ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 181 | การแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อซื้อ-สร้าง และการแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อซ่อม-แต่ง ภายใต้มาตรการสินเชื่อซื้อ-ซ่อม-สร้าง ของธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) | กค. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อซื้อ -
สร้าง และมาตรการสินเชื่อซ่อม - แต่ง และแยกเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) และแยกเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public
Service Account : PSA) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ภายในกรอบวงเงินรวม ๖,๓๗๒.๘๘ ล้านบาท โดยให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
และควรจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการ
และติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารอาคารสงเคราะห์)
รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกประเภท
โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงจัดทำสื่อที่เหมาะสมสำหรับคนพิการทุกประเภท อาทิ
เสียงบรรยายภาพ (Audio Description : AD) สำหรับคนพิการทางการเห็น
คำบรรยายแทนเสียง (Closed Captions : CC) สำหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย
และหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย (Easy Read) สำหรับคนพิการทางสติปัญญาหรือออทิสติก
ฯลฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 182 | รายงานสถานะของหนี้สาธารณะตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะของหนี้สาธารณะตามมาตรา
๓๕ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ณ
วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๗ โดยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๗ มีจำนวน
๑๑,๗๒๘,๑๔๙.๐๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๔.๐๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic
Product : GDP) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง ๙,๗๘๑,๘๓๓.๕๙ ล้านบาท
หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(FIDF) ๕๘๓,๖๒๗.๐๐ ล้านบาท
หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน ๑,๐๖๐,๗๓๙.๔๘ ล้านบาท
หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินโดยมีรัฐบาลค้ำประกัน ๑๘๙,๒๕๔.๘๙ ล้านบาท
และหนี้หน่วยงานของรัฐ ๑๑๒,๖๙๔.๑๐ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 183 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายคณาวุฒิ สิติธีรพันธุ์) | กค. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายคณาวุฒิ
สิติธีรพันธุ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองอธิบดีกรมธนารักษ์
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 184 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสมศักดิ์ ภู่สกุล และนายชุมพล สุวรรณกิจบริหาร) | กค. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. นายสมศักดิ์ ภู่สกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง
(นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ)
กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 185 | แถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 27 | กค. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
+ ๓ (Joint Statement of the 27th ASEAN + 3 Finance Ministers’
and Central Bank Governors’ Meeting) (การประชุม AFMGM+3) ครั้งที่ ๒๗ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗ ณ เมืองทบิลิซี ประเทศจอร์เจีย
โดยที่แถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
+ ๓ เพื่อสนับสนุนความร่วมมือในด้านต่าง ๆ
และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือทางการเงินของภูมิภาค ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 186 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย) | กค. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ..
(พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย)
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยโดยกำหนดให้เงินได้ของบุคคลธรรมดาที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนใน
“กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund หรือ TESG)” ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของเงินได้
เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีภาษีนั้น
(จากเดิมไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท)
เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๙ และกำหนดให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด
ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ TESG มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กล่าวมา
ทั้งนี้ ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (จากเดิมไม่น้อยกว่า ๘ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 187 | การลงนามร่างหนังสือให้คำมั่น (Letter of Commitment) เพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามกรอบการรายงานข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัลแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent Authority Agreement on Automatic Exchange of Information pursuant to the Crypto-Asset Reporting Framework: CARF MCAA) | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 188 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยเยียวยาที่ได้รับจากกรมประมงตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน) | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่เจ้าของเรือประมงสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการชดเชยเยียวยาจากกรมประมง
เนื่องจากการเข้าร่วมโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน
ระยะที่ ๑ (ระยะเร่งด่วน) (ช่วงปี ๒๕๖๒ - ๒๕๖๓) และระยะที่ ๒ (ช่วงปี ๒๕๖๕ - ๒๕๖๖)
เพื่อช่วยบรรเทาภาระภาษีให้เจ้าของเรือประมงในการมีทุนในการประกอบอาชีพอื่น
และบรรเทาหนี้สินอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเรือ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 189 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 4/2567 และมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๗ และมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณและรัฐวิสาหกิจนำมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ไปเป็นแนวทางในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐต่อไป
รวมทั้งมอบหมายให้กรมบัญชีกลางและสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาแนวทางประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ
ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ ๒.
ให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ หน่วยรับงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมในการดำเนินการ
เช่น การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะ หรือขอบเขตของงาน (TOR)
หรือแบบรูปรายการให้มีงวดงานที่เหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะงานและการจ่ายเงิน
การลงนามในสัญญา และการบริหารสัญญา
รวมทั้งให้กระทรวงต้นสังกัดและคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ
กำกับติดตามการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเจ้าของโครงการที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้เงินกู้และการเบิกจ่ายเงินลงทุนในโครงการอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การเบิกจ่ายและการใช้จ่ายเงินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
และมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่ากรมบัญชีกลางควรพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของหน่วยงานให้มีการเบิกจ่ายที่รวดเร็วเป็นไปตามแผนมากขึ้น
เช่น ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.
๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน
การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งดำเนินการตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อให้การเบิกจ่ายสามารถดำเนินการในระบบอิเล็กทรอนิกส์
ใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เอกสารฉบับจริงและลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 190 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 3/2567 | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๗
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณและรัฐวิสาหกิจดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปตามเป้าหมาย
และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 191 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2566) ของธนาคารแห่งประเทศไทย และรายงานการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินสำหรับปี 2567 | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
และรายงานการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินสำหรับปี
๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๖ ขยายตัวที่ร้อยละ ๑.๖
ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ ในช่วงครึ่งแรกของปี
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและดัชนีค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยอ่อนค่าลง
แต่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี
ซึ่งสะท้อนจากสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งดีกว่าเกณฑ์สากล
๑.๒ การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ
๒.๕ และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาจนถึงสิ้นปี ๒๕๖๖
ส่วนการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน คณะกรรมการนโยบายการเงินเห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสากลมากขึ้น
๑.๓ การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่ง
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว
การคงอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งสำหรับปี ๒๕๖๗ ที่อัตราร้อยละ ๐.๔๖
ต่อปีเช่นเดิมจะช่วยให้หนี้ที่เหลืออยู่ลดลงได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้
คาดว่าการชำระหนี้จะเสร็จสิ้นภายในปี ๒๕๗๔ ๒. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า
เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยเฉพาะการให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and
Medium Enterprises : SMEs) ในภาคธุรกิจที่มีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร เป็นต้น สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มขึ้น
เพื่อให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอต่อการประกอบกิจการ
และเป็นการใช้สภาพคล่องของสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงเห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาร่วมกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลพิจารณาจัดทำมาตรการที่เหมาะสม
เพื่อลดปัญหาอุปสรรคของการให้สินเชื่อดังกล่าว นอกจากนี้
เห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาร่วมกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดภาระหนี้สินของลูกหนี้อย่างเข้มข้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 192 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2566 | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ
รอบ ๑๒ เดือน (มกราคม - ธันวาคม) ปี ๒๕๖๖
ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ตามนัยสาระสำคัญของเรื่องดังกล่าว
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติมาตรา ๒๐ (๑๐)
แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. ๒๕๕๐
ซึ่งภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทย รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๖ ขยายตัวร้อยละ ๓.๗๐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง รวมทั้งสิ้น ๙๑๘,๐๖๗ ล้านบาท ประกอบด้วย เบี้ยประกันภัยจากธุรกิจประกันชีวิต ๖๓๓,๒๐๒ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๓.๖๒ และเบี้ยประกันภัยจากธุรกิจประกันวินาศภัย
๒๘๔,๘๖๖ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๓.๘๘ ทั้งนี้ คาดว่าในปี ๒๕๖๗
ธุรกิจประกันภัยจะมีอัตราการเติบโตร้อยละ ๑.๑๖ ถึง ๓.๑๖ คิดเป็นมูลค่าเบี้ยประกันภัยประมาณ
๙๑๙,๗๖๔ - ๙๕๖,๒๑๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 193 | รายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน และงบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงาน
ฐานะทางการเงิน และงบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้ เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๖๖
กองทุนฯ ได้บริหารเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
วงเงินรวม ๑,๓๕๓,๕๔๐.๘๔
ล้านบาท และได้รับผลตอบแทนเพื่อให้กระทรวงการคลังนำไปสมทบการชำระหนี้ จำนวน ๗,๔๕๘.๖๒ ล้านบาท และ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรายงานการเงินของกองทุนฯ แสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ
ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ และผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกัน ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ที่เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 194 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 150 ปี กรมศุลกากร พ.ศ. .... | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก
๑๕๐ ปี กรมศุลกากร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท
เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบ ๑๕๐ ปี กรมศุลกากรในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 195 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่อง โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 | กค. | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
เรื่อง โครงการฯ ปี ๒๕๖๕
ในประเด็นแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้บัตรฯ (Exclusion Error) จากเดิม “การแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้บัตรฯ
จะเปิดรับลงทะเบียนตามโครงการฯ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง” เป็น “การแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้บัตรฯ
จะเปิดรับลงทะเบียนตามโครงการฯ ครั้งต่อไปในระยะเวลาภายใน ๒ ปี นับจากวันที่เริ่มใช้สิทธิครั้งแรกในโครงการที่เปิดรับลงทะเบียนครั้งล่าสุด”
ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
และให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมและกระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับผู้มีรายได้น้อยและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งจัดให้มีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาเพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เป็นระยะ
ๆ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 196 | ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี 2567 | กค. | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๗ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินนโยบายทางการคลังและการเงินอย่างผสมผสานเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นพลวัต
พร้อมกับให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าร่างถ้อยแถลงฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
จึงควรพิจารณาเสนอร่างเอกสารดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา
๔ (๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 197 | การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2565 (ครั้งที่ 2) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 | กค. | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี ๒๕๖๕ (ครั้งที่ ๒)
ของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวนเงิน ๑๗๔.๘๒ ล้านบาท และพิจารณาไม่เรียกให้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
ปีบัญชี ๒๕๖๕ (ครั้งที่ ๒) จำนวนเงิน ๔๙๙.๑๙ ล้านบาท
และให้รายงานผลการใช้จ่ายเงินตามแผนงาน/โครงการให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนทราบทุกไตรมาส
ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ ๓ (เดือนเมษายน - มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
และให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน กระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาและให้มีการจัดทำรายงานสถานะและการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ เสนอต่อรัฐสภาตามมาตรา
๑๐ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 198 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร (1. นางกฤติกา ปั้นประเสริฐ ฯลฯจำนวน 5 คน) | กค. | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร
จำนวน ๕ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. นางกฤติกา ปั้นประเสริฐ ๒. ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ๓. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ ๔. นางสาวนภัสชล ทองสมจิตร ๕. นายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 199 | ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | กค. | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การบริหารหนี้ การกำกับดูแล และการรายงานข้อมูลหนี้ของ
อปท. เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ของ อปท.
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 200 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (1. นายอัครุตม์ สนธยานนท์ ฯลฯ รวม 7 คน) | กค. | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์
รวม ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ ตุลาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายอัครุตม์ สนธยานนท์ ประธานกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๒. นายชุมพล สุวรรณกิจบริหาร กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๓. นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการ ๔. นายธะเรศ โปษยานนท์ กรรมการ ๕. นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ ๖. นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ กรรมการ ๗. นายดรุฒ คำวิชิตธนาภา กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
