ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 61 | การขออนุมัติวิธีการกู้เงินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ | กค. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token : G Token) ตามมาตรา ๑๐
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. ....
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการให้อำนาจกระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพ
และภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น
ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าอยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาอนุมัติวิธีการกู้เงินในรูปแบบการออกโทเคนดิจิทัลได้ตามที่เห็นสมควร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เห็นว่าการดำเนินการเกี่ยวกับการออกเสนอขายโทเคนดิจิทัลและการจัดทำทะเบียนโทเคนดิจิทัลของกระทรวงการคลังอาจพิจารณากำหนดกลุ่มหรือประเภทผู้ดำเนินการ
รวมถึงขอบเขตในการดำเนินการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
และอาจต้องประสานกับผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับความประสงค์ให้การโอนโทเคนดิจิทัลสมบูรณ์
เมื่อได้ดำเนินการตามวิธีการที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลกำหนด เนื่องจากพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๑ ไม่ได้กำหนดแบบในการโอนโทเคนดิจิทัลไว้ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อทุกกลุ่มให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม
รวมทั้งกำหนดกลไกในการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโนโอกาสแรกต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 62 | ร่างกฎกระทรวงการผลิตสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็กและผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง ตามนโยบายการสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมเพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศและนโยบายการยกระดับการบริการภาครัฐ | กค. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการผลิตสุรา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการผลิตสุรา
พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยการแก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิตสุราจากโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง
แก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็ก และโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง
เช่น สถานที่ตั้งของโรงอุตสาหกรรมสุรากลั่น และเงื่อนไขอื่น ๆ ให้มีความสอดคล้องกัน
รวมทั้งแก้ไขคำนิยามเกี่ยวกับโรงอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ
สถานที่ผลิต เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันทางการค้า การสร้างรายได้
และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็กและผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง
ตามนโยบายการสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมเพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ
โดยการปรับใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านและสุราชุมชน และนโยบายการยกระดับการบริการภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นควรคำนึงถึงสุขลักษณะความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
ความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยสามารถต่อยอดสร้างการกระจายรายได้
และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 63 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล | กค. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๔๑)
พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
ประเภทน้ำมันเบนซินและดีเซล ๑ บาทต่อลิตร
เพื่อส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอันจะทำให้ฐานะการคลังมีความมั่นคงและรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้มีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อราชการส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น
เพื่อไม่ให้การปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในครั้งนี้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาระยะเวลาการดำเนินการบังคับใช้กฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้มีความเหมาะสม
โดยมิให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลของประชาชน และรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นว่าหากเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลจนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง
ให้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต พิจารณาปรับลดอัตราภาษีและน้ำมันดีเซลลง
เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 64 | รายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ประจำปี พ.ศ. 2566 และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคม ประจำปี พ.ศ. 2566 | กค. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ประจำปี พ.ศ.
๒๕๖๖
และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคมประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑) รายงานการประเมินผลฯ
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ แบ่งเป็นด้านผลการดำเนินงาน ซึ่งผู้มีสิทธิตามโครงการฯ ปี ๒๕๖๐
และปี ๒๕๖๑ ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับสวัสดิการมูลค่า
๒,๑๓๐/๒,๒๓๐ บาทต่อคนต่อเดือน ในขณะที่จังหวัดอื่นได้รับ ๑,๖๓๐/๑,๗๓๐ บาทต่อคนต่อเดือน (ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖) และผู้มีสิทธิตามโครงการฯปี
๒๕๖๕ ได้รับสวัสดิการมูลค่า ๑,๔๙๒ บาทต่อคนต่อเดือน (ตั้งแต่
๑ เมษายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖)
และมีการปรับสวัสดิการให้กับผู้ผ่านคุณสมบัติตามโครงการฯ ปี ๒๕๖๕ ใน ๓
สวัสดิการหลัก ได้แก่ วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค จำนวน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน
วงเงินส่วนลดก๊าซหุงต้ม จำนวน ๘๐ บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน
และวงเงินค่าโดยสารสาธารณะรวม ๗๕๐ บาทต่อคนต่อเดือน
ด้านความคุ้มค่าของการจัดประชารัฐสวัสดิการ ซึ่งการดำเนินการในปี ๒๕๖๖ มีผลประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าต้นทุนที่ใช้ในการจัดสวัสดิการอยู่ที่
๑๗,๑๔๗.๔๔ ล้านบาท และ ๒) รายงานการสำรวจความพึงพอใจฯ ประจำปี
๒๕๖๖ ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ๗๖ จังหวัด และในกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น
๑๑,๔๔๖ ราย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพอใจอยู่ในระดับมาก ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 65 | ข้อเสนอแนะยกเลิกข้อบทเกี่ยวกับเพดานการให้สินเชื่อในความตกลงว่าด้วยการสถาปนาธนาคารพัฒนาเอเชีย | กค. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะยกเลิกข้อบทเกี่ยวกับเพดานการให้สินเชื่อในความตกลงว่าด้วยการสถาปนาธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank :
ADB) เพื่อที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ว่าการของไทยใน
ADB ลงคะแนนเสียงให้ความเห็นชอบต่อร่างมติสภาผู้ว่าการ
ADB ในเรื่องดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าหน่วยงานไทยที่เป็นสมาชิก
ADB ควรเน้นย้ำให้ ADB ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง
และประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดและรัดกุม โดยอาจอ้างอิงเกณฑ์ของธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการฟื้นฟูบูรณะและพัฒนา
(International Bank for Reconstruction and
Development : IBRD) ที่มีหน้าที่ใกล้เคียงกับ
ADB และได้มีมติยกเลิกเพดานการให้สินเชื่อไปเมื่อปี ๒๕๖๖ โดย
IBRD ได้กำหนด ๑) กรอบความเพียงพอของทุน (Capital Adequacy Framework : CAF) ที่ให้สินเชื่อได้สูงสุดไม่เกิน
๕ เท่าของทุนที่ชำระแล้วและทุนสำรอง และ ๒)
กำหนดอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกู้ขั้นต่ำ (minimum equity-to-loans
ratio) ในระดับที่เพียงพอและเหมาะสม
ที่จะไม่กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของ ADB ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 66 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 28 | กค. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 67 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงาน แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) | กค. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขอัตราภาษีรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน
๑๐ คน ประเภทประหยัดพลังงาน
แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) โดยยกเลิกเงื่อนไขขนาดถังน้ำมัน (Fuel
Tank) และให้คงพิจารณาเฉพาะระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าต่อการประจุไฟฟ้า
๑ ครั้งเท่านั้น เพื่อให้รถยนต์ PHEV ที่ผลิตในประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการพัฒนาเทคโนโลยีและสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์
PHEV ในระดับสากล และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ประเภทสันดาปภายในไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
(Future Mobility) โดยยังคงจัดเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าร้อยละ
๕ และร้อยละ ๑๐ และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 68 | โครงการสลากการกุศล | กค. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย
ของมูลนิธิต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย วงเงิน ๒๕๐ ล้านบาท
เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว ล่วงเลยระยะเวลาตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๖ เห็นชอบ เนื่องจากปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกรมธนารักษ์เพื่อขอเช่าที่ดินแปลงอื่น ๑.๒ เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการฯ
จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๕,๓๐๘.๑๔ ล้านบาท ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบบาล ดำเนินการดังนี้ ๑.๓.๑
เป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศลตามข้อ ๑.๒ ๑.๓.๒
ประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒
เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากการกุศล การขออนุญาตการออกสลากการกุศล โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
โดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากการกุศลเสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ ๐.๕
แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ ๑๒ (๔) ของกฎกระทรวงมหาดไทย
ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ๑.๓.๓
จัดทำแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการและรายงานต่อคณะกรรมการฯ
เพื่อประโยชน์ในการกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑.๔
มอบหมายให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการดังนี้ ๑.๔.๑
ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาผูกพันวงเงินขยายระยะเวลาผูกพันวงเงิน
หรือขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเบิกจ่ายตามเหตุผลความจำเป็นแล้วแต่กรณี ทั้งนี้
หากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลพิจารณาแล้วเห็นว่า
โครงการดังกล่าวสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลให้โครงการดังกล่าว
๑.๔.๒ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
โดยโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒ เป็นในส่วนของทุนการศึกษา
จึงเห็นควรให้ดำเนินการสนับสนุน ตามจำนวนผู้รับทุนการศึกษาที่หน่วยงานเสนอขอรับการสนับสนุนเท่านั้น
โดยให้นำเงินเหลือจ่ายโอนเข้ารายได้แผ่นดิน ทั้งนี้
ในกระบวนการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุน ควรดำเนินการอย่างโปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ
และรัดกุม โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ
ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนอย่างเท่าเทียมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุนการศึกษา
หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ
อย่างโปร่งใส โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดโอกาสให้ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เห็นควรให้ทุกหน่วยงานร่วมวางแผนวิจัยติดตามประเมินผลความคุ้มค่าหรือวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมของการดำเนินการโครงการสลากการกุศลดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการระยะยาวของรัฐบาลที่เหมาะสมต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดให้การเบิกจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศลแล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งให้ดำเนินการประเมินผลโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศล
ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 69 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายพลช หุตะเจริญ) | กค. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ แต่งตั้ง นายพลช หุตะเจริญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการเศรษฐกิจ) สูง]
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๗
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 70 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ และรายงานการเงินรวมภาครัฐ (บทวิเคราะห์) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐตามบัญชีรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
พร้อมทั้งรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรค และแนวทางแก้ไขให้กระทรวงเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังภายใน
๖๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้หน่วยงานของรัฐส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณถัดไปให้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 71 | การกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก
ADB สำหรับโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
กรอบวงเงิน ๖๘.๗๔ ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ ๒,๔๔๐.๑๙ ล้านบาท) ๒. เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้โครงการฯ
และเห็นชอบในการใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(
Asian Development Bank Ordinary Operations Loan Regulations) ลงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕ ของ ADB ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยในสัญญาเงินกู้โครงการฯ ๔.
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้โครงการฯ ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวแล้ว ๕.
มอบหมายให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่ถูกระบุไว้ใน PAM สัญญาเงินกู้
รวมทั้งกฎเกณฑ์และระเบียบที่เกี่ยวข้องของ ADB และเอกสารแนบท้ายสัญญาที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ขอให้กรมทางหลวงบริหารสัญญาและกำกับดูแลผู้รับจ้างให้ดำเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
และดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ตามระยะเวลาที่กำหนด ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ)
กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงการคลัง
โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หารือร่วมกับกรมทางหลวง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เพื่อปรับแผนการกู้เงินและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้มีความสอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการของสนามบินอู่ตะเภาที่มีความล่าช้าและอาจส่งผลกระทบให้ปริมาณจราจรของโครงการฯ
ต่ำกว่าที่เสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๕
เพื่อให้การลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่ากระทรวงการคลังควรพิจารณาเตรียมการสำหรับกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนสูง
ซึ่งอาจส่งผลให้วงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติไม่เพียงพอต่อการชำระค่าใช้จ่ายของโครงการในสกุลเงินบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 72 | รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2567 | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑. ความเสี่ยงด้านรายได้ รัฐบาลยังคงจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายในปีงบประมาณ
๒๕๖๗ โดยมีผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลอยู่ที่ ๒,๗๙๗,๖๗๙ ล้านบาท (ขยายตัวร้อยละ ๔.๑๙ จากปีก่อน)
และมีสัดส่วนรายได้รัฐบาลสุทธิต่อ GDP อยู่ที่ร้อย ๑๕.๐๖ ๒. ความเสี่ยงด้านรายจ่ายยังคงมีปัจจัยกดดันจากรายจ่ายเพื่อชำระหนี้และภาระผูกพัน
และรายจ่ายด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๗ ขยายตัวอยู่ที่ ๓,๖๐๒,๐๐๐ ล้านบาท
(เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๙ จากปีก่อน) ๓. ความเสี่ยงด้านหนี้ในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ยังคงมีปัจจัยกดดันจากระดับหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับสูงและความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19
ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาลงโดยระดับหนี้สาธารณะ
ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ อยู่ที่ ๑๑,๖๒๗,๘๕๓.๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
๖๓.๒๐ ต่อ GDP (ยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด
ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๗๐ ต่อ GDP) ๔. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ภายใต้การติดตามและบริหารอย่างใกล้ชิด
โดยระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ อยู่ที่ ๕๑๔,๑๐๑ ล้านบาท (ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๒๔,๙๕๕ ล้านบาท)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 73 | เงินกู้จากธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก (ก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2) | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก AIIB วงเงิน ๔๒๓,๐๕๐,๕๙๕
เหรียญสหรัฐ ๒.
เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้องของโครงการฯ
และเห็นชอบในการระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดใน
เอกสาร General Conditions for Sovereign - backed Loans ฉบับวันที่ ๒๒
ตุลาคม ๒๕๖๔ ของ AIIB ๓.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้
และจดหมายการยืนยันข้อผูกพันและการให้ข้อมูลทางการเงินของโครงการฯ ๔.
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้ของโครงการฯ ในโอกาสแรก
ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวแล้ว ๕.
มอบหมายให้กองทัพเรือ (ทร.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่ถูกระบุไว้ในคู่มือการปฏิบัติงาน สัญญาเงินกู้
กฎข้อบังคับต่าง ๆ ของ AIIB และเอกสารแบบท้ายสัญญาที่เกี่ยวข้องของโครงการฯ
รวมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอให้ ทร.
คำนึงถึงผลกระทบการระงับวงเงินกู้หรือสิทธิในการเรียกให้ชำระคืนเงินกู้ได้ทันทีตามเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ของ
AIIB หากจะมีการแก้ไขสัญญาการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร่วมกันระหว่าง
ทร. และบริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (Joint Use Agreement : JUA) ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือการกระทำผิดเงื่อนไขตามสัญญาเงินกู้ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ)
กระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย กฎ
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าการกู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งในด้านความเพียงพอต่อการชำระค่าใช้จ่ายในสกุลเงินบาท รวมถึงการใช้คืนเงินกู้ในอนาคต
กระทรวงการคลังควรพิจารณาบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 74 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (นายสมชัย สัจจพงษ์) | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายสมชัย สัจจพงษ์
ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งเดิม ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน
๒๕๖๗ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 75 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางธาราพร สิงหพันธุ์ มหิทธาฟองกุล) | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางธาราพร สิงหพันธุ์ มหิทธาฟองกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองพัฒนาธุรกิจและศักยภาพที่ราชพัสดุ
กรมธนารักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่
๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 76 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวสลักจิต พงษ์ศิริจันทร์) | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ แต่งตั้ง นางสาวสลักจิต พงษ์ศิริจันทร์
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี
(กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘
มกราคม ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 77 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ผลการดำเนินงานทางการเงินของรายงานการเงินแผ่นดิน รัฐบาลมีรายได้ จำนวน ๒,๙๑๐,๙๐๒.๔๓ ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๑๒๑,๙๕๒.๓๕ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๔.๓๗
เนื่องจากสามารถจัดเก็บรายได้แผ่นดินประเภทรัฐพาณิชย์ที่ขยายตัวตามการบริหารการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและการนำส่งรายได้เพิ่มเติมของกองทุนรวมวายุภักษ์
หนึ่ง และมีค่าใช้จ่าย จำนวน ๓,๔๑๒,๔๙๖.๘๒
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๘๓,๗๐๗.๖๒
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒.๕๑ เนื่องจากมีรายจ่ายในงบประมาณ
(ไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้) การถือครองสินทรัพย์ทางการเงิน เงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒. ฐานะการเงินของรายงานการเงินแผ่นดิน มีสินทรัพย์
จำนวน ๘,๗๒๑,๙๖๕.๘๘
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๑๔๑,๓๔๐.๑๓
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๖๕ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้กู้ยืมระยะสั้น
เงินลงทุนระยะยาว เงินให้กู้ยืมระยะยาว และที่ดินราชพัสดุ มีหนี้สิน จำนวน ๑๐,๙๑๖,๒๘๒.๖๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ จำนวน ๕๔๙,๑๗๐.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๓๐ เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
และการกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้ และมีสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน จำนวน ๒,๑๙๔,๓๑๖.๗๒ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
จำนวน ๔๐๗,๘๓๐.๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๘๓
แต่รัฐบาลยังสามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้ (Going Concern) เนื่องจากรัฐบาลมีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บรายได้ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ได้คลี่คลายลง เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
และการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการคลังเพื่อพัฒนาประเทศ
ให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 78 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒
มีนาคม ๒๕๖๗ [เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ โดยกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้ารถยนต์โบราณ ในอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ
๔๕ ข้องราคาขายปลีกแนะนำ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร
พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์โบราณ ที่นำเข้ามาแบบสำเร็จรูปทั้งคัน
(Completely Built Up : CBU) ตามที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาในประเด็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบการดำเนินมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงวัฒนธรรม เห็นว่าการเรียกชื่อ รถโบราณ VINTAGE CARS กับ รถคลาสสิค CLASSIC CARS จะสื่อความหมายที่ต่างกัน
และอาจจะต้องมีการพิจารณาการกำหนดชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้ชัดเจน ในกรณีแยกประเภทรถยนต์ใช้แล้วในช่วงอายุที่แตกต่างกันให้เป็นไปตามนิยาม
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของพิกัดอัตราศุลกากรแต่ละประเภท
เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายการนำเข้าส่งออกของแต่ละประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและทำประมาณการการสูญเสียรายได้จากอากรศุลกากรที่คาดว่าจะเก็บได้จากการนำเข้ารถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เทียบกับกรณีไม่มีการดำเนินมาตรการให้ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 79 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
และไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 80 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 12 | กค. | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
