ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 122 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2421 - 2440 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2421 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ระหว่างวันที่ ๕-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อเข้าร่วมการประชุม The Second FAO Ministerial Meeting on International Food Prices ณ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations - FAO) ณ สาธารณรัฐอิตาลี และเดินทางไปร่วมการหารือกับผู้นำเข้าสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรของไทย รวมทั้งศึกษาดูงานแสดงสินค้างาน Anuga 2013 ณ เมืองโคโลญจน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม The Second FAO Ministerial Meeting on International Food Prices เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ สาธารณรัฐอิตาลี ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับเรื่องระดับราคาและความผันผวนของราคาอาหารโลก เน้นถึงการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (Agricultural Zoning) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดนโยบายดังกล่าวขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรโดยการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรในด้านการคัดเลือกพืชให้มีความเหมาะสมกับสภาพดินและสภาพภูมิอากาศเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและจำนวนมากขึ้น ซึ่งนโยบายดังกล่าวทำให้ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการอุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) ของสินค้าเกษตรและอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการอาหารของผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังริเริ่มดำเนินโครงการระบบสารสนเทศเพื่อความมั่นคงทางอาหารแห่งภาคพื้นเอเชีย (ASEAN Food Security Information System) เพื่อสนับสนุนข้อมูลอุปทานของสินค้าเกษตรซึ่งนำมาประยุกต์ใช้ในการกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติในการลดการผันผวนของราคาอาหารได้ โดยการใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นแนวทาง และได้ส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ที่ใช้บริโภคในครัวเรือนยังคงเป็นแนวทางสำคัญ ซึ่งเกษตรกรรายย่อยสามารถเลี้ยงดูครอบครัว และเกษตรกรสามารถลดค่าใช้จ่ายอาหารได้ จึงทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบจากการผันผวนของราคาอาหารน้อยลง ๑.๒ นาย Jose Graziano da Silva ผู้อำนวยการใหญ่ (Director General) องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวว่า การประชุมฯ มุ่งสะท้อนให้มีการตระหนักถึงความสำคัญของราคาอาหาร รวมทั้งการหาวิธีการแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคาอาหารโลก ซึ่งการขาดแคลนอุปทานอาหารจะส่งผลให้อาหารในท้องตลาดโลกไม่เพียงพอ และนำไปสู่การผลิตอาหารที่มีราคาสูงขึ้น โดยการปรับปรุงการผลิตธัญพืช รวมถึงการหาทรัพยากรแหล่งน้ำที่เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาอาหาร รวมทั้งการปรับปรุงและป้องกันราคาอาหารในตลาดโลกให้คงที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องควบคุม ๒. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้เข้าศึกษาดูงาน Anuga 2013 จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๕-๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองโคโลญจน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเป็นงานมหกรรมแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกที่รวบรวมผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจากทั่วโลกกว่า ๖,๕๐๐ ราย จาก ๑๘๐ ประเทศมารวมไว้หนึ่งเดียวบนพื้นที่ขนาด ๓๐๐,๐๐๐ ตารางเมตร มีผู้เข้าชมไม่ต่ำกว่า ๑๕๐,๐๐๐ คน โดยงานนี้จะเปิดโอกาสในการนำเสนอสินค้าที่มีศักยภาพของแต่ละประเทศ รวมทั้งการติดต่อทางการค้าจากประเทศต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2422 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 3 | สธ | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผลจากการประชุมฯ ได้มีการรับรองกรอบความร่วมมือด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม และรับรองปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยไม่มีการลงนาม และตกลงร่วมกันที่จะใช้เป็นกรอบการดำเนินงานความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก และสนับสนุนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประเทศสมาชิกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๗ โดยวัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อให้เกิดความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่จะนำไปสู่เป้าประสงค์ร่วมกันในการทำให้สิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา (Health and Environment at the Center of Development) ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาสาระสำคัญและให้ความเห็นชอบต่อรายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ผลกระทบ ภาคีการดำเนินงาน และกลไกทางการเงินที่ยั่งยืนของความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Report on Governance, Impact, Partnerships and Sustainable Financial Mechanism) ๒. การนำเสนอบทเรียนจากสหภาพยุโรปเกี่ยวกับ Environment and Health Process on international policy platform to support national action เพื่อหวังให้เกิดคำมั่นสัญญาที่จะทำงานในเชิงนโยบายทางการเมืองด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของแต่ละประเทศ ๓. การกล่าวแถลงการณ์ของรัฐมนตรีด้านสาธารณสุขและด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข ๔. การรับรองกรอบความร่วมมือด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม (Framework for Cooperation of The Regional Forum on Environment and Health Southeast and East Asian Countries) โดยได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างฉบับปรับปรุงกฎบัตรของเวทีความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ๕. การรับรองปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Kula Lumpur Declaration on Environment and Health) โดยได้มีการปรับแก้ไขจากร่างปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งเป็นเพียงการแก้ไขคำเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย แต่ยังคงเนื้อหาและประเด็นสำคัญไว้เหมือนเดิม ๖. การประชุมย่อยของคณะทำงานด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาค (Thematic Working Groups : TWGs) เป็นการประชุมเพื่อวางกรอบการดำเนินงานร่วมกันของประเทศสมาชิก ๗. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์เสนอที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๔ ในปี ค.ศ. ๒๐๑๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2423 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง พิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 9 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และข้อผูกพันเปิดตลาดการค้า บริการชุดที่ 9 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | พณ | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ซึ่งมิได้แก้ไขเงื่อนไขทั่วไปในตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคม ตามความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน) เนื่องจากการเพิ่มเติมเงื่อนไขข้อผูกพันดังกล่าวต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาเพื่อขอความยินยอมจากคณะกรรมการประสานงานด้านบริการอาเซียน และอาจส่งผลให้ไทยไม่สามารถลงนามพิธีสารฯ ได้ตามกำหนดเวลา รวมทั้งยังมีขั้นตอนการเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบสำหรับการลงนามดังกล่าว ซี่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไม่ขัดข้องหากไม่มีการปรับปรุงข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้ข้อผูกพันชุดที่ ๙ ของไทยในกรอบอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้เสนอพิธีสารฯ ไปเพื่อขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. เห็นชอบความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับประเด็นการตีความเงื่อนไขทั่วไปข้อผูกพันบริการโทรคมนาคม ควรมีการหารือและซักซ้อมความเข้าใจระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2424 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสงขลา | นร11 | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน จำนวน ๕ จังหวัด (จังหวัดสงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ได้แก่ โครงการถนนเชื่อมต่อด่านชายแดนบ้านประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา โครงการที่พักริมทาง (Amazing Rest Area) โครงการศูนย์บริการยกระดับมาตรฐานธุรกิจบริการและ OTOP กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน (สงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี) และโครงการติดตั้งเครื่องตรวจจับภาพใต้ท้องรถ ๑.๒ จังหวัดสงขลา ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนลอดทางรถไฟเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร โครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดสงขลา โครงการผลิตภัณฑ์ยางคอม-ปาวด์ (Compound Rubber) และการปรับปรุงโรงอัดยางก้อนในสถาบันเกษตรกร โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตเทศบาลเมืองสตูล และโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมคลองละงู ๑.๓ จังหวัดยะลา ได้แก่ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์และที่พักริมทางจากเบตงสู่ทะเลสาบป่าฮาลาบาลาจังหวัดยะลา ๑.๔ จังหวัดนราธิวาส ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์การค้าชุมชนอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โครงการเพิ่มศักยภาพด่านชายแดนบูเก๊ะตา โครงการปรับปรุงเขื่อนท่าพระยาสายบริเวณพลับพลาที่ประทับ โครงการพัฒนาศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะให้เป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาและแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โครงการพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยฉุกเฉินเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพประชาชนจังหวัดนราธิวาส และโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สายสามัญแบบบูรณาการภาครัฐและเอกชน (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖) ๑.๕ จังหวัดปัตตานี ได้แก่ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่เศรษฐกิจ จังหวัดปัตตานี โครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและป้องกันน้ำเค็มเพื่อเสริมสร้างสันติสุขบ้านสารวัน จังหวัดปัตตานี และโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดปัตตานี ๒. การประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) กำหนดในวันศุกร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๓๐ น.-๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๔ อาคารศูนย์ภาษาและคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จังหวัดสงขลา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2425 | งบการเงินและรายงานประจำปี 2554 ขององค์การสะพานปลา | กษ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินองค์การสะพานปลา ปี ๒๕๕๔ และรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ขององค์การสะพานปลา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ผลการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงส่วนของทุน และงบกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีขององค์การสะพานปลา โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ๒. งบดุล ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และงบกำไรขาดทุนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ มีสินทรัพย์รวม ๘๔๗,๓๗๕,๗๔๓.๒๓ บาท หนี้สินและส่วนของทุน ๘๔๗,๓๗๕,๗๔๓.๒๓ บาท มีรายได้รวม ๓๔๙,๗๒๙,๐๐๕.๐๙ บาท ค่าใช้จ่าย ๓๕๔,๖๓๐,๔๕๖.๖๙ บาท และ ๓๑๘,๙๘๒,๐๓๕.๒๘ บาท ขาดทุนสุทธิ ๔,๙๐๑,๔๕๑.๖๐ บาท ๓. องค์การสะพานปลามีผลงานเด่นในปี ๒๕๕๔ ได้แก่ โครงการซื้อขายสินค้าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูปคุณภาพ และโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (การเก็บรักษาความสดของสัตว์น้ำให้ยืนยาวและการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้น้ำแข็งเหลว) เป็นต้น ๔. องค์การสะพานปลามีแผนงานและโครงการสำคัญในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ได้แก่ แผนงานพัฒนาระบบการบริหารจัดการตลาด ประกอบด้วย โครงการพัฒนาการขนถ่ายสัตว์น้ำ ฯ ที่ท่าทียบเรือประมงภูเก็ต และโครงการผลิตน้ำสะอาดเพื่อล้างสัตว์น้ำท่าเทียบเรือประมงระนอง แผนงานบูรณาการธุรกิจใหม่ ประกอบด้วย โครงการติดตั้งสื่อโฆษณาสินค้าในบริเวณสะพานปลาและท่าเทียบเรือประมง และโครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สะพานปลาและท่าเทียบเรือประมง แผนพัฒนาศักยภาพบุคลากรในองค์กร ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคลากร และโครงการปรับปรุงกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงานและการกำหนดค่าตอบแทน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2426 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหภาพยุโรปว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน | กก | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหภาพยุโรปว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Letter of Intent between the Kingdom of Thailand and the European Union on Cooperation in the Field of Sustainable Tourism) โดยหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่ายด้านการบริการการท่องเที่ยว การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่ายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงฝ่ายวิชาการด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ การลงทุนขนาดกลางและขนาดย่อม การฝึกอบรม การปรับปรุงการบริการด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ (โดยระบุตำแหน่ง) ในโอกาสการเยือนไทยของนาย Antonio Tajani รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และกรรมาธิการด้านอุตสาหกรรมและกิจการวิสาหกิจและคณะ ในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรพิจารณาความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันในเนื้อหาของกรอบนโยบายด้านการท่องเที่ยว (Communication on Tourism) เพื่อกำหนดความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวที่อยู่ในความสนใจร่วมกันที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย และควรพิจารณาประเด็นที่เชื่อมโยงที่มีผลกระทบทางอ้อม (Indirect Impacts) กับเรื่องการท่องเที่ยว เช่น ความปลอดภัยของยานพาหนะสำหรับนักท่องเที่ยว การคุ้มครองสิทธิ์ของนักท่องเที่ยว รวมถึงการแข่งขันในธุรกิจท่องเที่ยว การเปิดตลาดการบริการด้านการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2427 | การปรับปรุงข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) วงเงิน ๕ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร-นาตาเซา ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร วงเงิน ๑๘ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร วงเงิน ๑๒ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไป ต.ท่าหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองห้วยน้อยเชื่อมโครงการท่อทองแดงผันน้ำจากแม่น้ำปิงลงสู่แม่น้ำยม วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๒ ให้จังหวัดพิจิตรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการพัฒนาหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่สำคัญที่ถูกบุกรุกจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติเดิม จำเป็นจะต้องบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ควรจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะยาวที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และมีคณะกรรมการกำกับแผนและโครงการในระดับพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานระดับกระทรวงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกรณีการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ในระยะยาวให้สามารถฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแหล่งน้ำดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2428 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2008 มาใช้ในทุกสายการเดินรถ ปัจจุบัน ขสมก. ได้รับใบรับรองคุณภาพ ISO 9001 : 2008 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ทุกสายเดินรถ ๒. การดำเนินการตามโครงการขันน็อตของกระทรวงคมนาคม ๒.๑ โครงการซ้ายตลอดจอดทุกป้าย สร้างวินัยจราจร วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ลดจำนวนเรื่องร้องเรียน และการกระทำผิดกฎหมายจราจรของพนักงานขับรถโดยสาร ๒.๒ โครงการบริการดีมีน้ำใจ สร้างความพึงพอใจให้ประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริการของพนักงานเก็บค่าโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพ กล่าวคำ “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๓ โครงการสายตรวจลดอุบัติเหตุ เป็นมิตรกับประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพกล่าวคำว่า “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๔ โครงการรักษ์ท่า รักษ์สะอาด รักษ์ความปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงท่าปล่อยรถทุกสายให้อยู่ในสภาพดี สะอาด เป็นระเบียบ ปลอดภัย จำนวน ๑๓๖ ท่า และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดและปลอดภัยตามคู่มือระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2008 ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ๒.๕ โครงการสร้างวินัยจราจร สร้างความปลอดภัยที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง วัตถุประสงค์เพื่อกำหนดป้ายรถโดยสารประจำทางที่มีผู้ใช้บริการมากในแต่ละถนน โดย ขสมก. ได้จัดผู้บริหาร พนักงานตรวจการ นายตรวจ และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานให้บริการประชาสัมพันธ์ตามป้ายที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ตามถนนสายหลัก สายรอง และป้ายรถโดยสารประจำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะขึ้น-ลง และรอรถโดยสารประจำทาง ๒.๖ โครงการบริการดี ขับขี่ปลอดภัยไปกับรถเมล์ฟรี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจในการใช้บริการรถเมล์ฟรี เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ และหันมาใช้บริการรถโดยสารประจำทางเพิ่มขึ้น ๒.๗ โครงการนายท่า IT วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับนายท่าจัดทำข้อมูลในการบริหารการเดินรถ ระบบปล่อยรถ รวมทั้งลดขั้นตอนและเวลาการทำงานของพนักงานในกลุ่มของนายท่าและพนักงานจัดทำสารสนเทศด้านการเดินรถ ๓. การปรับปรุงการปล่อยรถโดยสารประจำทางทุกช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขสมก. ได้จัดทำแผนการปล่อยรถโดยสารประจำทางรายสายจำแนกตามเขตการเดินรถที่ ๑-๘ และได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. นำรถออกวิ่งในช่วงเวลา ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ให้ครบร้อยละ ๑๐๐ ของทุกสายการเดินรถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนในช่วงเย็น ๔. การกำกับดูแลบริษัทเหมาซ่อมรถโดยสารดำเนินการซ่อมบำรุงรถโดยสารประจำทางให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรงและสามารถออกวิ่งให้บริการมากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2429 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ของ รฟท. ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๑,๘๗๙.๘๗๗ ล้านบาท (จำนวนเงินอุดหนุนฯ ปี ๒๕๕๕ หักเงินค่าปรับจากการดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพ) โดยให้มีการพิจารณาความเหมาะสมของจำนวนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะดังกล่าวอีกครั้งภายหลังจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองงบการเงินประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ของ รฟท. แล้ว ๑.๒ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ งวดที่ ๒ จำนวน ๗๐๔.๗๔๔ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้ รฟท. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังและคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการ รฟท.) พิจารณาถึงการนำเอาเป้าหมายตัวชี้วัดตามบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปเชื่อมโยงกับการประเมินผลการดำเนินงานประจำปี ๒๕๕๗ ของคณะกรรมการ รฟท. และผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การประเมินผลการให้บริการสาธารณะของ รฟท. ในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ควรมีการปรับปรุงตัวชี้วัด (KPI) และจัดลำดับความสำคัญของตัวชี้วัด รวมทั้งกำหนดเป้าหมายความสำเร็จของแต่ละกิจกรรม (Milestone) ให้เหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผลการประเมินสามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินกิจการของ รฟท. ได้อย่างแท้จริง โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของ รฟท. ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมและรัฐบาล คุณภาพมาตรฐานของการให้บริการ ความปลอดภัยและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการของ รฟท. จึงขอให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2430 | รายงานความก้าวหน้าการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ 23 สิงหาคม 2555 ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2556) | นร | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่สอง (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖) ตามที่คณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ส่วนราชการได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีฯ โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของแต่ละหน่วยงานรับไปพิจารณาร่างรายงานดังกล่าวอีกครั้ง หากประสงค์จะปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลในร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีฯ ให้ส่งฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) ภายในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขและจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ก่อนนำเสนอต่อรัฐสภาต่อไป โดยส่วนราชการได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ทราบแล้ว จำนวน ๑๕ กระทรวง ๒. ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ได้ปรับปรุงแก้ไขร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีฯ ตามความเห็นของส่วนราชการแล้ว และได้ส่งร่างต้นฉบับให้โรงพิมพ์ดำเนินการออกแบบและจัดทำรูปเล่ม รวมทั้งตรวจพิสูจน์อักษร ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเข้าสู่กระบวนการจัดพิมพ์ คาดว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จและเสนอต่อรัฐสภาภายในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2431 | ขออนุมัติผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารการเรียนการสอนและปฏิบัติการคณะวิทยาศาสตร์ 1 หลัง ของมหาวิทยาลัยศิลปากร | ศธ | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการก่อสร้างอาคารการเรียนการสอนและปฏิบัติการคณะวิทยาศาสตร์ ๑ หลัง ของมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยขอติดตั้งเครื่องทำน้ำเย็นระบายความร้อนด้วยอากาศ (CHILLER) จำนวน ๒ ชุด เครื่องสูบน้ำพร้อมมอเตอร์ (CHILLER) จำนวน ๓ ชุด และตู้เมนสวิตซ์สำหรับเครื่องทำน้ำเย็น (AC SWITCH BOARD) จำนวน ๑ ชุด ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มหาวิทยาลัยศิลปากรขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายในวงเงิน ๑๕๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2432 | กฎกระทรวงกำหนดการจัดทำ ปัก ติดตั้งป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร หรือสัญญาณจราจร สำหรับการจราจรบนทางหลวง พ.ศ. 2556 | คค | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบกฎกระทรวงกำหนดการจัดทำ ปัก ติดตั้งป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร หรือสัญญาณจราจร สำหรับการจราจรบนทางหลวง พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสาระสำคัญคือ กำหนดการจัดทำ ปัก ติดตั้งป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร หรือสัญญาณจราจรสำหรับการจราจรบนทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมกันลงนามในกฎกระทรวงฉบับนี้ใหม่ สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการตามประกาศกระทรวงฯ ให้กรมทางหลวงใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้วในแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผลผลิตโครงข่ายทางหลวงมีความปลอดภัย กิจกรรมอำนวยความปลอดภัยเพื่อป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาในการปรับปรุงป้ายจราจรที่ใช้ภาษาอังกฤษสำหรับบางเมืองหรือจังหวัดที่เขียนแตกต่างจากหลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถานจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในการเขียนแบบนั้น เพื่อให้ชาวต่างประเทศเข้าใจได้โดยถูกต้อง ๓. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และราชบัณฑิตยสถาน ประสานและหารือร่วมกันในการจัดทำป้ายจราจร ป้ายบอกแหล่งท่องเที่ยว และป้ายบอกทางแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้มีภาษาของประเทศที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2433 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี 2556 และ ปี 2557 | ศธ | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕ต เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี(นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ๑.๒ เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ มีหลักการ คือ กำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุให้ใกล้เคียงกับข้าราชการพลเรือนสามัญ และยึดโยงตามบัญชีเงินเดือนชั่วคราวของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ๑.๓ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนและจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง ๑.๔ เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินเดือนและจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง (การปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่) โดยให้มีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๕ อนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ จำนวนเงินที่ใช้ปรับเพิ่ม ๒,๕๒๖,๗๘๒,๑๓๐ บาท โดยให้ใช้เงินเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการก่อน หากไม่พอให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. งบประมาณสำหรับดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบบุคลากร หรือจากเงินงบประมาณที่มีเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือน และเงินปรับวุฒิข้าราชการในลำดับต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2434 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและยกระดับการผลิตอาหารปลอดภัยครบวงจรในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งโครงการแปรรูปเถ้าแกลบ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินการ ๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในชุมชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ และสร้างกระบวนการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินโครงการฯ ให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ ความเหมาะสมของอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนและชุมชนในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่สายทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๕ บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๒ (ทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง), โครงการขยายถนน ๔ ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข ๓๖๖) ระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองลพบุรีด้านเหนือ ๔ ช่องจราจร ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างจังหวัด โดยการขยายช่องการจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ตลอดเส้นทาง รวม ๒ เส้นทาง และการปรับปรุงทางแยกต่างระดับชัยนาทที่ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒) (กม. ๑๓๑+๕๙๕) ตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรจัดงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการศึกษาทางหลวงแนวใหม่ ๔ ช่องจราจร แยกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (๓๖๖) ระยะทาง ๒๕ กิโลเมตร ในรายละเอียดเพิ่มเติม ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการศึกษาสร้างเกาะกลางแบบยกตัว ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ตรงสี่แยกเข้าชัยนาท-บ้านกล้วย กม. ๒๘๐+๕๗๘ (แยกหลวงพ่อโอ-ท่าน้ำอ้อย) ระยะทาง ๒๔.๙๘๔ กิโลเมตร ๒.๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการฯ ๒.๑.๔ ข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เกี่ยวกับรายงานการติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑-๗/๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่มีความสำคัญยิ่งและต้องดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนไปประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป รวมทั้งให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเป็นแกนหลักร่วมติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ดำเนินการแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ เสนอโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒.๑.๕.๑ การปรับการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ให้กระทรวงพลังงานรวมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ ๒.๑.๕.๒ การขอให้ปรับอัตราส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานทดแทนขนาดไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการประกาศใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ของแต่ละประเภทของพลังงานทดแทนที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนมากขึ้น ๒.๑.๕.๓ โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไทยสู่ประชาคมอาเซียน ระยะที่ ๒ (Innovation Coupon for SMEs) ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษารายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ โดยนำผลการประเมินโครงการฯ ระยะที่ ๑ มาประกอบการพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕.๔ ข้อเสนอความเห็นต่อการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า IT (ITA Expansion) ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องการทบทวนการเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ โดยปรับรายการสินค้าตามหลักและเจตนารมณ์ของรายการสินค้า IT ให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาตามขั้นตอน ๒.๑.๕.๕ ข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงานรับข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการกำหนดอัตราการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือในการรับคนพิการเข้าทำงานเช่นเดียวกับภาคเอกชนด้วย ๒.๑.๕.๖ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปเร่งรัดดำเนินการในเส้นทางที่ได้ทำการศึกษารายละเอียดไว้แล้ว และพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการขยายโครงข่ายระบบรางให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕.๗ โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความสูญเสียจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการฯ และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเลไปพิจารณาในการวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ๒.๑.๕.๘ กฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA) ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการผลักดันกรอบการเจรจา Intergovernmental Agreement (IGA) เรื่องกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2435 | แนวทางการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์กระทรวง และแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมเรื่อง แนวทางการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์กระทรวง และแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล และได้มีข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้จังหวัดและหน่วยงานไปทบทวนและปรับแผนยุทธศาสตร์กระทรวง และแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยนำตัวชี้วัดของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่สำคัญมาใช้ในการทบทวนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และให้มีความครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านความสามารถในการแข่งขัน ด้านการลดความเหลื่อมล้ำ ด้านการสร้างการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และด้านการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ เพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๑.๒ ให้จังหวัดศึกษาวิเคราะห์และกำหนดเป้าหมายรวม เป้าหมายระดับยุทธศาสตร์ของแผนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยต้องตอบโจทย์ของประเทศ ได้แก่ กรอบยุทธศาสตร์ประเทศ กรอบยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท แผนการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตรและผังเมือง รวมทั้งกำหนดเป้าหมายรวม ๔ ปี และจำแนกค่าเป้าหมายรายปีให้ชัดเจน ทั้งนี้ แผนงาน/โครงการต้องมีความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ โดยพิจารณาทั้งด้านการเพิ่มรายได้ และการลดต้นทุน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากโครงการลงทุนของรัฐบาล และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกรอบยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการประสานจังหวัดในการปรับปรุงยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด และจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี ๒๕๕๘ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประสานส่วนราชการดำเนินการปรับปรุงแผนและยุทธศาสตร์ระดับกระทรวงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศในระยะยาว และจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี ๒๕๕๘ ให้สอดคล้องและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของจังหวัดตามแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๒. ให้กระทรวง จังหวัดและกลุ่มจังหวัดเร่งประสานงานและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระทรวง และแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด กับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งตามปฏิทินการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กำหนดไว้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2436 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (29 - 30 พฤศจิกายน 2556) | นร | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในครั้งต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันแล้วเห็นควรจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสงขลา ซึ่งจะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งสุดท้ายของปี ๒๕๕๖ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์) เป็นเจ้าภาพหลัก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะดำเนินการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ที่อำเภอหาดใหญ่ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ๒. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในปี ๒๕๕๗ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรมีการปรับปรุงรูปแบบและจัดทำปฏิทินกำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีฯ เป็นการล่วงหน้าให้เหมาะสม โดยในส่วนของโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฯ ในแต่ละครั้งควรมีการศึกษาข้อมูลและอาจจัดทำโครงการไว้ล่วงหน้าเป็นโครงการใหญ่โครงการเดียวที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องต่อความต้องการของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนและการสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวทางดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2437 | ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | อก | 29/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยประชาชนศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการโลจิสติก์ทั้งระบบซึ่งเชื่อมโยงและเป็นประโยชน์ต่อการส่งออก รวมทั้งเป็นช่องทางในการขยายตลาดสินค้าของไทยในศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น อินเดีย ซึ่งในการดำเนินการตามติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีปัญหาและอุปสรรค และแนวทางการแก้ไข สรุปได้ ดังนี้
๑. ปัญหาและอุปสรรค ผลจากการดำเนินการพบว่า ปัจจุบันการบริหารจัดการโลจิสติก์ในสถานประกอบการของภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing logistics) ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าในอนาคต เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในสถานประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการต่าง ๆ ของแผนแม่บทการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหรรม (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ทั้งระบบฯ ในขณะนี้ คือ ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโลจิสติกส์ (Logistics Infrastructure) โดยเฉพาะการขาดท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ฝั่งทะเลอันดามันที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งและขนถ่ายสินค้าทางทะเลจากประเทศไทยไปยังเอเชียใต้โดยตรง รวมทั้งศูนย์ขนถ่ายและการกระจายสินค้าในพื้นที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันตก ๒. แนวทางการแก้ไข กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการเพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว ได้แก่ ๒.๑ โครงการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่เพื่อประกอบการกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมในพื้นที่ชายแดนด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง และพื้นที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดน (ด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง และพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี) ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งสินค้าผ่านแดนและเชื่อมโยงกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายสำหรับนิคมอุตสาหกรรมทวายในสหภาพเมียนมาร์ ๒.๒ โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ กลยุทธ์และข้อเสนอแนะในเชิงลึกที่เหมาะสมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงการผลิต การค้า การลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน และเสนอแนะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ ศึกษาและกำหนดรูปแบบทางเทคนิคและวิศวกรรม (Conceptual Design) ของเขตการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการที่บ่งบอกถึงการใช้ที่ดินและระบบกิจกรรมภายในพื้นที่ (Land Use) ๒.๓ โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ฝั่งตะวันตกตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economics Corridor EWEC) เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยสอดคล้องและเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจะเป็นการสร้างโอกาสสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนภายในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2438 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 29/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงกลาโหมเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. โดยที่กระทรวงกลาโหมได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ เพื่อกำหนดให้สถาบันการศึกษาวิชาการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหม สามารถจัดการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา อันได้แก่ ระดับปริญญาโทและปริญญาเอกได้ แต่การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวยังขาดสภาวิชาการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการต่าง ๆ ทางด้านงานวิชาการ เช่น การเสนอแนะเป้าหมาย นโยบาย แนวทางในการพัฒนาและแผนพัฒนาวิชาการ หรือการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา การเปิดสอน การปรับปรุง การยุบรวมและการยกเลิกหลักสูตร เป็นต้น สมควรที่กระทรวงกลาโหมจะได้ดำเนินการให้มีสภาวิชาการในสถาบันการศึกษาวิชาการทหารแต่ละแห่ง ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาแห่งอื่น ๒. การแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ยังไม่รองรับให้บุคคลพลเรือนมีโอกาสเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาในสังกัดกระทรวงกลาโหมได้ รวมทั้งยังมีข้อจำกัดจากอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องบางฉบับ เช่น ระเบียบหรือข้อบังคับของสภาการศึกษาวิชาการทหาร พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการซึ่งออกตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้น ดังนั้น หากกระทรวงกลาโหมมีความพร้อมที่จะจัดการศึกษาให้แก่บุคคลพลเรือนควรมีการแก้ไขปรับปรุงอนุบัญญัติให้รองรับการดำเนินการดังกล่าวต่อไป ๓. สถาบันการศึกษาในสังกัดกระทรวงกลาโหมตามมาตรา ๓ และมาตรา ๓ ทวิ ควรจัดให้มีบัณฑิตวิทยาลัยขึ้นเพื่อทำหน้าที่บริหารการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโทและปริญญาเอก) ประสานงานการจัดการศึกษา แผนและนโยบาย รวมทั้งควบคุมมาตรฐานการศึกษาและการวิจัยของสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2439 | การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ | ยธ | 29/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. จัดให้สถาบันอนุญาโตตุลาการอยู่ในกลุ่มองค์การมหาชน กลุ่มที่ ๒ กลุ่มบริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้านหรือสหวิทยาการ ซึ่งกำหนดอัตราเงินเดือนผู้อำนวยการองค์การมหาชน ขั้นต่ำและขั้นสูง อยู่ระหว่าง ๑๐๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ บาท ประโยชน์ตอบแทน และค่าตอบแทนพิเศษให้เป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผลองค์การมหาชน) ๒. ให้สถาบันอนุญาโตตุลาการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เมื่อสถาบันอนุญาโตตุลาการมีผลการปฏิบัติงานครบ ๑ ปี สมควรให้เข้าสู่ระบบการประเมินผลตามกรอบการประเมินผลหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผลองค์การมหาชน) และเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง กรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2440 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) | นร11 | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) ประกอบด้วย ๕ แผนงาน/โครงการ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๘,๘๗๕ ล้านบาท โดยขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน ๑๗,๘๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถจำแนกข้อเสนอดังกล่าวออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนแรก โครงการที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๓ แผนงาน/โครงการ วงเงิน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) โครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund For SMEs) และการขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และส่วนที่สองโครงการที่ขอรับจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม (คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๘๗๕ ล้านบาท ได้แก่ โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ [โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการผลิต (Productivity For SMI) และโครงการพัฒนาผลิตภาพของ SMEs ด้านการค้าและบริการ] และโครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๑ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตรวจสอบข้อเท็จจริงการชะลอการร่วมลงทุนของกองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยกับผู้ประกอบการ SMEs ในระยะที่ผ่านมา และพิจารณาระเบียบการจัดสรรเงินกองทุน แนวทางและขั้นตอนการร่วมลงทุนให้เกิดความชัดเจน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และแนวทางการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการตามข้อเสนอดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานประเภท ๒ และ ๓ ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจชำระคืนค่าธรรมเนียมรายปีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
