นทางขนส่งระหว่างไทยกับกัมพูชา การพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำระบบ E-passport มาใช้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ณ จุดผ่านแดนอรัญประเทศ-ปอยเปต และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจังตั้งช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ด่านพรมแดน ๑.๖ ขอความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การจัดกิจกรรมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก ACMECS Single ViSa ระหว่างไทยกับกัมพูชา ๑.๗ ความร่วมมือด้านการส่งออกสินค้าเกษตร ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อพิจารณาแผนความร่วมมือในการปรับปรุงกระบวนการส่งออกและนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังให้ง่ายขึ้น และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาห่วงโซ่สินค้าเกษตร ๑.๘ ความร่วมมือด้านการลงทุน ได้แก่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน อาทิ การจับคู่ธุรกิจ และการจัดคณะผู้แทนด้านการลงทุนบริเวณพื้นที่ชายแดน อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งผลักดันการจัดทำข้อตกลงการเก็บภาษีซ้อนระหว่างกันให้ได้ผลสำเร็จโดยเร็ว รวมทั้งการกำหนดแนวทางและมาตรการในเชิงป้องกันปัญหาในมิติด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และการขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงควบคู่กันไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปประสานงานและบริหารจัดการช่วงเวลาและปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังจากกัมพูชามายังไทยให้เหมาะสมและไม่เกิดผลกระทบต่อปริมาณและราคาผลผลิตในประเทศของไทยด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2531 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ส่งใบสั่งทางไปรษณีย์) | มท | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๔๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่พบการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกหรือกฎหมายอื่นเกี่ยวกับรถ สามารถส่งใบสั่งไปยังภูมิลำเนาของเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรตรวจพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงยุติธรรมไปหารือร่วมกันเพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตขับขี่ การกำหนดระยะเวลาในการขับขี่ ตลอดจนการจัดตั้งศาลจราจร เป็นต้น อย่างบูรณาการเพื่อเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น ทั้งสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2532 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมเกษตรแปรรูปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : กรณีข้าว | สว | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมเกษตรแปรรูปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : กรณีข้าว พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในประเด็นเกี่ยวกับการวิจัยข้าวไร้ทิศทาง การส่งเสริมเกษตรแปรรูปข้าว การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการแปรรูป การกำหนดนโยบายการวิจัยและพัฒนาในเชิงพาณิชย์ ผลการดำเนินการส่งเสริมเกษตรแปรรูปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การปรับปรุงกระบวนการผลิตข้าว ปัญหาเรื่องสิทธิทางปัญญาของงานวิจัยนวัตกรรมจากแป้งข้าวเจ้าเป็นเครื่องสำอาง และมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกรด้านการตลาด ตามรายงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2533 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2556 | กค | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๕,๑๒๑,๓๐๐.๗๓ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๔.๑๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๕๕๖,๔๖๐.๖๒ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๖๔,๗๔๖.๑๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๔๙๔,๕๓๒.๐๓ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๕,๕๖๑.๙๑ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ไม่มีหนี้คงค้าง ทั้งนี้ หนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าวจำแนกตามอายุของหนี้ เป็นหนี้ระยะยาว จำนวน ๔,๙๕๙,๐๕๖.๖๗ ล้านบาท และหนี้ระยะสั้น จำนวน ๑๖๒,๒๔๔.๐๖ ล้านบาท และจำแนกตามแหล่งที่มา เป็นหนี้ต่างประเทศ จำนวน ๓๓๔,๙๙๐.๓๓ ล้านบาท และหนี้ในประเทศ จำนวน ๔,๗๘๖,๓๑๐.๔๐ ล้านบาท ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ประกอบด้วย ๔ แผนย่อย และได้ปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ ซึ่งหลังการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๐๖๙,๙๑๕.๓๒ ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๘๖๑,๐๘๑.๒๖ ล้านบาท ๑.๓ สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๖ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๗๘๘,๒๐๔.๕๕ ล้านบาท โดยมีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๔๖ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี สำหรับผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๖ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๗๒,๘๗๖.๗๑ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับสัดส่วนของยอดหนี้สาธารณะคงค้างในปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามรายจ่ายภายใต้แผนการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ รวมถึงแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ จึงเห็นควรให้มีการเตรียมการในการกำกับดูแลและบริหารจัดการหนี้สาธารณะของประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2534 | การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ (รอบ ๑๒ เดือน) เบื้องต้นของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเมื่อสำนักงาน ก.พ.ร. ได้รับผลการประเมินที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แล้ว ขออนุมัติเป็นหลักการในการปรับปรุงแก้ไขผลคะแนนให้มีความครบถ้วน เพื่อนำไปใช้จัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาต่อไป ๑.๒ เห็นชอบการขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๔๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จำนวน ๑,๔๐๐ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีเงินงบประมาณเหลือจ่าย และขอทำความตกลงตามขั้นตอนกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 2535 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิตในส่วนของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) ประจำเดือนมีนาคม 2556 | นร | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน ๑.๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กรมการพัฒนาชุมชนได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเรื่องการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัด โดยแจ้งว่ากรมการพัฒนาชุมชนได้โอนให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดดำเนินการตามจำนวนที่ได้รับการจัดสรรจากคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลประชากรจังหวัดตามฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง ณ สิ้นปี ๒๕๕๓ แบ่งเป็น ๓ ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็กไม่เกิน ๖๐๐,๐๐๐ คน จำนวน ๓๕ จังหวัด ๆ ละ ๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขนาดกลางตั้งแต่ ๖๐๐,๐๐๑ คน-๑,๐๐๐,๐๐๐ คน จำนวน ๒๒ จังหวัด ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และขนาดใหญ่ตั้งแต่ ๑,๐๐๐,๐๐๑ คน ขึ้นไป จำนวน ๑๙ จังหวัด ๆ ละ ๑๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒. กองทุนตั้งตัวได้ กระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาสถาบันการศึกษาที่สามารถขอจัดตั้งเป็น ABI (Authorized Business Incubator) และให้ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนตั้งตัวได้จัดทำ TOR การจัดตั้ง ABI เพื่อประกาศใช้ต่อไป ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการบ่มเพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจ (กองทุนตั้งตัวได้) วงเงิน ๑,๓๐๐ ล้านบาท โดยมอบงบประมาณดังกล่าวให้กระทรวงศึกษาธิการไปดำเนินการทั้งหมด ๒. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ ๒.๑ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลด้านบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ในการบริการเรียกเก็บ (Claim center) ค่าบริการสาธารณสุขของสถานพยาบาลต่าง ๆ ๒.๒ การคุ้มครองสิทธิ ได้มีการปรับปรุงข้อบังคับว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะหรือพิการ บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นจากอัตราเดิม ๒.๓ การบริการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีการพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง และเสนอขอเพิ่มเติมรายการ “งบเพิ่มเติมด้านค่าแรงของหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข” ในข้อเสนองบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ๒.๔ การสร้างความมั่นคงทางการเงินการคลังของหน่วยบริการ ได้แก่ การติดตาม กำกับ และตรวจสอบหน่วยบริการที่มีภาวะวิกฤติทางการเงิน การอบรมการจัดทำต้นทุนบริการให้กับกลุ่มโรงพยาบาลที่มีภาวะวิกฤติทางการเงินเรื้อรัง การพัฒนาเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง การเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลังระดับเขตและระดับจังหวัด และการสนับสนุนการจัดทำข้อเสนอการบริหารงานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคระดับเขต ๓. จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน ๓.๑ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดประชุมหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เพื่อจัดทำข้อมูลจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของโรงเรียนในแต่ละหน่วยงาน และการจัดซื้อในแต่ละโซน โดยให้แต่ละหน่วยงานที่เป็นเจ้าของงบประมาณแยกทำสัญญาตามผลการประกวดราคา และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแต่ละหน่วยงานต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้ สพฐ. ดำเนินการเฉพาะขั้นตอนการจัดหาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบและอนุมัติ ๓.๒ สพฐ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการประกวดราคาการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งได้มีการพิจารณาร่าง TOR จัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับ ๙ หน่วยงาน ขณะนี้ ร่าง TOR เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการขออนุมัติ TOR เพื่อจัดซื้อ
|
|||||||||||||||||||||
| 2536 | การปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม) | นร09 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวง รวม ๔ ฉบับ ที่ได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ดังต่อไปนี้ สำนักบริหารกลาง กองพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ๑-๒ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ ๑-๑๑ สำนักบริหารยุทธศาสตร์ สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม สำนักพัฒนาผู้ประกอบการ สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน และสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ดังต่อไปนี้ สำนักบริหารกลาง กองบริหารยุทธศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักกฎหมาย สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต ๑-๓ สำนักบริหารสิ่งแวดล้อม สำนักโลจิสติกส์ สำนักวิศวกรรมและฟื้นฟูพื้นที่ สำนักเหมืองแร่และสัมปทาน และสำนักอุตสาหกรรมพื้นฐาน ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ดังต่อไปนี้ สำนักงานเลขานุการกรม กองกฎหมาย กองกำหนดมาตรฐาน กองควบคุมมาตรฐาน กองตรวจการมาตรฐาน ๑-๓ กองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน กองบริหารมาตรฐานระหว่างประเทศ กองบริหารยุทธศาสตร์ กองส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานแห่งชาติ ๔. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม ดังต่อไปนี้ สำนักงานบริหารกลาง กองความร่วมมือการลงทุนต่างประเทศ กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ ศูนย์บริการลงทุน ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ ๑-๖ สำนักการตลาดเพื่อการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศ สำนักบริหารการลงทุน ๑-๔ สำนักพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุน สำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน และสำนักสารสนเทศการลงทุน
|
|||||||||||||||||||||
| 2537 | การเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 5 | นร04 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ของกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ดังนี้
๑. การหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) กับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ประเด็นติดตาม อาทิ การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีรัสเซีย การเร่งรัดเจรจาความตกลงทวิภาคีที่ยังคั่งค้างให้แล้วเสร็จเพื่อให้มีการลงนามในช่วงการเยือนระดับสูง การขายสินค้ายุทโธปกรณ์ เครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ของรัสเซีย การลงทุนในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค และโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย การขยายการนำเข้าสินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าเกษตร การจัดโครงการและกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้พลังงานปรมาณูของสหพันธรัฐรัสเซียกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ และการเข้าร่วมการประชุม Asian and Pacific Energy Forum (APEF 2013) ที่เมืองวลาดิวอสต็อก ปี ๒๕๕๖ การพิจารณาการต่อยอดทุนรัฐบาลรัสเซียที่มอบให้แก่นักศึกษาไทย การเร่งรัดดำเนินโครงการชำระเอกสารทางประวัติศาสตร์ ไทย-รัสเซีย ช่วงที่ ๒ การสานต่อการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่จัดขึ้นเพื่อฉลอง ๑๑๕ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี ๒๕๕๕ การเร่งรัดการเจรจาร่างพิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ การสนับสนุนให้มีการเรียนการสอนภาษารัสเซียเพิ่มมากขึ้นในมหาวิทยาลัยไทย และการเรียนการสอนภาษาไทยในรัสเซีย การเร่งรัดจัดทำแผนการดำเนินกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ค.ศ. ๒๐๑๒-๒๐๑๔ การติดตามผลการพิจารณาการขอเสียงสนับสนุนจากรัสเซียในการสมัครของไทยในฐานะสมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และการสนับสนุนรัสเซียในการสมัครเป็นสมาชิก ECOSOC รวมทั้งการหารือและรับรองร่าง Declaration on the Framework Principles of Strengthening Security and Developing Cooperation in the Asia-Pacific Region สำหรับการประชุมสุดยอด EAS ในปี ๒๕๕๖ และการสนับสนุนการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น ๒. การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๕ ประเด็นติดตาม อาทิ ความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซียในกรอบองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศและอนุภูมิภาคี การสานต่อการดำเนินแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซียระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๐-๒๐๑๔ การเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียให้เพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๖ การเร่งรัดเจรจาและลงนามในร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย การเร่งรัดและติดตามฝ่ายรัสเซียให้ออกใบอนุญาตการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของสถานประกอบการไทยไปรัสเซียเพิ่มเติม การเร่งรัดและติดตามการปรับปรุงรายชื่อสถานประกอบการสินค้าประมงไทยที่ได้รับการอนุมัติให้ส่งออกสินค้าประมงไปยังรัสเซียในเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายรัสเซีย การเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตร อาทิ ยางพารา ข้าว ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลาและอาหารทะเล สับปะรด การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสการลงทุน ตลอดจนโครงการและความคิดริเริ่มด้านการลงทุนสองฝ่าย การส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง “Gazprombank” กับธนาคารในประเทศไทย การเร่งรัดการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานไทยกับรัสเซีย การขยายการเชื่อมโยงด้านการบินระหว่างรัสเซียและไทย และการจัดการหารือเกี่ยวกับการเปิดเสรีด้านการให้บริการทางอากาศในปี ๒๕๕๖ การเร่งรัดการจัดทำแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างรัสเซียและไทยระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๓-๒๐๑๕ การจัดตั้งความร่วมมือด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการจัดการน้ำและเทคโนโลยีชลประทาน การผลักดันให้มีผลบังคับใช้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศสมาชิกอาเซียน การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงนามในร่างปฏิญญาร่วมเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศในอาณาเขตของไทยและรัสเซีย การสานต่อการเจรจาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และการสานต่อความร่วมมือเพื่อต่อต้านการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 2538 | ผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย | สม | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรมีการกำหนดนโยบายในการพัฒนาด้านการจัดการศึกษาโดยครอบครัวให้มีความชัดเจน รวมทั้งควรมีการเชื่อมโยงการศึกษาทั้ง ๓ ระบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรเร่งรัดในการจัดทำคู่มือการดำเนินงานการจัดการศึกษาโดยครอบครัวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยหลังจากที่ได้มีการใช้คู่มือฯ ดังกล่าวแล้ว ควรมีการรับฟังปัญหาจากการใช้คู่มือฯ และการประเมินผลร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ สพฐ. ควรเร่งรัดการดำเนินการตามที่ได้จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาโดยครอบครัวเป็น ๒ ระยะ คือ การดำเนินงานระยะยาว และการดำเนินงานในปีงบประมาณถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามประเด็นปัญหาที่ได้มีการวิเคราะห์และได้กำหนดเป้าหมายเพื่อการจัดทำแผนงานการพัฒนาระบบการจัดการศึกษาโดยครอบครัวไว้แล้ว ๑.๔ สพฐ. ควรเร่งประสานงานและหารือไปยังหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาประเด็นการเรียนวิชาทหารหรือการเรียนรักษาดินแดน (รด.) โดยเฉพาะปัญหาการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และให้สิทธิกับผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย ในการสมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหาร ๑.๕ สพฐ. ควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว ผู้ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาโดยครอบครัวและเป็นการส่งเสริมให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน รวมทั้งการจัดอบรมและให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องการจัดการศึกษาโดยครอบครัว ๑.๖ สพฐ. ควรหารือไปยังกรมบัญชีกลางและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณ งบเงินอุดหนุนการจัดการศึกษาโดยครอบครัวของผู้ร้องที่ ๒ (ตามคำร้องที่ ๑๖๒/๒๕๕๕) เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ๑.๗ สพฐ. ควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการจัดการศึกษาโดยครอบครัว และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีและการมีทัศนคติที่ดีต่อกันในการดำเนินงานต่อไปในอนาคต ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาดำเนินการเพื่อรองรับให้ผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจาก กศน. ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย สามารถเข้าสังกัดสถานศึกษาวิชาทหารในเขตพื้นที่ได้ สำหรับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ข้อที่ ๑.๖ ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติสำหรับส่วนราชการไว้แล้ว หากกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ จะก่อให้เกิดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในการที่จะได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว และเห็นควรส่งเสริมการจัดการศึกษาทางเลือกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการผลักดันพระราชบัญญัติการศึกษาทางเลือก ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสม โดยเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ รวมทั้งควรมีระบบข้อมูลการจัดการศึกษาโดยครอบครัวที่ทันสมัย และมีการติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาอย่างเป็นระยะและมีความต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||
| 2539 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็น เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 260 ปี แห่งการสถาปนา พระพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา | นร04 | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๖๐ ปี แห่งการสถาปนาพระพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา ในกรอบวงเงิน ๓๘,๖๑๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย ๔ กิจกรรม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. การบรรพชาอุปสมบทพุทธศาสนิกชนชาวศรีลังกา จำนวน ๒๖๐ คน เป็นเงิน ๑๒,๘๗๐,๐๐๐ บาท ๒. การจัดสัมมนานานาชาติและนิทรรศการ ณ เมืองแคนดี้ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเงิน ๑๒,๙๖๔,๐๐๐ บาท ๓. การบูรณะพัฒนาวัดธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเงิน ๑๐,๐๓๐,๐๐๐ บาท ๔. การปรับปรุงพื้นที่แสดงนิทรรศการ เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย ณ World Buddhist Museum บริเวณวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เป็นเงิน ๒,๗๕๐,๐๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 2540 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการ0204 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ณ ราชอาณาจักรภูฏาน ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีผลการเดินทางสรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังซุก ณ พระราชวังในนครทิมพู เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๖ โดยสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังซุก ได้พระราชทานแนวคิดว่า การพัฒนาด้านการเกษตรของภูฏาน ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการปลูกพืช คือ ปัญหาดินที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าข้าว ประชาชนนิยมซื้อผลผลิตที่นำเข้าจากอินเดียเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า และทรงเห็นว่าภูฏานน่าจะสามารถขยายตลาดในด้านเกษตรอินทรีย์และไม้ตัดดอกได้ในอนาคต โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้า ทั้งนี้ ทรงสนพระทัยในด้านการพัฒนาทางด้านการประมงทั้งในแหล่งน้ำธรรมชาติและในบ่อเลี้ยง ส่วนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทรงเห็นว่าทั้งไทยและอินเดียเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อภูฏาน โดยอินเดียมีความสำคัญทางด้านการค้าเนื่องจากมีชายแดนติดกัน ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นจุดเชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ ๒. การเข้าประชุมหารือกับนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรภูฏาน (Lyonchhen Jigmi Y.Thinley) เกี่ยวกับการพัฒนาทางด้านการเกษตร โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) เห็นว่า การปรับปรุงดินให้มีความเหมาะสมเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น จึงควรทำการวิจัยในด้านการพัฒนาปรับปรุงดินของภูฏาน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยินดีจะสนับสนุน และได้แจ้งให้ภูฏานทราบว่าการพัฒนาทางด้านการเกษตรของไทยได้ดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งโครงการในพระราชดำริในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาทางด้านการเกษตรในแต่ละภูมิภาค ๓. การเข้าพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (Lyonpo Ugyen Tshering) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศภูฏานกล่าวขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนภูฏานตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเกษตร และเห็นว่า MOU ที่ได้มีการลงนามร่วมกันนั้น ถือเป็นกลไกและกรอบความร่วมมือที่สำคัญกับประเทศภูฏาน รวมทั้งได้แจ้งให้ทราบว่าในปีนี้ได้ริเริ่มที่จะมีการประชุมประจำปีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเพื่อเป็นเวทีในการหารือความร่วมมือด้านอื่น ๆ ส่วนการหารือในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ได้มีการประชุมแล้ว ๑ ครั้ง ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยยินดีที่จะสนับสนุนให้ความร่วมมือทางด้านวิชาการภายใต้ MOU ฉบับนี้ ๔. การประชุมหารือในการพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตรไทย-ภูฏาน ร่วมกับ Dasho Sherub Gyaltshen ปลัดกระทรวงเกษตรและป่าไม้ของภูฏาน ผลการหารือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยยินดีที่จะให้ความสนับสนุนความร่วมมือทางด้านวิชาการและการฝึกอบรมบุคลากรของภูฏานในด้านพืช สัตว์ และประมง รวมถึงการเพิ่มศักยภาพด้านการตลาด นอกจากนี้ จะสนับสนุนโครงการพระราชดำริ Farm Land Development ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังซุก ซึ่งมีแนวคิดที่จะใช้เป็นสถานที่ในการเผยแพร่ความรู้และเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ด้านการเกษตร ๕. การติดตามศึกษาและดูงานด้านการเกษตร โดยดูงานด้านฟาร์มโคนม ห้องปฏิบัติการ ตลาดกลางเกษตรกร และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
|
|||||||||||||||||||||
.....
