ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1210 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 24181 - 24200 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
24181 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | กษ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ระดับกระทรวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ได้มีการขอปรับแก้ไขจำนวนพื้นที่เป้าหมาย จากเดิม ๓,๐๕๒ ตำบล ๕๔๒ อำเภอ ใน ๕๘ จังหวัด เป็น จำนวน ๓,๐๕๑ ตำบล ๕๔๑ อำเภอ ใน ๕๘ จังหวัด เนื่องจากมีความผิดพลาดโดยนำเขตการปกครองมานับซ้ำ ๒. การพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการของชุมชน มีโครงการที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับอำเภอ จำนวน ๖,๕๓๔ โครงการ คณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับจังหวัด จำนวน ๖,๔๕๘ โครงการ เป็นเงิน ๒,๙๗๒.๑๘๖ ล้านบาท และคณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับกระทรวง จำนวน ๔,๘๔๗ โครงการ เป็นเงิน ๒,๒๓๑.๔๔๑ ล้านบาท ๓. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป เป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนกิจกรรมของชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย ๕๘ จังหวัด จำนวน ๓,๐๕๒ ตำบล รวมเป็นเงิน ๓,๐๕๒.๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อปรับแก้เป้าหมายจำนวนตำบล ตามข้อ ๑ เป็น ๓,๐๕๑ ตำบล จึงมีวงเงินสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนเกษตรรวมทั้งสิ้น ๓,๐๕๑.๐๐๐ ล้านบาท โดยมีโครงการที่คณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับจังหวัดได้พิจารณาอนุมัติแล้ว จำนวน ๖,๔๕๘ โครงการ เป็นเงิน ๒,๙๗๒.๑๘๖ ล้านบาท ประมาณการมีเงินคงเหลือรอการพิจารณาอนุมัติ จำนวนทั้งสิ้น ๗๘.๘๑๔ ล้านบาท ซึ่งจะสามารถอนุมัติได้หมดภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
24182 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) | มท | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตามสัญญาก่อสร้าง กำหนดแบ่งการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง (พื้นที่โดยประมาณ ๑๒๓ ไร่) ออกเป็น ๔ ครั้ง โดยกำหนดส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดได้ในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ แต่ในความเป็นจริงได้มีการแบ่งการส่งมอบพื้นที่ออกเป็นครั้งย่อย ๆ และล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยปัจจุบันได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างเฉพาะในขอบเขตการก่อสร้างอาคารหลักครบแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ แต่ยังเหลือพื้นที่ที่ยังไม่สามารถส่งมอบให้ผู้รับจ้างได้อีกประมาณ ๒๐ ไร่ ๒. ปริมาณดินที่ต้องขุดเพื่อก่อสร้างชั้นใต้ดินทั้งหมด ๑,๑๘๐,๔๔๓ ลูกบาศก์เมตร ตามสัญญาระบุว่าผู้รับจ้างจะต้องทำการขุดและขนย้ายดินไปยังพื้นที่ภายในรัศมี ๑๐ กิโลเมตร ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกำหนดให้ ซึ่งในช่วงแรกสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ทำการบริจาคดินให้กับวัดและหน่วยงานราชการควบคู่ไปกับการขายทอดตลาด แต่ต่อมากรมธนารักษ์ได้มีหนังสือแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรระงับการบริจาคดินทั้งหมดและให้ดำเนินการขายทอดตลาดเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้การระบายดินออกจากพื้นที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ ๓. ความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน โดยจะต้องทำงานเสาเข็มเจาะ งานระบบป้องกันดินพังและขุดดินขนย้ายดิน และงานฐานรากอาคาร โดยความก้าวหน้าของงานก่อสร้างถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๘ อยู่ที่ ๙.๑๖% (ล่าช้ากว่าแผนงาน -๕๐.๗๘%) ๔. ผู้รับจ้างได้มีหนังสือถึงผู้ว่าจ้าง แจ้งปัญหาอุปสรรคเรื่องไม่มีที่พักดินและขอเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง และได้มีหนังสือขอขยายระยะเวลาการก่อสร้าง จากสาเหตุผลกระทบจากการส่งมอบพื้นที่ไม่เป็นไปตามสัญญาออกไป จำนวน ๔๗๙ วัน โดยปัจจุบันกำลังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจการจ้าง
|
|||||||||||||||||||||
24183 | รายงานผลการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ | กก | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การมารายงานตัวของมัคคุเทศก์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ถึง ๓๑ มกราคม ๒๕๕๘ มีมัคคุเทศก์เดินทางมารายงานตัว ณ สำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์สาขาทั้ง ๔ แห่ง และสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ทุกจังหวัด จำนวนทั้งสิ้น ๑๗,๗๖๕ ราย จากจำนวนมัคคุเทศก์ที่ได้รับใบอนุญาตทั้งสิ้น ๕๒,๙๕๖ ราย จากข้อมูลการรายงานตัวพบว่า ผู้มารายงานตัวส่วนใหญ่ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพหลัก จำนวน ๘,๖๓๖ ราย ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เป็นบางครั้งบางคราว จำนวน ๗,๖๒๐ ราย และไม่ได้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เลย จำนวน ๑,๕๐๙ ราย และในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวได้นำส่งรายชื่อมัคคุเทศก์ที่ปฏิบัติงานเป็นมัคคุเทศก์และรายชื่อชาวต่างชาติที่ว่าจ้างสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง จำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๐๕ ราย จากจำนวนผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ๑๒,๗๐๐ ราย ในจำนวนนี้พบว่า ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีการจ้างงานมัคคุเทศก์ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น ๗,๓๗๓ ราย และมีชาวต่างชาติปฏิบัติงานในบริษัทนำเที่ยว รวมทั้งสิ้น ๑,๑๑๖ ราย ๒. มาตรการในการแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ขาดแคลนในด้านภาษาต่างประเทศที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลการรายงานตัวและสถิตินักท่องเที่ยว ๒.๑ มัคคุเทศก์ในสาขาภาษารัสเซีย ภาษาเกาหลี ภาษาฮินดี ภาษาเวียดนาม มีแนวโน้มขาดแคลน ไม่เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว จึงควรให้ความสำคัญในการพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศในสาขาที่ขาดแคลนดังกล่าวให้แก่มัคคุเทศก์ โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาให้แก่มัคคุเทศก์ที่มีทักษะด้านภาษาต่างประเทศในสาขาที่ขาดแคลนในระดับพอใช้เป็นอันดับแรก เนื่องจากกลุ่มนี้มีพื้นฐานทางภาษาต่างประเทศในสาขาที่ขาดแคลนอยู่แล้ว แต่ยังไม่ถึงระดับที่สามารถนำมาปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถนำมัคคุเทศก์กลุ่มนี้มาเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าการอบรมให้แก่มัคคุเทศก์ที่ไม่มีความรู้ด้านภาษานั้นเลย ๒.๒ ส่งเสริมให้มัคคุเทศก์ที่มีทักษะด้านภาษาต่างประเทศในสาขาที่ขาดแคลนในระดับดีมากแต่ปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์เข้าสู่ตลาดเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนมัคคุเทศก์ในระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูการท่องเที่ยวที่มัคคุเทศก์มีไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการสามารถสืบค้นรายชื่อมัคคุเทศก์ที่มารายงานตัวกับกรมการท่องเที่ยว และติดต่อจ้างงานมัคคุเทศก์ได้โดยตรง
|
|||||||||||||||||||||
24184 | รายงานผลความคืบหน้ามาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) | กต | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้ามาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มีผู้ยื่นขออนุญาตประกอบสินเชื่อ Nano-Finance กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๘ จนถึงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖ บริษัท แบ่งออกเป็น (๑) กลุ่มที่จัดส่งเอกสารให้ ธปท. ครบถ้วนแล้ว และ ธปท. เห็นว่ามีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๓ บริษัท (๒) กลุ่มที่อยู่ระหว่างการจัดส่งเอกสารให้ ธปท. เพิ่มเติม จำนวน ๑๑ บริษัท และ (๓) กลุ่มที่ขอยกเลิกคำขออนุญาต เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่ครบและยังไม่พร้อมดำเนินการ จำนวน ๒ บริษัท นอกจากนี้ ยังมีผู้สนใจติดต่อขอรายละเอียดที่จะประกอบสินเชื่อ Nano-Finance ที่ยังไม่ได้ยื่นเอกสารหรือคำขออนุญาตอีก ๗๗ ราย ๒. กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอประกอบธุรกิจของ ๓ บริษัท ที่ ธปท. เห็นว่ามีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยจะสามารถแจ้งผลการพิจารณาให้บริษัททราบได้ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ และหากได้รับการอนุญาตจากกระทรวงการคลัง ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถเริ่มประกอบธุรกิจสินเชื่อ Nano-Finance ได้ทันทีแต่ต้องแจ้งวันเริ่มประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นหนังสือให้ ธปท. ทราบล่วงหน้าก่อน ๓. กระทรวงการคลังได้กำหนดรูปแบบรายงานผลการให้สินเชื่อ Nano-Finance ที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องนำส่งให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. เป็นประจำทุกเดือน เพื่อใช้ในการติดตามผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อ Nano-Finance และติดตามการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชนรายย่อยในระยะต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
24185 | สรุปผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในวันที่ 23 มีนาคม 2558 | ยธ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการยุติธรรมและกฎหมายระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในประเด็นด้านยาเสพติด เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบและลงนามในแผนปฏิบัติการความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ (Plan of Action Implementing the Thailand-Viet Nam Strategic Partnership) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมของไทยและเวียดนามในการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันอย่างครอบคลุมรอบด้าน อันนำมาซึ่งประโยชน์แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งเพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคและระหว่างประเทศโดยรวม ๒. ภายหลังการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการยุติธรรมและกฎหมายระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ดำเนินการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎหมาย จัดทำสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการปฏิบัติในเรื่องการโอนตัวนักโทษ ๓. ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าปัญหายาเสพติดไม่สามารถดำเนินการได้เพียงประเทศเดียว ต้องร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อขจัดปัญหายาเสพติด และในความร่วมมือสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่แหล่งผลิตสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทำงานร่วมกับลาว เมียนมา เป็นอย่างดี อีกทั้งฝ่ายไทยยินดีที่จะสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านเพื่อพัฒนาศักยภาพในการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ นอกจากนี้ ฝ่ายไทยขอความร่วมมือฝ่ายเวียดนามในการควบคุมและสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ โดยฝ่ายไทยยินดีที่จะจัดศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับฝ่ายเวียดนาม
|
|||||||||||||||||||||
24186 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2558 | มท | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนเสนอ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๘ เห็นชอบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยใช้ชื่อการรณรงค์ว่า “สติ วินัย น้ำใจ ปลอดภัยสงกรานต์ สืบสานประเพณี” มีช่วงเวลาดำเนินการระหว่างวันที่ ๙-๑๕ เมษายน ๒๕๕๘ ประกอบด้วย มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ๕ มาตรการ ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการ ด้านถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย ด้านยานพาหนะที่ปลอดภัย ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และด้านการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ และมาตรการเน้นหนัก ๕ มาตรการ ได้แก่ มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น จริงจัง มาตรการด้านสังคมและชุมชน มาตรการแก้ไขปัญหา มาตรการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านการบริหารจัดการ ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ในเรื่องความเร็วและการตรวจแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ รถโดยสารสาธารณะ และรถปิคอัพที่บรรทุกคนเล่นน้ำสงกรานต์ ควรจัดให้มีจุดพักรถเป็นระยะ โดยแนะนำให้พัก ๑๕ นาที ทุก ๆ ๒ ชั่วโมง หรือระยะทาง ๑๕๐ กิโลเมตร เพื่อป้องกันการเหนื่อยล้า หรือง่วงหลับใน รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยควรเน้นการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน หมายเลขโทรศัพท์ ๑๖๖๙ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
24187 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย | กต | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนางเร็ตโน เลสตารี เปรียนซารี มาร์ซูดี (H.E. Mrs. Retno Lestari Priansari Marsudi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๑-๒ เมษายน ๒๕๕๘ ในฐานะแขกของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนดังกล่าว เพื่อผลักดันให้นำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลและเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing: IUU Fishing) โดยร่วมมือกับอินโดนีเซียในการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายในอินโดนีเซีย ๒. การจมเรือประมงไทย โดยประสานกับอินโดนีเซียเกี่ยวกับมาตรการประมงของอินโดนีเซีย โดยอินโดนีเซียรับจะแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบล่วงหน้าการดำเนินการของอินโดนีเซียเกี่ยวกับเรือประมงไทย ๓. การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงระหว่างไทย-อินโดนีเซีย ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ และการติดตามนโยบายประมงใหม่ของอินโดนีเซียภายหลังวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ ๔. การช่วยเหลือลูกเรือประมงไทยที่เกาะอัมบน โดยประสานกับทางการอินโดนีเซียในการส่งกลับลูกเรือประมงไทยกลับประเทศโดยไม่เป็นข่าว ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตประเทศที่เกี่ยวข้องกับการส่งกลับลูกเรือต่างชาติ และการสอบสวนกรณีดังกล่าวจนถึงต้นตอ ๕. การประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา โดยประสานรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าร่วมการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ ของนายกรัฐมนตรี ๖. การอพยพคนไทยในเยเมน โดยติดตามการให้ความช่วยเหลือคนไทยในเยเมน โดยประสานความร่วมมือกับอินโดนีเซียในการส่งคนไทยในเยเมนกลับประเทศไทย ๗. เขตเศรษฐกิจจำเพาะระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย โดยให้มีการจัดการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการในระดับเจ้าหน้าที่เทคนิคไทย-อินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ ที่กรุงเทพฯ ๘. การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย โดยติดตามการดำเนินการตามขั้นตอนภายในของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในโอกาสแรก |
|||||||||||||||||||||
24188 | การแก้ไขความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างรัฐ | กต | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายเวลาการดำเนินการแก้ไขความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนแห่งรัฐ เพิ่มอีก ๙๐ วัน นับจากวันที่สิ้นสุดกำหนด ๖๐ วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดระบบการจ้างคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑) ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อกระทรวงการต่างประเทศจะรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การเจรจากับประเทศต้นทางเป็นไปอย่างครอบคลุมและครบถ้วน ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปเกี่ยวกับข้อเสนอในการแก้ไขความตกลงฯ แล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเจรจากับประเทศต้นทางต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24189 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย พ.ศ. 2551 | วธ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย จำนวน ๑๒ คน แทนกรรมการชุดเดิมที่ครบวาระในการดำรงตำแหน่งแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ เมษายน ๒๓๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะร่วมสมัย ๑.๑ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล สาขาดนตรี ๑.๒ นายวิรัช อยู่ถาวร สาขาดนตรี ๑.๓ นายนิธิ สถาปิตานนท์ สาขาสถาปัตยกรรม ๑.๔ นายภราเดช พยัฆวิเชียร สาขาสถาปัตยกรรม ๑.๕ นายประภัสสร เสวิกุล สาขาวรรณศิลป์ ๑.๖ นางชมัยภร บางคมบาง สาขาทัศนศิลป์ ๑.๗ ศาสตราจารย์ปรีชา เถาทอง สาขาทัศนศิลป์ ๑.๘ รองศาสตราจารย์นพมาส แววหงส์ สาขาศิลปะการแสดง ๒. ผู้ทรงคุณวุฒิจากนักวิชาการด้านศิลปะร่วมสมัยจากสถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ๒.๑ ศาสตราจารย์ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร สาขาดนตรี ๒.๒ ศาสตราจารย์วิโชค มุกดามณี สาขาทัศนศิลป์ ๒.๓ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรรเสริญ มิลินทสูต สาขาทัศนศิลป์ ๒.๔ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เอกพงษ์ ตรีตรง สาขามัณฑนศิลป์
|
|||||||||||||||||||||
24190 | ร่างปฏิญญารัฐมนตรีในการประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ 7 (The 7th World Water Forum) | ทส | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรี (Ministerial Declaration) สำหรับการประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ ๗ (The 7th World Water Forum) มีเนื้อหาประกอบด้วยเจตนารมณ์ซึ่งเน้นความสำคัญของน้ำ ๑.๒ เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมรับรองปฏิญญารัฐมนตรีฯ ๑.๓ หากมีการปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้อยู่ในอำนาจและดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรให้เพิ่มเติมข้อความ “....การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ (IWRM) จำเป็นต้องจัดทำแผนงานร่วมกันทั้งในระดับประเทศเชื่อมโยงถึงระดับชุมชนที่มีการบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีระบบ ...” ในร่างปฏิญญาฯ ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
24191 | ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลืออพยพคนไทยออกจากประเทศเยเมน | กต | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการเพื่อช่วยเหลืออพยพคนไทยออกจากประเทศเยเมน ภายในกรอบวงเงิน ๔๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากรายการที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และ/หรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ เพื่อดำเนินการดังกล่าวในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๘ แล้ว โดยจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ส่วนกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบราชการเกี่ยวกับการพัสดุได้นั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอขอยกเว้นต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงแรงงานในการดูแลคนไทยที่อพยพกลับจากประเทศเยเมน โดยเฉพาะกรณีของแรงงาน ให้กระทรวงแรงงานรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางและมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาดูแลแรงงานไทยที่จำเป็นต้องเดินทางกลับก่อนกำหนดซึ่งอาจทำให้ขาดรายได้หรือมีปัญหาหนี้สิน รวมทั้งการดำเนินการเพื่อให้แรงงานไทยดังกล่าวสามารถกลับไปทำงานเดิมในประเทศเยเมนได้เมื่อสถานการณ์สงบแล้ว |
|||||||||||||||||||||
24192 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาเสพติดในทางที่ผิด เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทยรวมทั้งขออนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็นในภายหน้า | ยธ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาเสพติดในทางที่ผิด มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดกรอบความร่วมมือในภาพกว้าง ด้านการปราบปรามยาเสพติดและด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในการมีความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ๒. อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในฐานะหัวหน้าหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของไทยเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
24193 | การประชุมคณะมนตรีประศาสน์การ สมัยที่ 25 ของโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ | พม | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประศาสน์การ สมัยที่ ๒๕ ของโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. นายประสิทธิพร เวทย์ประสิทธิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี และผู้แทนถาวรไทย ประจำโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ ๒. นายนพพร รัชเวทย์ อัครราชทูตที่ปรึกษา และรองผู้แทนถาวรไทยประจำ โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ ๓. นายอธิคม แดงพันธ์ เลขานุการเอก และรองผู้แทนถาวรไทยประจำโครงการ ตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ ๔. นางสาวสุดคะนึง นิเวศรัตน์ เลขานุการเอก และรองผู้แทนถาวรไทยประจำโครงการ ตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ ๕. นายยุทธฤทธิ์ บุนนาค นักการทูตปฏิบัติการ กองกิจการเพื่อการพัฒนา กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
24194 | โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกข้าวนาปรัง ปี 2558 | พณ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรวงเงินตามโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘ ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๘,๗๙๖.๕๔ ล้านบาท โดยนำงบประมาณที่คงเหลือจากโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ มาดำเนินโครงการ วงเงินชดเชยดอกเบี้ย ๕๘๒ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
24195 | แนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลังปี 2557/58 | พณ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการจัดสรรวงเงินงบประมาณจ่ายชดเชยดอกเบี้ยตามแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๗/๕๘ จาก “สำหรับค่าใช้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรการระยะสั้นและระยะปานกลาง จำนวน ๒,๗๕๕ ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นต่อไป” เป็น “ให้สำนักงบประมาณจัดสรรวงเงินงบประมาณให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ จากชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการที่ขอกู้เงินกับธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐในส่วนของการเพิ่มสภาพคล่องทางการค้าและการยกระดับมาตรฐานการแปรรูปมันสำปะหลัง” ๒. การขยายระยะเวลาการสมัครเข้าร่วมมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในระบบน้ำหยด จากเดิม “สิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๕๘” เป็น “สิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๕๘” และให้ขยายระยะเวลาการสมัครเข้าร่วมมาตรการยกระดับมาตรฐานการแปรรูปมันสำปะหลัง จากเดิม “สิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๕๘” เป็น “สิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๕๘”
|
|||||||||||||||||||||
24196 | การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรจังหวัดพิจิตร โครงการรับจำนำข้าวเปลือกฤดูการผลิต ปี 2555/56 | พณ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ นบข. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการตรวจสอบข้อมูลที่คลาดเคลื่อนของเกษตรกรจังหวัดพิจิตร ซึ่งต้องได้รับการช่วยเหลือเยียวยาตามผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการระดับจังหวัดพิจิตรร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งมีเกษตรกรที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเยียวยา รวมทั้งสิ้นจำนวน ๒๒๙ ราย ปริมาณ ๔,๔๗๙.๑๐๑ ตัน วงเงิน ๕๒,๘๓๕,๕๓๑.๗๐ บาท ๑.๒ มอบหมายฝ่ายเลขานุการ นบข. ประสานสำนักงบประมาณพิจารณานำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร่งด่วน เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร ตามข้อ ๑.๑ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น) ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาให้เกษตรกรต่อไป ๑.๓ การจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรจังหวัดพิจิตร และ/หรือการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดกฎหมายฐานฉ้อโกงเกษตรกรจังหวัดพิจิตร กรณีมีปัญหาหรือมีความจำเป็นทางข้อกฎหมาย ขอให้นำมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาใช้ดำเนินการก่อน เพื่อให้เกษตรกรจังหวัดพิจิตรได้รับการช่วยเหลือเยียวยาโดยเร็ว โดยไม่ต้องรอให้คดีความยุติก่อน ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรจังหวัดพิจิตร ๒๒๙ ราย เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๕๒,๘๓๕,๕๓๑.๗๐ บาท ให้เบิกจ่ายงบประมาณจาก ธ.ก.ส. ก่อน หากงบประมาณไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติติดตามการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
24197 | การรายงานการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐรายงานรายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป โดยให้รายงานสิ่งที่ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สิ่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และสิ่งที่ดำเนินการในห้วงเวลาต่อไป ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐติดตามและตรวจสอบโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทุกเดือน โดยให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐรายงานครั้งแรกในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ส่งข้อมูลดังกล่าวให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐด้วย
|
|||||||||||||||||||||
24198 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายวิทยา สวัสดิวุฒิพงศ์) | สธ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
๑. นายวิทยา สวัสดิวุฒิพงศ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลแม่สอด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๗ ๒. นางสาวจุไร วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานการรักษา กลุ่มบริการเฉพาะทาง สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
24199 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการกำหนดสาระสำคัญของประเด็นการเจรจาหรือความตกลงระหว่างประเทศ ท่าทีของไทยในการเจรจา ผลดีและผลเสีย รวมทั้งผลกระทบในการดำเนินการต่อประเทศไทย และในการเจรจาให้ยึดถือผลประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก นั้น ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามมติข้างต้นอย่างเคร่งครัด และให้ดำเนินการเพิ่มเติม (๑) ในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ให้จัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของประเด็นการเจรจา กำหนดวัตถุประสงค์ ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยควรต้องได้รับ และผลกระทบในการดำเนินการให้ชัดเจน (๒) ในกรณีการจัดประชุมหรือการเข้าร่วมประชุมทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศจะต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน สารัตถะเชิงรุกในทุกมิติ และประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการประชุมแต่ละครั้ง และ (๓) ในกรณีการจัดทำความตกลงหรือการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี ทุกส่วนราชการต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามหรือการตอบรับเข้าร่วมประชุม เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาเสนอแนวทางการทำประมงในเขตแดนของภูมิภาคอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ว่าควรแบ่งเขตแดนอย่างไร สามารถทำประมงข้ามเขตได้หรือไม่ อย่างไร ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา และเสนอแนวทางผลักดันให้โครงการดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดกำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด โดยเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามราคาขายไข่ไก่ปลีกในท้องตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงการคลังชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะโดยเฉพาะสื่อมวลชนเกี่ยวกับ “หนี้ครัวเรือนของประเทศ” ว่า หมายถึงอะไร มีองค์ประกอบอย่างไร คำนวณจากปัจจัยใดบ้าง และเหตุใดหนี้ครัวเรือนของประเทศจึงอยู่ในระดับที่สูง ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการในการดำเนินการให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษและผู้ผ่านกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกลับคืนสู่สังคม มีอาชีพรองรับ และกำหนดมาตรการในการดูแลและติดตามพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคม ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ติดยาเสพติดและผู้ผ่านการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองด้วย แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป รวมทั้งให้สร้างการรับรู้ให้สังคมทราบมาตรการดังกล่าว และพิจารณาบทบัญญัติของกฎหมายในปัจจุบันที่เกี่ยวกับการดำเนินการดูแลกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งหากมีมาตรการไม่เพียงพอหรือเหมาะสมให้พิจารณาดำเนินการเสนอมาตรการในเรื่องโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๓.๒ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาเสนอการแก้ไขปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ในการแก้ไขปัญหา เสนอเรื่องและประเด็นที่ต้องการการแก้ไขปัญหาพร้อมทั้งแนวทางการแก้ไขให้หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อประมวลและจัดกลุ่มปัญหานำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาดังกล่าวสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องว่าการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ นั้น เป็นการใช้อำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่เพียงใช้เพื่อการรักษาความมั่นคงเท่านั้น หากยังใช้ในเชิงสร้างสรรค์สำหรับการแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศด้วย ๔. ด้านสังคม มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาแนวทางการยกระดับสิทธิสตรี เด็ก และผู้พิการในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข ในสังคมให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมในอนาคต ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะประธานกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พิจารณาความเป็นไปได้และเสนอแนวทางในการก่อสร้างสถานที่จอดรถเพิ่มเติมในบริเวณพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ โดยอาศัยกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่สามารถดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยจัดทำเป็นแผนภาพแสดงให้เห็นถึงแนวทางการให้บริการของศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) แต่ละประเภทและความเชื่อมโยงในการส่งต่องานบริการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งหมดที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการและประชาชนผู้มาขอใช้บริการ ๕.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๕.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือประชาชนและรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์พายุฤดูร้อน ในระหว่างวันที่ ๗-๑๐ เมษายน ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้เน้นมาตรการเชิงรุก เช่น การเร่งตรวจสอบความมั่นคงของสิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และการตรวจสอบระบบสัญญาเตือนภัยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕.๕ ให้รัฐมนตรีทุกท่านร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไปลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง (การช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่แล้งซ้ำซากตำบลละ ๑ ล้านบาท) โครงการตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การซ่อม-สร้างถนน โรงเรียน โรงพยาบาล ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อเร่งรัดดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||
24200 | สรุปผลการจัดงาน "วิถีข้าว วิถีไทย" | กษ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงาน ดังนี้ ๑.๑ งาน “วิถีข้าว วิถีไทย” จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๕ มีนาคม-๕ เมษายน ๒๕๕๘ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ประชาสัมพันธ์สินค้าข้าวและจำหน่ายข้าวให้แก่ผู้บริโภคชาวกรุงเทพโดยตรง ผู้บริโภคในชุมชนเมืองได้เรียนรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ในการพัฒนาข้าวและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของข้าวไทยที่มีหลากหลายพันธุ์ มีคุณค่าทางโภชนาการ ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมวิถีข้าว วิถีไทยจาก ๔ ภาค กระตุ้นให้คนไทยให้ความสำคัญกับการผลิตและการบริโภคข้าวคุณภาพที่ผลิตด้วยระบบมาตรฐาน โดยเฉพาะข้าวอินทรีย์ นอกจากนี้ผู้ผลิตข้าวได้เรียนรู้การค้าขายทางอิเล็กทรอนิกส์ตลาดออนไลน์และการเชื่อมโยงของตลาดข้าวคุณภาพจากภูมิภาคมายังศูนย์การค้าชั้นนำ เช่น Makro สาขาสามเสนที่เปิดโอกาสให้กลุ่มเกษตรกรได้จำหน่ายข้าวต่อเนื่องจากวันที่ ๖-๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ และ Central World สาขาราชประสงค์ ๑.๒ งาน "วิถีข้าว วิถีไทย" จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร กรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สมาคมเชฟแห่งประเทศไทย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ๑.๓ ผลการดำเนินงาน เกษตรกรร่วมจำหน่ายข้าวคุณภาพดีจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ จำนวน ๘๐ บูท ซึ่งประกอบด้วยสินค้าข้าวมากกว่า ๒๒ ชนิด และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวอีกจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าการตลาดรวม ๗,๙๘๘,๔๕๐ บาท ผู้ร่วมฝึกอาชีพ ๗๖๕ คน ใน ๓๗ หลักสูตร มีผู้ร่วมเรียนรู้การสาธิตจากเชฟมืออาชีพจากสมาคมเชฟแห่งประเทศไทย ๑,๒๐๐ คน ใน ๑๕ เมนู รวมทั้งมีการแสดงวัฒนธรรมวิถีข้าว วิถีไทย การละเล่นพื้นเมืองจากทุกภาคและมีศิลปินและนักแสดงเข้าร่วมให้ความบันเทิง โดยได้รับการตอบรับทั้งจากเกษตรกรผู้ขายข้าวเป็นอย่างดีและผู้เข้าร่วมมีความพึงพอใจในระดับดี-ดีมาก โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมชมงาน ๔๘,๔๐๓ คน ซึ่งมีความเห็นว่าควรให้จัดสม่ำเสมอ กระจายทั่วทุกภูมิภาคเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และทำให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สืบไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดให้มีตลาดชุมชนตามแนวทางการจัดงาน “วิถีข้าว วิถีไทย” ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเชื่อมโยงการค้าขายระหว่างผู้บริโภคและผู้ขาย และในอนาคตให้พัฒนาให้เกิดความเชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่ของภาครัฐและเอกชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาปรับปรุงพันธุ์ข้าวต่าง ๆ ให้มีคุณภาพเหมาะสมกับการเพาะปลูกในแต่ละพื้นที่ และให้พิจารณาความเหมาะสมและความสมดุลของผลผลิตข้าวแต่ละชนิดที่ออกสู่ตลาด รวมทั้งปริมาณการใช้ในประเทศและการส่งออกไปขายยังต่างประเทศด้วย
|
.....