ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 97 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1921 - 1940 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1921 | การขออนุมัติดำเนินงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) | กษ. | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการโครงการเข้าร่วมงาน The International
Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ณ เมือง Almere
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร)
เป็นหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารและเตรียมงานเบื้องต้น
ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการดังกล่าวไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๑,๖๑๖,๓๐๐ บาท สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ให้กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาทบทวนการจัดทำตัวชี้วัดหรือหลักเกณฑ์ในการประเมินผลลัพธ์ของการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมและแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ควรมีแผนบริหารความเสี่ยงกรณีที่ยังคงมีการระบาดของไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) อยู่ เพื่อมิให้มีการลงทุนที่สูญเปล่าหากไม่สามารถเข้าร่วมงานได้
และควรเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการภาคเอกชนในการดำเนินการและสนับสนุนค่าใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1922 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนเมษายน - มิถุนายน 2563) | นร.11 | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา
๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓)
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย ความคืบหน้า
ปัญหาอุปสรรค และการดำเนินการในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ความคืบหน้ากิจกรรมสำคัญตามแผนการปฏิรูปประเทศ ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓ ประกอบด้วย
(๑)
กิจกรรมสำคัญตามแผนการปฏิรูปประเทศที่มีลักษณะพัฒนาการจากงานเดิมเป็นประโยชน์ในเชิงปฏิรูป
มิใช่งานปกติและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน เช่น ด้านการเมือง
ด้านกระบวนการยุติธรรม และด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น และ (๒)
สถานะกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓
ไม่มีกฎหมายแล้วเสร็จเพิ่มเติม ๒. ปัญหาอุปสรรค
วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรให้ข้อเสนอแนะว่ากิจกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เป็นการปฏิรูป
และไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งอุปสรรคในการติดตามตรวจสอบการดำเนินกิจกรรมบางประการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบตามแผนอาจขาดความชัดเจนในการขับเคลื่อนทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการ
โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ปรับปรุงรูปแบบการรายงานในรอบการรายงานครั้งนี้แล้ว
ประกอบกับที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะ ในการประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ได้เห็นชอบเค้าโครงการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศให้มีความกระชับและชัดเจนยิ่งขึ้น ๓.
การดำเนินการในระยะต่อไป
คณะกรรมการปฏิรูประเทศอยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ และ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของประเทศที่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศที่ผ่านมา
ตลอดจนบริบทต่าง ๆ และผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ นอกจากนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศอยู่ระหว่างเตรียมการจัดรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง
ๆ เช่น ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ nscr.nesdc.go.th/Line @nscr และจดหมายราชการถึงทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ ในวันที่ ๒-๓
กันยายน ๒๕๖๓ ณ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แจ้งหน่วยงานของรัฐ เช่น
กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชนทุกหน่วยงานร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแผนการปฏิรูปประเทศที่เกี่ยวข้อง
และสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นเสนอคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเพื่อใช้ประกอบการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1923 | มอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.07 | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบปรับปรุงแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓๖๘/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1924 | เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท. | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดก่อน
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบต่อไป
สำหรับการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นจะได้พิจารณาในโอกาสต่อไป
โดยคำนึงถึงสถานการณ์ เช่น ระยะห่างกับการดำเนินการตามกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
(การลงประชามติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ)
และความพร้อมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1925 | ขอความเห็นชอบแก้ไขสถานที่ที่จะดำเนินการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย | มท. | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่จะดำเนินงานก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย จาก
แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็น แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน
กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ
ของกระทรวงมหาดไทยเสนอในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงมหาดไทยถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
ที่ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า
ตลอดจนตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการนั้น ๆ อย่างละเอียด รอบคอบ
ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1926 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 23/2563 | นร.11 | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่ได้พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติมว่า
ได้หารือกับสำนักงบประมาณแล้ว
เห็นควรขอแก้ไขข้อความในหนังสือคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๑๑๐๖/(คกง.) ๓๒๕ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ ให้ถูกต้อง ดังนี้ ๑.๑ หน้า ๘ เดิมความว่า “๓.๑.๕ ... ทั้งนี้
เห็นควรกำหนดหลักการไม่ให้ อว. นำกรอบวงเงินของโครงการฯ
ไปดำเนินการจัดซื้อจัดหาวัสดุ ครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งจ้างที่ปรึกษา ...”
เป็น “๓.๑.๕ ... ทั้งนี้ เห็นควรกำหนดหลักการไม่ให้ อว. นำกรอบวงเงินของโครงการฯ
ไปดำเนินการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งจ้างที่ปรึกษา ...” ๑.๒ หน้า ๑๕ เดิมความว่า “๔.๑ ...
และเห็นควรกำหนดหลักการไม่ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
นำกรอบวงเงินของโครงการฯ ไปดำเนินการจัดซื้อจัดหาวัสดุ ครุภัณฑ์ และสิ่งก่อสร้าง
รวมทั้งจ้างที่ปรึกษา ...” เป็น “๔.๑ ... และเห็นควรกำหนดหลักการไม่ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำกรอบวงเงินของโครงการฯ
ไปดำเนินการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งจ้างที่ปรึกษา ...” ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ
(๑ ตำบล ๑ มหาวิทยาลัย) เห็นควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบรับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ไปดำเนินการต่อไป
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนของโครงการ/รายการ
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ของภาครัฐ มีความโปร่งใส
สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1927 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ และเพื่อจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ของนายลำพูน กองศาสนะ ที่จังหวัดสตูล | อก. | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๙
และเพื่อจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่
ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๙ ของนายลำพูน กองศาสนะ ที่จังหวัดสตูล
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒
และขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และ ๔ ตุลาคม
๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น
คณะรัฐมนตรีสามารถผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ดังกล่าวได้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
เป็นพื้นที่ที่แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่กำหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองแร่
และคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่
เพื่อทำเหมืองแร่ในกรณีนี้ได้ สำหรับการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ บี
เพื่อจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ก็สามารถผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ดังกล่าวได้
หากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว
และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมรวบรวมข้อมูลด้านอุปทานและความต้องการใช้แร่ในระยะปานกลางและระยะยาว
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของไทยให้ชัดเจน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการแร่แห่งชาติร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนการกำหนดเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ให้มีความเหมาะสม
ชัดเจน เป็นปัจจุบัน และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสภาพพื้นที่
เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพน้อยที่สุด
รวมทั้งให้ศึกษาและตรวจสอบสภาพพื้นที่ป่าต้นน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
และชั้นที่ ๑ บี ทั้งหมด เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการพิจารณากำหนดพื้นที่ที่จำเป็นต้องอนุรักษ์และพื้นที่ที่สามารถผ่อนผันการใช้ประโยชน์ได้ให้ชัดเจน
เหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1928 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) จำนวนทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาล
ใน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน ๕,๐๐๐
ล้านบาท และ (๒)
โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต
๒๕๕๙/๒๕๖๐ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1929 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2565 งานสำรวจ ออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างทางรถไฟ ช่วงชุมพร - ท่าเรือน้ำลึกระนอง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการงานสำรวจออกแบบรายละเอียด
และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างทางรถไฟชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง
ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-พ.ศ. ๒๕๖๕ ในวงเงิน ๗๔,๗๑๕,๓๐๐ บาท
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการศึกษาโครงการฯ
ให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย
และอันดามัน ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ที่อยู่ระหว่างดำเนินการด้วย
เพื่อให้การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และ พ.ศ. ๒๕๖๕
ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือใช้จ่ายจากงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอน
ส่วนงบประมาณที่เหลือผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1930 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ยธ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๕๒,๖๒๓,๓๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารผู้ต้องขังและผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ค้างจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์)
เร่งดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง
ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง
ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
(สำหรับชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐)
ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการเพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาประกอบการขอจัดสรรงบประมาณในปีต่อ
ๆ ไป ให้เหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1931 | การแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทให้สอดคคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.11 | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ
และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามแนวทางการจัดทำแผนแม่บทฯ
ในรูปแบบเฉพาะกิจเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-19) ในช่วงระหว่างปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑.๑
มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใช้ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำขึ้นเบื้องต้นในการรับฟังความคิดเห็นผ่านวิธีการที่หลากหลาย
เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกภาคีพัฒนาที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
ให้แล้วเสร็จภายในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ โดยจะใช้การประชุมประจำปี ๒๕๖๓ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเวทีแรกในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ
เพื่อนำความคิดเห็นมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ
ฉบับสมบูรณ์ ๑.๑.๒
มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำเสนอร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ
ฉบับสมบูรณ์ ต่อคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไปภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ ๑.๒ เห็นชอบโครงการสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
และมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการสำคัญ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ประกอบด้วย ๑.๒.๑
มอบหมายสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรองรับการดำเนินการโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๕ จำนวน ๕๗๑ โครงการ ในลักษณะงบประมาณพิเศษ หรืองบประมาณแบบบูรณาการ
และให้ใช้ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจ และห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย (Final
Value Chain Thailand) เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ต่อไป ๑.๒.๒
มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่มีโครงการสำคัญจัดทำรายละเอียดโครงการสำคัญให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน
โดยใช้ข้อมูลตั้งต้นจากระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
และร่วมกับหน่วยงานเจ้าภาพแผนแม่บทฯ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓
เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐ ต่อไป ๑.๒.๓ มอบหมายทุกหน่วยงานของรัฐจัดทำแผนปฏิบัติราชการรายปีตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งดำเนินการจัดทำร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ
ฉบับสมบูรณ์ ให้แล้วเสร็จ พร้อมกำหนดค่าเป้าหมายตัวชี้วัดของแผนระดับ ๓
และโครงการให้ครบถ้วน เพื่อให้มีความสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ตามหลักการความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล และให้หน่วยรับงบประมาณที่มีโครงการสำคัญพิจารณาจัดทำรายละเอียดโครงการให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์
โดยคำนึงถึงความพร้อมและศักยภาพในการดำเนินการ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามขั้นตอนต่อไป
เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีความคุ้มค่า
ภายใต้กรอบวงเงินในภาพรวมของประเทศ ตลอดจนสามารถขับเคลื่อนร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ
ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1932 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 22/2563 | นร.11 | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งพิจารณาอนุมัติโครงการคนละครึ่ง
ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ ดำเนินการ
และอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน
ของกรมการจัดหางาน รวมทั้งรับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒
กันยายน ๒๕๖๓ เรื่อง โครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก
COVID-๑๙ ของกระทรวงสาธารณสุข
และผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ และวันที่ ๒๕
สิงหาคม ๒๕๖๓ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก จังหวัดลำปาง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จังหวัดลำพูน และสถาบันวิทยาลัยชุมชน
และมอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการตรวจสอบและแก้ไขปรับปรุงรายละเอียดต่าง ๆ
ของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ/ร้านค้าสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ตลอดจนกำกับและติดตามการใช้สิทธิของประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเคร่งรัด โดยนำปัญหาและอุปสรรคที่เคยเกิดขึ้นกับโครงการ
“ชิม ช้อป ใช้” มาเป็นแนวทางในการกำกับติดตาม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1933 | อนุมัติในหลักการให้ขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยขอเพิ่มวงเงิน | อส. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน
(ริมถนนรัชดาภิเษก แปลงที่ ๔, ๕, ๖) ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิม ในเนื้อที่เท่าเดิม
เพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๕
เปลี่ยนมาเป็นอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดขยายระยะเวลาเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย
เป็นปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๘ เป็นรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
และขอปรับวงเงินเพิ่ม จากเดิมอัตราค่าเช่าตารางเมตรละ ๙๐๒.๓๕ บาทต่อปี
เป็นค่าเช่าปีแรก ๔,๒๐๓,๕๙๘ บาท (ไม่รวมค่าภาษี) และมีอัตราปรับเพิ่ม ๕% ทุกปี
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๐,๗๐๗,๑๐๔ บาท เพิ่มเป็นอัตราตารางเมตรละ ๑,๑๖๐.๑๖ บาทต่อปี
เป็นค่าเช่าปีแรก ๕,๔๐๔,๖๐๖ บาท (ไม่รวมค่าภาษี) และมีอัตราปรับเพิ่ม ๕% ทุกปี
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๖,๖๘๓,๒๗๒ บาท และเป็นรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
มีกำหนดระยะเวลา ๑๕ ปี นับถัดจากวันลงนามในสัญญา ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือจากการรถไฟแห่งประเทศไทยในการปรับปรุงค่าเช่ากรณีดังกล่าว
จากเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕ ต่อปี เป็นไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินที่จะเกิดขึ้นปีแรกและภาระงบประมาณในปีต่อไป
เห็นควรให้สำนักงานอัยการสูงสุดใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปพลางก่อน หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกาศใช้บังคับ แล้วแต่กรณี ส่วนภาระงบประมาณในปีต่อไป
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีให้ครบถ้วนตามวงเงินในสัญญาเช่าที่ดินต่อไป
และให้สำนักงานอัยการสูงสุดเร่งรัดจัดซื้อจัดจ้างและดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1934 | ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อร่วมรับรองโดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75 | กต. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
โดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๕ (Online Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement on the
margins of the General Debate of the 75th Session of the United
Nations General Assembly) และให้รัฐมนตรีต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ
โดยร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ มีสาระสำคัญเป็นการย้ำถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในการส่งเสริมให้สังคมโลกมีสันติภาพ
มีความเสมอภาคและความร่วมมือ และประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี
รวมทั้งแสดงความห่วงกังวลต่ออุปสรรคและความท้าทายต่าง ๆ
และแสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการแสดงบทบาทนำของประเทศไทยเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-๑๙
อย่างยั่งยืน โดยแลกเปลี่ยนการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการ วิธีการ
และวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากการจัดอันดับ Global COVID-19
Index ให้แก่สมาชิกกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดให้เหมาะสมด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1935 | ขออนุมัติจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของ รฟท. (เบื้องต้นจะใช้ชื่อว่า บริษัท
รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด) ทุนจดทะเบียน ๒๐๐ ล้านบาท ตามมาตรา ๓๙ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ และตามขั้นตอนของหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุนในบริษัทในเครือ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยให้นำความเห็นตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ไปประกอบการดำเนินการอย่างเคร่งครัด ๑.๒ ให้ รฟท. กู้ยืมเงิน จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท
ตามมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
เพื่อนำมาลงทุนเป็นทุนจดทะเบียนในบริษัทลูกฯ โดย รฟท. รับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย
และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และกระทรวงการคลังค้ำประกันการกู้เงิน
รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม
สำหรับการขอยกเว้นการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ รฟท.
พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้ รฟท.
จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เช่น (๑) การพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมสำหรับสัญญาเช่าของหน่วยงานรัฐ
ซี่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์การใช้พื้นที่ในเชิงพาณิชย์ และ (๒) ให้ รฟท.
เร่งจัดทำบัญชีทรัพย์สินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และกำหนดแนวทางในการนำผลตอบแทนที่ได้รับจากบริษัทลูกฯ มาชำระหนี้ของ รฟท. ต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม
และ รฟท. ร่วมกันจัดทำรายละเอียดของแผนการดำเนินงานของบริษัทลูกฯ ที่ชัดเจนเป็นระบบ
และกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานของบริษัทลูกฯ
ที่ครอบคลุมปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factors) ที่สอดคล้องกับระดับการเติบโตของบริษัทลูกฯ ในแต่ละช่วงเวลา
เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัทลูกฯ
รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการจัดตั้งบริษัทเดินรถและบริษัทซ่อมบำรุงรางและล้อเลื่อนตามแผนการขนส่งทางรางที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ [ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง)
และร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ....] ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1936 | ร่างพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) และภาคผนวกมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน | กก. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
(Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on
Tourism Professionals) และภาคผนวกมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อ ๒.๑ และภาคผนวกของข้อตกลงร่วมฯ
เกี่ยวกับมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียนครอบคลุมตามรายการในภาคผนวก
โดยเพิ่มสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรมในภาคผนวกของพิธีสารฯ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเปิดเสรีด้านการค้าบริการ
ด้านการท่องเที่ยวและการจัดประชุมในกรอบอาเซียนมากยิ่งขึ้น
อันจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายบุคลากรด้านการท่องเที่ยวสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรมระหว่างประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีขึ้น
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ
ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน
๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และเมื่อลงนามแล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาส่งพิธีสารฯ
ดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓.
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารหรือสารของพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
ให้แก่เลขาธิการอาเซียน เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๕.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในด้านการท่องเที่ยวสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์
โดยการสร้างความร่วมมือให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรม
สถาบันเฉพาะทางและสถานประกอบการ
เพื่อนำไปสู่การจัดทำกรอบแนวทางการฝึกอบรมและทดสอบสมรรถนะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียนสำหรับสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรม
รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในเชิงลึกของสถาบันการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน
และพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารด้านภาษาต่างประเทศที่ใช้เป็นสากลและภาษาที่ใช้ในประเทศอาเซียน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1937 | การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ปปง.) | ปปง. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตามที่สำนักงาน
ปปง. เสนอ และให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ในการจัดทำแผนงาน/โครงการ ของสำนักงาน ปปง. ในครั้งต่อ ๆ
ไป รวมถึงกรณีการใช้ที่ดินและอาคารที่ได้มาจากการยึดอายัดทรัพย์สินสำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติงานให้สำนักงาน
ปปง. ตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และบริษัท
ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด
รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
เนื่องจากมีหน่วยงานของรัฐขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ
พื้นที่โซน C หลายหน่วยงาน
จึงเห็นควรปรับแผนปฏิบัติการ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงทางรายได้
ในกรณีไม่มีผู้เช่าพื้นที่ตามประมาณการไว้ เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาด้วย
และให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด
เร่งหาหน่วยงานอื่นที่มีความต้องการใช้พื้นที่มาทดแทน
เพื่อไม่ให้กระทบต่อเป้าหมายของโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ
พื้นที่โซน C ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้แล้วเมื่อวันที่
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
และเพื่อให้กรมธนารักษ์สามารถเตรียมวงเงินรองรับให้กับหน่วยงานได้อย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1938 | ขอยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ป.ป.ท.) | ปปท. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน
ป.ป.ท.) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ และให้สำนักงาน ป.ป.ท.
รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารสำนักงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เห็นควรให้สำนักงาน ป.ป.ท. กำหนดแผนการดำเนินโครงการ
เตรียมความพร้อมสถานที่ก่อสร้าง
และกำหนดรูปแบบในการก่อสร้างอาคารสำนักงานให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบ
เป็นไปอย่างประหยัด และคุ้มค่า
โดยกำหนดพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารและราคาต่อตารางเมตรให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๕ เมษายน ๒๕๕๙ เรื่อง ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ
อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก
รวมทั้งคำนึงถึงหลักเกณฑ์ในการจัดผังสำนักงานให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างอัตรากำลังในแต่ละประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง
และพิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ในการจัดทำแผนงาน/โครงการของสำนักงาน ป.ป.ท. ในครั้งต่อ ๆ
ไป รวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงาน ให้สำนักงาน ป.ป.ท.
ตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1939 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer Management Guideline) | นร.10 | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) เรื่อง
แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ [Government
Chief Information Officer (GCIO) Management
Guideline] ของสำนักงาน ก.พ. และเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๖๒) รวมทั้งเห็นชอบการเพิ่มเติมบทบาทของ GCIO ระดับกระทรวง
กรม และจังหวัด
ในการเป็นผู้นำการปรับเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการบริการของหน่วยงานในรูปแบบ
Digital Transformation เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเร่งด่วน
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป
ให้พิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เช่น
การให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการฝึกอบรมหลักสูตร GCIO
การจัดเตรียมงบประมาณการอบรมให้แก่บุคลากรภาครัฐที่ต้องเข้าร่วมการอบรม
เนื่องจากบางปีงบประมาณหลายหน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านการอบรม
การเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ GCIO ในการผลักดันระบบการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ
และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1940 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินและขอความเห็นชอบร่างข้อตกลงการจ้างและสัญญาจ้างสัญญางาน ระบบรางระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (THE TRACKWORK,ELECTRICAL AND MECHANICAL (E&M) SYSTEM ,EMU, AND TRAINING CONTRACT) (สัญญา 2.3) ฉบับสมบูรณ์ โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินและร่างสัญญางานระบบราง
ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร [The
Trackwork, Electrical and Mechanical (E&M) System, EMU, and Training
Contract] (สัญญา ๒.๓)
ของโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย
(ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) จากเดิมวงเงิน ๓๘,๕๕๘.๓๘ ล้านบาท
เป็นวงเงิน ๕๐,๖๓๓.๕๐ ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗ (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิม
จำนวน ๑๒,๐๗๕.๑๒ ล้านบาท) เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริง เนื่องจากมีการปรับขอบเขตงาน
การเปลี่ยนรุ่นขบวนรถ การปรับเปลี่ยนรูปแบบ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
โดยได้ปรับเกลี่ยวงเงินค่าใช้จ่ายภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๑๗๙,๔๑๒.๒๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดภายในกรอบวงเงินเดิม เป็นสาระสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินโครงการฯ
จึงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน
ก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป และ (๒) ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ความละเอียดรอบคอบในระดับที่สูงที่สุดในการดำเนินการในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าจ้างสัญญา
๒.๓ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕๐,๖๓๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท และแนวทางในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณของโครงการฯ
เห็นควรให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปก่อน
เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อกำกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับดูแลและควบคุมการบริหารจัดการต้นทุนโครงการฯ
ไม่ให้เกินกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
โดยบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการฯ ในมิติต่าง ๆ
อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดในประเด็นที่ร่างสัญญาดังกล่าวยังไม่ได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนและกำหนดวันที่ใช้เป็นฐานในการคิดคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่มีการปรับราคาสัญญาก่อนการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
และให้เร่งสรุปผลการดำเนินการประกวดราคางานโยธาในสัญญาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
รวมถึงวงเงินคงเหลือจากการดำเนินการมาบริหารจัดการโครงการฯ
ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๑
กรกฎาคม ๒๕๖๐) เรื่อง
ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และการเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ในช่วงที่เหลือ
(ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) |