ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 11306 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2567 เรื่อง (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 | สกพอ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เรื่อง (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่า (ร่าง)
แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ จำเป็นต้องอาศัยมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อจูงใจให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแผนต่อไป กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าการขับเคลื่อนการพัฒนาและบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าวต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | การจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2573 (5 ปี) | กก. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓
(๕ ปี) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์และการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม กรณีเจ้าพนักงานของรัฐนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวไปอัดประจุไฟฟ้าของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยมิได้รับอนุญาต | นร.10 | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๘ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์และการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม
กรณีเจ้าพนักงานของรัฐนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวไปอัดประจุไฟฟ้าของส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยมิได้รับอนุญาต) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ดังนี้ ๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘ (เรื่อง
การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ๒.
อนุมัติมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒
ราย ตามลำดับ ดังนี้ ๒.๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล) ๒.๒
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร
สินธุไพร)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | กษ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดปราจีนบุรี จากเดิม ๑๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๖๕๖๗) เป็น ๑๘ ปี
(ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๗๐)
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ๙,๐๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทานจะเร่งรัดดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
ตลอดจนประโยชน์และความคุ้มค่าที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรมีแผนการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดให้การดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังคงเหลือให้แล้วเสร็จตามแผนและระยะเวลาที่ขอขยายในครั้งนี้
โดยไม่ต้องขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการเพิ่มเติมอีก
เพื่อให้การก่อสร้างโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี
เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากเป็นโครงการที่เป็นการสร้างแหล่งน้ำต้นทุน
สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน
และส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำปราจีนบุรีและลุ่มน้ำสาขา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
เร่งรัดดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้อย่างเคร่งครัดและให้ถือเป็นการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดปราจีนบุรี
ครั้งสุดท้าย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยังคงหลักการเดิม
และปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับบทนิยาม
วงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอและจังหวัด
และขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน
และการกำหนดบทเฉพาะกาล ตลอดจนการปรับปรุงถ้อยคำ
เพื่อให้การดำเนินการและการใช้จ่ายเงินทดรองราชการฯ
เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม
รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพการณ์ของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือด้านที่พักอาศัยผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | ปช. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรมบัญชีกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัด
และนายอำเภอ
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่กำกับติดตามและผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ มกราคม ๒๕๖๕ ดำเนินการสนับสนุน ส่งเสริม
และให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานภาครัฐที่ยังมีผลการประเมิน ITA ไม่ผ่านตามค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๖๕๘๐)
(ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ให้สามารถยกระดับผลการดำเนินงานให้ผ่านค่าเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ควรนำข้อมูลของหน่วยงานที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับผ่านดีเยี่ยมมาถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จ
และจัดทำเป็นกรณีศึกษาของหน่วยงานที่มีแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับหน่วยงานแต่ละประเภท
ทั้งในการดำเนินการภาพรวม
และการดำเนินการรายตัวชี้วัดเพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาให้กับหน่วยงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ให้สามารถนำแนวทางการดำเนินงานไปศึกษาและต่อยอดปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน
รวมทั้งควรมีการวิเคราะห์สาเหตุหรือจุดอ่อนของตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์
(ตัวชี้วัดที่ ๘ การปรับปรุงระบบการทำงาน) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเร่งพัฒนาการดำเนินการในตัวชี้วัดดังกล่าวนำไปสู่การบรรลุค่าเป้าหมายของแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมิน ITA ไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในการประเมินกับทุกหน่วยงาน ควรพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินให้สอดคล้องกับลักษณะงานหรือภารกิจของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เช่น
หน่วยงานที่ให้บริการทางวิชาการไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติ
อนุญาต เพื่อจะได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานที่ตรงต่อภารกิจงานของหน่วยงานนั้น ๆ ๓. ให้ส่งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร.
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | การทบทวนแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ | นร.10 | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบการทบทวนกรอบแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ กันยายน ๒๕๖๔ (เรื่อง แนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ) ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการประเมินในมิติด้านผลสัมฤทธิ์ ข.
การดำเนินการในวาระเร่งด่วนหรือภารกิจที่ถูกมอบหมายเป็นพิเศษ (Urgency/assigned Tasks) ให้สำนักงาน ก.พ.
นำความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กรุงเทพมหานคร และข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ
เพื่อปรับปรุงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ”
และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและได้ข้อยุติ โดยให้เป็นไปตามแนวทาง ดังนี้ ๑.๑ รอบที่
๑ การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บริหารระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ถึง ๓๑ มีนาคม
ให้นำตัวชี้วัด “การก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ” มาใช้ในการพิจารณา ๑.๒
รอบที่ ๒ การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บริหารระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ถึง ๓๐
กันยายน ให้นำตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” มาใช้ในการพิจารณา แล้วให้สำนักงาน ก.พ. นำข้อยุติดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยเร็วก่อนสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | แนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | รง. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน จำนวน ๑ ฉบับ
รวมถึงอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
และกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และหน่วยงานในพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๖๔
แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
... ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา
๖๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ... รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์กับแรงงานในการดำเนินการขั้นตอนต่าง
ๆ รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เห็นว่าแนวทางดังกล่าวถือเป็นมาตรการระยะเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนบริเวณชายแดน
ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าในการดำเนินการกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการวางแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อให้แรงงานกลุ่มดังกล่าวสามารถรายงานตัวได้ทันตามกรอบระยะเวลากำหนด
และควรพิจารณาจัดทำแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนมีความยืดเยื้อ
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงานและมีการลักลอบเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายละเอียดรายการก่อสร้าง แก้ไขชื่อรายการ พื้นที่ใช้สอย รายการบริหารจัดการ ขอสนับสนุนงบประมาณวงเงินเพิ่มเติม ขออนุมัติขยายระยะเวลา และขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสัดส่วนวงเงินโครงการรายจ่ายลงทุนเพื่อใช้จ่ายเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (โครงการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข) | สธ. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายละเอียดรายการก่อสร้าง
แก้ไขชื่อรายการ พื้นที่ใช้สอย รายการบริหารจัดการ ขอสนับสนุนงบประมาณวงเงินเพิ่มเติม
ขออนุมัติขยายระยะเวลา
และขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสัดส่วนวงเงินโครงการรายจ่ายลงทุนเพื่อใช้จ่ายเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(โครงการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข)
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สำหรับวงเงินที่เพิ่มขึ้นให้กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
พิจารณานำเงินบำรุงหรือเงินรายได้ของโรงพยาบาลมาสมทบในการดำเนินโครงการด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๒/๖๑๔๕ ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน
๒๕๖๘) ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๘/๙๖๗
ลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลทั้ง
๕ แห่ง เตรียมความพร้อมในการดำเนินการและการจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันที
รวมทั้งควรกำหนดตัวชี้วัดและจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
รวมถึงการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
สำหรับการติดตามและประเมินผลโครงการฯ เพื่อให้โครงการเกิดความยั่งยืนและสอดคล้องกับมาตรฐานของแหล่งเงินกู้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-จอร์แดน | คค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกการหารือระหว่างไทยและจอร์แดน
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ และเห็นชอบร่างพิธีสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน
และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ว่าด้วยการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ลงนามเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๘ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ว่าด้วยการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสำหรับบริการเดินอากาศระหว่างอาณาเขตของคู่ภาคีและพ้นไป
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย
โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย
- จอร์แดน จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
โดยมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของร่างพิธีสารฯ
ดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขใบพิกัดเส้นทางบิน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย - อินเดีย และข้อ
๑๒ ของความตกลงดังกล่าวกำหนดให้การแก้ไขข้างต้นจะต้องได้รับการยืนยันโดยหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างพิธีสารระหว่างไทย
- จอร์แดนฯ กำหนดให้พิธีสารดังกล่าวมีผลใช้บังคับในวันที่ได้รับแจ้งหนังสือทางการทูตฉบับที่สอง
ซึ่งระบุว่าได้ดำเนินกระบวนการภายในที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ดังนั้น
เพื่อให้ร่างพิธีสารดังกล่าวมีผลใช้บังคับทั้งสองฝ่ายจะต้องมีหนังสือแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งผ่านช่องทางการทูตว่า
ซึ่งได้ดำเนินกระบวนการภายในที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กำหนดเป้าหมายการบริหารจัดการน่านฟ้าและท่าอากาศยานของประเทศไทยที่ชัดเจน
โดยคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการด้านการบินของไทยเป็นสำคัญ
รวมถึงกำหนดแผนการเจรจาการบินระหว่างประเทศที่มีความสอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว
เพื่อนำไปใช้เป็นกรอบแนวทางในการเจรจาการบินระหว่างประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ต่อไป
ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศในภาพรวม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งได้รับการขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป | รง. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีความเห็นสอดคล้องกันว่า
เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามที่เสนอในครั้งนี้ไปก่อน
เนื่องจากแรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้เป็นแรงงานกลุ่มเดิมที่อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วแต่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานเพื่อให้แรงงานต่างด้าวมีเวลาเพียงพอในการดำเนินการต่าง
ๆ ให้แล้วเสร็จครบถ้วนทุกขั้นตอนภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ในระยะต่อไปกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกันแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตรวจสุขภาพ
และการประกันสุขภาพ รวมทั้งอัตราค่าประกันสุขภาพ สิทธิประโยชน์
และความคุ้มครองของแรงงานต่างด้าว ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. เห็นชอบการผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ และวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ซึ่งระยะเวลาการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการอนุญาตทำงานจะสิ้นสุดในวันที่
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๘ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๙ เพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป โดยเมื่อดำเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนที่กำหนด
แรงงานต่างด้าวจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และได้รับอนุญาตทำงานเป็นระยะเวลา
๒ ปี ถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๗๐ และอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย
จำนวน ๑ ฉบับ รวมถึงให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน จำนวน ๑
ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าปัจจุบันกระทรวงแรงงานยังไม่สามารถดำเนินการในส่วนการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานสัญชาติเมียนมาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่งผลให้เกิดปัญหาหลายประการต่อแรงงานและนายจ้าง อาทิ ๑)
ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมหรือประกันสุขภาพได้ ๒)
ไม่สามารถแจ้งย้ายนายจ้างได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ๓) ไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้
และ ๔) มีการร้องเรียนว่ามีกลุ่มอิทธิพลเรียกรับผลประโยชน์ เป็นต้น เนื่องจากจะครบระยะเวลาผ่อนผัน
กระทรวงยุติธรรมเห็นควรขยายระยะเวลาออกไป เพราะไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการเพื่อแก้ปัญหาได้ทัน
และในช่วงระยะเวลาที่ขยายออกไป
ควรที่จะได้มีการปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ติดตามของแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กรมการปกครอง กรมการจัดหางาน และมีการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวตามรอบระยะอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวและกลุ่มผู้ติดตามสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ
และเป็นประโยชน์ในการกำหนดมาตรการสำหรับการบริหารกำลังแรงงานข้ามชาติที่มีศักยภาพอย่างเหมาะสมในอนาคตต่อไป ๓. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ...
และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศและการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4,000) | กห. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๒,๙๓๐,๐๐๐ บาท ให้กับกองบัญชาการกองทัพไทย
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ และการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ (One Map) จำนวน ๒
โครงการ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนมาก ที่ นร ๐๗๐๕/๕๐๑๖
ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลแล้วแต่กรณี
ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้กองบัญชาการกองทัพไทยนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนก่อนนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทย ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และประกาศที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-อินเดีย | คค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-อินเดีย และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทย และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป
โดยบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นระหว่างสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการบินพลเรือนอินเดีย
เพื่อบันทึกผลการเจรจาการบินระหว่างไทยกับอินเดีย
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขใบพิกัดเส้นทางบิน ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวจะต้องได้รับการยืนยันโดยหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย
ดังนั้น หนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของรัฐบาลไทยและรัฐบาลอินเดียประกอบกันจึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญฯ
ซึ่งจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน
และหากจำเป็นต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา
ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงควรให้ความสำคัญต่อการดำเนินมาตรการการคัดกรองการเข้าประเทศอย่างเข้มงวดมากขึ้น
ตลอดจนติดตาม เฝ้าระวัง
รวมทั้งประเมินโอกาสและผลกระทบมาตรการการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียเป็นกรณีพิเศษ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งกำหนดแนวทางในการปรับปรุงใบพิกัดและบริหารจัดการการจัดสรรตารางเวลาการบินระหว่างไทยและอินเดียให้มีความเหมาะสมและสมดุลยิ่งขึ้น
ควรคำนึงถึงความพร้อมของผู้ประกอบการสายการบินสัญชาติไทยและขีดความสามารถของท่าอากาศยาน
และกระทรวงคมนาคมควรร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และกรมท่าอากาศยานในการพัฒนา/ปรับปรุงระบบบริหารจัดการท่าอากาศยานโดยการนำระบบที่ทันสมัยมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาความแออัดของท่าอากาศยานจากการขยายเส้นทางการบินตามผลการเจรจาสิทธิการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (Thailand Policy Lab: TPLab) | นร.11 สศช | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development
Programme : UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP
(Bangkok - UNDP Regional Innovation
Center : RIC) และอนุมัติให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างพิธีสารฯ ของฝ่ายไทย
พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม รวมทั้งเห็นชอบกรอบวงเงินโครงการฯ
รวมทั้งสิ้นจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐
ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๗๒,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม
๒๕๗๐ โดยมีกรอบความร่วมมือ ๕ ด้าน ได้แก่ (๑)
การพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์และนวัตกรรมนโยบาย (๒)
การเสริมสร้างศักยภาพด้านนวัตกรรมนโยบาย (๓)
การพัฒนาข้อเสนอแนะด้านนวัตกรรมนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญ (๔) การเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสังคมนวัตกรรมที่เข้มแข็ง
และ (๕) การให้บริการที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมนโยบาย
โดยไทยจะให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติมแก่ UNDP เป็นจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มเติมจากเดิม ๓,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ) และขยายระยะเวลาออกไปตั้งแต่
๑ มีนาคม ๒๕๖๘ - ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่องการจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2) | คค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ [เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต)
ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย]
จากเดิม สิ้นสุดมาตรการวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ เป็น สิ้นสุดมาตรการวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ๑.๒ แนวทางการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กรุงเทพมหานคร
และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. รับทราบการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) สำหรับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล
สายฉลองรัชธรรม สายนัคราพิพัฒน์ และสายสีชมพู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
เป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. อนุมัติในหลักการการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล
(ระยะที่ ๒) สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงและโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เป็นเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ ๔.
สำหรับค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ข้างต้น เมื่อกระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้คำนวณเงินค่าใช้จ่ายและพิจารณาแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้เหมาะสมและชัดเจนแล้ว
และแตกต่างไปจากที่นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๕. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย)
กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด ๒๐ บาท
ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย กฎ ระเบียบ
ข้อบังคับ ข้อบัญญัติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
และความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. .... โดยเฉพาะโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม มาตรฐานทางเทคโนโลยีและรูปแบบของระบบบัตรโดยสารร่วม
รวมถึงการพัฒนาระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central
Clearing House : CCH) เพื่อให้การพัฒนาระบบตั๋วร่วมของระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
เห็นว่าการดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต้องเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนตามมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาวินัยการเงินการคลัง
และความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุนรวมถึงกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้อง ๖. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินมาตรการค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสายในระยะยาว
เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนอย่างยั่งยืน
รวมถึงการจัดหาแหล่งเงินทุนในการดำเนินการที่สอดคล้องกับภาระทางการคลังของรัฐภายหลังจากสิ้นสุดมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด ๒๐
บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ในครั้งนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการในอนาคตต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3702 ตอน บ้านบางควาย–บ้านเขาดิน (สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง) ตำบลท่าสะอ้าน และตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา | คค. | 03/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ)
วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน)
เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี รวมเนื้อที่ ๑ - ๑ - ๒๓.๗๑ ไร่
สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๓๗๐๒ ตอน บ้านบางควาย - บ้านเขาดิน
(สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง) ตำบลท่าสะอ้าน และตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง
จังหวัดฉะเชิงเทรา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นว่าภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อดำเนินการปลูกป่าทดแทนและการบำรุงป่า
ควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยกรมทางหลวงร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง การดำเนินการโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า
ให้ได้ข้อยุติก่อน ซึ่งหากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปลูกป่าทดแทนและบำรุงป่าดังกล่าว
ให้หน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการสำรวจและคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการตามระเบียบฯ
ก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ของผู้ประกอบการรายที่ ๒ โดยโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ ๒ มีสาระสำคัญเพื่อพิจารณาให้สิทธิกับผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมล่วงหน้าก่อนที่สัญญาของผู้ประกอบการรายที่
๒ จะสิ้นสุดลง (สิ้นสัญญาปี ๒๕๖๙) ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ (บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย
๕ ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด) เพื่อให้การบริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น ณ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและมีความต่อเนื่องในการให้บริการ
และเพื่อให้มีจำนวนผู้ประกอบการที่เหมาะสมและเพียงพอสำหรับรองรับการเติบโตของจราจรทางอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วนต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน
กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย
โดยเฉพาะประเด็นการดำเนินการรองรับช่วงการเปลี่ยนผ่านของสัญญา
เพื่อให้โครงการให้บริการลานจอดฯ รายที่ ๒ มีความต่อเนื่องและไม่กระทบกับผู้รับบริการ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการคัดเลือก
รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนการปฏิบัติงานในภาพรวมของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
และเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตลอดจนการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน
มีความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และมีกลไกในการบริหารความเสี่ยงและป้องกันการทุจริตหรือกรณีที่ทางราชการจะเสียผลประโยชน์อย่างรอบคอบในทุกขั้นตอนของการดำเนินโครงการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | โครงการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบไมโครกริดในพื้นที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี | มท. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการตามโครงการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบไมโครกริดในพื้นที่เกาะสีชัง
จังหวัดชลบุรี วงเงินลงทุนรวม ๒๕๕ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ ๑๙๑ ล้านบาท
(ร้อยละ ๗๕) และเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๖๔ ล้านบาท (ร้อยละ ๒๕) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน (หนังสือกระทรวงพลังงาน ที่ พน ๐๖๐๓/๐๕๑ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม
๒๕๖๘) สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๕/๓๐๐๙ ลงวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๗
ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้เงินรายได้เป็นลำดับแรก หากต้องกู้เงินให้พิจารณารูปแบบใหม่
เช่น Green Bond และควรเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice : รายงาน
CoP) และรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
(Environmental Safety Assessment : รายงาน ESA) ประกอบการขอใบอนุญาต
รวมทั้งเร่งบูรณาการแผนการลงทุนร่วมกับหน่วยงานอื่นและพัฒนาระบบสมาร์ทกริด ให้ทันสมัยเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ซ้ำซ้อน สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน
และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ (Disruptive Technology) ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างมีประสิทธิภาพ
โปร่งใสและตรวจสอบได้ ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม "โครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2" และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วย ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions : SFIs) ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้ง ๖ แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งต่อไป
และเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ขอให้หน่วยงานปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
อย่างเคร่งครัดและรอบคอบต่อไป
|