ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงคมนาคม) | คค. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการคลัง) | กค. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | การดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 วรรคสอง (มติคณะรัฐมนตรีที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) | นร.05 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดเดิมที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
เพื่อถือปฏิบัติต่อไป จำนวน ๒๕ มติ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๔ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘
กรกฎาคม ๒๕๖๘ เฉพาะในส่วนของข้อ ๑.๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
เพื่อขยายกรอบเวลาของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน)
และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น
โดยให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบของคณะทำงานอย่างครบถ้วน
เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปให้เหมาะสม
มีความยั่งยืน
เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังเกินความจำเป็น
แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลและความคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการดังกล่าว
โดยเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องชดเชยหรือสูญเสียรายได้
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินมาตรการ หรือนโยบายด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในอนาคต
รวมทั้งเร่งดำเนินการปรับปรุงวิธีการเก็บค่าโดยสาร
และการใช้บัตรโดยสารร่วมสำหรับการเดินทางข้ามโครงข่าย
ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม พ.ศ. ....
เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าของประชาชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2568 | ลต. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้อาศัยอำนาจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ กันยายน ๒๕๖๗ [เรื่อง
การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ
หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา
สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัดตามมาตรา ๗
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘] โดยเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี
เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป บัดนี้
ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี
เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. ๒๕๖๘ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๔๒
ตอนที่ ๕๙ ก วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๘ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา | นร. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา จำนวน ๒ เรื่อง
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
ดังนี้ ๑. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ ๑.๑
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับมาตรการ ความเห็น
และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑
ในกรณีที่มาตรการ ความเห็น
และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระเกี่ยวข้องกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใด
ให้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน ๑.๑.๒
ในกรณีที่มาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ มีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้องหลายแห่ง
ให้พิจารณาว่าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดสมควรเป็นหน่วยงานหลัก แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ
และมอบหมายให้มีหน่วยงานหลักในการรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้
โดยให้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ๑.๒
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ ๑.๑.๑
หรือข้อ ๑.๑.๒ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ ภายใน ๓๐
วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ๑.๓
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ ๑.๒ แล้ว
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ทั้งนี้
กรณีเป็นมาตรการ ความเห็น
และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๖๑ ต้องดำเนินการก่อนครบ ๙๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๒. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ๒.๑
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑
ในกรณีที่ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเกี่ยวข้องกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใด
ให้รายงานนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้น
เพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามญัตติ
รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน ๒.๑.๒
ในกรณีที่ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
มีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้องหลายแห่ง
ให้พิจารณาว่าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดสมควรเป็นหน่วยงานหลัก
แล้วให้รายงานนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการหน่วยงานหลักนั้น
เพื่อพิจารณาสั่งการให้มีหน่วยงานหลักในการรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๒
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ ๒.๑.๑
หรือข้อ ๒.๑.๒ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ ภายใน ๓๐
วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ๒.๓ เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ
๒.๒ แล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
พร้อมผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | การเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 | นร. | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้ตามความจำเป็นเหมาะสมเพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
ทั้งยังเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพราะการประชุมสมัชชาสหประชาชาติมีกำหนดการแน่นอนไม่อาจเลื่อนได้
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอว่า
ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
สมัยที่ ๘๐ (UNGA 80) ในช่วงสัปดาห์ผู้นำ (High-Level
Week) ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ณ นครนิวยอร์ก
ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีกำหนดการไปกล่าวถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติในวันที่ ๒๗
กันยายน ๒๕๖๘ และพบปะหารือกับเลขาธิการสหประชาชาติ รวมทั้งจะใช้โอกาสนี้ชี้แจงท่าทีไทยต่อที่ประชุมและประชาคมโลกในประเด็นไทย-กัมพูชา
ให้ทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ที่ถูกต้องและชัดเจนเพื่อมิให้ฝ่ายกัมพูชาใช้เวทีสหประชาชาติในการผลักดันท่าทีของตนหรือเสนอข้อมูลฝ่ายเดียว เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า
คณะรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้วในวันนี้
จึงเข้ารับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ตามมาตรา ๑๖๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่โดยที่มาตรา ๑๖๒ ของรัฐธรรมนูญฯ
ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ
แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วนซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้
ดังนั้น
กรณีการเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศ
หากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่ได้มีการกำหนดช่วงเวลาไว้แล้ว
จึงสามารถดำเนินการได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว
เพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ ในครั้งนี้
เป็นไปเพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศและจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย
นอกจากนี้ การอนุมัติให้เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ
ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในทำนองเดียวกันนี้
ในอดีตได้เคยมีการดำเนินการมาแล้วดังเช่นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน
๒๕๕๑ รับทราบการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(ในขณะนั้น) เดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๖
กันยายน - ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๑ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(ในขณะนั้น) ก็มีความเห็นว่า
การเดินทางไปร่วมการประชุมดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่ได้มีการกำหนดช่วงเวลาไว้แล้ว
จึงน่าจะดำเนินการได้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๑๗๖ วรรคสอง ที่บัญญัติให้ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง
หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้
รวมทั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น) ก็มีความเห็นว่าการประชุมดังกล่าวจะมีผู้แทนไทยไปร่วมการประชุมทุกปีและถือเป็นพันธกรณี
การไปร่วมประชุมจะเป็นประโยชน์
ถ้อยแถลงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไปกล่าวต่อที่ประชุมตามปกติจะเป็นการแสดงทัศนคติในประเด็นต่าง
ๆ ด้วย ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลแต่ประการใด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
เรื่อง
การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี
ดังนี้ ๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
เป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์
อุวรรณโณ) เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองเรื่องคดี และเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปในเรื่องต่อไปนี้ ๒.๑ เรื่องการดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครองที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรี ๒.๒
เรื่องการดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ๒.๓ เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ
พระราชกำหนด และพระราชกฤษฎีกายกเว้นเรื่องพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | แนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีและการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
และการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดูแลและระมัดระวังมิให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรีเปิดเผยเอกสารดังกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยให้รักษาความลับหรือเอกสารของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
ตามประเภทชั้นความลับที่ได้กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือ ๑.๑ “ลับที่สุด”
หมายความถึง ข้อมูลข่าวสารลับซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรงที่สุด ๑.๒ “ลับมาก”
หมายความถึง
ข้อมูลข่าวสารลับซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรง ๑.๓ “ลับ”
หมายความถึง
ข้อมูลข่าวสารลับซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐ ทั้งนี้ เอกสารและข้อมูลในวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีถือว่ามีชั้นความลับเป็น
“ลับมาก” ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่ส่วนราชการเจ้าของเรื่องไม่ได้กำหนดชั้นความลับ
หรือกำหนดชั้นความลับไว้เป็น “ลับ” หรือ “ลับมาก” ก็ตาม ๒. ในการจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
หากหน่วยงานเจ้าของเรื่องเห็นว่าเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ
มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ
ความมั่นคง ประโยชน์สาธารณะ
หรือประโยชน์ของประเทศชาติหรือเข้าข่ายเป็นเรื่องที่ห้ามเปิดเผยข้อมูลตามมาตรา ๑๔
และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องระบุไว้ในหนังสือนำส่งเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ
มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงอย่างไร หรือหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่เข้าลักษณะดังกล่าว
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
โดยจะเผยแพร่เอกสารเรื่องดังกล่าวผ่านระบบเรียกดูระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยเครื่องแท็บเล็ต
(ระบบ M-VARA) เฉพาะในการประชุมคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
และหลังจากพิจารณาแล้วเสร็จ ให้ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากระบบ M-VARA ทันที ๓. ในการประชุมคณะรัฐมนตรี
การพิจารณาหารือหรืออภิปรายของคณะรัฐมนตรีให้ถือเป็นความลับของทางราชการ
โดยไม่อนุญาตให้มีการบันทึกภาพและเสียง ดังนั้น รัฐมนตรีทุกท่าน
ผู้เข้าร่วมการประชุม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
พึงระมัดระวังและไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ
เกี่ยวกับเรื่องที่พิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ๔. กรณีมีผู้นำเอกสารหรือข้อความซึ่งเป็นความลับของทางราชการไปเผยแพร่จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
หรือเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่ได้รับความเสียหายพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เช่น
กรณีข้าราชการพลเรือนไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติตามมาตรา ๘๒ (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาความลับของทางราชการ
โดยหากไม่ปฏิบัติตาม ข้าราชการพลเรือนผู้นั้นถือเป็นผู้กระทำผิดวินัยตามมาตรา ๘๔ และหากการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
กรณีจะถือว่าข้าราชการพลเรือนผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๘๕ (๗)
ทั้งนี้ จะต้องถูกดำเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๗
กล่าวคือให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี อนึ่ง
ตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๔
ได้วางหลักเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมในเรื่องการรักษาความลับของราชการไว้เช่นเดียวกันตามข้อ
๗ (๓) กล่าวคือ
ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติโดยอย่างน้อยต้องไม่นำข้อมูลข่าวสารอันเป็นความลับของราชการซึ่งตนได้มาในระหว่างอยู่ในตำแหน่งไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เอกชน
ทั้งในระหว่างการดำรงตำแหน่งและเมื่อพ้นจากตำแหน่ง และข้อ ๘ (๕) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องรักษาความลับของราชการ
เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ๕. เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาความเหมาะสมและชี้แจงต่อสาธารณชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงเพิ่มเติมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติตามมติของคณะกรรมการต่าง ๆ
แล้ว
ให้ประธานกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการชี้แจงในทำนองเดียวกันด้วย ๖. ให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่และอำนาจให้ข่าวสารเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
มติคณะรัฐมนตรี การดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือกระทรวง กรม ตลอดจนชี้แจงเมื่อปรากฏว่ามีการเสนอข่าวคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงหรือไม่ถูกต้อง
ครบถ้วน อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคลากรหรือรัฐบาล
หรือการปฏิบัติผิดพลาดได้ ทั้งนี้ อาจขอให้โฆษกกระทรวงเป็นผู้แถลงข่าว
หรือออกคำชี้แจงเอง หรือร่วมกันแถลงข่าวหรือชี้แจงด้วยก็ได้
และมอบให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบกระทรวงพิจารณาแต่งตั้งโฆษกกระทรวงเพื่อดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ มติ
ดังนี้ ๑.๑
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (เรื่อง การเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ๑.๒
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง
ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
(เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ต่อไป] ๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ [เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง)
ต่อไป] ๒. เห็นชอบแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐) ดังนี้ ๒.๑
ให้ทุกส่วนราชการที่จะเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตรวจสอบประวัติและรับรองประวัติของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง
โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ [เรื่อง
แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐)] ที่เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการที่จะเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองดำเนินการตรวจสอบประวัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้งจากหน่วยงาน
๗ หน่วยงาน ได้แก่ (๑) สำนักงานศาลยุติธรรม (๒) กรมบังคับคดี (๓)
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (๔)
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (๕) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(๖) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ (๗)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และรับรองประวัติตามแบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐) จำนวน ๑๔
ข้อ อย่างเคร่งครัด ๒.๒
ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อนและเมื่อได้รับความเห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้ส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี
โดยให้ระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่า
นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
ส่วนกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้เสนอเรื่องแล้ว
ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในหนังสือเสนอเรื่อง
โดยให้ระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่านายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว ทั้งนี้
ในการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งที่จะเสนอแต่งตั้งให้ชัดเจน
พร้อมทั้งให้กำหนดวันเริ่มต้นการดำรงตำแหน่ง เช่น ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ....
เป็นต้นไป หรือให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
โดยยังไม่ต้องดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง ๒.๓
การเสนอเรื่องตามข้อ ๒.๒
ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องส่งเอกสารไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย ๒.๓.๑
หนังสือเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๒.๓.๒
แบบสรุปประวัติการเสนอเรื่องแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๒.๓.๓ แบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
โดยกรอกข้อมูลและรับรองข้อมูลให้ครบถ้วน ๒.๓.๔
เอกสารแสดงผลการตรวจสอบประวัติบุคคลจาก ๗ หน่วยงาน (ตามข้อ ๒.)
ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นการข้าราชการการเมือง ๒.๓.๕
แบบรับรองประวัติบุคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐) จำนวน ๑๔
ข้อ ๒.๓.๖ เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
เอกสารรับรองการเปลี่ยนชื่อและ/หรือชื่อสกุล ๒.๔
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการการเมืองแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง
และส่งสำเนาคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๒.๕
กรณีที่ข้าราชการการเมืองซึ่งได้รับแต่งตามข้อ ๒.๒
ลาออกหรือมีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่ง ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการออกคำสั่งให้ข้าราชการการเมืองนั้นพ้นจากตำแหน่ง
และส่งสำเนาคำสั่งดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓.
เห็นชอบแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๑
เมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิใดเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีแล้ว
ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำรายชื่อพร้อมด้วยประวัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้
ให้ตรวจสอบประวัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้งจากหน่วยงาน ๗ หน่วยงาน (ตามข้อ ๒.๑)
และบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
รวมทั้งรับรองประวัติตามแบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
กรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ [เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐)]
อย่างเคร่งครัด ๓.๒ การสนอเรื่องตามข้อ ๓.๑ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีส่งเอกสารไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ประกอบด้วย ๓.๒.๑
หนังสือเสนอเรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๓.๒.๒
แบบสรุปประวัติผู้ได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๓.๒.๓
เอกสารแสดงผลการตรวจสอบประวัติบุคคล (ตามข้อ ๓.๑) ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๓.๒.๔
แบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
กรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน ๑๔ ข้อ ๓.๒.๕ เอกสารเกี่ยวกับคุณสมบัติ
ตามข้อ ๔ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น เอกสารแสดงคุณวุฒิการศึกษา หนังสือรับรองประสบการณ์การทำงานตามที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ ๓.๓
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีแล้ว ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง
แล้วจัดส่งสำเนาประกาศดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๔. รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
(ที่ประชุมร่วมคณะที่ ๑ และคณะที่ ๒) เรื่องเสร็จที่ ๘๘๒/๒๕๖๒ เรื่อง
การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองซึ่งมิใช่รัฐมนตรีในขณะเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้คณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีชุดเดิม จำนวน ๑๓๗ คณะ
อยู่ปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องต่อไปได้จนถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ และให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องเร่งแจ้งยืนยันการคงอยู่ของคณะกรรมการดังกล่าวไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน
๗ วัน (วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๘) หลังจากนั้นให้ถือว่าคณะกรรมการต่าง ๆ ที่มิได้แจ้งยืนยันการคงอยู่มีผลสิ้นสุดลง ๒. ในกรณีที่ส่วนราชการใดพิจารณาเห็นว่าคณะกรรมการฯ
คณะใด (ตามข้อ ๑) มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ
เพื่อให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
หรือมีความจำเป็นที่จะต้องเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการโดยมติคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่ก็ให้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง
แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล)
อย่างเคร่งครัด และหากเป็นกรณีที่มีการเสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการในคณะกรรมการที่จะเสนอแต่งตั้งด้วย
ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องระบุชื่อ/ชื่อสกุล และตำแหน่ง (ถ้ามี)
ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งจัดทำเอกสารต่าง ๆ
ประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้ ๒.๑
แบบสรุปประวัติของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการนั้น ๆ ๒.๒
แบบตรวจสอบประวัติบุคคลเพื่อประกอบการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง
ๆ ๓. การเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องไม่ต้องออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีหรือคำสั่งของส่วนราชการเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | การลงนามในปฏิญญาเพื่อก่อตั้งที่ประชุมอัยการสูงสุดอาเซียน | อส. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาเพื่อก่อตั้งที่ประชุมอัยการสูงสุดอาเซียน (ASEAN Prosecutors/Attorney General Meeting : APAGM) และร่างข้อกำหนดอำนาจหน้าที่แนบท้ายร่างปฏิญญาฯ
และมอบหมายอัยการสูงสุดหรือผู้แทนลงนามในร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการประกาศจัดตั้งที่ประชุม
APAGM ให้เป็นองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขา
และมีข้อกำหนดอำนาจหน้าที่แนบท้ายร่างปฏิญญาฯ เช่น สนับสนุนความร่วมมือด้านการดำเนินคดีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
อำนวยความสะดวกในการประสานงานด้านคดีหากกฎหมายภายในของประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถกระทำได้
ซึ่งสมาชิกที่ประชุม APAGM ประกอบด้วยอัยการสูงสุดของภาคีสมาชิกอาเซียนทั้ง
๑๐ ประเทศ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ยกเลิกการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 | นร. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ (เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘)
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน ๗,๔๐๔.๓๔ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ จำนวน ๒,๗๔๘
รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ นั้น
เนื่องจากโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและปัจจุบันระยะเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว
จึงอาจทำให้สภาพพื้นที่ของโครงการและเหตุผลความจำเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้เสนอขออนุมัติไว้
ประกอบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ อันจะทำให้งบประมาณของโครงการดังกล่าวพับไปตามผลของกฎหมาย
ดังนั้น จึงเห็นควรยกเลิกการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ ดังกล่าวข้างต้น เพื่อนำงบประมาณไปใช้จ่ายสำหรับโครงการอื่นที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน
รวมทั้งให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาทบทวนเหตุผลความจำเป็นของการดำเนินโครงการดังกล่าว
และหากยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการ
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติประสานหน่วยรับงบประมาณเจ้าของโครงการพิจารณาทบทวนรายละเอียดรายการและค่าใช้จ่าย
และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | ร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สกท. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า ร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ
เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๘ [เรื่อง
แนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี
กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๐ (๔)] คณะรัฐมนตรีจึงสามารถพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ ๒.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
มีอำนาจให้สิทธิและประโยชน์ในรูปแบบเครดิตภาษีและกำหนดกลไกในการคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่ในรูปแบบเงินสดภายในระยะเวลาที่กำหนดนับจากวันที่กำหนด
รวมถึงขอรับจัดสรรงบประมาณที่จำเป็นและเพียงพอสำหรับการจ่ายคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่ดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนโดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าการเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างมาตรา ๙ ที่กำหนดให้เพิ่มความเป็นวรรคสามของมาตรา
๒๙ ในกรณีที่กองทุนฯ
มีจำนวนเงินไม่เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์และค่าภาระต่าง ๆ
ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเข้าสมทบเท่าจำนวนที่จำเป็นนั้น เห็นว่ากองทุนฯ สามารถขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลได้อยู่แล้วตามมาตรา
๒๙ (๒) จึงไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดความตามร่างมาตรา ๙ แต่อย่างใด ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ๔.
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่า การจัดสรรงบประมาณให้กับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
สำหรับการจ่ายคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่ในรูปแบบเงินสด ควรเน้นการพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวเป็นสำคัญ
และให้การดำเนินการเป็นไปตามหลักการของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม) | มท. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณทั้งสิ้น
๑,๖๗๔,๗๓๐,๑๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน
ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม
(นม) ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร
เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุดที่ นร ๐๗๑๔/๗๘๗๘ ลงวันที่ ๕
สิงหาคม ๒๕๖๘)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณ
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงมหาดไทยควรเร่งรัดดำเนินการตามแผนบริหารจัดการโครงการให้อยู่ในกรอบระยะเวลาการภาคเรียนที่
๑ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๘ ซึ่งจะสิ้นสุดในห้วงเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายได้รับการสนับสนุนอาหารกลางวันและอาหารเสริม
(นม) อย่างครบถ้วนโดยคำนึงถึงการตรวจสอบข้อมูลจำนวนนักเรียนให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน
ตลอดจนการใช้งบประมาณอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นเงินอุดหนุนโครงการอาหารเสริม (นม) | ศธ. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๑,๗๓๐,๔๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม)
โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๐/๖๗๘๙ ลงวันที่ ๑
กรกฎาคม ๒๕๖๘)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรเร่งรัดดำเนินการตามแผนบริหารจัดการโครงการเพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนเอกชนได้รับจัดสรรนมโรงเรียนครบตามมาตรฐาน
โดยคำนึงถึงการตรวจสอบข้อมูลจำนวนนักเรียนให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน
ตลอดจนการใช้งบประมาณอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) | นร.09 | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๔ คณะ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ กันยายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ๒. คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๓. คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน
บริษัท และองค์กรทางธุรกิจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | การเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐ ให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 และเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 | สคทช | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||