ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1202 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 24021 - 24040 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
24021 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปมติที่ประชุมได้ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ จำนวน ๙ คน ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เป็นรองประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ นายกำจร ตติยกวี และนายทวีศักดิ์ กออนันตกูล เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษา การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตามนโยบายรัฐบาลและแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการ แนวทางการตัดสินใจในเชิงรุกให้การขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและแผนพัฒนาฯ บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนกำกับดูแล ติดตาม และบูรณาการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายและการดำเนินงานพัฒนาการศึกษาเพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้มีความสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ เป็นเอกภาพ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้ง พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และเห็นชอบให้เชิญ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และนายวิรไท สันติประภพ ผู้ทรงคุณวุฒิมาเป็นที่ปรึกษา ๓. มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาเป็นแกนหลักดำเนินการร่วมกับองค์กรหลักและหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการนำความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ได้แก่ ทิศทางและการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษา ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและนโยบายรัฐบาลปัจจุบัน เป้าหมายการดำเนินงานด้านการศึกษาและการเรียนรู้ จะต้องกำหนดให้มีความเป็นรูปธรรมชัดเจน เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างโอกาสทางการศึกษาและการลดความเหลื่อมล้ำ โครงสร้างการศึกษา เน้นการทำงานรวมกันอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้โครงสร้างหน่วยงานทางการศึกษาที่มีในปัจจุบัน การบริหารและจัดการศึกษา ต้องเน้นในห้องเรียนและนอกห้องเรียน กำหนดหลักสูตร ชั่วโมงเรียนที่เหมาะสม ทำให้นักเรียนมีความสุขที่จะได้เรียน กล้าแสดงออก รวมถึงส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือสังคม งบประมาณและการช่วยเหลือทางการเงิน ควรบริหารจัดการงบประมาณด้านการศึกษาให้บังเกิดประสิทธิภาพสูงสุด หาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก รวมทั้งการวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังคน ไปพิจารณาดำเนินการ และจัดทำวิสัยทัศน์และกรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในระยะ ๕ ปี ให้เป็นรูปธรรม และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสนับสนุนข้อมูลการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการพัฒนาคลัสเตอร์ เพื่อกระทรวงศึกษาธิการใช้ประกอบการวิเคราะห์เพื่อผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการและทิศทางการพัฒนาประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24022 | ร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ทก | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (Joint Statement of the Ministry of Information and Communication Technology of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Internal Affairs and Communications of Japan on Cooperation in the Field of Information and Communication Technology) โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการริเริ่มการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นการพัฒนาความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างภาคธุรกิจ การวิจัยและพัฒนา สถาบันการศึกษา นโยบายรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแล และองค์กรอื่น ๆ ความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนดังกล่าวจะอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของประเทศ และบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน ความสัมพันธ์ และผลประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของฝ่ายไทย และมิใช่การแก้ไขในสาระสำคัญ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ |
|||||||||||||||||||||||||||
24023 | การเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร | นร08 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร ตามความเห็นและมติที่ประชุมระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขรจะมีหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการดำเนินงาน ณ จุดผ่านแดนถาวร โดยกระทรวงมหาดไทยสามารถยกร่างประกาศเสนอคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยพิจารณาก่อนเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายกรัฐมนตรีลงนามตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ๑.๒ ในส่วนของการควบคุมตรวจสอบการเข้า-ออกของคน ยานพาหนะ และสินค้าจะเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดตั้งกลไกในการกำกับดูแลผลกระทบด้านความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากจะมีการเดินทางเข้า-ออกของคน ยานพาหนะ และสินค้าเพิ่มมากขึ้น ๑.๓ กรณีผลกระทบเรื่องเขตแดน เนื่องจากได้มีการสำรวจรายละเอียดภูมิประเทศไว้แล้ว (Joint Detail Survey) ดังนั้น ในขณะที่ยังไม่มีการรับรองผลการสำรวจฯ ให้คงสภาพของพื้นที่ตามผังสนามที่ได้สำรวจไว้แล้ว หากมีความจำเป็นจะต้องดำเนินการใด ๆ ในบริเวณดังกล่าวต้องประสานกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทยให้ครอบคลุมทั้งเรื่อง คน ยานพาหนะ สินค้า รวมทั้งมาตรการป้องกันปัญหาหรือผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้น และให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จัดตั้งกลไกกำกับดูแลผลกระทบความมั่นคง ทั้งนี้ การดำเนินการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องไม่ถือเป็นแนวเขตแดนและไม่นำไปเป็นข้อยกเว้นเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนในอนาคตด้วย ๓. กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ บริเวณชายแดนให้ประสานกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ ๔. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติบูรณาการหน่วยงานในพื้นที่จุดผ่านแดน (พิเศษ) และจุดอื่น ๆ โดยรอบประเทศด้วย ๕. ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าเมื่อมีการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษแล้ว กระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรติดตามและรายงานต่อสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทุก ๓ เดือน ในเรื่องการเข้า-ออก ของประชาชน และปริมาณการค้า รวมทั้งปัญหาอุปสรรคการดำเนินการ ตลอดจนแนวโน้มสถานการณ์โดยรวมในพื้นที่ และให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติศึกษาและเตรียมระบบการตรวจสอบติดตามการเข้า-ออกของบุคคลข้ามแดนให้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งเตรียมระบบเฝ้าระวังและป้องกันการลักลอบเข้าสู่เขตชั้นในอย่างมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
24024 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2557) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๑.๔ เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐ ภาวะการเงินอยู่ในเกณฑ์ผ่อนปรนต่อเนื่อง โดยในการประชุม กนง. ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐาน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๖ และร้อยละ ๑.๗๒ ตามลำดับ เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์มั่นคง เสถียรภาพภาคเศรษฐกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี ฐานะการคลังมั่นคง โดยสัดส่วนหนึ้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปี ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๔๕.๘ เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคง และแนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๘ เศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีการใช้จ่ายภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศที่มีไม่มากนัก ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย (๑) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ความสำคัญกับแรงกระตุ้นภาครัฐต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และประเมินว่าความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะต่อไป ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มึความไม่แน่นอน รวมถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลงมาก และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ (๒) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ การดำเนินงานด้านนโยบายสถาบันการเงิน และการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ และ (๓) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน การลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงิน การคุ้มครองผู้ใช้บริการการชำระเงิน และการยกร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลระบบการชำระเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
24025 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2557 | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๖ มกราคม ๒๕๕๘) อนุมัติให้ กนง. ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปีที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ เป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๘ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปี ๒๕๕๗ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๙ และร้อยละ ๑.๖๕ ซึ่งอยู่ในช่วงเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๗ ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายและภาครัฐกลับมาดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามปกติ ซึ่งมีส่วนทำให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สำหรับภาระเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงมากจากร้อยละ ๒.๒๓ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๖ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๒ ตามราคาอาหารสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นสูง ๓. การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ๔. การดำเนินนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่วนดัชนีค่าเงินบาท (NEER) และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ปรับแข็งค่าขึ้น ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๗ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๕๗ โดยคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ ๔.๐ จากแรงขับเคลื่อนของอุปสงค์ภาคเอกชนและการส่งออกบริการเป็นสำคัญ ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน โดย กนง. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี ๒๕๕๘ จะอยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ โดยที่ยังคงมีความเสี่ยงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่อาจจะมีผลกระทบต่อการประมาณการเงินเฟ้อดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
24026 | มติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2558 เรื่อง รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม 2558 และภาพรวมมาตรการ สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน | นร11 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๘ และภาพรวมมาตรการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน โดยที่ประชุมมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ สามารถฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ โดยข้อมูลเครื่องชี้สำคัญที่ขยายตัวดีขึ้น ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูงร้อยละ ๑๖.๐ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ ๕ เดือน สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ไม่รวม ปตท.) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๗ และร้อยละ ๘๑.๓ ตามลำดับ ส่งผลให้โดยรวมคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓.๐ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปี ๒๕๕๗ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดจากการลดลงของมูลค่าการส่งออก ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่และช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสร้างการรับรู้ให้กับสาธารณชนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุด ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง จัดทำบัญชีรายชื่อบริษัท/ผู้ประกอบการภาคเอกชนที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย และเครื่องจักรเครื่องมือทางการเกษตร เป็นต้น และจัดเตรียมมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้บริษัท/ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือในการลดราคาปัจจัยการผลิต ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย จัดเตรียมหาแนวทางลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรในฤดูการผลิตที่กำลังจะมาถึง ๑.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมกันพิจารณาจัดตั้งศูนย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเป็นศูนย์กลางของการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินการทุกเรื่องให้เป็นไปตามกฎหมายและเป็นไปอย่างโปร่งใส รวมทั้งให้สร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
24027 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 4 เดือน พ.ศ. 2557 | ทก | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ ๔ เดือน พ.ศ. ๒๕๕๗ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เพื่อนำผลการสำรวจไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงนโยบาย และติดตามประเมินผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความต้องการของประชาชน ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรับชม/รับฟังรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๑.๓ รับชม/รับฟัง และไม่ได้รับชม/รับฟัง ร้อยละ ๘.๗ ส่วนการรับชม/รับฟังรายการเดินหน้าประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๘๙.๐ รับชม/รับฟัง และไม่ได้รับชม/รับฟังร้อยละ ๑๑.๐ ๒. ความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของรัฐบาล ประชาชนเกินครึ่ง หรือร้อยละ ๕๙.๙ พึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด และร้อยละ ๓๖.๓ มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง ส่วนความเชื่อมั่นต่อการบริหารงานของรัฐบาล ประชาชนร้อยละ ๖๑.๑ มีความเชื่อมั่นในระดับมากถึงมากที่สุด และร้อยละ ๓๔.๘ มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง ๓. การรับทราบการบริหารงานโครงการเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาล ประชาชนทราบเรื่องการบริหารงานโครงการเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาลในรอบ ๔ เดือนที่ผ่านมา ๕ อันดับแรก คือ การปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด ร้อยละ ๙๕.๙ การช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ร้อยละ ๙๔.๒ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ร้อยละ ๙๒.๘ การบริหารจัดการและกำหนดราคาเชื้อเพลิง ร้อยละ ๙๒.๒ และการสร้างความปรองดอง/คืนความสุขให้กับคนในชาติ ร้อยละ ๙๑.๐ ๔. ความพึงพอใจการบริหารงานโครงการเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาล ๕ อันดับแรกที่ประชาชนพึงพอใจในระดับปานกลางถึงมากที่สุด คือ การปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด ร้อยละ ๙๒.๒ การดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ร้อยละ ๘๙.๓ การบริหารจัดการและกำหนดราคาเชื้อเพลิง ร้อยละ ๘๘.๔ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ร้อยละ ๘๗.๕ และการสร้างความปรองดอง/คืนความสุขให้กับคนในชาติ ร้อยละ ๘๗.๓ ๕. ข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล ประชาชนมีข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล ๕ อันดับแรก คือ ให้บริหารงานต่อไป ทำดีแล้ว บริหารงานรวดเร็ว จริงใจ ร้อยละ ๓๔.๕ ต้องการให้แก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง ร้อยละ ๓๐.๖ แก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ ร้อยละ ๒๕.๖ แก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๑๕.๒ และแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการ ร้อยละ ๑๕.๑ ๖. การรับทราบแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยและแหล่งที่ทราบ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๒.๒ ทราบเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูประเทศไทย โดยระบุแหล่งที่ทราบ ๓ อันดับแรก คือ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์/เอกสาร/สิ่งพิมพ์ และการบอกเล่าของคนในชุมชน/หมู่บ้าน ๗. เรื่องที่ต้องการให้ปฏิรูปประเทศไทย เรื่องที่ประชาชนต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศไทย ๕ อันดับแรก คือ เศรษฐกิจ ร้อยละ ๘๓.๙ การเมือง ร้อยละ ๗๐.๔ การศึกษา ร้อยละ ๕๓.๖ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ ๓๘.๘ และการปกครองท้องถิ่น ร้อยละ ๓๓.๙ ๘. ความต้องการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๔.๐ ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทย โดยระบุช่องทาง/วิธีการที่ต้องการมีส่วนร่วม ๕ อันดับแรก ได้แก่ ประชามติ ร้อยละ ๓๐.๕ จัดประชุมสัมมนา/เวทีเสวนา ร้อยละ ๒๕.๖ กล่องรับความคิดเห็นที่วางไว้ที่ไปรษณีย์ ร้อยละ ๑๖.๐ ผ่านช่องทางเว็บไซต์/e-mail ร้อยละ ๑๒.๘ และสายด่วน ๑๗๔๓ ร้อยละ ๗.๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
24028 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 8/2558 เรื่อง การเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๘/๒๕๕๘ เรื่อง การเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24029 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๒.๗๒ ล้านล้านบาท และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ โดยปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๒๗๕.๐๔ ล้านบาท และปรับเพิ่มให้สภากาชาดไทยเป็นค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ก้าวหน้าทางวิชาการ จำนวน ๒๖๔.๙๖ ล้านบาท ๑.๒ ปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในส่วนของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรร เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร จำนวน ๒ โครงการ จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงสร้างงบประมาณ มีการปรับปรุงในส่วนรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนภายในวงเงินเดิม ๑.๔ การจำแนกยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ โดยปรับปรุงวงเงินใน ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม และรายการค่าดำเนินการภาครัฐภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๒.๗๒ ล้านล้านบาท ๒. เห็นชอบการทบทวนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย ซึ่งมีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา อีกจำนวน ๑,๐๖๘.๐๙ ล้านบาท (กระทรวงกลาโหมและสภากาชาดไทย) รวมเป็นเงินงบประมาณด้านการวิจัย จำนวน ๒๕,๓๗๓.๑๙ ล้านบาท และยังมีเงินรายได้ด้านการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยของรัฐต่าง ๆ อีกจำนวน ๗,๘๕๑.๓๙ ล้านบาท รวมทุกแหล่งเงิน เป็นจำนวน ๓๓,๒๒๔.๖๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาคเอกชน) คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๐.๒๕ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก จำนวน ๘,๕๔๐ ล้านบาท โดยลดงบประมาณรายการเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สอดคล้องด้วย ๔. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำมติคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑-๓) ไปจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบงบประมาณ และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบ และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๕. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เตรียมการให้เกิดความพร้อมในการจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
24030 | การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (นายรพี สุจริตกุล) | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายรพี สุจริตกุล ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24031 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ 12 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 7 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 7 | ทส | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ ๑๒ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๗ และการประชุมรัฐมนตรีภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๗ รวมทั้งสิ้น ๑๕ คน ประกอบด้วย (๑) อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย (๒) ประธานและผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญาฯ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (๓) ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (๔) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (๕) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และ (๖) เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำหนังสือแต่งตั้งคณะผู้แทนไทยต่อไป ๒. เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ ๑๒ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๗ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๗ โดยจะสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของทั้ง ๓ อนุสัญญาฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร โดยผ่านการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและทางด้านการเงิน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคีต่าง ๆ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องที่ประเทศไทยเป็นภาคี และข้อตกลงที่สอดคล้องกับศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศ ๓. หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากท่าทีการเจรจาฯ และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่จนสิ้นสุดการประชุมรัฐภาคีฯ ในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
|
|||||||||||||||||||||||||||
24032 | ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาลและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเนปาลในกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว | กต | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาล และการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเนปาล ๒. อนุมัติให้ดำเนินการช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาล โดยคนไทยผู้ได้รับการช่วยเหลือดังกล่าวไม่ต้องชดใช้คืนเงินราชการ และให้เบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกรายการเป็นกรณีพิเศษตามที่จ่ายจริง ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการรวบรวมสิ่งของบรรเทาทุกข์จากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเนปาล
|
|||||||||||||||||||||||||||
24033 | รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน | กห | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งชาติได้เข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรี โดยได้แสดงความเข้าใจในสถานการณ์ทางการเมืองของไทย และพร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินการตาม Road Map ของรัฐบาลไทย และหวังว่าการเดินทางเยือนไทยในครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนากลไกความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นโดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง พร้อมทั้งได้เสนอให้มีความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยอยู่ระหว่างกำหนดขั้นตอนการดำเนินการ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องโครงการรถไฟทางคู่ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเส้นทางสายไหมเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ การซื้อผลิตผลทางการเกษตรของไทย และความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้พิจารณาเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับความร่วมมือในระดับภูมิภาค ฝ่ายไทยยินดีเป็นผู้ประสานงานระหว่างจีนกับอาเซียน ส่วนฝ่ายจีนยินดีที่จะสนับสนุนการมีบทบาทของไทยในเวทีอาเซียน เช่น การจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน เป็นต้น ๒. รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งชาติได้เข้าเยี่ยมคำนับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยได้มีการหารือถึงความสัมพันธ์และการพัฒนาความร่วมมือ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเสนอให้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันเพื่อยกระดับความร่วมมือทางการทหาร การแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับให้มากขึ้น การขยายความร่วมมือทางด้านการฝึกศึกษา โดยเฉพาะการฝึกร่วม/ผสมของทั้ง ๓ เหล่าทัพ การสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ทหารของภูมิภาค ทั้งนี้ ฝ่ายจีนได้แสดงความกังวลต่อปัญหาความมั่นคงระดับภูมิภาคโดยเฉพาะปัญหาในทะเลจีนใต้ซึ่งมีหลายประเทศในอาเซียนเข้าไปเกี่ยวข้อง รวมถึงกรณีผู้อพยพชาวอุยกูร์ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายสากล ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
24034 | การเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2558 | นร | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการ เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24035 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ และให้เสนออนุสัญญาและร่างพระราชบัญญัติ รวม ๓ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ได้แก่ ๑.๑ อนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๔ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ได้แก่ ๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. .... โดยให้แก้ไขเปลี่ยนชื่อ “คณะกรรมการรักษาความปลอดภัย” เป็น “คณะกรรมการกำกับธุรกิจรักษาความปลอดภัย” ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒.๓ ร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๔ ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) โดยเห็นชอบให้โอนศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จาก “สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” มาสังกัด “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย”และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๓. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๔. เห็นชอบในหลักการให้บัญญัติบทนิยามคำว่า “สาธารณูปโภค” ไว้ในร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการบัญญัติบทนิยามดังกล่าวให้เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
24036 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาปรับปรุงการจัดทำประมาณการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศให้ตรงกับข้อเท็จจริงมากขึ้น เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการปริมาณน้ำมันปาล์มของประเทศได้อย่างถูกต้อง โดยให้ประสานการทำงานในเรื่องดังกล่าวร่วมกันอย่างใกล้ชิด ๑.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลของประชาชนแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเพื่อนำมากำหนดแนวทางการดูแลความเป็นอยู่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเชื่อมโยงกับข้อมูลทะเบียนราษฎร์ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจนว่า ฐานข้อมูลดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดนโยบายและมาตรการช่วยเหลือประชาชนได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยไม่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีแต่อย่างใด ๑.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม ตลอดจนให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร อัตราเงินเดือน และระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐทั้งระบบครอบคลุมทุกหน่วยงานให้มีอัตราที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต และให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติพิจารณาในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๓.๑ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งพิจารณานำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการเยียวยาข้าราชการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนในช่วงที่ผ่านมา ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการให้คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ด้วย ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๒.๑.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการเพื่อให้ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินการหลัก โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งพิจารณาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองของพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้ครอบคลุมการจดทะเบียนเรือ การติดตั้งระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) และการตรวจสอบย้อนกลับ และสนับสนุนการทำงานของคณะทำงานเฉพาะกิจอย่างบูรณาการ และให้เป็นไปตามหลักสากล ซึ่งหากกฎหมายดังกล่าวยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อาจจะพิจารณาดำเนินการโดยตราเป็นพระราชกำหนดได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน ๒.๒ เนื่องจากขณะนี้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญมายังคณะรัฐมนตรีแล้ว จึงให้ทุกส่วนราชการพิจารณาวิเคราะห์และให้ความเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร หรือมีข้อเสนอแนะอื่น ๆ เพิ่มเติม และส่งผลการพิจารณาให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะคณะทำงานเพื่อศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เพื่อนำประเด็นต่าง ๆ หารือในที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่า โดยเฉพาะพื้นที่ป่าในภาคเหนือของประเทศไทยซึ่งมักถูกบุกรุกทำลายจากการเผาป่าหรือถางป่าเพื่อทำการเกษตรของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าวให้กลับสู่สภาพป่าที่สมบูรณ์ดังเดิมด้วย ๓.๒ ปัจจุบันหน่วยงานภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรสาธารณกุศล ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือและสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ จึงให้ส่วนราชการที่มีภารกิจใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น พิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงาน รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมร่วมกับภาครัฐมากยิ่งขึ้นด้วย ๓.๓ ในช่วงที่ผ่านมาสถิติการจับกุมยาเสพติดของหน่วยงานด้านความมั่นคงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบางส่วนพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ให้หน่วยงานของรัฐทั้งหมดกำกับดูแลและตรวจสอบเจ้าหน้าที่ในสังกัดมิให้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในกระบวนการค้ายาเสพติด หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
24037 | ร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | ยธ | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
24038 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้บัญญัติบทนิยามคำว่า “สาธารณูปโภค” ไว้ในร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการบัญญัติบทนิยามดังกล่าวให้เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
24039 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร09 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน โดยเห็นชอบให้โอนศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จาก “สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” มาสังกัด “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย” และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24040 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
.....