ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 101 | แนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า | กค. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรฯ Version ๒.๕ ที่ใช้เกินวงเงิน
ดังนี้ (๑) ยกเลิกการชำระค่าโดยสารได้เกินวงเงิน ๕๐๐ บาท ๑ ครั้งต่อเดือน
โดยวงเงินที่เกินจะนำไปหักจากวงเงินในเดือนถัดไป (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๖๑) และ (๒) ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ดำเนินการ ดังนี้ ๑)
ผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติตามโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๕ ที่ใช้สิทธิเกินวงเงิน จำนวน
๒๔๖ ราย จำนวนเงิน ๑๒,๔๙๖ บาท
ให้กรมบัญชีกลางนำจำนวนเงินค่าโดยสารที่ใช้เกินข้างต้นเบิกจ่ายจากกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมชำระให้แก่
รฟม. แทนผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติดังกล่าว และ ๒) ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติตามโครงการลงทะเบียนฯ
ปี ๒๕๖๕ ที่ใช้สิทธิเกินวงเงินและยืนยันตัวตนแล้ว จำนวน ๓๕๖ ราย จำนวนเงิน ๑๕,๗๙๓ บาท ให้นำจำนวนเงินค่าโดยสารที่ใช้เกินไปหักจากวงเงินในเดือนถัดไป ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าคณะกรรมการฯ อาจพิจารณาปรับเพิ่มวงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะจาก
๗๕๐ บาท ต่อคนต่อเดือน เป็น ๑,๕๐๐ บาท
ต่อคนต่อเดือน โดยไม่จำกัดวงเงินตามประเภทรถ ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคม
ได้ดำเนินมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
และโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และส่งเสริมการใช้ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
ซึ่งการเพิ่มวงเงินจะทำให้ผู้โดยสารมีวงเงินสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าทั้งไปและกลับในโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางได้มากยิ่งขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกันเร่งพิจารณาแนวทางการกำหนดให้ผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะจัดให้มีระบบการตรวจสอบสิทธิที่เพียงพอและพัฒนาบัตรประจำตัวประชาชนให้สามารถรองรับการบริการต่าง
ๆ ของภาครัฐ รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะแบบทันที (Real-time)
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นกลไกที่สำคัญของการพัฒนายกระดับบริการภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 102 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสลากกินเเบ่งรัฐบาล (พลเอก ยุทธเกียรติ ล้วนไพรินทร์) | กค. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลเอก ยุทธเกียรติ ล้วนไพรินทร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
(ด้านสังคม) ในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ขอลาออกจากตำแหน่ง
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ตนได้รับแต่งตั้งแทน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 103 | ขอความเห็นชอบกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา (พ.ศ. 2567-2571) | กค. | 18/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา
ในระยะ ๕ ปีแรก วงเงิน ๔๐๒.๘๑๘ ล้านบาท
โดยให้ใช้จ่ายจากเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ และกองทุนส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัย
และนวัตกรรม เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอ
มอบหมายให้หน่วยงานผู้ดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ ได้แก่
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
และกรมประมงเสนอขอรับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และ/หรือแหล่งเงินอื่นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานที่รับผิดชอบต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงการคลังนำขอบเขตงาน
ตัวชี้วัด และกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา ในระยะ ๕
ปีแรก ดำเนินการเจรจาเงินกู้กับธนาคารโลก
พร้อมจัดทำรายละเอียดของเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้หน่วยงานดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ
สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการก่อสร้างโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาฯ
ของกรมทางหลวงชนบท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 104 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ครบกำหนดในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 | กค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ครบกำหนดในวันที่
๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗ จำนวน ๓,๕๗๕ ล้านบาท ได้แก่ ๑)
การชำระคืนต้นเงินตั๋วสัญญาใช้เงินจากเงินในบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท และ ๒)
การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตามพระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่สอง
พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๒ จำนวน ๑,๕๗๕
ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 105 | รายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2567 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 | กค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 106 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่ 17 ธันวาคม 2567 | กค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่
๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗
ซึ่งเป็นหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่สอง
พ.ศ. ๒๕๔๕ จำนวน ๓๐,๐๐๐
ล้านบาท ด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๑ จำนวน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 107 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม พ.ศ. .... | กค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม
ปีงบประมาณ พุทธศักราช ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐
รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้
เพื่อให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหมเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าสิทธิประโยชน์ที่จะจ่ายให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ แผนงานบุคลากรภาครัฐที่ได้รับจัดสรร สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๙๐ และจัดทำแผนการบริหารอัตรากำลังพลที่ว่างลงจากการมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ
และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการฯ
ในแต่ละปีให้สำนักงบประมาณทราบ
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
แผนงานบุคลากรภาครัฐของกระทรวงกลาโหมต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องให้มีรายละเอียดของหลักเกณฑ์
เงื่อนไข และวิธีการในการดำเนินการที่ชัดเจน
โดยให้ยึดหลักการของประเด็นการปฏิรูปประเทศที่ต้องจัดทำโครงสร้างเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่ได้มาตรฐานและเกิดความเป็นธรรม
ตลอดจนคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 108 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non - Banks ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย และหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกระบวนการเบิกจ่ายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non - Banks ของธนาคารออมสิน | กค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non - Banks ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย และหลักเกณฑ์
เงื่อนไข และกระบวนการเบิกจ่ายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non - Banks ของธนาคารออมสิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงการคลัง
กำกับ และติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ Non-Banks ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับ ติดตาม และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการ
“คุณสู้ เราช่วย” และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 109 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2567 | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑)
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑ - ๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี
๒๕๖๗ ๒) ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๗
เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวและระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ อยู่ที่ร้อยละ -๐.๗๙ และ ๐.๗๘
ตามลำดับ ซึ่ง กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายในไตรมาสที่
๔ ปี ๒๕๖๗ และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี
๒๕๖๗ เช่น (๑) กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๕๐ (๒)
ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากสิ้นปี ๒๕๖๖ กนง. เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเลี่ยน
และ (๓) กนง. สนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
และเห็นว่ากระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ควรเกิดขึ้นต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 110 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพกรณีการส่งเสริมหรือสนับสนุนผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) และพัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศให้ผู้ประกอบการ
SMEs ได้แต้มต่อด้านราคาในการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐ
แล้วแต่กรณี เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังขาดศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการทั่วไปให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐได้
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ที่เห็นว่าในระยะต่อไปอาจพิจารณากำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการ
SMEs โดยวิธีการคัดเลือกแบบมุ่งเป้าตามบัญชีสินค้าและบริการที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประกาศกำหนดเป็นรายปีโดยความเห็นชอบของกรมบัญชีกลาง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 111 | การสรรหาพันธมิตรของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) โดยสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญด้านการเงินตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อเข้าร่วมลงทุนใน ธอท.
โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
และให้ความสำคัญกับการให้บริการในทุกพื้นที่ที่มีชาวไทยมุสลิม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ
ธอท. ในการให้บริการทางการเงินที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
รองรับความต้องการของชาวไทยมุสลิมได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งกระทรวงการคลังจะไม่เพิ่มทุนใน
ธอท. โดยการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนจะต้องไม่ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังใน
ธอท. ต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ ในช่วง ๑ ปี นับจากวันที่การสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนเสร็จสมบูรณ์
และพันธมิตรร่วมลงทุนจะต้องมีข้อเสนอเกี่ยวกับการดูแลพนักงาน ธอท.
ที่เหมาะสมและเป็นธรรม ขั้นตอนการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนให้ดำเนินการให้เป็นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณารายละเอียดการถือหุ้น วิธีการ
ราคาและสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังที่เหมาะสม
โดยให้พิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 112 | ร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ให้แก่นางมี รักเสมอวงศ์ พ.ศ. .... | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลดงเย็น
อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ให้แก่นางมี รักเสมอวงศ์ พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้โอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะในท้องที่ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ให้แก่นางมี
รักเสมอวงศ์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับที่ดินของนางมี รักเสมอวงศ์
ที่ปัจจุบันทางราชการได้เข้าใช้ประโยชน์เป็นที่ตั้งโรงเรียนบ้านป่าเป้า
จังหวัดอุดรธานี และได้นำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุไว้เรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์)
แก้ไขชื่อผู้มีอำนาจลงนามในแผนที่ท้ายพระราชบัญญัติให้เป็นไปตามปัจจุบัน
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 113 | ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินของโลก
(Financial Hub) และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทย
ผ่านกลไกในการส่งเสริม กำกับดูแล
และการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่เข้ามาประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial
Hub เพื่อให้บริการแก่นิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
(Non-residents) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
เช่น สำนักงาน ก.พ. เห็นควรคำนึงถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจของหน่วยงาน
ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ และความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓
มีนาคม ๒๕๖๗ ที่มีเป้าประสงค์ในการนำงบประมาณรายจ่ายประจำที่ปรับลดได้ไปจัดสรรเป็นงบประมาณรายจ่ายลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
รวมถึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการเป็นหน่วยงานของรัฐ
และหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารที่ ก.พ.ร. กำหนด
ควรมีการวางแผนการบริหารจัดการและการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนเพื่อรองรับภารกิจดังกล่าว
และนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน เพื่อให้การบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
การควบคุมขนาดกำลังคนภาครัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการยกเว้นกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจทางการเงินหลายฉบับ
สมควรรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาด้วย
เพื่อให้การกำกับดูแลสอดคล้องกัน และเพื่อพัฒนาระบบ Financial Services ของประเทศในภาพรวมให้ทันสมัยขึ้นด้วย
และการจัดตั้งสำนักงานขึ้นใหม่อาจสร้างปัญหาต่อระบบงบประมาณในระยะยาว และอาจไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่จะลดขนาดภาครัฐ
กว่าจะจัดตั้งขึ้นได้ก็ต้องใช้เวลานาน
สมควรพิจารณาว่าการมอบหมายให้หน่วยงานที่มีอยู่แล้วทำหน้าที่ดังกล่าวเพิ่มเติมจะเหมาะสมกว่าหรือไม่
เป็นต้น ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้
ความเข้าใจ
และประโยชน์ที่จะได้รับของการจัดตั้งศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน
ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าการพัฒนาศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินควรคำนึงถึงการพัฒนาระบบการระงับข้อพิพาทควบคู่กันด้วย
ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมระบบการระงับข้อพิพาททางเลือกในประเทศไทย อาทิ
การอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจะช่วยให้การระงับข้อพิพาทสามารถดำเนินการได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยสามารถเลือกผู้ชี้ขาดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
อันจะนำไปสู่กระบวนพิจารณาที่มีประสิทธิภาพและคู่ความยอมรับคำชี้ขาดซึ่งนำไปบังคับตามกฎหมายต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 114 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิศิษฐ์ แสง-ชูโต ฯลฯ จำนวน 6 คน) | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
จำนวน ๖ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิศิษฐ์ แสง-ชูโต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากสภาวิศวกร ๒. นายคธาทิพย์ เอี่ยมกมลา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากสภาสถาปนิก ๓. นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
จากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๔. นางสาวเพชรรัตน์ เอกแสงกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๕. นายประยงค์ หิรัญญะวณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้
ความเชี่ยวชาญ ด้านวิศวกรรม ๖. นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ
ด้านสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 115 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต (1. นายสหธน รัตนไพจิตร ฯลฯ จำนวน 5 คน) | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต
จำนวน ๕ คน ต่ออีกวาระหนึ่ง
เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๒ คน ๑.๑
นายสหธน รัตนไพจิตร ๑.๒
นางสุนทรีย์ ส่งเสริม ๒. ด้านการเงินการธนาคาร จำนวน ๑ คน นายชาญชัย
บุญฤทธิ์ไชยศรี ๓. ด้านคอมพิวเตอร์ จำนวน ๑ คน นางประราลี
รัตน์ประสาทพร ๔. ผู้แทนผู้ประกอบการด้านธุรกิจภาคเอกชน จำนวน ๑
คน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 116 | การขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ทดแทนและเพิ่มเติม และโครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV System) และเทคโนโลยีอื่น เพื่อการควบคุมทางศุลกากร | กค. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ทดแทนและเพิ่มเติม
และโครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV System) และเทคโนโลยีอื่น เพื่อการควบคุมทางศุลกากร ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคมนาคม เห็นควรดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และข้อบังคับให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด
และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าด่านศุลกากรเชียงของ และด่านศุลกากรแม่สอด
ที่ปัจจุบันยังคงมีจำนวนตู้สินค้าอยู่ในระดับต่ำและอาจมีความเสี่ยงของจำนวนตู้สินค้าผ่านด่านในอนาคต
ควรให้กรมศุลกากรพิจารณาความคุ้มค่าในการจัดหาระบบตรวจสอบตู้ฯ แบบขับผ่าน (Drive - Through) โดยอาจพิจารณาระบบตรวจสอบตู้ฯ
แบบเคลื่อนที่ได้ (Mobile) เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการระบบตรวจสอบตู้ฯ
ในพื้นที่ดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการขนส่งสินค้าและแผนการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งที่เกี่ยวข้องในอนาคต
และมอบหมายให้กรมศุลกากร
พิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพด้านพิธีการทางศุลกากรในเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการเปิดให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
อาทิ โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือแหลมฉบัง ระยะที่ ๓ เพื่อให้การพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินพิธีการศุลกากรสอดคล้องและบูรณาการกัน ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด
ให้เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 117 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน
พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
ยกเลิกศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพซึ่งเป็นเขตศุลกากรของสำนักงานศุลกากรกรุงเทพ (เดิมมีเขตศุลกากรกรุงเทพ
๓ แห่ง คือ ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่ ศูนย์ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ และศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพ
โดยยุบรวมเหลือ ๒ แห่ง คือ ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่และศูนย์ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ
เนื่องจากได้ย้ายศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพไปยังศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่)
และปรับปรุงสถานที่ตั้งด่านศุลกากร เขตศุลกากร และด่านพรมแดนของด่านศุลกากรสะเดา
จังหวัดสงขลา เนื่องจากด่านศุลกากรสะเดาได้ย้ายสถานที่ปฏิบัติราชการไปสถานที่แห่งใหม่
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 118 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต | กค. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดราคาคาร์บอนในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
โดยรวมไว้ในอัตราภาษีสรรพสามิตในปัจจุบัน (เฉพาะน้ำมันเบนซิน และน้ำมันที่คล้ายกัน
น้ำมันก๊าด และน้ำมันที่จุดให้แสงสว่างที่คล้ายกัน
น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น น้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกัน
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอล.พี.จี.) ก๊าซโพรเพรน และก๊าซที่คล้ายกัน
น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน) ซึ่งยังคงอัตราภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดไว้ตามเดิม
ทั้งนี้
เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนในสังคมมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรกำหนดกลไกราคาคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันโดยพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(Emission Factor) ให้สอดคล้องกับค่าสัมประสิทธิ์ที่ประกาศโดยกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(UNFCCC) พ.ศ. ๒๕๖๕ และควรเพิ่มความตระหนักด้านมลพิษฝุ่น2.5
ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน
โดยอาจพิจารณาความเหมาะสมของราคาคาร์บอนที่ ๒๐๐ บาท ต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า
สามารถครอบคลุมการปล่อยฝุ่น PM2.5 ได้หรือไม่ ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
และความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพลังงาน
เห็นว่าการกำหนดกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
อาจส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต
(ในกรณีที่มีการกำหนดเพิ่มอัตราราคาคาร์บอนหรือมีการแยกราคาคาร์บอนออกจากภาษีสรรพสามิตในอนาคต)
ทำให้ต้นทุนภาคขนส่งได้รับผลกระทบจนนำไปสู่ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ภาพรวมเศรษฐกิจ ค่าครองชีพของประชาชน
และอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศในระยะยาว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 119 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2567) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑)
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกขยายตัวร้อยละ ๑.๙ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑.๖
ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๖
เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลดีต่อการใช้จ่ายในภาคบริการและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
๒) ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการดำเนินงาน เช่น (๑) การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปี
๒๕๖๗ คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๕๐ (๒)
แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน เช่น
การปรับปรุงหลักเกณฑ์ด้านเครดิต การตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมุ่งเน้นตรวจสอบธุรกรรมสำคัญ
และการกำกับดูแลด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม และ (๓)
แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน โดยกำกับดูแลระบบการชำระเงินให้สอดคคล้องกับมาตรฐานสากล
ผ่านหลักการ ๓ ด้าน ได้แก่ การเปิดกว้างให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมกัน (Openness) การเข้าถึงและเข้าใจการใช้บริการชำระเงินดิจิทัล
(Inclusivity) และ ๔) การกำกับ ดูแลที่ยืดหยุ่นและเท่าทัน (Resiliency) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย
อาจพิจารณานโยบายดูแลความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน (Macroprudential Policy) ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากกว่าการดำเนินนโยบายการเงินผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เนื่องจากส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และควรสะท้อนถึงการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทยตามภารกิจในการเป็นธนาคารกลางเพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงินและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบการชำระเงิน
และต้องคำนึงถึงดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการของคณะกรรมการชุดต่าง
ๆ ภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 120 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ) | กค. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
(Special Economic
Zone : SEZ) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. ๒๕๖๔
ซึ่งสิ้นสุดการจดแจ้งการขอใช้สิทธิไปเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ ๒๕๖๓ โดยคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ
๑๐ ของกำไรสุทธิ สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นจากการผลิตสินค้า หรือรายได้ที่เกิดจากการให้บริการและมีการใช้บริการนั้นในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
เป็นเวลา ๑๐
รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและจูงใจให้เกิดการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว
รวมถึงยกระดับการผลิตและการให้บริการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวให้สามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่เศรษฐกิจหลักและประเทศเพื่อนบ้าน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่าในระยะต่อไป
ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึงและมีการประเมินความสำเร็จและความคุ้มค่าจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรพิจารณากำหนดระยะเวลาจดแจ้งการขอใช้สิทธิตามมาตรการดังกล่าว
เพื่อประกอบการพิจารณาในการขอขยายระยะเวลาหรือปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
