ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 129 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2561 - 2580 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2561 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | พน | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในวงเงินลงทุนรวม ๗,๓๐๐ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๒.๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๑.๒ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจะดำเนินการผูกพันสัญญาก่อสร้างโครงการฯ และจัดซื้อที่ดินสำหรับขยายสถานีแห่งใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อ สปป.ลาว มีความชัดเจนที่จะให้ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซน้ำน้อยเริ่มการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว ได้รับการอนุมัติเงินกู้ครบถ้วนจากสถาบันการเงินแล้ว การปรับปรุงและขยายแนวสายส่งสถานีไฟฟ้าอุบลราชธานี ๓-สถานีไฟฟ้าอุบลราชธานี ๑ ซึ่งพาดผ่านพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (ป่า C) เห็นควรดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมีการติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาและดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในพื้นที่ภาคใต้ของ สปป.ลาว อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ในการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การวิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศ การกำกับการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อมิให้ กฟผ. ต้องเสียค่าปรับจากการไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ได้ รวมทั้งการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบ และมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน ภาระทางการเงินและผลกระทบที่อาจมีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ กฟผ. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2562 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น [สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดเชียงใหม่ ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)] | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ดำเนินการปรับปรุงศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการจัดประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และเตรียมการสำหรับรองรับการประชุมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในกรอบวงเงิน ๑๙๔,๐๐๒,๕๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๒๑,๒๖๒,๑๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เฉพาะภารกิจที่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ ททท. ที่จะสนับสนุนการจัดประชุมฯ ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในรายการค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการภาพรวมศูนย์ประชุมฯ จำนวน ๗๒,๗๔๐,๔๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการในลักษณะการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการศูนย์ประชุมฯ โดยเฉพาะการจัดทำแผนธุรกิจและคัดสรรผู้บริหารที่มีความสามารถเข้าดำเนินงานบริหารศูนย์ประชุมฯ โดยเร็ว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและไม่เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2563 | การลงนามร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของเลขาธิการอาเซียนต่อหนังสือของฝ่ายเยอรมนี และร่างความตกลงสำหรับการดำเนินโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพในอาเซียน | อก | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของเลขาธิการอาเซียนต่อหนังสือของฝ่ายเยอรมนี มีสาระสำคัญกล่าวถึงการที่อาเซียนให้ความเห็นชอบกับข้อตกลงและเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายเยอรมนี เช่น การให้สถาบัน Physikalisch Technische Bundestanstalt (PTB) เป็นผู้ดำเนินโครงการฝ่ายเยอรมนี และคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน (ASEAN Consultative Committee for Standards and Quality : ACCSQ) ทำหน้าที่ประสานการดำเนินโครงการฝ่ายอาเซียน ๑.๒ ร่างความตกลงสำหรับการดำเนินโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพในอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลงในการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย วัตถุประสงค์และตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ การสนับสนุนการดำเนินโครงการของฝ่ายเยอรมนีและฝ่ายอาเซียน และข้อบทอื่น ๆ เช่น การประเมินผลโครงการ การปรับปรุงแก้ไข การระงับข้อพิพาท ผลที่คาดว่าจะได้รับ รวมถึงพันธกรณีต่าง ๆ ซึ่งจะจัดทำขึ้นระหวางอาเซียนกับสถาบัน PTB และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศเยอรมนี ทั้งนี้ ร่างความตกลงฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อเลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงฯ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น ๗ ปี แบ่งเป็นระยะแรก ๔ ปี โดยรัฐบาลเยอรมนีจะให้เงินสนับสนุนโครงการผ่านสถาบัน PTB รวมทั้งสิ้น ๒.๕ ล้านยูโร แบ่งเป็นระยะแรก ๑.๕ ล้านยูโร ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยเห็นชอบร่างเอกสารดังกล่าว และเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2564 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี 2555/2556 | อก | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐.๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับค่าอ้อยในระดับที่คุ้มต้นทุนการผลิตด้วยวิธีการกู้เงิน โดยให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐.๐๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทราย ในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ จากผลผลิตอ้อยเบื้องต้นที่ ๙๔.๖๔ ล้านตัน รวมเป็นจำนวนเงินประมาณ ๑๕,๑๔๒.๔๐ ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริง ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนฯ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนฯ และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน รวมทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๓. เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศอีกกิโลกรัมละ ๕ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๑ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยและวาระอ้อยแห่งชาติ) เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๑๔ เดือน เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนฯ สำหรับนำไปชำระหนี้ เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ เท่านั้น ๔. รับทราบแนวทางการดำเนินการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบการช่วยเหลือชาวไร่ที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ควบคุม ตรวจสอบ ดูแลและติดตามผลการดำเนินงาน กำกับการบริหารเงินกองทุนฯ ให้สามารถชำระหนี้เงินกู้ได้โดยเร็ว และประเมินสถานการณ์ราคาน้ำตาลทรายอย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายราคาอ้อยและน้ำตาลทรายในปีต่อไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕) ที่มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการนำผลการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย ซึ่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ดำเนินการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) มาพิจารณาประกอบการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยให้เชิญรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๕. ในส่วนของการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นในแต่ละฤดูการผลิต ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และประกาศให้ชาวไร่อ้อยและผู้เกี่ยวข้องได้ทราบล่วงหน้าก่อนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวและส่งอ้อยเข้าหีบ เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ในการพิจารณาตัดสินใจขายอ้อยของชาวไร่อ้อย นั้น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จ และประกาศให้ชาวไร่อ้อยและผู้เกี่ยวข้องได้ทราบล่วงหน้าภายในเดือนตุลาคม ก่อนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวและส่งอ้อยเข้าหีบ ๖. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งจัดตั้งคณะทำงานด้านวิชาการเพื่อศึกษาพิจารณาเรื่องนี้ เพื่อนำข้อมูลต้นทุนราคาในทุกขั้นตอนของการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายเสนอต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมเป็นคณะทำงานดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2565 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2554/2555 | อก | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ เฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๑,๐๗๔.๕๔ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๔.๔๗ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายเท่ากับ ๔๖๐.๕๒ บาทต่อตันอ้อย ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญและเตรียมแผนรองรับกับปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย รวมทั้งหาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตอ้อยของเกษตรกรเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และควรเร่งนำผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาประกอบการพิจารณาทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อย เพื่อให้กำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายสะท้อนต้นทุนจริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖) รวมทั้งให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางในการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้จากการนำอ้อยและผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาล เช่น โมลาส หรือกากน้ำตาล ไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการนำผลการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย ซึ่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ดำเนินการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) มาพิจารณาประกอบการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยให้เชิญรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2566 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน | นร12 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธาน คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนมีความเสมอภาค เป็นธรรมและเหมาะสม ไม่เหลื่อมล้ำ เทียบเท่ามาตรฐานการครองชีพ และให้สอดคล้องกับระบบการบริหารงานภาครัฐสมัยใหม่ จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมที่เป็นมาตรฐานกลางหรือบัญชีกลางต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะทุกสิ้นปีงบประมาณหรือระยะเวลาอื่นตามที่เห็นสมควร โดยให้เพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นกรรมการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2567 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 ครั้งที่ 1 | กค | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ จากเดิม ๑,๙๒๐,๑๓๓.๑๕ ล้านบาท เป็น ๑,๙๔๘,๒๑๑.๘๒ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินเพื่อบริหารโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๖,๑๘๑.๗๑ ล้านบาท จากเดิม ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท เป็น ๑๒๑,๗๐๓.๕๐ ล้านบาท ๓. อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่และการปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๔. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2568 | การป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนและรางวัลของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง | ปช | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนและรางวัลของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการระยะยาว ๑.๑.๑ การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ โดยการปรับลดเงินสินบนและรางวัลตามมาตรา ๑๐๒ ตรี ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. ไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่วมกับร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ส่วนการลดอายุความการเรียกอากรที่ขาดตามมาตรา ๑๐ จากอายุความ ๑๐ ปี เหลือ ๓ ปี ให้คงอายุความดังกล่าวไว้ ๑๐ ปี ตามหลักทั่วไปในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ๑.๑.๒ การปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและถูกฟ้องเป็นคดีหลังเกษียณอายุราชการ โดยมีสำนักงานอัยการสูงสุดให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีจนกว่าจะถึงที่สุด ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาดำเนินการ ๑.๒ มาตรการระยะสั้น ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ประเด็นการปรับลดเงินสินบนและรางวัลตามมาตรา ๑๐๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๒) พุทธศักราช ๒๔๗๙ นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งมีบทบัญญัติให้มีการทบทวนการปรับลดเงินรางวัลสินบนจากเงินค่าขายของกลางลง โดยขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. ประเด็นอายุความที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมให้ลดอายุความจาก ๑๐ ปี นับแต่วันที่นำของเข้าหรือส่งของออก เป็น ๓ ปี นั้น มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2569 | ขอความเห็นชอบให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศและคลังข้อมูลทางการค้าของอาเซียน (NTR/ATR) ของไทย | พณ | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศและคลังข้อมูลทางการค้าของอาเซียน (National Trade Repository : NTR/ASEAN Trade Repository : ATR) ของไทย ๑.๒ ให้หน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการทางการค้า และกฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ ซึ่งจะนำมารวบรวมไว้ในคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศ (NTR) ของไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างประเทศ เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามมติของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (ASEAN Senior Economic Officials Meeting : SEOM) โดยให้กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการพัฒนาและออกแบบระบบ ATR/NTR ในทางเทคนิค เพื่อให้สอดคล้องกับการให้บริการในระบบ National Single Window และ ASEAN Single Window รวมทั้งให้หน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ให้การสนับสนุนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการทางการค้าและกฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ รวบรวมไว้ในคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศ (NTR) ของไทย เพื่อช่วยในการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้ประกอบการ เช่น ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในการเข้าถึงคลังข้อมูลทางการค้าทั้งในระดับประเทศและระดับอาเซียนผ่านทางเว็บไซต์ และควรมีการติดตามและประเมินผลการใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลทางการค้าในระดับประเทศและระดับอาเซียน เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดเก็บข้อมูลให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2570 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2555 นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของ รฟม. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการเงิน ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล และด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ การก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ ๑-๓ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๕๐.๑๔ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๑.๑๔ งานคัดเลือกผู้รับจ้างงานระบบรางและงานระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ดำเนินการคัดเลือกแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรี และงานคัดเลือกผู้รับจ้างงานระบบรางและงานระบบรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงานเปรียบเทียบแนวทางการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน ๑.๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๖.๘๖ ล่าช้ากว่าแผนงานร้อยละ ๓.๑๔ การก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ ๑-๕ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๒๓.๖๑ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๕.๓๔ งานระบบรถไฟฟ้า อยู่ระหว่างการนำเสนอผลการศึกษาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของรูปแบบการเดินรถ ๑.๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากแบบรายละเอียดและเอกสารประกวดราคายังไม่แล้วเสร็จ เป็นผลมาจากกรุงเทพมหานครไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่สำนักงานเขตบางเขน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแนวเส้นทางและสถานีบริเวณดังกล่าว รวมทั้งต้องเสนอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอีกครั้ง ๑.๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๓.๔๕ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๕๕ การก่อสร้างงานโยธาสัญญาที่ ๑ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๑.๗๓ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๐.๐๘ และอยู่ระหว่างการประกวดราคางานสัญญาที่ ๒ (งานระบบราง) ๑.๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ดำเนินการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบและจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาแล้วเสร็จ โดยมีประชาชนบางส่วนในเขตมีนบุรีคัดค้านแนวเส้นทางเดิมตามแผนแม่บทของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยเสนอให้ รฟม. ปรับแนวเส้นทางและตำแหน่งศูนย์ซ่อมบำรุงบริเวณมีนบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่าง รฟม. ศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการปรับแบบแนวเส้นทาง ๑.๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ ๑.๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ ๑.๑.๘ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างสำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพัน ๑.๒ นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ การเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายและเปิดบริการได้ตามแผน การให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงเวลา โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแต่ละกลุ่ม การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและนำข้อคิดเห็นของประชาชนมาพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กร การดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล มีการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานขององค์กร การบริหารสินทรัพย์ ดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระการสนับสนุนจากภาครัฐ การบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในด้านการบริหารเงินสด การบริหารจัดการหนี้ และการบริหารความเสี่ยง การสื่อสารในเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การดำเนินงานขององค์กร และให้การสนับสนุนองค์กร การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร และการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากผู้รับเหมาและที่ปรึกษาอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงระบบแรงจูงใจทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสร้างความเป็นธรรมและสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงาน ๑.๓ โครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต มีโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการเงิน และด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล จำนวน ๒๔ โครงการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายของโครงการและแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจนในแต่ละนโยบาย การกำหนดตัวชี้วัดเพื่อใช้ในการประเมินผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งดำเนินการบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศสกุลเงินเยนของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ การเร่งจัดทำแผนธุรกิจเพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนส่วนต่อขยายและสายใหม่ของ รฟม. การประสานสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่เหมาะสมและสอดคล้องกับขอบเขตภารกิจหน้าที่ของ รฟม. การให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างอัตราบุคลากรให้สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรในการกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยมีการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งในด้านบุคลากรและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและเอกชนผู้รับสัมปทานในการพัฒนาบุคลากรการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการลงทุนระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณของบุคลากร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บุคลากรของ รฟม. อย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2571 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" | สสป | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดูแลสภาพคล่องและสนับสนุนการประกันส่งออก ให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒. ดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ ๓.๐ หรือต่ำกว่านี้ไปจนถึงสิ้นปี รวมทั้งสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลต่างประเทศในการชำระค่าระวางเรือ (Freight Charge) ๓. ให้หน่วยงานราชการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า-ส่งออก ๔. ให้กรมสรรพากรพิจารณาในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีนำเข้าเพื่อการส่งออกให้รวดเร็ว ๕. ส่งเสริมการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้มีระบบสินเชื่อให้กับคู่ค้า รวมทั้งสนับสนุนและแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้สินค้าเข้า-ออกชายแดน ๖. ส่งเสริมการส่งออกทดแทนตลาดหลัก ๗. ส่งเสริมให้มีการจัดหาวัตถุดิบซึ่งขาดแคลนเพื่อผลิตและส่งออก (Global Sourcing) ๘. ให้มีการเจรจาขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GPS) กลับคืนมา ๙. เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเข้มข้นในภาคอุตสาหกรรม และควรมีมาตรการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ ๑๐. ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน ๑๑. กำหนดเป้าหมายการส่งออกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2572 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยวิธีการในการจัดการน้ำตาลทรายที่ไม่ได้คุณภาพ พ.ศ. .... | อก | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยวิธีการในการจัดการน้ำตาลทรายที่ไม่ได้คุณภาพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยวิธีการในการจัดการน้ำตาลทรายที่ไม่ได้คุณภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ ๒. กำหนดนิยามของคำวา “น้ำตาลทราย” “น้ำตาลทรายที่ได้คุณภาพ” “น้ำตาลทรายที่ไม่ได้คุณภาพ” “น้ำตาลทรายเสื่อมคุณภาพ” “โรงงานน้ำตาลทราย” และ “การปรับปรุงคุณภาพ” ๓. กำหนดวิธีการดำเนินการในการจัดการน้ำตาลทรายที่ไม่ได้คุณภาพในขณะทำการผลิตและที่เสื่อมสภาพภายหลังการผลิต ๔. กำหนดอัตราค่าสูญเสียในการปรับปรุงคุณภาพน้ำตาลทราย โดยให้ค่าใช้จ่ายและความสูญเสียในการปรับปรุงคุณภาพตกเป็นภาระแก่โรงงานน้ำตาลทราย โดยน้ำตาลทรายดิบ อัตราค่าสูญเสียร้อยละ ๑ น้ำตาลทรายขาว อัตราค่าสูญเสียร้อยละ ๔ และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ อัตราค่าสูญเสียร้อยละ ๓ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2573 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน พ.ศ. .... | ศธ | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้จัดตั้งสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ โดยตัดมาตรา ๕ มาตรา ๖ (๑) (๒) ที่ระบุเอกสิทธิ์ด้านการยกเว้นภาษีอากร และมาตรา ๖ (๓) ที่ระบุให้ยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว ออก เนื่องจากการยกเว้นดังกล่าวอยู่นอกเหนือข้อผูกพันตามกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน โดยให้ตัดมาตรา ๕ มาตรา ๖ (๑) (๒) และ (๓) ออก แล้วเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2574 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้สอดรับกับการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการของสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ หากมีภาระด้านงบประมาณเพิ่มขึ้นให้พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2575 | การขอปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของ กฟผ. | พน | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การตรวจมะเร็งเต้านม โดยการทำ Mammogram และการ Ultrasound ในรายการตรวจสุขภาพประจำปี สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่มีอายุ ๔๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในวงเงินเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินครั้งละ ๑,๗๐๐ บาท โดยผู้ที่อายุ ๔๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ ๕๐ ปี ให้ได้รับการตรวจทุก ๑ ปี ส่วนผู้ที่อายุ ๕๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้ได้รับการตรวจทุก ๒ ปี ยกเว้นกรณีมีข้อบ่งชี้ให้ตรวจทุกปี ๑.๒ การเบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลและคลินิกเอกชน สำหรับผู้ปฏิบัติงาน คู่สมรส บุตร และบิดามารดา ได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท แต่รวมกันไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และ ครส. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงสวัสดิการการตรวจมะเร็งเต้านมโดยการทำ Mammogram และการ Ultrasound ในรายการตรวจสุขภาพประจำปี ควรกำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งค่าตรวจและเงื่อนไขการตรวจสำหรับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ส่วนการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการเบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกของสถานพยาบาลและคลินิกเอกชน จะต้องตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินดังกล่าวและบริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ควบคุมได้ รวมทั้งมีแนวทางในการเพิ่มรายได้เพื่อให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยอาจพิจารณากำหนดเป็นเงื่อนไขให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม และในกรณีผู้มีอายุก่อน ๔๐ ปี ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีข้อบ่งชี้ที่มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมก็ควรให้ทำการตรวจ Mammogram นอกจากนี้ ให้ ครส. พิจารณาการปรับเพิ่มสวัสดิการเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพดังกล่าวให้เป็นธรรมแก่ทุกรัฐวิสาหกิจ โดยเพิ่มเติมรายการการตรวจ Mammogram ไว้ในรายการตรวจสุขภาพประจำปี ทั้งนี้ ให้พิจารณาความสามารถในการจ่ายของแต่ละรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย และให้ กฟผ. ระบุไว้ในเงื่อนไขการเบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถเบิกได้เฉพาะในกรณีเจ็บป่วยกะทันหัน และ/หรือ ไม่มีสถานพยาบาลของราชการอยู่ใกล้เท่านั้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2576 | การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - 2554) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จากเงินลงทุนเดิม จำนวน ๖๗,๑๒๐.๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๙๐,๙๘๒.๔๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การลงทุนของ กฟภ. จำนวน ๘๙,๖๒๒.๙๑ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในกรอบวงเงิน ๑,๓๕๙.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปรับเลื่อนโครงการ/แผนงานของ กฟภ. ที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม จำนวน ๒ โครงการ/แผนงาน ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งจ่ายไฟ และแผนงานการจ่ายไฟด้วยพลังงานทดแทนบนอาคารสำนักงาน และแผนงานติดตั้งโคมไฟถนน รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน ๕ ปี ของบริษัท พีอีเอฯ ซึ่งมีแผนที่จะลงทุนในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ไปรวมในแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และพิจารณาวางแผนการลงทุนให้มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และการพัฒนาประเทศบนเส้นทางสีเขียว (Green Growth) และการสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว การจัดหาแหล่งเงินทุน โดยพิจารณาทางเลือกในการลงทุนอื่นนอกเหนือจากการกู้เงินเพื่อการลงทุนตามขั้นตอนปกติ เช่น การระดมเงินทุนจากภาคเอกชน และการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นต้น เพื่อลดสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ การกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัท พีอีเอฯ ในเรื่องการร่วมทุน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กำกับดูแลตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุนและกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานร่วมทุนของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การทบทวนแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลการลงทุนโครงการต่าง ๆ และหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินการลงทุนตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในระยะต่อไปได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2577 | ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร09 | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) พิจารณาเห็นว่า การรับหลักการร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว จะไม่เป็นผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินในระยะยาว ทั้งยังอาจขัดต่อนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการกระจายอำนาจและการให้ท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้ เป็นการสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณามอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ เสียใหม่ ในแนวทางที่ให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านมีฐานะเป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอ และตัดอำนาจใด ๆ ที่จะซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออก รวมตลอดทั้งพิจารณาบทบัญญัติต่าง ๆ ที่ปรากฏในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ หรือไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน หรือไม่อาจบังคับใช้ได้ในปัจจุบัน หรือที่หมดความจำเป็นให้เหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับรายงานผลการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปศึกษาให้ได้ข้อยุติเพื่อดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความเหมาะสมต่อไป แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2578 | แผนแม่บทเร่งด่วนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี 2556 | พม | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนแม่บทเร่งด่วนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นแผนที่จัดทำขึ้นเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยมีประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ การค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงาน การดูแลแรงงานที่เสี่ยงต่อการถูกค้ามนุษย์ การปรับปรุงพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ระบบการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดี การอนุญาตให้ผู้เสียหายอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้เป็นการชั่วคราว การค้ามนุษย์กับการท่องเที่ยว การให้ข้อมูลและภาพลักษณ์ของประเทศไทย รวมทั้งทรัพยากรในการดำเนินงานตามแผนแม่บทเร่งด่วน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนแม่บทฯ และรายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติมว่า เห็นควรเพิ่มประเด็นเร่งด่วนด้านการแพทย์และสาธารณสุขไว้ในแผนแม่บทฯ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการใช้จ่ายหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนแม่บทฯ โดยด่วน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนเรื่องอัตรากำลังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับแผนแม่บทฯ ให้มีการบริหารกำลังคนและเกลี่ยอัตรากำลังจากทุกส่วนราชการภายในกระทรวงหรือกรมของตนก่อน ตามข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์การดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ให้นานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศได้รับทราบ และแก้ไขข้อความในแผนแม่บทฯ ให้ถูกต้อง ได้แก่ “การดำเนินการของศูนย์ประสานงานประมงจังหวัด หน่วยงานหลัก กระทรวงมหาดไทย กรมการจัดหางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมประมง กรมเจ้าท่า สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย” รวมทั้ง “การดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และอนุญาตให้ทำงานได้ในระหว่างรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร” เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลและบูรณาการการดำเนินการการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทั้งระบบเพื่อให้การดูแลและคุ้มครองแรงงาน เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ทั้งที่เป็นคนไทยและคนต่างชาติ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อกำหนดหมายเลขโทรศัพท์สายด่วนในการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในลักษณะเบ็ดเสร็จ (One-Stop-Service) โดยสามารถประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว ทันการณ์ และให้ประสานกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อสร้างความเข้าใจในนโยบายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำไปปฏิบัติได้และเป็นเอกภาพเดียวกันต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2579 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามข้อสังเกตที่เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาควรกำหนดรูปแบบในการร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการยกฐานะหน่วยงานเดิม และการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ให้มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาร่างกฎหมาย และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2580 | การประเมินผลโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐,๖๘๓.๗๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวม ๑๘ โครงการ วงเงิน ๑๐,๕๔๗.๘๐ ล้านบาท และโครงการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ รวม ๒๐ โครงการ วงเงิน ๑๓๕.๙๐ ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีโครงการที่แล้วเสร็จและครบกำหนดเวลาที่สามารถประเมินผลโครงการได้ จำนวน ๔ โครงการ คือ ๑.๑.๑ โครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี (โครงการถนนเมียวดี) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๑.๑.๒ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดหนองคาย-ท่านาแล้ง (โครงการรถไฟท่านาแล้ง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ๑.๑.๓ โครงการปรับปรุงสนามบินระหว่างประเทศวัดไต (โครงการสนามบินวัดไต) สปป.ลาว ๑.๑.๔ โครงการก่อสร้างร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต (โครงการร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต) สปป.ลาว ๑.๒ ผลการประเมินโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านที่แล้วเสร็จทั้ง ๔ โครงการ พบว่า อยู่ในระดับดี-ดีมาก โดยทุกโครงการสอดคล้องกับความต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน และนโยบายของไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค นอกจากนี้ ทุกโครงการก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการ ๑.๓ ข้อเสนอแนวทางเชิงนโยบายในการร่วมมือเพื่อพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ในอนาคต เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป ๑.๓.๑ ยุทธศาสตร์การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ยังคงให้ความสำคัญกับ ๓ ด้านหลัก คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาค (Connectivity) การสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (Relationship) ๑.๓.๒ การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน จะนำรูปแบบการพัฒนาโครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี ซึ่งพัฒนาโครงข่ายถนน เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างกัน (Connectivity) มาเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพัฒนาเป็นประตูการค้า (Gateway) สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และประเพณีระหว่างกัน ๑.๓.๓ การร่วมมือเพื่อการพัฒนาโดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย โดย สพพ. เป็นโอกาสหนึ่งที่สินค้าและบริการจากประเทศไทยสามารถกระจายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการขยายกำลังการผลิตของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง จึงสมควรให้หน่วยงานต่างๆ ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้รับความสะดวกและรวดเร็วในพิธีการทางด้านการค้าระหว่างประเทศและการขนส่งสินค้าข้ามแดน ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ควรให้ความสำคัญกับแผนงาน/โครงการซึ่งจะดำเนินการตามแนวระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ และตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน (Regional Investment Forum : RIF) ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) เป็นลำดับแรก และดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้าง พร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
