ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 92 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1821 - 1840 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1821 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป | มท. | 05/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒ โครงการ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
และเห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีคุณลักษณะเฉพาะ
ประมาณการหรือผลการสอบราคา รายละเอียดแบบรูปรายการ
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ รวมทั้งจัดส่งรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ
ตามนัยมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติวิธีการงประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1822 | ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด | กค. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ ขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินยืมของบริษัท
ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งต้นเงินยืมและดอกเบี้ย
รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัดจากสัญญาเดิมนับแต่ปี ๒๕๖๓ ออกไปอีก ๒๕ ปี (๒๕๖๓-๒๕๘๗) และให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระคืนเงินยืมจากสัญญาเดิม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ซี่งมีเงื่อนไขให้บริษัทฯ
ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑
พักชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา ๗ ปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๙
โดยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในระยะเวลา ๗ ปีของช่วงพักชำระหนี้ดังกล่าว ให้บริษัทฯ
นำไปเฉลี่ยทยอยชำระคืนแก่กระทรวงการคลังในช่วงชำระคืนต้นเงินยืม ๑.๑.๒
ทยอยชำระคืนต้นเงินยืม พร้อมดอกเบี้ยให้แก่กระทรวงการคลังภายในกรอบระยะเวลาชำระ ๑๓
ปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๗๐-๒๕๘๒ ๑.๑.๓
ปรับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระใหม่ โดยใช้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Government
Bond Yield) อายุ ๒๐ ปี ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ (ทศนิยมไม่เกิน ๓
ตำแหน่ง) ทั้งนี้ ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๓ ให้บริษัทฯ
ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมที่ร้อยละ ๓.๗๘ ต่อปี
และจะเริ่มปรับใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่นับตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ๑.๑.๔
ทยอยชำระคืนดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาเดิม ภายหลังการชำระคืนต้นเงินยืมเสร็จสิ้น
ภายในกรอบระยะเวลาชำระ ๕ ปี (ปี ๒๕๘๓-๒๕๘๗) ๑.๒
ให้จัดทำสัญญาและตารางการชำระคืนเงินยืมใหม่ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดภายใต้เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติดังกล่าวข้างต้น
โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องของบริษัทฯ ให้มีเพียงพอต่อการดำเนินกิจการ เพื่อให้บริษัทฯ
สามารถชำระคืนเงินยืมที่มีกับกระทรวงการคลังได้ทั้งหมดต่อไป ทั้งนี้ ภายใต้กรอบระยะเวลาการชำระหนี้ หากบริษัทฯ
มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA : Earnings Before Interest
Tax Depreciation and Amortization) ประจำปี หลังหักชำระคืนเงินยืมตามงวดชำระที่มีกับกระทรวงการคลังแล้วเกิน
๑๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้บริษัทฯ ชำระคืนเงินยืมจากกำไรก่อน ดอกเบี้ย ภาษี
ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายส่วนเกิน ๑๐๐ ล้านบาท ดังกล่าว อีกร้อยละ ๕๐
และบริษัทฯ สามารถชำระคืนเงินยืมให้แก่กระทรวงการคลังก่อนครบกำหนดทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกำกับติดตามการดำเนินกิจการของบริษัทฯ
ตามแผนธุรกิจและแผนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินการของบริษัทฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้งและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังกำหนดระยะเวลาชำระหนี้เงินยืมในส่วนของเงินต้นคงค้างเป็นรายงวดอย่างเหมาะสมและชัดเจน
เพื่อลดความเสี่ยงในการไม่ได้รับการชำระคืนเงินต้นคงค้างทั้งจำนวน ดอกเบี้ย
และดอกเบี้ยผิดนัดจากสัญญาเดิม โดยการกำกับติดตามการดำเนินกิจการของบริษัทฯ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐพิจารณาเลือกใช้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการอื่น ๆ
ของบริษัทฯ เป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ให้มีสภาพคล่องและเพียงพอต่อการชำระหนี้ได้ต่อไป
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ [เรื่อง ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท
ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด] อย่างเคร่งครัดด้วย
๔.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1823 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป | กษ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง
และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑)
เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตา ปีละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๐
และนอกโควตา ร้อยละ ๒๑๘ (๒) หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตาปีละ ๗๖๔ ตัน
(แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ (๓)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง ปริมาณในโควตาไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐
และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ และ (๔) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป มีปริมาณในโควตาปี ๒๕๖๔
จำนวน ๖๓,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๗๑,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๖ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ตัน
อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หากมีการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่และระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract
Farming) ควบคู่ไปด้วย ก็จะสามารถลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศและทำให้การบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรของไทยเกิดความยั่งยืนได้ต่อไป
และควรมีการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด
และความเคลื่อนไหวของราคาของสินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป อย่างต่อเนื่องด้วย
รวมทั้งควรมีการพิจารณาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรในการปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งให้มีความเหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร
เพื่อให้การผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งภายในประเทศมีปริมาณและคุณภาพที่เหมาะสม
เพียงพอต่อความต้องการใช้ และไม่กระทบต่อตลาดในประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเพิ่มปริมาณผลผลิตหัวมันฝรั่งสดภายในประเทศทดแทนการนำเข้า
เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งสดทดแทนพืชชนิดอื่น
เพื่อให้มีผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
การขอขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก
(WTO) ปี ๒๕๖๓ เพิ่มเติม] ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1824 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 31/2563 (ผลการดำเนินงานของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี) และครั้งที่ 32/2563 | นร.11 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ
รวมทั้งพิจารณาผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัด
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1825 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | อว. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ (เรื่อง
โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้)
โดยให้นักเรียนในโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับทุนการศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษา
ตามนัยพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้
รวมถึงการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ในรอบ ๑ ปี
เพื่อประกอบการพิจารณาปรับปรุงโครงการฯ ต่อไป
และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและศักยภาพในการให้ทุน
พิจารณาการให้ทุนอย่างเหมาะสม เป็นธรรม และคำนึงถึงความเท่าเทียมทางด้านการศึกษา
มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนทุนการศึกษาให้ชัดเจนครอบคลุมทุกภาคส่วน
รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเป็นระยะ ๆ
เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดสรรทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง
และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1826 | การขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. ....) | พณ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเพื่อขยายระยะเวลาและลดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสาร พร้อมคำรับรอง
และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. ๒๕๖๓ ลงกึ่งหนึ่ง
สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในห้องที่จังหวัดนราธิวาส
จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา เฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา
อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล เป็นระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑
มกราคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ
และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้ เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนรายงานและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1827 | การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ | รง. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณจักรเป็นกรณีพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๒.
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว ๓ สัญชาติ
(กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร
และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ระลอกใหม่ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์
สร้างการรับรู้ แนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา)
อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ระลอกใหม่ ให้นายจ้าง/สถานประกอบการ คนต่างด้าว
และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องทั่วถึง
โดยหลังสิ้นสุดระยะเวลาการยื่นบัญชีรายชื่อ หรือการแจ้งแบบข้อมูลบุคคล
ตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา)
อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดำเนินคดี
คนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย หรือทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และเห็นควรให้มีการสำรวจข้อมูลจำนวนแรงงานต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย
ดำเนินการอย่างเป็นระบบ และมีการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลเป็นรายบุคคล
เพื่อการบริหารจัดการในระยะต่อไปเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม
และความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1828 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | ศธ. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
(Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom
of Thailand and the Government of the Socialist Republic of Viet Nam on co-operation in the field of education) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการในขอบเขตและรูปแบบต่าง
ๆ เช่น การอำนวยความสะดวกในโครงการแลกเปลี่ยนผู้นำทางการศึกษาและฝึกอบรมครู
ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา
การส่งเสริมการเชื่อมโยงของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา
การจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตร การอำนวยความสะดวกด้านการสอนภาษาไทยและภาษาเวียดนาม
การแลกเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์และข้อมูลทางการศึกษา
ตลอดจนการประชุม/สัมมนาและทุนการศึกษา เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงศึกษาธิการสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑) ขอบเขตความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ
ควรระบุให้ชัดเจนว่าครอบคลุมการศึกษาในระดับใด และควรพิจารณาเพิ่ม STEM
Education ในสาขาความร่วมมือด้วย และ (๒) ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมคณะทำงานร่วมที่จะเกิดขึ้น
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการและกิจกรรม ภายใต้กรอบ MOU หรือตามพันธกรณีด้านการศึกษา ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว
สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นในการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจฯ
ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วในโอกาสแรก
ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1829 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.07 | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1830 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 (โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2) | กค. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบความเห็นและการดำเนินงานในโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๐/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓
ที่เสนอให้ใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ ๒.๑
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ที่เห็นควรเร่งดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ
เพื่อรองรับการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือแบบมุ่งเป้าหมายหรือระบบสวัสดิการแห่งรัฐ
ซึ่งจะทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1831 | ผลการดำเนินงานโครงการ Thailand-OECD Country Programme ของนโยบายด้านกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา | นร.09 | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินงานโครงการ Thailand OECD Country Programme ของนโยบายด้านกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยเอกสารดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานปฏิรูปกฎหมายตามหลักการด้านการพัฒนากฎหมายให้ดีขึ้น
(Better Regulation Principles) ตามมาตรา ๗๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินการปฏิรูประบบกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ไม่ว่าจะเป็นการวางหลักการกำกับดูแล กฎระเบียบ การตรวจสอบ
และการนำแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ รวมทั้งเครื่องมือด้านการบริหารจัดการต่าง ๆ
มาปรับใช้ โดยข้อตรวจพบของ OECD แสดงให้เห็นว่า
ประเทศไทยได้ดำเนินการพัฒนากฎหมายตามหลักการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
และเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในช่วง ๒
ทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเสนอข้อแนะนำ (Key recommendations) เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด
ข้อแนะนำชุดนี้เป็นแนวปฏิบัติทั้งในระยะสั้นและระยะกลางที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการอยู่แล้ว
จึงสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที ซึ่งจะมีผลดีต่อการพัฒนาระบบกฎหมายในระยะยาว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดดำเนินการยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน
หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต หรือการประกอบอาชีพของประชาชน ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1832 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบ่อ และตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | คค. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลบางบ่อ และตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบ่อ และตำบลเปร็ง
อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท
สป. ๒๐๐๓ กับทางหลวงชนบท ฉช. ๓๐๐๑
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องได้มาโดยแน่ชัด
อันจะเป็นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งซึ่งเป็นกิจการสาธารณูปโภค
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติทำให้ระบายน้ำไม่ทันและอาจเกิดอุทกภัยในอนาคต
รวมทั้งกรมทางหลวงชนบทควรกำหนดค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวง
สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท สป. ๒๐๐๓ กับทางหลวงชนบท ฉช. ๓๐๐๑
ให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่ในปัจจุบัน
และเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการภายใต้กฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓
ก่อนขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนนโดยเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1833 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวก อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ | มท. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
มีสาระสำคัญเป็นการให้คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
ทั้งประเภทที่ต้องได้รับการตรวจลงตราจากสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลและประเภทที่ได้รับยกเว้นการตรวจลงตรา
ซึ่งมีระยะเวลาการพำนักในราชอาณาจักรไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยคนต่างด้าวดังกล่าวต้องเข้ารับการกักกันเป็นเวลา ๑๔ วัน
ทำให้มีระยะเวลาไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต
จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการพำนักในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวประเภทดังกล่าวอีก
๑๕ วัน รวมเป็น ๔๕ วัน ตั้งแต่วันที่ .. ธันวาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้
ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเป็นการเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรสามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้นานขึ้น
เพื่อให้มีระยะเวลาเพียงพอสำหรับการดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต
อันจะมีผลเป็นการผ่อนคลายให้แก่คนต่างด้าวดังกล่าวที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในช่วงที่มีการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) อย่างไรก็ตาม สมควรรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง รวมทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประกอบการพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1834 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... | รง. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา ๓ เดือน
โดยลดอัตราเงินสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตนมาตรา ๓๓ จากเดิมฝ่ายละร้อยละ ๕
ของค่าจ้างผู้ประกันตน เหลือฝ่ายละร้อยละ ๓ ของค่าจ้างผู้ประกันตน
สำหรับฝ่ายรัฐบาลส่งเงินสมทบอัตราเดิม ร้อยละ ๒.๗๕ ของค่าจ้างผู้ประกันตน
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา ๓๙ ให้ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามมาตรา ๔๖
วรรคสาม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนและนายจ้างจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะได้รับ
รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมอย่างเหมาะสมทั้งในระยะสั้น
ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม
รวมถึงภาระการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต
และควรจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อให้กองทุนประกันสังคมมีความมั่นคงพร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
และผู้ประกันตนมีความมั่นใจในการได้ใช้สิทธิตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1835 | ร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. .... | รง. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่มีกฎกระทรวงในเรื่องเดียวกันใช้บังคับอยู่แล้วในปัจจุบัน
หากจะออกเป็นกฎกระทรวงใหม่ จะต้องยกเลิกกฎกระทรวงเดิม
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์
ดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวังในทุกมิติ
เพื่อให้การจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานดังกล่าวเป็นไปเท่าที่จำเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงินอันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาล
ตลอดจนวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมอย่างเหมาะสมทั้งในระยะสั้น
ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1836 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี | มท. | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (เมืองพัทยา) เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน
เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จาก “ท่าเทียบเรือคอนกรีตเสริมเหล็ก
พร้อมทางขึ้น-ลงเรือ บริเวณท่าเทียบเรือหน้าบ้าน เกาะล้าน” เป็น
“การติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำสำเร็จรูป จำนวน ๓ แห่ง บนพื้นที่เกาะล้าน
เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ได้แก่ (๑)
ก่อสร้างท่าเทียบเรือโดยสารปรับระดับบริเวณท่าเทียบเรือหน้าบ้าน (๒)
ปรับปรุงสะพานศูนย์แพทย์ชุมชนบ้านเกาะล้าน และ (๓) ปรับปรุงท่าเทียบเรือปรับระดับหาดแสม
ในภายวงเงิน ๑๒๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (เมืองพัทยา)
รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้านควรพิจารณาดำเนินการเฉพาะในส่วนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
เพื่อรองรับความต้องการเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย
และคำนึงถึงความคุ้มค่าของงบประมาณและภาระงบประมาณในระยะยาวเป็นสำคัญ และควรพิจารณาเร่งรัดจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการปรับปรุงท่าเทียบเรือหน้าบ้านเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการก่อนเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
การดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของเมืองพัทยาในคราวต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลเมืองพัทยาให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) ที่ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาความจำเป็น
เหมาะสม คุ้มค่า ตลอดจนตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการนั้น ๆ
อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1837 | แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี | นร.11 | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการจัดทำแผนระดับที่
๓ ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓
ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน...
ในส่วนของเนื้อหาของแผนมีองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนด
และให้มีระยะเวลาการดำเนินแผนงานสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
แผนปฏิรูปประเทศ และแผนความมั่นคง (ห้วงละ ๕ ปี) โดยระยะแรกคือ ปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ๑.๒ แนวทางการเสนอแผนระดับที่ ๓
ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... เพื่อการประกาศใช้ แบ่งเป็น ๓ กรณี คือ (๑)
กรณีมีกฎหมายกำหนดให้จัดทำและเสนอแผน (๒) กรณีไม่มีกฎหมายกำหนดให้จัดทำแผน และ (๓)
กรณีการจัดทำแผนผ่านทางกลไกฝ่ายบริหาร ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. และข้อเสนอแนะของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดองที่เห็นควรให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติวิเคราะห์ความเกี่ยวโยงหรือทับซ้อนของแผนเพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการบูรณาการแผนเหล่านั้นให้เป็นแผนภาพรวมในฉบับเดียวเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
และเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง
ชัดเจนให้แก่ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถึงความแตกต่างระหว่างแผนการขับเคลื่อน
Big Rock และแผนปฏิบัติการด้าน... เช่น
ลำดับความสำคัญของแผน วิธีการจัดทำแผน วิธีการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ
รวมถึงการนำแผนต่าง ๆ เข้าสู่ระบบ eMENSCR เพื่อความสะดวกในการติดตาม
ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
แผนแม่บทและแผนการปฏิรูปประเทศต่อไป รวมทั้งเห็นควรให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ในส่วนของการพิจารณาทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
และการเสนอร่างกฎหมายต่าง ๆ ในอนาคต เพื่อมิให้มีบทบัญญัติให้หน่วยงาน/คณะกรรมการ
ต้องเสนอแผนต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่จำเป็นให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดทำคู่มือการจัดทำแผนระดับต่าง
ๆ (Handbook) ที่มีคำอธิบายที่ชัดเจน เข้าใจง่าย
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ให้เสนอคู่มือดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบก่อนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1838 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2564) | นร.08 | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ยกเว้นอำเภอแม่ลาน อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
และอำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอสุคิริน อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ออกไปอีก ๓ เดือน
ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศรวม
๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง
และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน และร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1839 | การเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ 19 ในประเทศไทย พ.ศ. 2566 | ศธ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ ๑๙ ในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๖
โดยมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ๑๐๐ พรรษา ชาตกาล ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
และกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศด้านวิชาการ และส่งเสริมการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
โดยมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) (ซี่งมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานมูลนิธิ) ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(สสวท.) จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และใช้เงินงบประมาณจาก สอวน.
จำนวนประมาณ ๗๙,๒๒๙,๔๕๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเตรียมการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เห็นควรให้ สสวท.
ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ รายการเงินอุดหนุน สอวน.
ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๗
เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น
ประหยัด เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว
โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้
การดำเนินการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท.
ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
อย่างใกล้ชิด และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1840 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Project of the Mekong-Lancang Cooperation Special Fund) | อว. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
(Memorandum of Understanding on the Cooperation on Project of the
Mekong-Lancang Cooperation Special Fund) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งจะมีการลงนามในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ
สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณที่ได้รับสนับสนุนจากงบประมาณกองทุน
MLC Special Fund ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนอย่างสูงสุด โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแล ประเมินผลโครงการ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งมอบงบประมาณและการบริหารจัดการ
โดยเงินที่ส่วนราชการได้รับให้ดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขงของกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้างตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ
เป็นเงินที่หน่วยงานของรัฐได้รับตามโครงการช่วยเหลือ
หรือร่วมมือกับรัฐบาลต่างประเทศ
ซึ่งสามารถเก็บเงินไว้ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลัง และถือปฏิบัติตามกฎหมาย
หลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |