ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 95 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1881 - 1900 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1881 | ขอความเห็นชอบการรับรองเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน | รง. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน
จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งเป็นร่างเอกสารผลลัพธ์ที่ได้รับการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน
ครั้งที่ ๒๘ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ (๑) ร่างแนวทางอาเซียนว่าด้วยการเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิและการคืนสู่สังคมของแรงงานต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ
(๒)
ร่างแผนงานอาเซียนว่าด้วยการขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็กภายในปี
ค.ศ. ๒๐๒๕ (๓) ร่างแนวทางอาเซียนว่าด้วยการบูรณาการเพศภาวะให้เป็นกระแสหลักในนโยบายด้านแรงงานและการจ้างเพื่อมุ่งสู่งานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน
และ (๔) ร่างแนวทางอาเซียนว่าด้วยการประเมินความเสี่ยงอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศสมาชิก
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานด้านต่าง ๆ
เกี่ยวกับแรงงานที่ประเทศสมาชิกอาเซียนยังประสบปัญหา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะประธานคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานทั้ง ๔ ฉบับ
ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ ๑.๓ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับทราบ
(for notation) เอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานทั้ง ๔ ฉบับ
ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๗ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน
จำนวน ๔ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
๓.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1882 | รายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2 | ทส. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน
๒๕๖๒ ที่ได้เคยมีมติเห็นชอบโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕
โดยกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน คือ
หากเป็นเงินกู้เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย และปรับพื้นที่ปลูกอ้อย
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี
และหากเป็นเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี โดยเห็นชอบขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้เงินกู้
ได้แก่ (๑) กู้เงินเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย หรือเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย
เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ และ (๒)
กู้เงินเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๘ ปี แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๒ ๑.๒
เห็นชอบการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) .งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๑.๓
เห็นชอบการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี
๒๕๕๙-๒๕๖๑ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ซึ่งกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยที่เคยได้รับการจัดสรรตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีเพียงพอ ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๒.
ในส่วนของการขอรับการจัดสรรกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเติม
ให้ดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑
มิถุนายน ๒๕๖๒ วงเงิน ๕๙๙.๔๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ
อย่างใกล้ชิด
ควรพิจารณาว่าการดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้และความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก
(WTO) หรือไม่
และควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ภัยแล้ง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1883 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 เรื่อง โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี 2562 - 2564 และการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี 2559 - 2561 และปี 2562 - 2564 | อก. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ได้เคยมีมติเห็นชอบโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔
โดยกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน คือ
หากเป็นเงินกู้เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย
และปรับพื้นที่ปลูกอ้อย กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี
และหากเป็นเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี โดยเห็นชอบขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้เงินกู้
ได้แก่ (๑) กู้เงินเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย
หรือเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี เป็น
กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ และ (๒)
กู้เงินเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๘ ปี แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๒ ๑.๒ การพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย
งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๑.๓ การพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย
งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี
๒๕๕๙-๒๕๖๑ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕)
ซึ่งกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยที่เคยได้รับการจัดสรรตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีเพียงพอ ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๒.
ในส่วนของการขอรับการจัดสรรกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเติม
ให้ดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ วงเงิน ๕๙๙.๔๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างใกล้ชิด ควรพิจารณาว่าการดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้และความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก
(WTO) หรือไม่
และควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ภัยแล้ง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1884 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบอาชีพขับรถรับจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) โดยยังคงหลักการการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากรถรับจ้าง
จึงเห็นควรทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้ขยายอายุรถรับจ้างที่อยู่ในระบบปัจจุบัน จาก ๙ ปี
เป็น ๑๒ ปี ตามหลักการของร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีข้อคิดเห็นว่ารถรับจ้างที่มีอายุมากกว่า
๙ ปี จะต้องถูกตรวจสภาพปีละ ๔ ครั้ง ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามหลักการเดิมที่กระทรวงคมนาคมเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1885 | ขอความร่วมมือในการตอบกระทู้ถาม | สผ. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้คณะรัฐมนตรีถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ (เรื่อง
ขอความร่วมมือในการตอบกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร) โดยเคร่งครัด
และแจ้งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1886 | ขออนุมัติกรอบการเจรจาและข้อเสนอของไทยเพื่อจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทย | สธ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการเจรจาต่อรองเพื่อจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่
(ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Disease) ในประเทศไทย และกำหนดกรอบการเจรจาต่อรองในการดำเนินงานและกรอบวงเงินงบประมาณสนับสนุนของศูนย์ดังกล่าว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การกำหนดกรอบการดำเนินงานและกรอบวงเงินงบประมาณสนับสนุนในกระบวนการเจรจาต่อรอง
ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับและภาระผูกพันด้านงบประมาณที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ
ไป เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า
และภาระทางการคลังและงบประมาณเท่าที่จำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1887 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีด้านเยาวชนของอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือของเยาวชนสำหรับประชาคมอาเซียนที่สอดคล้องและตอบสนอง (Draft Joint Statement of ASEAN Youth Ministers on Enhancing Youth Cooperation for a Cohesive and Responsive ASEAN Community) | พม. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีด้านเยาวชนของอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือของเยาวชนสำหรับประชาคมอาเซียนที่สอดคล้องและตอบสนอง
(Draft Joint Statement of ASEAN Youth Ministers on Enhancing Youth
Cooperation for a Cohesive and Responsive ASEAN Community) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในการประชุมผู้นำเยาวชนอาเซียน (The ASEAN Youth Leaders’ Conference
in line with the 37th ASEAN Summit) ในวันที่ ๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video conference) โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาเยาวชนอาเซียน
และส่งเสริมเยาวชนอาเซียนให้พร้อมรับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป
รวมถึงเน้นย้ำถ้อยแถลงของเยาวชนอาเซียน ปี ๒๐๒๐
และมุ่งเน้นการพัฒนาและเตรียมความพร้อมสำหรับเยาวชนผ่านการดำเนินการต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1888 | ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการทหารผ่านศึกระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 22 ประเทศที่ส่งกองกำลังสนับสนุนการปฏิบัติการของกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลี | กห. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการทหารผ่านศึกระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติ
๒๒
ประเทศที่ส่งกองกำลังสนับสนุนการปฏิบัติการของกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลี (Joint
Communique on Cooperation for Veterans Affairs between the 22 UN Sending States
and the Republic of Korea) และให้เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐเกาหลีเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
เป็นเอกสารที่จะมีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการผู้รักชาติและทหารผ่านศึก
สาธารณรัฐเกาหลี กับผู้แทนจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ๒๒ ประเทศ
ในการประชุมสุดยอดระดับรัฐมนตรีว่าด้วยกิจการทหารผ่านศึก ๒๐๒๐ (Ministerial
Summit on Veterans Affairs 2020) ระหว่างวันที่ ๙-๑๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การเริ่มต้นของสงครามเกาหลี
โดยมีสาระสำคัญเป็นการยืนยันถึงความร่วมมือที่ก้าวหน้าระหว่างกันในช่วงของสงครามเกาหลี
และให้คำมั่นในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีและประชาคมระหว่างประเทศ
รวมทั้งเห็นพ้องที่จะพัฒนาและสร้างความร่วมมือด้านกิจการทหารผ่านศึกระหว่างกันในรูปแบบต่าง
ๆ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1889 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 24 [Joint Ministerial Statement of the Twenty-Fourth ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council] | พม. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๔ [Joint Ministerial Statement of the Twenty-Fourth
ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council] และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๔ [24th Meeting of the ASEAN Socio-Cultural
Community Council (ASCC) Council] ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนประเด็นสำคัญภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของเวียดนาม
ได้แก่ (๑) สันติภาพ ความมั่นคงและเสถียรภาพ (๒) ความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค
ความแน่นแฟ้น และการแสวงหาผลประโยชน์จากโอกาส (๓)
การส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียนและความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน (๔)
การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนกับประชาคมโลกเพื่อสันติภาพ ความมั่นคง
และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของอาเซียน และ (๕) การเพิ่มพูนขีดความสามารถและประสิทธิผลทางสถาบันของอาเซียน
รวมทั้งการรับรองเอกสารผลลัพธ์สำคัญภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนเพื่อการพิจารณาในการประชุมสุดยอดอาเซียน
ครั้งที่ ๓๗ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1890 | ผลการดำเนินงานโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานโครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง
จังหวัดภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่จะเชื่อมโยงการเดินทางจากอำเภอกะทู้ไปยังหาดป่าตอง
และอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนในพื้นที่ นักท่องเที่ยว
และส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต โดยโครงการฯ
จะสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรและอุบัติเหตุบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒๙ รวมทั้งสามารถใช้เป็นเส้นทางอพยพกรณีเกิดภัยพิบัติ
เช่น สึนามิ เป็นต้น สำหรับความคืบหน้าของโครงการฯ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้จัดส่งรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการฯ
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้ประชุมหารือเมื่อวันที่ ๒๒
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ และ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๒
โดยขอให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ให้มีความชัดเจน
เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนในการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของโครงการฯ
ต่อไป ซึ่งโครงการฯ จะต้องดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้ จำนวน ๓ ป่า
ได้แก่ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด เนื้อที่ ๖๐ ไร่ ๘๙ ตารางวา
พื้นที่ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เนื้อที่ ๒๑ ไร่ ๑ งาน ๖๓ ตารางวา
และพื้นที่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ เนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๙๕
ตารางวา ทั้งนี้
คาดว่าจะดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ทั้งหมดแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1891 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) เมื่อวันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
จังหวัดภูเก็ต ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1892 | ข้อเสนอโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” | ทส. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน”
ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันสืบเนื่องมาจากข้อเสนอของที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ
(กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล)
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๑๑ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน
๒,๐๙๘.๕๔๘๘ ล้านบาท สำหรับโครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล
พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง วงเงิน ๒๐๐.๐๐๐๐
ล้านบาท เห็นควรให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องโดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) เร่งจัดเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ของโครงการ อาทิ
สถานที่ดำเนินโครงการ แบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้าง อัตรากำลัง
และการบริหารจัดการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ ความต้องการหรือประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นและความพร้อมของโครงการ
ให้สอดคล้องกับฐานะการคลังของประเทศด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1893 | การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 24 ผ่านระบบการประชุมทางไกล | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๔
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ (GMS Minister) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS
ครั้งที่ ๒๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
รวมทั้งเห็นชอบให้รัฐมนตรีวาการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยไม่มีการลงนามในการประชุมดังกล่าว โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการรับทราบถึงการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออนุภูมิภาค GMS
การชื่นชมแผนงาน GMS ที่ได้ใช้กลไกเชิงสถาบันในฐานะแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศในทั้ง
๑๐ สาขา และการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศ GMS ดำเนินการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์ระยะยาวของแผนงาน
GMS ปี ๒๕๗๓ (GMS-๒๐๓๐) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1894 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 27/2563 | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้จังหวัดในฐานะหน่วยรับงบประมาณเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
และรายงานผลการดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด
รวมทั้งให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เร่งปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
เพื่อให้สามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
และสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในภาพรวมได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1895 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว | กค. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว
ประกอบด้วย การปรับปรุงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง
การปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
การขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำออมสินช่วยเหลือ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว (โครงการ Soft loan ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย)
วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท
และการขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
ควรกำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
อย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
นอกจากนี้ ควรศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา
รวมทั้งการแก้ไขกฎหมาย
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือสำหรับการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1896 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล)
ซึ่งมีข้อสั่งการตามประเด็นการพัฒนากลุ่มจังหวัด เช่น (๑)
การพัฒนาคุณภาพด้านการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานอย่างยั่งยืน (๒) การพัฒนาระบบและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าภาคเกษตร
ประมงและปศุสัตว์ที่มีศักยภาพในพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
และ (๓) การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1897 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์
โดยรัฐบาลสนับสนุนวงเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ ๓
ต่อปี จำนวนไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒
อนุมัติขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
เป็นการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการทั้งสองโครงการเดิมให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามระยะเวลาการขยายระยเวลาชำระคืนเงินกู้พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา
FDR+1
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวมทั้งขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ
(ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย และค่าจ้างผลิตยาง) รวมทั้งสิ้น ๘๙๘.๗๖ ล้านบาท ๑.๓
อนุมัติปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขอสินเชื่อได้จากทั้งธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ
(สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้ยางเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในปีการผลิต
๒๕๖๓ เพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๔ อนุมัติเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง
(ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน
และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒ ต่อปี ๒.
สำหรับแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารา
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนยางพารา เป็นต้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษามาตรการและแนวทางเพิ่มเติมในการดูดซับอุปทานส่วนเกินของยางพาราในระบบ
และ (๒)
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
การยางแห่งประเทศไทยจึงควรหาวิธีชำระคืนเงินกู้โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย)
เร่งดำเนินการระบายสต็อกยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางให้หมดไปโดยเร็ว
โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาและระดับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม
เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาประโยชน์สูงสุดของรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1898 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมกระเช้าไฟฟ้า พ.ศ. .... | มท. | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมกระเช้าไฟฟ้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการก่อสร้าง การอนุญาตให้ใช้ การตรวจสอบมาตรฐานการรับน้ำหนัก
ความปลอดภัย และคุณสมบัติของวัสดุหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นเกี่ยวเนื่องกับกระเช้าไฟฟ้า
และการกำหนดให้กระเช้าไฟฟ้าเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้งาน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒ มกราคม ๒๕๖๓ (เรื่อง แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต
ของทางราชการ) และให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่เห็นควรเพิ่มเติมมาตรการความปลอดภัยใน
หมวด ๒ ข้อ ๒๐ ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วยการจัดให้มีพื้นที่หรือห้องพร้อมเตียงปฐมพยาบาล
ยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการปฐมพยาบาล
และ/หรือการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นตามความเหมาะสม นอกจากนี้ ในร่างข้อ ๑๒ การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบเพื่อออกใบรับรอง
ต้องเป็นกรณีที่เห็นว่าการดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และนำส่งเอกสารหลักฐานครบถ้วน
ซึ่งถ้อยคำในส่วน “...และมีผลการพิจารณาตรวจสอบ พร้อมทั้งจัดให้มีการประกันภัยตามข้อ
๑๑...” ควรแก้ไขเป็น “...และมีผลการพิจารณาตรวจสอบและทดสอบกระเช้าไฟฟ้า
พร้อมทั้งหลักฐานการจัดให้มีการประกันเพื่อประกันความรับผิดชอบของบุคคลภายนอก ตามที่กำหนดในข้อ
๑๑ วรรคสอง...” เพื่อให้เกิดความชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีและความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลเกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น
เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารควบคุมการขออนุญาตก่อสร้าง การตรวจสอบและทดสอบความมั่นคงแข็งแรง
มาตรฐานความปลอดภัย
และคุณสมบัติของวัสดุหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นเกี่ยวเนื่องกับกระเช้าไฟฟ้า
รวมทั้งการปฏิบัติอื่น ๆ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างเข้มงวดต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1899 | การอนุญาตให้เรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) เข้ามาในราชอาณาจักร (ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ) | คค. | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดคุณสมบัติของคนต่างด้าวที่มีสิทธิขอรับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ
[Special Tourist Visa (STV)] รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวโดยเรือสำราญและกีฬา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น (๑)
ควรพิจารณาให้บุคคลต่างด้าวที่มีความประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทยเข้ากักตัวในโรงแรมที่พักที่เป็นสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก
หรือสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือกในราชอาณาจักรไทย แทนการกักตัวภายในเรือ
เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อระหว่างกันของคนต่างด้าวภายในเรือ (๒)
ควรคำนึงถึงความพร้อมของแนวทางในการบริหารจัดการของท่าเรือที่จะรองรับนักท่องเที่ยว
และ (๓)
ควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดเพื่อให้สามารถเกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1900 | ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย | กษ. | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี ๒๕๖๓ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน
ประจำประเทศไทย และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
(กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับฝ่ายจีนภายในเดือนตุลาคม
๒๕๖๓) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
อย่างสูงสุด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|