ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 93 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1841 - 1860 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1841 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 | คค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ที่กระทรวงคมนาคมขอแก้ไขจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตและการอนุญาต
และการขอต่ออายุใบอนุญาต และการอนุญาตประกอบการขนส่งในส่วนของเอกสารและหลักฐาน
เพื่อให้การพิจารณาความเหมาะสมของผู้รับใบอนุญาตหรือขอต่ออายุใบอนุญาตมีข้อมูลที่ครอบคลุมเพียงพอและมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งให้การดำเนินการของนายทะเบียนมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) ควรคำนึงถึงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขอรับบริการจากหน่วยงานของรัฐ
โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
เพื่อลดการใช้เอกสารซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน (๒)
ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓
ในการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการ
และให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤตที่มุ่งเน้นการนำระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service)
รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานและให้บริการประชาชน
โดยการพัฒนาการให้บริการยื่นคำขออนุญาตหรือขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่งผ่านระบบ
e-Service
ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการอีกทางหนึ่งด้วย และ
(๓)
ควรให้กรมการขนส่งทางบกเร่งพิจารณากำหนดมาตรฐานหรือลักษณะของรถที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการประกอบการขนส่งตามข้อ
๙ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ตลอดจนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1842 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ | นร.12 | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business
Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และเห็นชอบแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ
โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับบริการภาครัฐอย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะวิกฤต
สามารถใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จผ่าน e-Service ภาครัฐ
โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อ ณ สถานที่ราชการด้วยตนเอง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.
เสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณามาตรการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนากำลังคนในภาครัฐด้วยการอบรมระยะสั้นทั้งภาคทฤษฎี
ภาคปฏิบัติ และการให้บริการ e-Service แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ควรพิจารณารูปแบบการจัดทำแผน BCP ที่เปิดกว้างให้แต่ละหน่วยงานของรัฐสามารถจัดทำได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันด้วยการนำแผนตัวอย่างของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประยุกต์ให้เหมาะสมตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ควรพิจารณาบูรณาการงานด้าน e-Service
ภาครัฐอย่างเป็นระบบ ควรมีแนวทางการดำเนินงานตามแผน BCP ที่เป็นแนวทางร่วม
และมีมาตรฐานที่ทุกส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติร่วมกันได้กรณีเกิดสภาวะวิกฤตในภาพรวมของประเทศ
และให้ส่วนราชการเร่งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะด้านดิจิทัลให้แก่บุคลากรทุกระดับในหน่วยงานภาครัฐ
ควรจัดให้มีการฝึกซ้อมแผน BCP ทุกระดับ
โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และแผนประคองกิจการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ COVID-19 รวมทั้งควรให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
โดยคำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณที่มีเพียงพอและสามารถนำมาใช้ได้
รวมถึงพิจารณาการปรับแผนการปฏิบัติงาน
แผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานเพื่อจัดหาทรัพยากรในสภาวะวิกฤติ
และจัดทำแผนดำเนินงานที่แสดงความเชื่อมโยงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการในทุกมิติของทุกภาคส่วน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1843 | การขอความเห็นชอบต่อร่างกรอบความร่วมมือของอาเซียนเพื่อส่งเสริมการรับรู้ เข้าถึง และใช้ประโยชน์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อโทรทัศน์ดิจิทัล | นร.02 | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือของอาเซียนเพื่อส่งเสริมการรับรู้
เข้าถึง และใช้ประโยชน์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อโทรทัศน์ดิจิทัล (Framework
for Promoting Accessibility for All in ASEAN Digital Broadcasting) และอนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในฐานะรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนของไทยรับรองร่างกรอบความร่วมมือฯ แบบเวียน (Ad-referendum)
โดยกรมประชาสัมพันธ์จะประสานสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อแจ้งยืนยันการรับรองของไทย
โดยร่างกรอบความมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนในการส่งเสริมบริการโทรทัศน์เพื่อการเข้าถึงของประเทศสมาชิกอาเซียน
ซึ่งประชาคมอาเซียนให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการสร้างประชาคมที่เข้มแข็งและครอบคลุม
โดยมุ่งส่งเสริมการให้บริการโทรทัศน์เพื่อการเข้าถึง ได้แก่ คำบรรยายแทนเสียง (Closed
Caption) เสียงบรรยายภาพ (Audio Description) และภาษามือ
(Sing Language Interpretation) ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์)
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1844 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 | กษ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบการแก้ไขเอกสารในหน้า ๒ ของเอกสารแนบ ๖ ของหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ด่วนที่สุด ที่ กษ ๒๙๐๘.๐๒/๓๖๘๔ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๓ จากเดิม “ข้อ ๔.๔ (๒)
ราคากลางอ้างอิงการขาย หมายถึง ราคาที่คณะทำงานกำหนดราคากลางอ้างอิงประกาศทุก ๒
เดือน (บาทต่อกิโลกรัม) โดยพิจารณาจากราคาตลาดกลางยางพารา, SICOM,
TOCOM, เซี่ยงไฮ้ และปัจจัยอื่น ๆ” เป็น “ข้อ ๔.๔ (๒) ราคากลางอ้างอิงการขาย
หมายถึง ราคาที่คณะทำงานกำหนดราคากลางอ้างอิงประกาศทุก ๑ เดือน (บาทต่อกิโลกรัม)
โดยพิจารณาจากราคาตลาดกลางยางพารา, SICOM, TOCOM, เซี่ยงไฮ้
และปัจจัยอื่น ๆ” ๒.
สำหรับกรณีการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายที่แจ้งพื้นที่ปลูกยาง
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) กำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอนวิธีการและเงื่อนไขการดำเนินงานและการจ่ายเงินให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
และหากมีปัญหาข้อกฎหมาย ควรหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบูรณาการเรื่องการครอบครองที่ดินเพื่อทำการเกษตรและการช่วยเหลือเกษตรกรให้เป็นไปอย่างทั่วถึง
รวมทั้งควรพิจารณาแนวทางและมาตรการดำเนินการที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทการพัฒนาในทุกมิติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่า
เพื่อเร่งยุติปัญหาที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1845 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินแห่งราชอาณาจักรภูฏาน | ปปง. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินแห่งราชอาณาจักรภูฏาน
และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือผู้แทนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ฝ่ายไทย โดยบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวม ขยายผล พัฒนา
และวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า
ในการแลกเปลี่ยน การใช้ หรือการเผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ตามบันทึกความเข้าใจฯ
โดยเฉพาะที่มีการดำเนินการผ่านช่องทางไปรษณีย์หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
เห็นควรให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในของประเทศ
โดยตระหนักถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัวด้วย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1846 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. .... | มท. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕
ที่ให้โอนบรรดากิจการและอำนาจหน้าที่ของสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ
(สำนักงาน กปอ.) ไปเป็นของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) คำนิยาม “อุบัติภัย”
เห็นควรพิจารณาให้มีความชัดเจนว่าครอบคลุมถึงอุบัติเหตุจากการจราจรทางรางหรือไม่
หรืออุบัติเหตุขบวนรถไฟชนยานพาหนะด้วยหรือไม่ (๒) ควรตัดถ้อยคำปรารภคำว่า
“สำนักนายกรัฐมนตรี” และ “พ.ศ. ๒๕๓๘” ออก และเห็นควรแก้ไขคำว่า “อำนาจหน้าที่”
ในร่างข้อ ๙ ของร่างระเบียบฯ (๓) ร่างข้อ ๕ ต้องพิจารณาการกำหนดองค์ประกอบของ
สำนักงาน กปอ. ไว้เท่าที่จำเป็น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างคล่องตัว
และไม่เป็นการสร้างภาระงานที่ไม่จำเป็น
โดยในชั้นนี้ขอเสนอให้ตัดเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาออก เพราะสามารถเชิญให้ไปชี้แจงเป็นครั้งคราวได้อยู่แล้ว
ร่างข้อ ๘ เมื่อได้พิจารณากำหนดองค์ประกอบของ สำนักงาน กปอ.
ให้มีเพียงเท่าที่จำเป็นแล้ว ควรกำหนดองค์ประชุมเป็นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด
และหน้าที่ตามร่างข้อ ๙ (๕) (๖) และ (๗) เป็นภารกิจปกติของ ปภ. อยู่แล้ว
สมควรตัดออก และ (๔) นิยามคำว่า “สาธารณภัย”
ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ครอบคลุมถึงนิยามคำว่า
“อุบัติภัย” ของร่างระเบียบฯ แล้ว
เห็นควรพิจารณากำหนดกลไกที่ใช้ในการขับเคลื่อนผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
จึงเห็นควรพิจารณากำหนดให้ สำนักงาน กปอ.
มีหน้าที่ในการจัดทำแผนหลักด้านการป้องกันอุบัติภัยของประเทศ
โดยอาจจะกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้จัดทำแผนระดับ ๓
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ แล้วจัดให้ สำนักงาน กปอ.
ใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผน
รวมทั้งเห็นควรให้มีการพิจารณากำหนดกลไกการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่เพิ่มเติม
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามร่างระเบียบฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เห็นควรให้
ปภ. ใช้จ่ายตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อไป
ขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1847 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 30/2563 | นร.11 | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๐/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓
ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานหรือโครงการ รวมถึงรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
ราย ๓ เดือน รอบที่ ๒ (ระหว่างวันที่ ๑ สิงหาคม ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓) ๒. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้
ความเข้าใจ ให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามประเมินผล
และรายงานผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า
โปร่งใส และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการหรือหารือในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1848 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ | มท. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) จำนวน
๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกเงื่อนไขการอนุญาตให้บุคคลต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางมาพำนักระยะยาวในราชอาณาจักรที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ
และยกเลิกเงื่อนไขการอนุญาตให้บุคคลต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวโดยเรือสำราญและกีฬา
(เรือยอร์ช) ในราชอาณาจักร
ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำหรือความเสี่ยงปานกลาง
อันจะมีผลเป็นการผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในช่วงที่มีการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้แก้ไขถ้อยคำบางประการในร่างประกาศฯ
[กรณีเพื่อเข้ามาท่องเที่ยวโดยเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช)]
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบและหลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
และเห็นควรให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังและเพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด
และเร่งพัฒนาระบบติดตามนักท่องเที่ยวให้สามารถใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักทองเที่ยวว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
รวมทั้งควรมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชนทั่วไปและในพื้นที่
เพื่อให้เกิดการยอมรับ
และลดแรงต้านในการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1849 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ลดอัตราค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. .... | พณ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ลดอัตราค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขการลดอัตราค่าธรรมเนียมแก่ห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่ยื่นขอจดทะเบียนผ่านระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์
(e-Registration) ลงร้อยละ ๓๐
ซึ่งจะสิ้นผลในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยขยายระยะเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียมออกไปอีก
๓ ปี (๑ มกราคม ๒๕๖๔ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖)
และเพิ่มส่วนลดลดอัตราค่าธรรมเนียมจากเดิมที่ลดให้ร้อยละ ๓๐ เป็นลดให้ร้อยละ ๕๐
รวมทั้งทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
และแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้
เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนรายงานและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ
และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียน
เพื่อยกอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศให้อยู่ในลำดับที่ดีขึ้น
และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลผู้ประกอบการร่วมกันเพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1850 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 และร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 7 รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๑๔ และร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา
ครั้งที่ ๗ รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน รวม
๗ ฉบับ
และมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ
และร่วมรับรองร่างเอกสารความร่วมมือฯ โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนองของอาเซียนต่อการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิยุทธศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค
และร่างเอกสารความร่วมมือฯ เป็นการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือให้อาเซียนสามารถรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านความมั่นคงของภูมิภาคในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมในทุกมิติ
รวมทั้งร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง ๗ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามร่างปฏิญญาร่วมฯ
และร่างเอกสารความร่วมมือฯ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1851 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 29/2563 | นร.11 | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๙/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานหรือโครงการ
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒.
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ครบถ้วนถูกต้องอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ของภาครัฐ มีความโปร่งใส
สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
และภายหลังจากที่ดำเนินแผนงานหรือโครงการสิ้นสุดแล้ว
ต้องไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายในปีต่อ ๆ ไป
และเห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เร่งแก้ไขปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1852 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และขออนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ไทย – เมียนมา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2569 | ยธ. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ว่าด้วยความร่วมมือโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยังยืน โดยมอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(เลขาธิการ ป.ป.ส.) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
รวมทั้งอนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน
ไทย-เมียนมา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ ในกรอบวงเงิน ๓๒๐ ล้านบาท
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสานต่อและยืนยันความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายในการบรรลุเป้าหมายอาเซียนปลอดยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๖๘ และการแก้ไขปัญหาการปลูกพืชเสพติด การลักลอบผลิตและค้ายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย
โดย (๑) สร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกับส่วนราชการในท้องถิ่นและชุมชน (๒)
ดำเนินกิจกรรมการพัฒนาระบบน้ำ และ (๓)
สนับสนุนองค์ความรู้ในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินโครงการฯ
ใน ๒ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองยี รัฐฉานใต้
และพื้นที่ตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙) งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๓๒๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน
ป.ป.ส.)
รับข้อเสนอแนะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาผลกระทบของโครงการฯ โดยละเอียดและมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากการพัฒนาตามโครงการฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในภูมิภาค
ไม่อาจแก้ปัญหายาเสพติดในระยะสั้นได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๓.
สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน
ไทย-เมียนมา จำนวน ๓๒๐ ล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของ สำนักงาน ป.ป.ส. แผนงานบูรณาการป้องกัน
ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามความจำเป็นและเหมาะสม
ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงาน ป.ป.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1853 | ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี [Chiang
Mai Initiative Multilateralisation (CMIM) Agreement] ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ. .... รวมถึงหนังสือแนบท้ายที่ต้องมีการลงนามเพิ่มเติมเมื่อมีการขอรับการช่วยเหลือรวม
๔ ฉบับ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความตกลง CMIM ฉบับปัจจุบันที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ เพื่อให้กลไก CMIM มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยมีประเด็นสำคัญที่ทำการแก้ไข คือ (๑)
การเพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือกรณีที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
จากร้อยละ ๓๐ เป็นร้อยละ ๔๐ ของวงเงินขอรับความช่วยเหลือสูงสุด (๒)
การยินยอมให้สามารถเลือกสมทบหรือขอรับความช่วยเหลือภายใต้กลไก CMIM เป็นเงินสกุลท้องถิ่นตามหลักความสมัครใจ และ (๓)
การเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเนื่องจากจะยกเลิกการใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงกรุงลอนดอน
(London Interbank Offered Rate : LIBOR) ในสิ้นปี ๒๕๖๔
และการแก้ไขประเด็นเชิงเทคนิคของกลไก CMIM อื่น ๆ เช่น
การปรับระยะเวลาการเบิกถอนเงินให้มีความยืดหยุ่นขึ้น เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติการลงนามในความตกลง CMIM
ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และมอบหมายให้ ๑.๒.๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน
ลงนามในความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒.๒
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ลงนามในหนังสือยืนยันการสมทบเงิน (Schedule
3-Commitment Letter) ในวงเงิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒.๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน
ลงนามในหนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือ (Schedule 5-Letter of
Acknowledgement) และหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความตกลง
(Schedule 6-Letter of Undertaking) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง
CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒.๔
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือผู้แทน ลงนามในหนังสือให้ความเห็นทางกฎหมาย (Schedule
7-Legal Opinion) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง CMIM
ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าความตกลง CMIM
ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
รวมทั้งหนังสือแนบท้ายอาจเข้าข่ายเป็นสัญญาหรือเอกสารทางกฎหมายที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีอำนาจและหน้าที่ให้คำปรึกษาและตรวจร่าง
ตามมาตรา ๒๓ (๒) ของพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1854 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 | มท. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๒๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
เกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาต ก่อสร้าง
ดัดแปลง รื้อถอน และเคลื่อนย้ายอาคารให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
โดยไม่เป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนมากเกินไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณากำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒ มกราคม ๒๕๖๓ (เรื่อง แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต
ของทางราชการ) แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้าง
ดัดแปลงอาคารให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างเข้มงวด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1855 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย | สธ. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี ๒๕๖๓ (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Projects of the
Mekong-Lancang Cooperation Special Fund 2020) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน
ประจำประเทศไทย และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม
ในบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อรับมอบงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ Strengthening
on HIV/AIDS Cooperation in the CCLM (Cambodia, China, Lao PDR, Myanmar)
Countries โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ วงเงิน ๑๙๘,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๕.๙๘๐๗
ล้านบาท) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยให้มีการพัฒนาแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านเอชไอวีและเอดส์
ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เสริมสร้างศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข
และช่วยส่งเสริมการดำเนินงานสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เกี่ยวกับการระบุชื่อโครงการไว้ในชื่อของบันทึกความเข้าใจฯ
เพื่อให้บันทึกความเข้าใจแต่ละฉบับมีชื่อเฉพาะที่ชัดเจนขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1856 | ขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 | พณ. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔
รอบที่ ๑ จำนวน ๑๘,๐๙๖.๐๖ ล้านบาท เป็น ๔๖,๘๐๗.๓๕ ล้านบาท และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรทำความตกลงกับสำนักงบประมาณและขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และปีถัด ๆ ไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง
(ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดและกำกับดูแลการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรให้รวดเร็ว
ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการกำกับ ติดตาม
และตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามโครงการประกันรายได้ฯ ให้มีความถูกต้อง
โปร่งใส เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างแท้จริง
ควรมีการติดตามการซื้อขายข้าวเปลือกให้เป็นไปตามคุณภาพข้าว
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่ส่งผลต่อราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง
และควรเร่งรัดการดำเนินงานตามมาตรการคู่ขนานต่าง ๆ
ให้มีผลต่อการยกระดับราคาข้าวเปลือกให้เพิ่มสูงขึ้น
เพื่อนำไปสู่การลดภาระงบประมาณในการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างตามโครงการประกันรายได้ฯ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและบูรณาการการดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพข้าวหรือพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ให้มีความเป็นเอกภาพ
รวมทั้งกำหนดแนวทางการบริหารจัดการข้าวทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผล
โดยคำนึงถึงต้นทุนและงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
แล้วให้รายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1857 | การบรรจุและแต่งตั้งผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายจุฬา สุขมานพ) | คค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติบรรจุและแต่งตั้ง
นายจุฬา สุขมานพ ผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1858 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย - ไทย (IMT - GT) | นร.11 | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT (Draft Joint Statement of the Twenty-Sixth Indonesia-Malaysia-Thailand
Growth Triangle Ministerial Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย
อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) รวมทั้งเปิดรับการสร้างความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่
ๆ ที่มีศักยภาพ และเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย
อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) และเข้าร่วมการประชุมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT โดยผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ
พร้อมทั้งร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมฯ
โดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมดังกล่าวซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1859 | ความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities | ทส. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart
Green ASEAN Cities
และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างความตกลงฯ
ในนามประเทศไทย ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ
กรุงจาการ์ตา โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความเป็นเมืองที่ยั่งยืนในอาเซียน
ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และเพิ่มคุณภาพชีวิตสำหรับพลเมืองอาเซียน โดยสนับสนุนให้เมืองต่าง
ๆ ในอาเซียนใช้ประโยชน์จากแนวทางเมืองอัจฉริยะ โดยมีผลผลิต ๓ ข้อ ได้แก่
การยกระดับการออกแบบ วางแผน
และดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะสำหรับเมืองที่เข้าร่วมดำเนินโครงการฯ
การเสริมสร้างศักยภาพระดับประเทศเพื่อการพัฒนาเมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะ
(ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน)
และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะระหว่างสหภาพยุโรปและภายในภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งสหภาพยุโรปจะสนับสนุนงบประมาณ ๕ ล้านยูโร เพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นเวลา ๗๒
เดือน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1860 | รายงานการประเมินความคุ้มค่าของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 | นร.12 | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติและข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
(กพม.) เรื่อง รายงานการประเมินความคุ้มค่าของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่ กพม. เสนอ
และให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เร่งรัดการดำเนินการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการประเมินความคุ้มค่าของ
บจธ. ที่ฝ่ายเลขานุการ กพม. ดำเนินการสำหรับรอบการประเมินวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๓
ในเบื้องต้น เพื่อเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
และเห็นควรให้ บจธ. ส่งข้อมูลที่ยังขาดความครบถ้วนสมบูรณ์ตามกรอบการประเมินที่
กพม. กำหนด ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพม. นำมาใช้สำหรับการประเมินต่อเนื่องในปีถัดไป
ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๒. ด้วยนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินของเอกชนแทนที่การถือครองไว้แล้วปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า
จึงเป็นโอกาสที่ บจธ. จะมีบทบาทเป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของที่ดินเอกชนกับเกษตรกรหรือผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่ดินทำกินหรือมีแต่ไม่เพียงพอในการเช่าที่ดินของเอกชน
เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างคุ้มค่า ๓. บจธ. ควรเร่งดำเนินการเสนอกฎหมายจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
|