ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 99 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1961 - 1980 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1961 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดหารถสูบส่งน้ำ ไม่น้อยกว่า 35,000 ลิตร/นาที และส่งน้ำระยะไกล ไม่น้อยกว่า 10 กิโลเมตร พร้อมอุปกรณ์ (เพิ่มเติม) | มท. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เพื่อจัดหารถสูบส่งน้ำ ไม่น้อยกว่า ๓๕,๐๐๐ ลิตร/นาที และส่งน้ำระยะไกลไม่น้อยกว่า
๑๐ กิโลเมตร พร้อมอุปกรณ์ ที่เหลืออีกจำนวน ๑๘ คัน คันละ ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1962 | การบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร.07 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้หน่วยรับงบประมาณชะลอการดำเนินการ
ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) รายการที่หน่วยรับงบประมาณได้รับอนุมัติหลักการจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
แต่ไม่สามารถขอรับจัดสรรงบประมาณได้ภายในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ และ (๒)
รายการที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณแล้ว
แต่ไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันหรือออกประกาศเชิญชวนได้ภายในวันที่ ๒๘ กันยายน
๒๕๖๓ ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณแจ้งส่งคืนงบประมาณดังกล่าวต่อสำนักงบประมาณภายในวันที่
๑๘ กันยายน ๒๕๖๓ เพื่อนำไปใช้ในโครงการที่มีความสำคัญและเร่งด่วนต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1963 | รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ระหว่างวันที่ 12 - 14 กันยายน 2563 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
กาญจนบุรี และนครปฐม ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๖๓
ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งได้มีการประชุมร่วมระหว่างคณะทำงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม
เพื่อรับฟังสรุปสถานการณ์ ประเด็นปัญหา
รวมทั้งกำหนดแนวทางและแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาในพื้นที่
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1964 | ปฏิญญาการรำลึกถึงการครบรอบ 75 ปี สหประชาชาติ (Declaration for the Commemoration of the 75th Anniversary of the United Nations) | กต. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบปฏิญญาการรำลึกถึงการครบรอบ
75 ปี สหประชาชาติ (Declaration for the Commemoration of the 75th
Anniversary of the United Nations) และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนให้การรับรองปฏิญญาฯ
โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในที่ประชุมระดับสูงเพื่อฉลองครบรอบ ๗๕
ปี สหประชาชาติ (High-level Meeting of the General Assembly to
Commemorate the 75th Anniversary of the United Nations) ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเพี่อรำลึกถึงการครบรอบ ๗๕
ปีของการก่อตั้งสหประชาชาติ
เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองและความมุ่งมั่นของรัฐสมาชิกเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของกลไกสหประชาชาติ
และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพื่อรับมือกับความท้าทายที่โลกประสบอยู่ในปัจจุบันและอนาคต อาทิ ความไม่เท่าเทียม
ความยากจน ความหิวโหย ความขัดแย้งทางอาวุธ การก่อการร้าย ความไม่มั่นคงปลอดภัย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโรคระบาด
โดยมีกลไกของสหประชาชาติเป็นศูนย์กลางของความร่วมมือระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนปฏิญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวนัที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1965 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง | นร15 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.)
ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีกรณีเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการน้อยกว่า ๕ ปี
โดยดำเนินการเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการ จำนวน ๔ คัน ระยะเวลา ๓ ปี ๒ เดือน
(ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๓-เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๖) ภายในวงเงิน ๔,๕๗๕,๒๐๐ บาท
ประกอบด้วย (๑) รถยนต์ส่วนกลาง (ขนาดปริมาตรกระบอกสูบไม่เกิน ๑,๖๐๐ ซีซี) จำนวน ๒
คัน อัตราค่าเช่า ๑๘,๔๕๐ บาทต่อคันต่อเดือน และอัตราค่าจ้างพนักงานขับรถ ๘,๕๐๐
บาทต่อคันต่อเดือน จำนวน ๒ คน วงเงิน ๒,๐๔๘,๒๐๐ และ (๒) รถโดยสาร ๑๒ ที่นั่ง
(ดีเซล) (ขนาดปริมาตรกระบอกสูบไม่ต่ำกว่า ๒,๔๐๐ ซีซี) จำนวน ๒ คัน อัตราค่าเชา
๒๔,๗๕๐ บาทต่อคันต่อเดือน และอัตราค่าจ้างพนักงานขับรถ ๘,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน
จำนวน ๒ คน วงเงิน ๒,๕๒๗,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๑,๔๔๔,๘๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๓,๑๓๐,๔๐๐ บาท
ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๗
โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้
ในโอกาสต่อไปเมื่อสำนักงาน ป.ย.ป.
ได้รับการอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใดแล้ว
จะต้องเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเคร่งครัดในโอกาสแรก
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1966 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพื่อเตรียมการรับมือ บรรเทาปัญหาน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในฤดูฝน ปี 2563 | นร.14 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๕,๐๘๒.๗๖๐๕ ล้านบาท
เพื่อดำเนินโครงการเพื่อเตรียมการรับมือ บรรเทาปัญหาน้ำท่วม
และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ ๑.๒ ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง
การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๐๖
ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณไม่สามารถดำเนินการได้ตามแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้สามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีได้
เพื่อให้การดำเนินการเตรียมการแก้ไขปัญหา
การรับมือและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมตามแผนงานที่วางไว้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร
(๑) ให้หน่วยรับงบประมาณ ได้แก่ จังหวัด ๓๐ แห่ง
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร
มีฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ
และเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงกรมชลประทาน
กรมทรัพยากรน้ำ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
เป็นผู้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของระเบียบและแนวทางที่เคยปฏิบัติต่อไป (๒)
ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการอย่างเคร่งครัด
และเร่งรัดการดำเนินการเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๓
ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่กระทรวงการคลังกำหนด รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และ (๓)
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขากองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการ
รวมถึงสรุปผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
ทั้งนี้
ในส่วนของการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง
การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๖๒
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ๓.
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1967 | การเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) | ทส. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการเจรจา
ท่าการเจรจา
และหลักการในการดำเนินการตามกรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ
(Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้
ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป
(EU) รวมทั้งรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการเจรจาฯ
โดยกรอบเจรจาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการเจรจา ครั้งที่ ๓
ระหว่างประเทศไทยและสหภาพยุโรป ในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓
ซึ่งจะทำให้การจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary
Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้
ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป
(EU) มีความก้าวหน้าและบรรลุผลโดยเร็ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และในปีต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้)
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกรอบการเจรจาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1968 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร | คค. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม
ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development
Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง
เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน
ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๖ ในวงเงิน ๖๘,๐๔๔,๐๐๐ บาท
เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้เร่งดำเนินการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในทุกมิติอย่างเคร่งครัดเท่าที่จำเป็น
และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ส่วนงบประมาณที่เหลือ
ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-พ.ศ. ๒๕๖๖
โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรปรับหรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือใช้จ่ายจากงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณแล้วแต่กรณี ตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1969 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 19/2563 | นร.11 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๓
ที่อนุมัติให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ
เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ จากเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นเดือนกันยายน ๒๕๖๓
ภายใต้กรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ จำนวน ๒๐,๓๔๕.๖๔๓๐
ล้านบาท และอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา เพิ่มความถี่การพักค้าง
และกระตุ้นการใช้จ่ายกลุ่มศักยภาพ ดึงกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ เช่น ข้าราชการ พนักงาน
ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้ออกเดินทางท่องเที่ยว โดยดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ และ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้กรมหม่อมไหมใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความชัดเจนของโครงการ/รายการ
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น
ๆ ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1970 | รายงานการออกกฎหมายลำดับรองของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 | ทส. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการออกกฎหมายลำดับรองของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งมีกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
จำนวน ๙ ฉบับ โดยยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างระเบียบกรมป่าไม้
ว่าด้วยการกำหนดค่าทดแทนสำหรับบุคคลที่ได้เสียสิทธิหรือเสื่อมประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. .... เนื่องจากการกำหนดค่าทดแทนต้องมีการจำแนกหลักเกณฑ์และการพิจารณาที่เหมาะสม
ซึ่งกรมป่าไม้ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน
ทำให้ใช้เวลานานเพื่อให้การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดค่าทดแทนเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหน่วยงานอื่น
ๆ (๒) ร่างระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการเก็บค่าบริการหรือค่าตอบแทนสำหรับการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ให้บริการหรือให้ความสะดวกต่าง
ๆ แก่ประชาชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. .... และ (๓) ร่างระเบียบกรมป่าไม้
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเก็บ การรักษา และการใช้จ่ายเงิน
ค่าบริการหรือค่าตอบแทนเพื่อบำรุงรักษาป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ....
โดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กรมป่าไม้กำหนดขึ้นใหม่ และอาจมีผลกระทบต่อประชาชน
จึงต้องพิจารณาโดยรอบคอบ ทำให้ใช้เวลานานในการพิจารณา
เพื่อให้ได้อัตราค่าบริการหรือค่าตอบแทนที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่มาตรา ๒๒ วรรคสอง
ประกอบกับมาตรา ๓๙ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ กำหนด ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง
การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1971 | แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) | กก. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA
(STV) เพื่อให้คนต่างด้าวที่มีกำลังซื้อสูงที่มีความประสงค์ที่จะเดินทางพร้อมครอบครัวเข้ามาพำนักระยะยาว
(Long Stay) ภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่ ๙๐-๒๗๐ วันได้
ซึ่งจะทำให้มีการนำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
ส่งผลให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และก่อให้เกิดรายได้
มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดคุณสมบัติของคนต่างด้าวที่มีสิทธิขอรับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ
Special Tourist Visa (STV) รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่เห็นว่า (๑)
การใช้ถ้อยคำว่า “โรงแรมที่พักที่เป็นสถานที่กักตัว (ALSQ)” ในร่างข้อ
๑.๓.๑ และ ๑.๓.๒.๑ แตกต่างกัน จึงสมควรแก้ไขให้สอดคล้องกัน และถ้อยคำว่า
“โรงพยาบาลที่พัก (AHQ)” ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “Alternative
Hospital Quarantine” จึงสมควรแก้ไขเป็น
“โรงพยาบาลที่พักที่เป็นสถานที่กักตัว (AHQ)” เพื่อให้เข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน
และ (๒) ควรพิจารณากำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น
บุคคลต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยควรมาจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ
(พื้นที่สีเขียว ๓๐ วัน) หรือควรเพิ่มหลักฐานผลการตรวจเชื้อโควิด-19
สำหรับการขอรับการตรวจลงตรา และควรคำนึงถึงความพร้อมทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย
และแนวทางในการบริหารจัดการ
กรณีที่พบว่ามีนักท่องเที่ยวติดเชื้อระหว่างอยู่ในราชอาณาจักรไทย เป็นต้น ไปปรับปรุงแก้ไขร่างประกาศฯ
และพิจารณาดำเนินการ ก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนาม
แล้วประกาศใช้บังคับต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1972 | ขออนุมัติแผนหลักการพัฒนาหนองหาร จังหวัดสกลนคร | นร14 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาหนองหาร
จังหวัดสกลนคร ประกอบด้วยแผนหลัก ๕ ด้าน ได้แก่ (๑)
แผนด้านการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค (๒) แผนด้านการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต
(๓) แผนด้านการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย (๔)
แผนด้านการจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และ (๕) แผนด้านการบริหารจัดการ ระยะเวลาดำเนินการ
๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๒) จำนวน ๖๒ โครงการ วงเงินงบประมาณ ๗,๔๔๕.๒๒ ล้านบาท ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนแผนหลักดังกล่าว
เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
ความจำเป็นเร่งด่วน ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความคุ้มค่า
ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมในทุกมิติ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานที่รับผิดชอบควรจะมีการควบคุมดูแล ตรวจสอบ ติดตาม
และรายงานผลการดำเนินการหรือความคืบหน้าของแผนงาน/โครงการเป็นระยะ ๆ
ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง
ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย
และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) ๒.
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง การแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง (แม่น้ำเจ้าพระยา
บึงบอระเพ็ด และบึงสีไฟ)] ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานและเร่งรัดการพัฒนาและฟื้นฟูสภาพของบึงบอระเพ็ด
จังหวัดนครสวรรค์ และบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร นั้น ขอให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำดังกล่าวข้างต้น
รวมถึงแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่อื่นของประเทศให้ครบถ้วนด้วยเช่น กว๊านพะเยา
จังหวัดพะเยา ทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง
เพื่อให้การปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำดังกล่าวบรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป
เช่น การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของประชาชน
การช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่
แนวทางใช้ประโยชน์หรือจัดเก็บมวลดินที่ขุดลอกออกจากแหล่งน้ำ ทั้งนี้
ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1973 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 | นร.14 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) เรื่องเพื่อทราบ ๕ เรื่อง ได้แก่
ผลการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จำนวน ๗ คณะ
ผลการประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำ
ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรีสัญจรและนโยบายที่นายกรัฐมนตรีตรวจงานในพื้นที่
การรายงานการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ในวาระที่ ๑ สภาผู้แทนราษฎร ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และข้อเสนอแนะของ นายชนะ
รุ่งแสง เรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำของภาคอีสาน
และแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำ (ปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัย) ของชาติอย่างยั่งยืน
และ (๒) เรื่องเพื่อพิจารณา ๓ เรื่อง ได้แก่ การขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสั่งการประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เช่น (๑) หากมีการดำเนินการในพื้นที่ป่าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (๒)
หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณด้านการบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศจากการพิจารณากลั่นกรองของ
กนช. ควรเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงาน
เพื่อให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
และประชาชนได้รับประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และ (๓)
ให้มีการบูรณาการจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศการบริหารจัดการน้ำพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) เพื่อให้มีการติดตาม เฝ้าระวัง
และเตือนภัยสถานการณ์น้ำที่ถูกต้องแม่นยำ
สามารถสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาความเหมาะสมเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างทดแทนการสร้างเขื่อน
เช่น การขุดเจาะอุโมงค์ผันน้ำใต้ดิน เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1974 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ | กค. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) จำนวน ๕๕ แห่ง ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘
สิงหาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑
การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
(ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกำหนด) รัฐวิสาหกิจ ๑๔
แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ ๔๑ แห่ง
ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว เท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า
(ช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓) ทั้งนี้
จากจำนวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด จำนวน ๒๗๒,๐๖๑ คน
มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จำนวน ๑๐,๐๓๔ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๔ ๑.๒.
การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสากิจ (การปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา) รัฐวิสาหกิจ
๒๖ แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาเท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า
(ช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓) โดยรัฐวิสาหกิจ ๒๖ แห่ง
มีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น.-๑๐.๐๐ น. ๒. ให้กระทรวงการคลังยุติการรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
รายงานข้อมูลการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้คลี่คลายลง
และรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งในภาพรวม
รวมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย และข้อเสนอแนะ ต่อการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1975 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 17 | นร.10 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๑๗ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓) ซึ่งได้รับข้อมูลจาก ๑๔๗
ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๙ ของส่วนราชการทั้งหมด (๑๔๘ ส่วนราชการ)
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
มีส่วนราชการได้มอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการตามปกติเพิ่มมากขึ้น
(๙๑ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๖๒) โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา (๘๒ ส่วนราชการ
คิดเป็นร้อยละ ๕๖) และส่วนราชการส่วนใหญ่ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาในการทำงานเป็น
๓ ช่วงเวลา (๗๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๕๒) ๑.๒
การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) มีส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการลดลง
(๕๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๓๘) โดยในจำนวนนี้มีส่วนราชการ ๑๑ ส่วนราชการ
(คิดเป็นร้อยละ ๗) มอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
ยุติการรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work
From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
รายงานข้อมูลการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้คลี่คลายลง
และส่วนราชการส่วนใหญ่ได้ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.
จัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งในภาพรวม
รวมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย และข้อเสนอแนะ ต่อการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1976 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2563 | นร.11 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๓
ที่ได้พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้เงินกู้หรือโครงการที่ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
รวมถึงพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ
ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนของโครงการ/รายการ ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์
อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ
ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของแนวปฏิบัติในกรณีหน่วยงานรับผิดชอบโครงการไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๓) นั้น ให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1977 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสาร
จำนวน ๑๗ ฉบับ ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๓ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ กันยายน
๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ประกอบด้วย (๑) ร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะรับรอง จำนวน
๑๔ ฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมฯ โดยไม่มีการลงนาม
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ
ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ
ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และ
(๒) ร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะลงนาม จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างตราสารขยายจำนวนอัครภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐคิวบา
ร่างตราสารขยายจำนวนอัครภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐแอฟริกาใต้
เป็นตราสารที่จัดทำขึ้นเพื่อรับรองการเข้าร่วมเป็นอัครภาคีอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาฯ
ของสาธารณรัฐคิวบาและสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐
ประเทศจะลงนามเพื่อให้ความเห็นชอบต่อการเข้าร่วมเป็นอัครภาคีของสนธิสัญญาฯ
ของทั้งสองประเทศ
และร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาในภูมิภาคระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(อาเซียน) โดยสำนักเลขาธิการอาเซียน และสหรัฐอเมริกา
โดยองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (ยูเอสเอด)
มีสาระสำคัญเป็นการลงนามระหว่างอาเซียนในฐานะองค์การระหว่างประเทศกับองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนด้านงบประมาณสำหรับโครงการด้านการพัฒนาในกรอบอาเซียน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสาร จำนวน ๑๗ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1978 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระยะที่ 3 | กห. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพิ่มเติม งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๘๘๓,๔๒๒,๕๐๐ บาท
ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดทำพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State
Quarantine) สำหรับแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ระยะที่ ๓ ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
และให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก
(Alternative State Quarantine) เพิ่มเติมให้มากขึ้นสำหรับผู้ที่จะเดินทางกลับประเทศไทยที่มีความพร้อมทางด้านค่าใช้จ่าย
เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของภาครัฐและเป็นการสนับสนุนรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรมเอกชนได้อีกทางหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒.
ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1979 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีพุธศิลาทอง ที่จังหวัดตรัง | อก. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการขอผ่อนผันให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ศรีพุธศิลาทอง ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒
และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น (๑)
ดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบสิ่งแวดล้อม
(๒) ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม
๒๕๕๙ (๓) ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
(๔) ทำการศึกษาเพื่อประเมินระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำและความเพียงพอของพื้นที่ป่าต้นน้ำที่คงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำดังกล่าวแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำเพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป
รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง
ๆ ด้วย และ (๕) พิจารณาถึงความจำเป็น ความคุ้มค่า ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1980 | ขอขยายเวลาการควบรวมกิจการของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | ดศ. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการควบรวมกิจการของบริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ.ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ.กสท
โทรคมนาคม) และการใช้ชื่อบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ
โดยเมื่อจดทะเบียนจะใช้ชื่อว่า “บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)”
และชื่อภาษาอังกฤษว่า “National Telecom Public Company Limited : NT Plc.” รวมทั้งเห็นชอบการขอขยายเวลาการดำเนินการควบรวมกิจการออกไปอีกไม่เกิน
๖ เดือนนับจากวันที่ครบกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๔ มกราคม ๒๕๖๓) (ครบกำหนด ๖
เดือนเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอเพิ่มเติมว่า
ขอถอนข้อเสนอที่ขอความเห็นชอบในการยกเว้นให้บริษัท NBN และบริษัท
NGDC ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ
พ.ศ. ๒๕๐๔ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท
โทรคมนาคม
ควรตรวจสอบและหามาตรการรองรับในกรณีการขยายเวลาการควบรวมกิจการก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ระหว่าง
บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม หรือระหว่างบริษัททั้งสองกับคู่สัญญาฝ่ายเอกชนตามสัญญาหรือข้อตกลงที่บริษัททั้งสองมีคู่สัญญาฝ่ายเอกชน
ในขณะที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติรับทราบการขอขยายเวลาการควบรวมกิจการ
และการกำหนดให้บริษัทมหาชนจำกัดใช้ชื่อโดยมีคำว่า “แห่งชาติ” ประกอบอยู่นั้น
อาจต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำกับดูแลการควบรวมกิจการ บมจ.ทีโอที และ
บมจ.กสท โทรคมนาคม ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการควบรวมกิจการฯ
ที่เสนอในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด
โดยเร่งหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นที่สำคัญต่อการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
เช่น การได้รับสิทธิที่ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ได้รับตามมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๓ กรกฎาคม
๒๕๔๕) ไปยังบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวม เป็นต้น ๒.๒ หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอขยายเวลาการดำเนินการควบรวมกิจการของ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม เพิ่มเติมอีกในอนาคต ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเสนอเรื่องการขอขยายเวลาดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนครบกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี |