ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 130 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2581 - 2600 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2581 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ขาดดุล จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๐๐๑,๓๖๘.๕ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๑๓,๔๒๓.๗ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๕๗,๐๐๐ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๕๓,๒๐๗.๘ ล้านบาท ๒. แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒.๑ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ ยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ จุดเน้นของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และบูรณาการภารกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายและขยายโอกาสแก่ประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๒.๒ จัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ ตามผลการประชุมเชิงปฏิบัติการการบูรณาการตามยุทธศาสตร์ประเทศ และตามแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗) ให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งศักยภาพและความสามารถในการดำเนินงานของหน่วยงาน ๒.๓ คำนึงถึงความเชื่อมโยง สอดคล้อง และสนับสนุนแผนงาน/โครงการ จากแหล่งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ โดยเฉพาะพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ๒.๔ ให้กระทรวง/หน่วยงาน พิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน ตามหลัก 3R (Review Redeploy และ Replace) เพื่อนำงบประมาณดังกล่าวไปดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับสูง ๓. การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพและเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของ อปท. ให้สูงขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำทางการคลัง โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มให้ อปท. ที่มีรายได้ต่ำเพื่อให้มีรายได้ที่เหมาะสมกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมีเป้าหมายให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังของท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายและจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในด้านคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยรวมภารกิจตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับเบี้ยยังชีพคนชรา เบี้ยยังชีพคนพิการ เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำ และภารกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาของ อปท. โดยจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. จำนวน ๒๕๖,๕๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2582 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา รวม 2 ฉบับ | สผ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ของสภาผู้แทนราษฎร และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ของวุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ของสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ในการปฏิบัติภารกิจการทำฝนหลวงควรต้องมีการดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ควรมีการขยายกรอบอัตรากำลังในตำแหน่งนักบินและนักวิทยาศาสตร์บรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ควรมีการพัฒนาบุคลากรในตำแหน่งและสายงานต่าง ๆ ให้มีความรู้ ความสามารถ และมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจ ควรมุ่งเน้นการพัฒนางานด้านการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ควรจัดทำงบประมาณเพื่อจัดซื้ออากาศยาน ได้แก่ เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ให้เพียงพอต่อการปฏิบัติการทำฝนหลวง และควรกำหนดให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นต้น ๒. ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ของวุฒิสภา ได้แก่ เมื่อยกฐานะสำนักฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นกรมแล้ว จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพ และความคล่องตัวในการบริหารจัดการองค์กรเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการดำเนินงานเชิงรุกให้มากขึ้น ตลอดจนมีการประชาสัมพันธ์กรมฝนหลวงและการบินเกษตรให้แพร่หลายมากขึ้น โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตรควรพิจารณาความพร้อมและขีดความสามารถในการดำเนินการให้สอดรับกับบทบาทภารกิจที่เพิ่มขึ้น ควรมีการผลักดันงานวิจัยด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนและงานวิจัยองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ โดยการประสานความร่วมมือจากนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนขยายฐานการบินให้ทั่วถึง เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรและประชาชน และควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน และวัดความคุ้มค่า คุ้มทุน ของพื้นที่ปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นรายไตรมาสตามรอบปฏิทินของแต่ละปีงบประมาณ เป็นต้น ๓. ผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการปรับปรุงร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... การจัดทำแผนพัฒนาองค์กรทั้งระยะสั้นและระยาว และการสร้างแรงจูงใจในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2583 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2554 | ศป | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๕ ยุทธศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองให้เป็นที่เชื่อมั่นแก่สังคมไทย โดยได้เสริมสร้างมาตรฐานการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองที่รวดเร็วและมีคุณภาพ ตลอดจนได้เสริมสร้างระบบการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้มีประสิทธิผล ในประเด็นเกี่ยวกับสถิติคดีปกครองในภาพรวม ประเภทเรื่องที่ฟ้องของศาลปกครองชั้นต้น หน่วยงานที่ถูกฟ้องคดีปกครอง การให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับคดีปกครอง และการบังคับคดีปกครอง ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาหลักกฎหมายและองค์ความรู้เพื่อให้เป็นศูนย์กลางวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่เป็นที่ยอมรับ ได้จัดทำองค์ความรู้ด้านกฎหมายมหาชนเพื่อเผยแพร่แก่ตุลาการศาลปกครองและข้าราชการฝ่ายปกครอง ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดี ให้แก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองของประชาชน และได้เสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีแก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อมุ่งสู่องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง ได้ดำเนินการปรับปรุงภารกิจ โครงสร้าง และอัตรากำลังของสำนักงานศาลปกครอง ตลอดจนได้เสริมสร้างความเชี่ยวชาญและขีดสมรรถนะของบุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ พัฒนาระบบบริหารจัดการองค์การเพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติภารกิจของศาลปกครอง ได้จัดทำข้อตกลงการปฏิบัติงานระดับหน่วยงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานต้องจัดทำแนวทางการยกระดับขีดความสามารถในการทำงานและคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานในการทำงานและคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานในสำนักงานศาลปกครองให้อยู่ในระดับสูง และได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาช่วยสนับสนุนภารกิจหลักขององค์การและรองรับการพัฒนาองค์การในอนาคตอีกด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2584 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. 2556 | ทก | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ คนที่ ๑ คนที่ ๒ และคนที่ ๓ เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักสถิติสังคม สำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งให้คำปรึกษา แนะนำ และกำกับการดำเนินงานตามโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มผู้แทนหน่วยงานกรมการข้าว กรมหม่อนไหม ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นคณะกรรมการในคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๖,๓๔๐,๗๐๐ บาท นั้น เห็นควรให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และควรเพิ่มคุ้มรวมกิจกรรมการบริการทางการเกษตร เช่น การรับจ้างไถด้วยรถแทรกเตอร์ การเก็บเกี่ยวพืชผล เป็นต้น จัดเก็บข้อมูลผู้ประกอบการทางการเกษตร แยกประเภทครัวเรือน และธุรกิจหรือนิติบุคคล เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ และการปรับปรุงจัดทำรายได้ประชาชาติ จัดเก็บข้อมูลโครงสร้างต้นทุนการผลิตภาคเกษตร เพิ่มการจำแนกประเภทและขนาดการใช้ปุ๋ยและสารปราบศัตรูพืชในไร่นาระหว่างการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และ/หรือ ปุ๋ยเคมี รวมทั้งสารปราบศัตรูพืชจากสารชีวภาพ และ/หรือ สารเคมี การจัดเก็บข้อมูลประมงน้ำจืด ให้ครอบคลุมครัวเรือนเกษตรกร และปริมาณการจับสัตว์น้ำในบริเวณแหล่งน้ำสำคัญตามธรรมชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2585 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ | กค | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าหารือร่วมกันกับประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า การเปิดเผยราคากลางตามพระราชบัญญัติฯ มีเจตนารมณ์มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลราคากลางและตรวจสอบได้เป็นสำคัญ หากเกิดกรณีการจัดหาพัสดุชนิดเดียวกันแต่ราคากลางที่เปิดเผยแตกต่างกันจะต้องพิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์แวดล้อมของการได้มาของราคากลางนั้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการแล้ว สำหรับการเปิดเผยราคากลางของการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาตามแนวทางการดำเนินการประกวดราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และแนวทางการเปิดเผยราคากลางเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง ตามมติที่ประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลังและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีความพร้อมให้ดำเนินการได้ทันที ส่วนหน่วยงานใดที่ยังไม่มีความพร้อมให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓/๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา และสำนักงบประมาณดำเนินการกำหนดราคามาตรฐานโดยให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้แจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2586 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. .... | ศธ | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น และเป็นนิติบุคคล ๒. กำหนดวัตถุประสงค์ การแบ่งส่วนงาน และหน้าที่ของส่วนงาน การรับสถานศึกษาอื่นเข้าสมทบ และอำนาจหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ๓. กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้จากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น และรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุน เป็นต้น และให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๔. กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วยนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้ดำรงตำแหน่ง และคณาจารย์ประจำตามที่กำหนด กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๕. กำหนดให้มีสภาธรรมศาสตร์สัมพันธ์ ประกอบด้วยผู้แทนจากองค์กรตามที่กำหนด และให้สภาธรรมศาสตร์สัมพันธ์มีหน้าที่ตามที่กำหนด ๖. กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย ประกอบด้วยอธิการบดีเป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง และให้คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๗. กำหนดให้มีคณะกรรมการวิชาการ ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้คณะกรรมการวิชาการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๘. กำหนดให้มีสภาอาจารย์ และสภาพนักงานมหาวิทยาลัย โดยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๙. กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑๐. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาและการประเมินการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ๑๑. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการบัญชีและการตรวจสอบทางบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัย ให้อธิการบดีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับและดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของมหาวิทยาลัย ๑๒. กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การดำรงตำแหน่งและคณะกรรมการต่าง ๆ ส่วนราชการ การโอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานของมหาวิทยาลัย ตำแหน่งทางวิชาการ ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2587 | ผลการตรวจสอบราคากลางและวงเงินอุดหนุนระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม 5 แห่ง | อก | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. ผลการตรวจสอบราคากลางการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม ๕ แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี รวมเป็นเงิน ๓,๙๘๗,๗๑๘,๖๔๒.๘๘ บาท ๒. วงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม ๕ แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี รวม ๒,๖๒๙,๔๙๘,๙๐๐.๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่าวงเงินอุดหนุนเดิมของ ๕ นิคมฯ ดังกล่าว เป็นเงิน ๓๘๑.๑๖๕๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่รวมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2588 | การปรับปรุงโครงสร้างและการกำกับดูแลส่วนงานในการบริหารจัดการน้ำ [ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย แห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ] | นร09 | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างระเบียบและร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประสานงานกับสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเพื่อให้ทราบวงเงินการก่อหนี้ผูกพัน และให้กระทรวงการคลังดำเนินการก่อหนี้ผูกพันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2589 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย | วธ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เพื่อฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย จำนวน ๑๑ รายการ โดยดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. งานบูรณะวัดป่าโมกวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง จำนวน ๑๑,๙๗๕,๐๐๐ บาท ๒. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดเกาะพญาเจ่ง จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดกู้ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓,๕๙๓,๐๐๐ บาท ๔. โครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถาน วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๕. โครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเวียงกุมกาม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๘๐๑,๐๐๐ บาท ๖. วัดนายโรง กรุงเทพมหานคร (ระบบป้องกันและระบายน้ำ พระอุโบสถ งานบูรณะจิตรกรรมฝาผนัง) จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๗. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดชลอ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๙,๑๗๐,๐๐๐ บาท ๘. อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท ๙. อาคารสำนักงานและพื้นที่บริเวณ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑๐. งานซ่อมแซมระบบกล้องวงจรปิด (อุทยานประวัติศาสตร์ วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ คุ้มขุนแผน วิหารหลวงพ่อมงคลบพิตร พระราชวังโบราณ สำนักงานอุทยานฯ ลานจอดรถนักท่องเที่ยว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) จำนวน ๗,๕๓๔,๙๐๐ บาท ๑๑. วัดพระยาศิริไอศวรรย์ กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2590 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและ พัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" | อก | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อแสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน มีนโยบายในการช่วยเหลือสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง โดยอนุญาตให้ใช้ก๊าซ LPG ซึ่งเป็นก๊าซหุงต้ม : รับทราบแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ของกระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานประกาศผ่อนผันให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกลำปางสามารถซื้อก๊าซ LPG ได้ในราคาภาคครัวเรือน ซึ่งสามารถซื้อก๊าซได้ในขนาด ๔๘ กิโลกรัม/ถัง และพ่วงกันได้ไม่เกิน ๒๐ ถัง (จากเดิมกำหนดให้ ๑๐ ถัง) ๒. การสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก : รับทราบโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการศึกษาวิจัยและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซรามิก ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาในพื้นที่จังหวัดลำปางสามารถเข้าร่วมโครงการ และ/หรือ นำผลการศึกษาวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ ๓. การส่งเสริมการนำระบบการบริหารจัดการแบบ Lean Manufacturing และ Six Sigma มาใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิกเพื่อเพิ่มผลิตภาพ : ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปางในการลงพื้นที่เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องของการบริหารจัดการการผลิต ๔. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม นอกจากการพิจารณาประเด็นข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง ๔.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาผลิตภาพการผลิตของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยมีการกำหนดเพดานเงินกู้เพียง ๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ค่อนข้างต่ำเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายวิสาหกิจขนาดย่อม ในขณะที่วิสาหกิจขนาดกลางมีความต้องการวงเงินกู้ที่สูงกว่านี้ จึงมีข้อเสนอให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการฯ เพื่อเพิ่มเพดานวงเงินกู้ให้สูงขึ้น ๔.๒ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ควรมีการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและช่วยให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีเอกภาพ โดยอาจให้จังหวัดลำปางเป็นเจ้าภาพในการพิจารณารายละเอียดกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก ทั้งในส่วนของกิจกรรม/โครงการของจังหวัดลำปางและกิจกรรม/โครงการของหน่วยงานต่าง ๆ จากส่วนกลาง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2591 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา | นร | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ กรมการบินพลเรือน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. ทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมาณการจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีต้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ หลายประการไม่ได้กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ซึ่งหากยังยึดแผนแม่บทฯ เดิมอยู่จะทำให้การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยานโดยแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และอีกประการหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการประมาณการระยะเวลาสำหรับการก่อสร้างส่วนต่อขยาย เช่น ปัญหาทางวิ่งที่ ๓ ที่ประสบปัญหามีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนรอบข้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงแล้ว การเพิ่มและพัฒนาศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะล่าช้าและน่าเป็นห่วง ๒. พิจารณานำนโยบายการใช้ท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport มาใช้ทดแทนระบบ Single Airport โดยการพัฒนาท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport ให้นำท่าอากาศยานที่มีอยู่ในปัจจุบันมาทำให้การบริการการบินภายในประเทศและระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพ และคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงพิจารณาแนวทางการใช้ท่าอากาศยานอื่น ๆ ภายในประเทศมาบูรณาการเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดอย่างเต็มศักยภาพ ๓. ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นท่าอากาศยานที่จะมีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างสูง แต่จากข้อมูลที่ดำเนินการศึกษาพบว่าท่าอากาศยานอู่ตะเภาปัจจุบันอยู่ในพื้นที่และอำนาจการบริหารของกองทัพเรือ และไม่ได้รับความสนใจจากสายการบินต่าง ๆ เท่าที่ควร ดังนั้น รัฐบาลควรเป็นผู้ประสานกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และกองทัพเรือ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันโดยอาจจะมีรูปแบบให้ ทอท. เป็นผู้บริหารท่าอากาศยานอู่ตะเภา และแบ่งผลประโยชน์ให้กองทัพเรือ หรือนำรูปแบบการบริหารท่าอากาศยานดอนเมืองมาปรับใช้ เพราะท่าอากาศยานดอนเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่ของกองทัพอากาศซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน หรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นรูปธรรมขึ้น อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การดำเนินการใด ๆ จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และความสามัคคีปรองดองกล่าวคือการคำนึงถึงประโยชน์ของกองทัพเรือด้วย ๔. รัฐควรกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และนโยบายให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกับการปรับปรุงแผนแม่บทแห่งชาติเกี่ยวกับท่าอากาศยานทั้งประเทศ โดยการจัดตั้งองค์กรอิสระที่มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ภาคราชการและรัฐวิสาหกิจ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจและเอกชน ๕. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รัฐควรเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่าง ๆ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เหมาะสมกับการเป็นสนามบินหลัก (Main Airport) ในเรื่องการพิจารณาถึงความสำคัญเรื่องการเพิ่มทางวิ่งของเครื่องบิน สาย ๓ (Runway 3) โดยเร่งรัดระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๖-๑๒ เดือน เพิ่มอาคารเทียบเครื่องบินและอาคารผู้โดยสาร (Terminal) ต้องสร้าง Shuttle Train เพื่อขนส่งผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินซึ่งมีระยะห่างกันมาก ให้เหมือนกับท่าอากาศยานสากลที่ใช้กันอยู่ การเชื่อมต่อท่าอากาศยานระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานดอนเมืองควรจัดให้เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคู่ไปกับการเปิดใช้ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งควรกำหนดให้เสร็จในระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน โดยจัดให้มี Nonstop express bus lane เพื่อรับส่งผู้โดยสารระหว่างท่าอากาศยาน หรืออาจเป็น Airport shuttle bus วิ่งตรงระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางและมีทางวิ่งโดยเฉพาะและมีรั้วตาข่ายกั้นตลอดเส้นทาง รวมทั้งจัดให้มี Nonstop express shuttle train รถไฟสายนี้ต่อเชื่อมระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง โดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางใช้เวลาเดินทางไม่ควรเกิน ๒๐-๓๐ นาที ๖. ท่าอากาศยานดอนเมือง รัฐควรจัดให้มีการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นสนามบินรอง (Secondary Airport) โดยดำเนินการให้กลับมามีความพร้อมใช้งานได้ดังเดิมเหมือนก่อนการปิดใช้งานท่าอากาศยาน และควรเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่อผู้โดยสาร เช่น ติดตั้งทางเลื่อน (walkway conveyor) บนพื้นทางเดินเพิ่มขึ้น และปรับปรุงพัฒนาพื้นที่บางส่วนของอาคารผู้โดยสารให้เป็นพื้นที่ใช้บริการต้อนรับผู้โดยสาร VIP ระดับ Elite Service และพัฒนาพื้นที่โดยรอบของท่าอากาศยานดอนเมืองให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2592 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๓๓๖.๐๖๓ ล้านบาท โดยมีประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๓๘๐.๓๓๒ ล้านบาท และจำนวน ๓,๗๑๖.๓๙๕ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) ที่ให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสม คุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด และมีการแยกต้นทุนและรายได้ของการให้บริการแต่ละประเภท โดยแสดงหนี้เดิมและหนี้ใหม่ที่เกิดจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอื่นให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และเพิ่มคุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งเร่งหาแนวทางปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับเงินอุดหนุนที่ได้รับจริงและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินและการลงทุนในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2593 | ผลการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ของนายกรัฐมนตรีเพื่อเยี่ยมชมพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลในประเด็นต่างๆ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้นเพื่อให้การหารือของผู้นำทั้งสองประเทศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ฝ่ายเมียนมาร์ขอให้มีการวางแผนพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งใหม่สำหรับประชาชนเมียนมาร์ออกจากพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายให้ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งในเรื่องการสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการพัฒนาชุมชน ๒. ฝ่ายเมียนมาร์ย้ำความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและป้องกันผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อป่าไม้ แม่น้ำ และทะเลในบริเวณโดยรอบ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมจะนำบทเรียนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยเข้ามาช่วยจัดทำแผนบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและแผนจัดการความเสี่ยงต่างๆ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ ๓. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการจัดตั้งกลไกระดมเงินทุนและพิจารณาเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศที่สามเข้าร่วมลงทุนด้วย เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งฝ่ายไทยเสนอให้มีกรอบความร่วมมือในระดับภาครัฐสามประเทศ (ไทย เมียนมาร์ และญี่ปุ่น) เพื่อระดมทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะแรกก่อนพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) รวมทั้งขอความชัดเจนเรื่องพื้นที่โครงการและขอรับข้อมูลสำหรับการประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการทวาย เช่น ราคาที่ดิน และโครงการที่จะดำเนินการร่วมกับชุมชน เป็นต้น เพื่อคำนวณกรอบเงินทุนสำหรับการจัดตั้ง SPV ต่อไป หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามข้อมูลและเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการเงิน ๔. ฝ่ายเมียนมาร์ให้ความสำคัญกับเส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และระบบไฟฟ้า ซึ่งยังไม่เพียงพอ โดยระยะยาวหากจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจะต้องมีการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง และกระทรวงพลังงานดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาพลังงาน ๕. ฝ่ายเมียนมาร์เสนอให้พัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยรับไว้พิจารณา ๔ แห่ง ได้แก่ ด่านเจดีย์สามองค์-ด่านพญาตองซู ด่านบ้านพุน้ำร้อน-ด่านทิกี ด่านสิงขร-ด่านมอต่อง และเส้นทางกอกะเร็ก-เมาะละแหม่ง หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางคมนาคมขนส่งทางตามข้อเสนอของฝ่ายเมียนมาร์ และกระทรวงการต่างประเทศติดตามความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดน ๖. ฝ่ายไทยขอความร่วมมือเมียนมาร์เกี่ยวกับการปรับปรุงข้อตกลงเพื่อพัฒนาโครงการ (Framework Agreement) ฉบับใหม่ รวมถึง Sectorial Agreement และปรับปรุงสิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๗. ฝ่ายไทยขอให้เมียนมาร์แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์การลงทุนที่คาดว่าจะได้รับภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่ของเมียนมาร์ (SEZ Law) ให้แก่นักลงทุน พร้อมทั้งเร่งรัดกระบวนการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์แจ้งให้ทราบว่าได้ทำการยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างนำเสนอรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามความคืบหน้าของฝ่ายเมียนมาร์ผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๘. การจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเนปิดอว์ ฝ่ายไทยเสนอขอจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายเพื่อสนับสนุนการทำงานของภาคธุรกิจและผู้เยี่ยมเยือนในอนาคต รวมทั้งขอเปิดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเนปิดอว์ และขอความร่วมมือฝ่ายเมียนมาร์ในการสนับสนุนการจัดหาที่ดิน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์รับจะพิจารณาทั้งสองเรื่องและแจ้งให้ทราบว่าได้กำหนดพื้นที่สำหรับสถานเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนที่เนปิดอว์ไว้แล้ว หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๙. ฝ่ายไทยวางเป้าหมายการดำเนินงานว่าคณะอนุกรรมการฯ จะสามารถจัดทำรายละเอียดทั้งหมดได้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เสนอให้คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) พิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในข้อตกลง Framework Agreement ฉบับใหม่ และ Sectorial Agreement ทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และจะเริ่มระดมทุนและดำเนินการก่อสร้างโครงการได้ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่ผู้นำทั้งสองประเทศกำหนด หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๑๐. ฝ่ายไทยแจ้งว่าในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จะสิ้นสุดการพิสูจน์สัญชาติ แต่ยังมีแรงงานเมียนมาร์ที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนเพื่อเข้ากระบวนการปรับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เข้าเมืองถูกกฎหมายคงค้างอยู่เป็นจำนวนมาก จึงผ่อนผันไปอีก ๓ เดือน และขอให้ฝ่ายเมียนมาร์สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสถานะแรงงานเหล่านี้ด้วย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2594 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นว่าสมควรปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล โดยให้เพิ่มอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นกรรมการในคณะกรรมการสถานพยาบาลด้วย เนื่องจากเป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลโดยตรง และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขในการรับข้อสังเกตดังกล่าวไปดำเนินการในกรณีที่มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลในโอกาสต่อไป และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2595 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์และจุดเน้นของนโยบายการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สอดคล้อง เชื่อมโยงกับผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ การบูรณาการตามยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) และยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ ไปใช้เป็นแนวทางในการเสนอขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์เร่งรัดการพัฒนาประเทศ และเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๒. รับทราบข้อเสนอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ส่งคำขอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นฯ รวม ๒๗ กระทรวง/หน่วงาน เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๕๓,๒๔๘.๙ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรจัดทำข้อเสนอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นฯ จำนวน ๕๖๔,๒๕๑ ล้านบาท เพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ใช้ประกอบการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยข้อเสนอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำแนกเป็นค่าครุภัณฑ์ จำนวน ๑๔๘,๘๑๐.๑ ล้านบาท ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๔๑๕,๔๔๐.๙ ล้านบาท ๓. เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2596 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 | ศธ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ ที่เห็นชอบการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๔ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ในกลุ่มเป้าหมายนักเรียนทุนประเภทที่ ๒ ที่เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี ไม่จำกัดรายได้ของครอบครัวและศึกษาในสาขาขาดแคลนเน้นด้านวิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาเชื่อมโยงกับการดำเนินการของกองทุนเพื่อการศึกษา (กรอ.) ในการให้ทุนการศึกษาแบบต้องใช้คืนให้แก่นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาที่เป็นความต้องการหลักต่อการพัฒนาประเทศ การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้เรียนดีทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เพื่อให้การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การกำหนดแนวทาง/มาตรการในการคัดเลือกหรือเตรียมความพร้อมนักเรียนที่มีศักยภาพให้สามารถเข้ารับการศึกษาจนสำเร็จหลักสูตรและสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนทุนเข้าศึกษาต่อในประเทศมากขึ้น และจัดทำฐานข้อมูลการติดตามนักเรียนทุนและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดสรรให้ผู้รับทุนไปศึกษาในแต่ละประเทศและสาขาวิชาควรคำนึงถึงโอกาสในการสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนเป็นสำคัญ และกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนที่จะไปศึกษาในแต่ละประเทศเพื่อให้การดูแลจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจัดทำแผนรองรับการเข้าทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชนสำหรับผู้รับทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ กระบวนการคัดเลือกผู้รับทุน ให้กระทรวงศึกษาธิการเริ่มคัดเลือกนักเรียนทุนจากนักเรียนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ หรือมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เพื่อให้ผู้รับทุนมีเวลาเตรียมความพร้อมในเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอในการไปศึกษาในต่างประเทศ เช่น การใช้ภาษา การใช้ชีวิตในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีกิจกรรมเข้าค่ายเป็นระยะๆ เพื่ออบรมให้ผู้รับทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาและการใช้ชีวิตในต่างประเทศปลูกฝังจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ความกตัญญู ความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งให้มีความผูกพันกับภาครัฐ ตลอดจนรับฟังปัญหาของผู้รับทุนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันการณ์ ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างการรับทุน หากผู้รับทุนต้องการหางานทำเพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดหางานให้ด้วย ๓.๓ เมื่อผู้รับทุนสำเร็จการศึกษาแล้ว ในระหว่างที่ยังไม่มีงานทำ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหางานให้ทำชั่วคราวไปพลางก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2597 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี | นร07 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวน ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙ ล้านบาท สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรเสร็จสิ้นแล้วรวม ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๓.๐๒ ล้านบาท โดยมีหน่วยงานยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) ซึ่งได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) แล้ว จึงไม่ขอรับจัดสรรฯ ๒. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ ๒.๑ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงิน ๕๑๗.๓๔ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๖.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ หน่วยงานขอรับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๐ โครงการ วงเงิน ๓๗๑.๗๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๘๕ ของวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ และสำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรให้แล้วทั้ง ๒๐ โครงการ วงเงิน ๓๖๙.๖๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๔๕ ของวงเงินที่ขอรับการจัดสรร ๒.๓ โครงการที่ได้รับอนุมัติงบกลางแต่ยังไม่ขอรับการจัดสรรทั้งสิ้น จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๑๔๕.๖๓ ล้านบาท อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับการจัดสรร คาดว่าจะขอรับการจัดสรรได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2598 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 | นร11 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ รวม ๕ จังหวัด (จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) ได้แก่ ๑.๑ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแก้มลิงบึงบัว ระยะที่ ๑ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวหนองน้ำมณีบรรพต ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มจังหวัด เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) บนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายคมนาคม ดำเนินการก่อสร้างขยายทางจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร พร้อมสิ่งอำนวยความปลอดภัย ทางหลวงหมายเลข ๑๐๒ ตอนควบคุม ๐๒๐๐ ตอน ห้วยช้าง-ศรีสัชนาลัย ระหว่าง กม. ๓๙+๐๕๐ - กม. ๓๙+๙๐๔ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ท้องถิ่นเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ของจังหวัด โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๓.๖๖๕ ล้านบาท ๑.๕ โครงการปรับปรุงโครงข่ายคมนาคมของจังหวัดอุตรดิตถ์รองรับการค้าชายแดนภูดู่ และ AEC โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๖.๓๒๕ ล้านบาท ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดหาครุภัณฑ์ประกอบอาคารส่งเสริมสุขภาพ และพักผู้ป่วยใน ๔ ชั้น โรงพยาบาลลับแล โดยให้ใช้จ่ายจากงบรายได้และปรับแผน ในวงเงิน ๑๒.๔๖๑๑ ล้านบาท และพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ให้สำนักงานชลประทานเขตและชลประทานจังหวัดรับเรื่องโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองแม่น้ำเก่า เชื่อมต่อคลองตาแดง อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ไปทำการศึกษาและพิจารณาดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่โดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2599 | การปรับปรุงระบบการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ๑.๒ ให้ยกเว้นการค้ำประกันเงินกู้ของ อ.ส.ย. กับ ธ.ก.ส. เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อน เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ค้ำประกันเงินกู้ระหว่าง ธ.ก.ส. กับสถาบันการเงินแหล่งเงินกู้แล้ว ๑.๓ ให้ อ.ส.ย. ส่งรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการฯ [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ให้คณะรัฐมนตรีประกอบการพิจารณาต่อไป ๒. ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินกู้ให้แก่ อ.ส.ย. ไปก่อนตามแผนธุรกิจที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการแล้ว โดยชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 เช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การรักษาเสถียรภาพราคายาง) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาด เพื่อมิให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมที่รัฐจะต้องชดเชยผลการขาดทุนจากการรับซื้อยางตามโครงการฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2600 | โครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ 1 - 3 | พน | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ ๑-๓ ในส่วนของการปรับปรุงเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ชำรุดทรุดโทรม หมดอายุการใช้งาน เพื่อยืดอายุการใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพให้มีความพร้อม และความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษา ในวงเงินลงทุน ๓,๖๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๒,๐๖๔.๐๗ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๑,๕๓๕.๙๓ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับโครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ ๑-๓ จำนวน ๓๑๙.๓๖ ล้านบาท ๒ ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการระดมทุนโครงการฯ หากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศหรือเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและก่อสร้าง เห็นควรให้ กฟผ.พิจารณาจัดโครงสร้างทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของโครงการให้มีความเหมาะสม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนในการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศให้มีความเหมาะสม รอบคอบ และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางเงินขององค์กรในระยะยาว โดยพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางเงินให้เหมาะสม การพิจารณาทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินลงทุนในการดำเนินโครงการที่เหมาะสม เพื่อให้มีต้นทุนต่ำที่สุดและลดภาระทางการเงินในอนาคต การคัดเลือกอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในโครงการควรพิจารณาให้ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านต้นทุน ด้านเทคนิค ด้านความคงทน อายุการใช้งาน ด้านมาตรฐานสากลสำหรับอุปกรณ์ที่จะใช้ในโครงการ ด้านความเชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุง และด้านการบริหารจัดการอะไหล่สำรอง การสำรวจการเปลี่ยนแปลงสภาพลุ่มน้ำจากการเข้าใช้พื้นที่โดยรอบเขื่อนของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการระบายน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์มาเพื่อการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ การเกษตร และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้น้ำตอนท้ายเขื่อน ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง การให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยน้ำของเขื่อนให้ชุมชนได้รับทราบข้อมูลล่วงหน้าอย่างทั่วถึง เพื่อลดผลกระทบการปล่อยน้ำต่อชุมชนและประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำ การทำการศึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการในช่วงตั้งแต่การริเริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการเพิ่มบทบาทในการช่วยชุมชนวางแผนและพัฒนาโครงการที่จะใช้จ่ายจากเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อช่วยให้ชุมชนสามารถวางแผนและพัฒนาโครงการที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
