ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 128 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2541 - 2560 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2541 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2555 | ผผ | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานของรัฐ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงรวมทั้งสิ้น ๓,๕๔๔ เรื่อง และสามารถดำเนินกระบวนการพิจารณาแล้วเสร็จได้ ๒,๒๒๗ เรื่อง หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ ๖๓ ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมดที่รับไว้ดำเนินการ ๒. ผลการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนส่วนใหญ่มักจะให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ร้องเรียน ตลอดจนเป็นการปรับปรุงแก้ไขวิธีการปฏิบัติราชการให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นในหลายกรณี ๓. ความร่วมมือจากหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐจำนวนหนึ่งที่ตระหนักในความสำคัญของกระบวนการแก้ไขปัญหาตามคำร้องเรียนที่มีต่อหน่วยงานตน แต่ก็มีหน่วยงานที่ยังคงเพิกเฉยไม่ให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจการแผ่นดินในการชี้แจงข้อเท็จจริงหรือการส่งเอกสารหลักฐานที่จำเป็นต่อการพิจารณา ในกรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางกฎหมายตามที่บทบัญญัติมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้กำหนดบทลงโทษไว้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป ๔. ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (รวมราชการส่วนท้องถิ่น) โดยได้ดำเนินการเสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำหรือปรับปรุงประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่งประมวลจริยธรรมแล้ว ๑๔,๗๘๒ หน่วย ยังไม่ได้ส่ง ๙๒๗ หน่วย ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐส่งประมวลจริยธรรมแล้ว ๗,๓๑๐ หน่วย ยังไม่ได้ส่ง ๗๐๔ หน่วย สำหรับการส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม ได้มีโครงการและกิจกรรมในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาความซื่อตรงแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติในระดับจังหวัด โครงการพัฒนาผู้นำคุณธรรม ความร่วมมือในการดำเนินงานตามจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โรงเรียนต้นแบบด้านคุณธรรมจริยธรรม และโครงการคนดีแห่งแผ่นดิน ทั้งนี้ การตรวจสอบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ประกาศระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วยการไต่สวนและเปิดเผยการไต่สวนสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๓ ลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๘ ตอนที่ ๕ ก ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ ๕. ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ดำเนินการติดตามการตรากฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่ดำเนินการทั้งหมด จำนวน ๓๐๒ ฉบับ สำหรับการติดตามผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรการหรือโครงการตามรัฐธรรมนูญทั้งหมด จำนวน ๓,๔๑๓ งาน/โครงการ ๖. แนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนในเชิงระบบ การสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ร้องเรียน การพัฒนางานด้านจริยธรรม การติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และการพัฒนาสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้เป็นองค์กรที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2542 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางบรรเทาแก้ไขผลกระทบของคำสั่ง กสทช. ต่อการดำเนินงาน ด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ทางพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง" | สสป | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรศาสนา และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางบรรเทาแก้ไขผลกระทบของคำสั่ง กสทช. ต่อการดำเนินงานด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ทางพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง" สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรประสานงานกับ กสทช. ให้การดำเนินการอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง กสทช. ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๗ ความสัมพันธ์กับรัฐบาลและรัฐสภา มาตรา ๗๔ ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ในการดำเนินการให้เป็นไปตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา วันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งวัด มูลนิธิ และสมาคมทางพระพุทธศาสนาโดยการอุปถัมภ์ของชาวพุทธทั่วประเทศได้ดำเนินการจัดตั้งและดำเนินการมาเป็นเวลาร่วมสิบปี กสทช. จึงควรต้องแยกสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเฉพาะที่ กสทช. พึงสนับสนุนและผ่อนปรนให้ดำเนินการได้ตามเดิมต่อไป ทั้งนี้ ให้การสนับสนุนและผ่อนปรนครอบคลุมถึงสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่เป็นการเผยแพร่ศาสนานั้น ๆ อย่างแท้จริง ไม่มีการโฆษณาแอบแฝง ของอีก ๔ ศาสนาที่ทางราชการรับรอง ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ ๓. กสทช. ควรต้องปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การขออนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือออกประกาศใหม่เพิ่มเติม โดยยกเว้นให้สถานีวิทยุกระจายเสียงทางพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง ที่มีอยู่แล้วสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ตามเดิม โดยไม่ต้องถูกลิดรอนลดทอนอุปกรณ์และประสิทธิภาพในการกระจายเสียงและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง ๔. ประสาน กสทช. ให้การจัดสรรวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลงวดแรกจำนวน ๔๘ ช่อง มีช่องเฉพาะทางศาสนาอย่างน้อย ๑ ช่อง โดยแบ่งเวลาในการออกอากาศให้แก่แต่ละศาสนาใน ๕ ศาสนาที่ทางราชการรับรอง ตามสัดส่วนของประชากรทั่วประเทศที่นับถือศาสนานั้น และในระยะต่อไป เมื่อ กสทช. มีการจัดสรรวิทยุโทรทัศน์ดิจิทัลเพิ่มจำนวนช่องขึ้น ก็พึงต้องมีช่องเฉพาะทางศาสนาเพิ่มขึ้นด้วยตามอัตราส่วนอย่างเหมาะสม ๕. ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ล้าสมัยซึ่งไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2543 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของ รฟท. จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ยกเว้นในส่วนของการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน เนื่องจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการประเมินความเสี่ยงและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐ ในชั้นนี้ จึงเห็นควรสงวนสิทธิ์ในการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันไว้ก่อน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตามแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อบรรเทาภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2544 | การขอปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ปฏิบัติงานจัดทำสัญญาประกันภัยเพื่อคุ้มครองการรักษาพยาบาลของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด | ทก | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ปฏิบัติงานจัดทำสัญญาประกันภัยเพื่อคุ้มครองการรักษาพยาบาลของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด โดยให้สอดคล้องเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑ กล่าวคือ หากสิทธิที่จะได้รับเงินจากบริษัทประกันภัยนั้นต่ำกว่าค่ารักษาพยาบาลในคราวนั้น ผู้นั้นจะยังคงมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามสิทธิของตนเองอีก ในส่วนที่ยังขาดอยู่หลังจากได้รับเงินจากบริษัทประกันภัยไปแล้ว แต่ต้องไม่เกินไปกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการและหลักฐานการเบิกจ่ายให้ชัดเจนและรัดกุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2545 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีกรณีเงินช่วยเหลือตามโครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนด) | กค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗๒ (พ.ศ. ๒๕๕๒) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อกำหนดให้การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินช่วยเหลือข้าราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ตามพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2546 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๒. ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอตามข้อ ๑. ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรงก่อนนำไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และเอกสารประกอบงบประมาณ และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2547 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา เรื่อง การพิจารณาศึกษาการดำเนินงานของสถาบันการเงินของรัฐ | สว | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา เรื่อง การพิจารณาศึกษาการดำเนินงานของสถาบันการเงินของรัฐ พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อเสนอแนะที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับด้านบทบาท ด้านการกำกับดูแล และด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ กระทรวงการคลังมีความเห็น สรุปได้ ดังนี้
๑. สถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสถาบันการเงินเพื่อพัฒนา มีบทบาทในการเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน โดยให้บริการกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงธนาคารพาณิชย์ และช่วยเหลือภาคธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจไม่ปกติ ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้สามารถปิดช่องว่างทางการเงินในระบบสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. กระทรวงการคลังได้จัดทำแผนพัฒนาสถาบันการเงินเฉพาะกิจปี ๒๕๕๓-๒๕๕๖ โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการปรับบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้การพัฒนาระบบการกำกับดูแลและการพัฒนาศักยภาพของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการทำงานร่วมกันด้วย ๓. การประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีกรอบการพิจารณากำหนดตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายจากวัตถุประสงค์การจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และแผนวิสาหกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสำคัญ โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ และผู้ทรงคุณวุฒิร่วมกันพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายประจำปี ๔. การแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจต้องพิจารณาจากองค์ประกอบของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจที่กำหนดไว้ตามกฎหมายจัดตั้งแต่ละแห่ง โดยต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ และกฎหมายคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจอย่างครบถ้วน ๕. กระทรวงการคลังกำหนดแนวทางปฏิบัติของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ซึ่งแยกบัญชีระหว่างการดำเนินงานปกติ และบัญชีการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และรายงานให้กระทรวงการคลังทราบทุกไตรมาส ๖. กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง และพัฒนาระบบการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงการคลังปี ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา ๗. หลังจากที่พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ กระทรวงการคลัง สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันจัดทำแผนการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ประชาชน รวมทั้งได้ลงพื้นที่ให้ความรู้ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้ฝากเงินกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา ๘. กรณีที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากขาดสภาพคล่อง และไม่เพียงพอต่อการจ่ายผู้ฝากเงินกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากสามารถออกตั๋วเงิน พันธบัตร หรือตราสารทางการเงินอื่นได้ ๙. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ) โดยจะพิจารณาอนุญาตให้ Non-bank สามารถให้สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อยได้เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินได้เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราดอกเบี้ย และวงเงินกู้ที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2548 | ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเพื่อเร่งรัดการดำเนินการสร้างถนนไร้ฝุ่นทางหลวงชนบทให้ขยายทั่วทั้งประเทศ และญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเพื่อเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงถนนให้เป็นถนนไร้ฝุ่น | สผ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเพื่อเร่งรัดการดำเนินการสร้างถนนไร้ฝุ่นทางหลวงชนบทให้ขยายทั่วทั้งประเทศ (นายนิยม เวชกามา และนายหนูแดง วรรณกางซ้าย เป็นผู้เสนอ) และญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเพื่อเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงถนนให้เป็นถนนไร้ฝุ่น (นายสถาพร มณีรัตน์ เป็นผู้เสนอ) พร้อมผลการดำเนินการตามญัตติด่วนที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2549 | ผลการประชุม Myanmar Development Cooperation Forum ครั้งที่ 1 | กต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Myanmar Development Cooperation Forum ครั้งที่ ๑ และผลการหารือทวิภาคีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ มกราคม ๒๕๕๖ ณ เมืองเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการดำเนินความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนากับเมียนมาร์อย่างมีบูรณาการ โดยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สาระสำคัญของการประชุมฯ ๑.๑ เมียนมาร์ได้จัดทำ Framework on Economic and Social Reform (FESR) ซึ่งเป็นกรอบการปฏิรูปที่ครอบคลุม ๑๐ สาขาหลัก ได้แก่ การคลัง การเงินและระบบภาษี การค้าและการลงทุน การพัฒนาภาคธุรกิจเอกชน การศึกษา สาธารณสุข ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ระบบโทรคมนาคม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐบาล นอกจากนี้ เมียนมาร์กำลังจัดทำ National Comprehensive Development Plan สำหรับการพัฒนาช่วง ๒๐ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๑-๒๐๓๐) โดยเน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เน้นการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน พัฒนาระบบสาธารณูปโภค ภาคสังคม สร้างอาชีพ รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และพัฒนาประเทศให้บูรณาการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และบรรลุ Millennium Development Goals ของสหประชาชาติภายในปี ๒๕๕๘ พร้อมทั้งเสนอให้ที่ประชุมรับรอง Nay Pyi Daw Accord for Effective Development Cooperation เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ๑.๒ เมียนมาร์เน้นให้ความสำคัญกับการประสานความช่วยเหลือระหว่างประเทศ อาทิ การร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาระบบนำร่องสำหรับสนามบินในเมียนมาร์ รวมทั้งสนามบินทวาย การจัดตั้งศูนย์ฝึกฝีมือแรงงาน และการส่งเสริมการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม อาทิ การพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรบ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท ซึ่งในส่วนของไทยพร้อมที่จะสร้างเส้นทางรถไฟอรัญประเทศ-คลองลึก และสะพานรถไฟข้ามแดนคลองลึก-ปอยเปต ตลอดจนการปรับปรุงถนนหมายเลข ๔๘ (เกาะกง-สแรอัมเบิล) ในกัมพูชา ๒. การหารือทวิภาคี หัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้เข้าพบหารือทวิภาคีกับ ดร. กัน ซอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติเมียนมาร์ และนายตาน จ่อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาร์ โดยได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือไทย-เมียนมาร์ ในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ความร่วมมือทางด้านแรงงานและการท่องเที่ยว ซึ่งไทยขอความร่วมมือเมียนมาร์ให้ช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ ที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณภาคเหนือของไทย รวมทั้งขอความร่วมมือให้อำนวยความสะดวกในการผ่านแดนเพื่อให้มีการท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้น นอกจากนี้ ไทยได้แจ้งปัญหาการลักลอบเข้าไทยของชาวโรฮิงญาที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยเสนอที่จะส่งคณะผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือเบื้องต้นกับฝ่ายเมียนมาร์เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2550 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ความปลอดภัยในการใช้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะ | สสป | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ความปลอดภัยในการใช้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกรมการขนส่งทางบก บริษัทขนส่ง จำกัด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความสูญเสียจากอุบัติเหตุรถตู้โดยสารสาธารณะ โดยระงับการจดทะเบียนรถตู้โดยสารใหม่ให้เป็นรถประจำทางชั่วคราว ระงับการขยายผลมาตรการการใช้ RFID (Radio-frequency identification) จนกว่าจะมีการประเมินประสิทธิผลความคุ้มค่าเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ และจัดตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะ ๒. ข้อเสนอด้านการปรับปรุงระบบการกำกับดูแลความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะ โดยการจดทะเบียนรถ โครงสร้างและการตรวจสภาพรถ มีมาตรการกำกับพฤติกรรมพนักงานขับรถ มาตรการบังคับใช้กฎหมาย บทลงโทษ รวมทั้งเพิ่มดัชนีด้านความปลอดภัยในแผนประกอบการผู้ประกอบการขนส่ง และมีบทลงโทษที่ชัดเจนกับผู้ประกอบการที่ละเมิดมาตรฐานด้านความปลอดภัยทั้งเรื่องของมาตรฐานตัวรถ มาตรฐานพนักงานขับรถ และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ๓. โครงสร้างและบทบาทคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง โดยมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางให้มีนักวิชาการและตัวแทนผู้บริโภคที่ทำงานด้านความปลอดภัยทางถนน และนำเรื่องของ "ความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ" มากำหนดเป็นนโยบาย พร้อมทั้งวางกลไกติดตามกำกับ ประเมินผล และรายงานต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ๔. ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะ โดยผู้ประกอบการต้องดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่ยื่นต่อกรมการขนส่งทางบก โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย โดยเลือกใช้รถตู้โดยสารสาธารณะที่ได้มาตรฐาน และคัดเลือกพนักงานขับรถที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและผ่านเกณฑ์มาตรฐานพนักงานขับรถ รวมถึงการกำกับดูแล ลงโทษผู้กระทำผิด ๕. มาตรการองค์กรด้านความปลอดภัยในการใช้รถตู้โดยสารสาธารณะ โดยหน่วยงานหรือองค์กรที่มีเส้นทางรถตู้โดยสารสาธารณะอยู่ในหน่วยงาน ควรมีมาตรการกำกับดูแล เช่น เส้นทางรถตู้สายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ที่มีมาตรการติด GPS (Global Positioning System) บนรถตู้โดยสารสาธารณะทุกคัน เป็นต้น ๖. ข้อเสนอเพื่อสนับสนุนและติดตามการดำเนินงาน โดยหน่วยงานภาครัฐ และแหล่งทุน ต้องสนับสนุนการดำเนินงานที่คุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพให้มีความเข้มแข็ง โดยสนับสนุนทั้งด้านวิชาการ งานวิจัย ทรัพยากร และการอำนวยความสะดวก รวมทั้งภาครัฐต้องมีมาตรการส่งเสริม หรือสนับสนุนผู้ประกอบการ เช่น มาตรการลดภาษีสำหรับรถโดยสารประจำทางขนาดใหญ่ หรือหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถลงทุนด้านความปลอดภัยได้ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะต่อสภาที่ปรึกษาฯ ในปีงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2551 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า | พน | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๑.๑ เห็นชอบโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าทำให้ระบบไฟฟ้ามีขีดความสามารถรองรับไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และแก้ไขข้อจำกัดด้านระดับกระแสลัดวงจรในระยะยาว โดยการปรับปรุงระบบไฟฟ้าในเขตจังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา และชลบุรี แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ ระบบภาคตะวันออกตอนบน และส่วนที่ ๒ ระบบภาคตะวันออกตอนล่าง โดยก่อสร้างสายส่ง รื้อสาย ย้ายสาย เชื่อมต่อสายส่ง ปรับปรุงการจัดวางสายส่งใหม่ ก่อสร้างและขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูง จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง รวมทั้งเพิ่มเติมระบบสื่อสารที่เกี่ยวข้อง และงานปรับปรุงระบบเบ็ดเตล็ด วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๒,๙๘๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๙,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓.๖ ล้านบาท ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินกู้ภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เพื่อช่วยดูดซับสภาพคล่องในระบบการเงินภายในประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และควรติดตามการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Independent Power Producer : IPP) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งควรบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด และจัดให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการดำเนินงานโครงการฯ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และควรเพิ่มช่องทางให้โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก (Very Small Power Producer : VSPP) ได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าตามโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2552 | มาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) | อก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบซึ่งมีต้นทุนรวมเพิ่มขึ้นคือ กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมแก้ว เซรามิก ซีเมนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์ กลุ่มอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง สำหรับการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลิตภาพการผลิต และพัฒนานวัตกรรมไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ เพิ่มรายได้ และยกระดับศักยภาพในการแข่งขัน ประกอบด้วย โครงการภายใต้แผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม และแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ รวม ๑๔๙ โครงการ (๒) มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (๓) มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้กับกิจการโรงงานจำพวกที่ ๒ และ ๓ และ (๔) มาตรการส่งเสริมการลงทุนแก่ SMEs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตรา ค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เฉพาะมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถดำเนินการได้เอง ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบด้วย โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับ SMEs มาตรการด้านการส่งเสริมการลงทุน และการยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตและค่าบริการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ทางภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ในปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ๓. สำหรับมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการนั้น ให้คณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบด้วย โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) และการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปี และโครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน และการประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund for SMEs) ๔. เห็นชอบกรอบแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลิตภาพ และโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาของภาคอุตสาหกรรม (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) (การเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพด้วยความรู้และปัญญา) เพื่อยกระดับโครงสร้างการผลิตด้วยการเพิ่มผลิตภาพการผลิต พัฒนานวัตกรรมไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ และเพิ่มรายได้ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ และยกระดับศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานต่อไป ๕. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินงานของมาตรการดังกล่าวว่าสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างไร เพื่อให้สามารถปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ SMEs ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2553 | ขออนุมัติกู้เงินภายในประเทศสำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลา 20 ตัน/เพลา ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินภายในประเทศ วงเงินรวม ๒,๓๔๔,๗๗๓,๔๖๘.๕๑ บาท สำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน ๒๐ คัน น้ำหนักกดเพลา ๒๐ ตัน/เพลา พร้อมเครื่องอะไหล่ โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ยกเว้นในส่วนของการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรและทรัพยากรเพื่อรองรับการจัดซื้อจัดจ้างและการติดตามและประเมินโครงการและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ในภาพรวม โดยให้ความสำคัญในแนวทางการเพิ่มรายได้โดยเฉพาะรายได้ในเชิงพาณิชย์ และรายได้จากการบริหารจัดการสินทรัพย์และที่ดิน การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการจัดหารถจักร เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนรถจักรที่มีความพร้อมใช้งานของ รฟท. ในภาพรวม การเร่งดำเนินการตามแผนการก่อสร้างและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมในการรองรับการใช้งานของรถจักร ตลอดจนประสานกับกระทรวงการคลังในเรื่องการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้ต้นทุนทางการเงินของโครงการเพิ่มขึ้นในอนาคต และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับแผนการเบิกจ่ายในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2554 | แนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ | ทก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานราชการนำ “มาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ (Government Website Standard)” ที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ดำเนินการ ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายของการบูรณาการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Connected Government) ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ๑.๒ ให้ สรอ. จดทะเบียนชื่อและเป็นผู้ถือครองโดเมนเนม ภายใต้ชื่อ “data.go.th” และ “apps.go.th” ในการให้บริการเว็บไซต์ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลภาครัฐ (Open Government Data) และเป็นศูนย์กลางของแอพพลิเคชั่นภาครัฐ (Government Application Center) ตามลำดับ ๑.๓ ให้เว็บไซต์ของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงาน ซึ่งอยู่ในรายการที่องค์การสหประชาชาติจะทำการตรวจประเมินดำเนินการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้ สรอ. ทำการประเมินเว็บไซต์ของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงาน ว่ามีส่วนใดที่จะต้องพัฒนา/ปรับปรุง ตามข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งเป็นหน่วยงานให้คำปรึกษาแนะนำและสนับสนุนการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อให้ทันต่อการตรวจประเมินขององค์การสหประชาชาติ ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนบุคลากร เครื่องมือ เทคโนโลยี ในการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจประเมินฯ ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานความก้าวหน้าการพัฒนามาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐของ ๗ กระทรวง ๑ หน่วยงานดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ๔. สำหรับภาระงบประมาณที่จะใช้จ่ายเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ตามแนวทางมาตรฐานภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับภารกิจดังกล่าวให้แก่กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับหน่วยงานที่เหลือ ให้พิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพิ่มเติม ตามความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2555 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๒,๒๗๕,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ รับทราบการจัดสรรงบประมาณในลักษณะงบลงทุนที่สอดคล้องกับแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๓๓๑,๒๒๙.๙ ล้านบาท จำแนกเป็นรายการตามแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๓๒๔,๓๘๖.๗ ล้านบาท และเป็นรายการนอกแผนความต้องการลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๖,๘๔๓.๒ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ในขั้นตอนและกิจกรรมลำดับที่ ๑๒-๑๕ คือ การนำเสนอรายละเอียดงบประมาณ และการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ สำหรับขั้นตอนและกิจกรรมในลำดับถัดไปยังคงเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาในปฏิทินงบประมาณเดิม ๑.๔ เห็นชอบขั้นตอนและแนวทางการดำเนินงานการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้สำนักงบประมาณ โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีพิจารณาและปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ตามขั้นตอนและกิจกรรมตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ปรับปรุงตามข้อ ๑.๓ ๒. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาทบทวนด้วยว่า การพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นต้องยึดหลักความสำคัญของภารกิจ อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายรัฐบาล รวมถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน โดยไม่เกิดความเหลื่อมล้ำและซ้ำซ้อน และให้คำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแหล่งเงินนอกงบประมาณ โดยเฉพาะเงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2556 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ..... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับยกเว้น ค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีค้างชำระของหน่วยงานราชการ) ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ การขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับยกเว้นภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมภาษีประจำปีค้างชำระของ หน่วยงานราชการ) | สว | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีค้างชำระของหน่วยงานราชการ) ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับยกเว้นภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมภาษีประจำปีค้างชำระของหน่วยงานราชการ) และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งวุฒิสภาเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของเหตุผลดังกล่าวคือ "เนื่องจากปัจจุบัน ได้มีการปรับปรุงการบริหารราชการ ทำให้มีหน่วยงานของรัฐรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นเพิ่มเติมจากหน่วยงานทางราชการที่มีอยู่เดิม อีกทั้งหน่วยงานทางราชการเดิมบางหน่วยก็ได้มีการปรับเปลี่ยนฐานะหรือรูปแบบการดำเนินการใหม่ อันมีผลทำให้หน่วยงานนั้น ๆ มิได้มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนดให้ได้รับยกเว้นการขออนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลและยกเว้นภาษีรถประจำปี อย่างไรก็ดี เนื่องจากหน่วยงานที่เกิดขึ้นหรือปรับเปลี่ยนใหม่นั้นมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ และนอกจากนั้นองค์กรทางศาสนาบางองค์กรซึ่งมีลักษณะและสถานะเช่นเดียวกับวัดควรที่จะได้รับยกเว้นการขออนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลและยกเว้นภาษีรถประจำปีเช่นเดียวกัน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับยกเว้นการขออนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลและยกเว้นภาษีรถประจำปี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2557 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์ผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. .... | สผ | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์ผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. .... ว่า คณะกรรมาธิการได้แก้ไขชื่อร่างพระราชบัญญัติตามคำอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการ โดยคณะกรรมาธิการได้แก้ไขเพิ่มเติมชื่อร่างพระราชบัญญัติ เป็นความว่า "ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. ...." และคณะกรรมาธิการเห็นควรให้มีการปรับปรุงแก้ไขเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ ดังนี้ ๑.๑ หลักการ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ๑.๒ เหตุผล โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีภารกิจในด้านการตรากฎหมาย การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และการให้ความเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประชาชน รวมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ดังนั้น เพื่อตอบแทนคุณงามความดีและความเสียสละแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพได้สิ้นสุดลง สมควรให้มีกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาดังกล่าว ๒. ให้นำหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษา และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2558 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา และเห็นชอบตามมติที่ประชุมฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว โดยให้มีการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยพิจารณาข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาดังกล่าวด้วย ๑.๑.๒ ขอรับการสนับสนุนโครงการ Eco Industrial Town จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารูปแบบการจัดทำเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่อุตสาหกรรมเดิม (จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) โดยให้คำนึงถึงการจำกัดการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานในพื้นที่อย่างเข้มงวด สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ (จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรี) ให้พิจารณาจัดทำแผนการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๓ ขอให้เร่งรัดโครงการย้ายตลาดสะพานปลากรุงเทพ (ยานนาวา) ไปตั้งที่ปากน้ำสมุทรปราการ ภายในปี ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมความจำเป็น และความเป็นไปได้ในการพัฒนาสะพานปลาในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการย้ายหรือพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ และพิจารณาใช้ประโยชน์จากสะพานปลาจังหวัดสมุทรปราการทั้งระบบเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา รับไปศึกษาโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย ๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน ๕ เรื่อง โดยให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๒.๑ ขอให้เร่งรัดโครงการพัฒนาโครงข่ายทางถนนเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการขยายช่องจราจร และขอการสนับสนุนการปรับปรุงและก่อสร้างเส้นทาง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยรับข้อเสนอการพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายทางถนนในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา รวม ๗ เส้นทางให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ไปจัดลำดับความสำคัญของโครงการและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเส้นทางถนนสายรองซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่ รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ประชาชนและการขนส่งสินค้า ๑.๒.๒ ขอให้เร่งรัดโครงการขยายเส้นทาง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ "หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา" จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร โดยรับข้อเสนอการเร่งรัดโครงการขยายเส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ “หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา” จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ไปพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๓ ขอรับการสนับสนุนการศึกษาการแก้ไขปัญหาการจราจรสู่จังหวัดนครนายก และภาคตะวันออก โดยรับข้อเสนอการก่อสร้างทางยกระดับบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๕ “รังสิต-นครนายก” ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน และทัศนียภาพในพื้นที่ รวมทั้งการคาดการณ์ปริมาณจราจรในอนาคตในกรณีที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเต็มรูปแบบในพื้นที่ ๑.๒.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาจุดผ่านแดนบริเวณบ้านหนองเอี่ยน ๑.๒.๕ ขอรับการสนับสนุนโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรลจากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ โดยเร่งประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ผลการศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนของโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรล จากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ มีความสอดคล้องกับแนวทางพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๑ เรื่อง คือ ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) รวมทั้งดำเนินการศึกษาการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกทั้งระบบ และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๔.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว "ขุนด่านแลนด์" (ถนน-สะพาน-ภูมิทัศน์) จังหวัดนครนายก โดยให้จังหวัดนครนายกร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมรูปแบบการพัฒนาพื้นที่และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก โดยศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการด้านเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการและหน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๒ ขอให้เร่งรัดการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนและท้องถิ่น และบูรณาการแผนงาน/โครงการ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๓ ขอให้แยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวออกจากด่านการค้า โดยให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปศึกษาในรายละเอียดการแยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวที่ด่านคลองลึก โดยให้คำนึงถึงการจัดระเบียบในด่านคลองลึกทั้งในส่วนของการค้าและการท่องเที่ยวให้เป็นระบบ รวมทั้งให้นำแนวทางการพัฒนายกระดับจุดผ่านแดนบ้านหนองเอี่ยนประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๔.๔ ขอให้พัฒนาเส้นทางช่องบะระแนะ หรือช่องตากิ่ว ซึ่งอยู่ติดชายแดนกัมพูชา โดยให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับฝ่ายกัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในการพิจารณายกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ๒ แห่ง เพื่อให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรเพิ่ม คือ บ้านเขาดิน-กิโลเมตรที่ ๑๓ ของพระตะบอง หรือจุดหนองปรือ-พนมมาลัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ๑.๕ เรื่องอื่นๆ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.๕.๑ การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวโดยเร็ว ๑.๕.๒ กฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๕.๓ การเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ๒. ในส่วนของการเร่งรัดการออกกฎหมายรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้เชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เข้าร่วมการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2559 | แนวทางการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ | นร07 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ตามมติที่ประชุมหารือเรื่องแนวทางการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้เร่งรัดพิจารณาแนวทางการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยควรเป็นบริษัทที่ปรึกษาซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติเป็นผู้ทำการศึกษาวิจัยโอกาสศักยภาพและความเหมาะสมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่เป้าหมายหลัก ภายในกรอบงบประมาณต่อกลุ่มพื้นที่กลุ่มพื้นที่ละ ๑๐ ล้านบาท ระยะเวลาการศึกษาไม่เกิน ๖ เดือน ๑.๒ สาระสำคัญของการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในเบื้องต้นให้ประกอบด้วย ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาของพื้นที่เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตามขอบเขตและระดับของการเป็นพื้นที่พิเศษที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่เป้าหมาย (๒) เครื่องมือในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง (๓) กลไกการบริหารจัดการของรัฐ และแนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้บริการภาครัฐ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมกับการพัฒนาศักยภาพของแต่ละพื้นที่ และ (๔) โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการที่จำเป็น และเป็นปัจจัยต่อความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่ ทั้งนี้ โดยระบุให้การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ครอบคลุมถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน การสำรวจความต้องการของประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมทั้งการประมาณการอุปสงค์ของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ๑.๓ กรอบการศึกษาด้านพื้นที่ในโครงการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในเบื้องต้นกำหนดให้เป็นการศึกษาใน ๕ กลุ่มพื้นที่หลัก ได้แก่ (๑) ภาคเหนือ ประกอบด้วยพื้นที่ชายแดนอำเภอแม่สาย เชียงแสน และเชียงของ จังหวัดเชียงราย (๒) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยพื้นที่ชายแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย (๓) ภาคตะวันออก ประกอบด้วย พื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว (๔) ภาคตะวันตก ประกอบด้วยพื้นที่ชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และ (๕) ภาคใต้ ประกอบด้วยพื้นที่ชายแดนอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และพื้นที่ชายแดนจังหวัดนราธิวาส ๒. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในวงเงิน ๕๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา ทำการศึกษาวิจัยความเหมาะสมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2560 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ | นร07 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวน ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙๐๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรเสร็จสิ้นแล้ว รวม ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๓.๐๑๗๘ ล้านบาท ๑.๒ หน่วยงานยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) ซึ่งได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) แล้ว จึงไม่ขอรับจัดสรรฯ ๒. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๑ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและอุตรดิตถ์ จำนวน ๖๐ โครงการ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๕๙ โครงการ วงเงิน ๑,๑๓๕.๐๔๗๓ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี ๒๕๕๗ จำนวน ๓๖.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๒ หน่วยงานขอรับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๔๒ โครงการ วงเงิน ๘๘๖.๒๓๙๔ ล้านบาท สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรให้แล้วทั้ง ๔๒ โครงการ วงเงิน ๘๘๒.๗๔๓๗ ล้านบาท สำหรับโครงการเร่งด่วน ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี คงเหลืออีก ๑ โครงการ ที่หน่วยงานยังไม่ขอรับการจัดสรร ได้แก่ โครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเขตพื้นที่หลัก (Core Zone) และเขตพื้นที่กันชน (Buffer Zone) เพื่อนำเสนอพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชสู่มรดกโลก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ วงเงิน ๓๕.๐๐๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดหน่วยงานให้ขอรับจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๒.๓ โครงการที่ได้รับอนุมัติงบกลางแต่ยังไม่ขอรับการจัดสรรทั้งสิ้น จำนวน ๑๗ โครงการ วงเงิน ๒๔๗.๐๔๐๐ ล้านบาท อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับการจัดสรร คาดว่าจะขอรับการจัดสรรได้ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
