ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 100 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1981 - 2000 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1981 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รายการโครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ | ตช. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาบริการประชาชนและพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ
โครงการปฏิรูประบบงานตำรวจ กิจกรรมการปฏิรูประบบงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย
งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากเดิม
“โครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่มาตรฐานสากล
เพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แขวงปทุมวัน
เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ” เป็น
“โครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่มาตรฐานสากล
เพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ
แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ” ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑๘.๒๖
ล้านบาท ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๑๘ ล้านบาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว ส่วนที่เหลืออีก
จำนวน ๑๐๐.๒๖ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ไม่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้
จึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ตามหลักเกณฑ์การบริหารวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๒.
การจัดทำแผนงาน/โครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบความพร้อมของการดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ
ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐
(เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1982 | ขออนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จากรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้กันเงินไว้และไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทัน มาดำเนินรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดินเพื่อการชลประทาน | กษ. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กรมชลประทานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
จากรายการที่ได้มีการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและได้กันเงินไว้ตามระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลัง
(ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒) ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๓ จำนวน ๑๖ รายการ วงเงินรวม ๑,๐๕๙.๑๙๓๐ ล้านบาท มาดำเนินการในงบลงทุน
ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน
จำนวน ๙ รายการ วงเงินรวม ๑,๐๕๙.๑๙๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ในการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณจากรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้กันเงินไว้และไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทัน
มาดำเนินรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน
ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดินเพื่อการชลประทาน และควรเร่งรัดดำเนินโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่เริ่มโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1983 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้่นที่ 1 เอ เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ตามคำขอต่ออายุประทานบัตร ที่ ๗/๒๕๕๗
(ประทานบัตรที่ ๒๘๐๓๔/๑๕๗๒๓) ของบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และ ๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ เช่น (๑)
ผู้รับอนุญาตต้องดูแล รักษา และปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ทำหมืองแร่และบริเวณใกล้เคียง
เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่ทั้งหมดที่ได้รับอนุญาต (๒)
คณะรัฐมนตรีสามารถผ่อนผันการใช้พื้นที่ดังกล่าวได้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่กำหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองแร่
และคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า
การดำเนินการดังกล่าวมีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่
และ (๓) กระทรวงอุตสาหกรรมควรดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านอุปทานและความต้องการใช้แร่ในภาพรวมและแร่ชนิดต่าง
ๆ
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศไทยให้ชัดเจน
และควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำกับติดตามการดำเนินการของผู้ได้รับประทานบัตรให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการกำกับติดตามฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ ปี
ตลอดอายุประทานบัตรด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคมต่อท้องถิ่นและประเทศของการผ่อนผันให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ
เปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจเกิดขึ้น
ให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1984 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2563 | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓
ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ
รวมถึงการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ
และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒.
สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายของโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) และโครงการของจังหวัดภายใต้แผนงาน ๓.๒
จำนวน ๕๓ โครงการ
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ควรมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกันของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและชัดเจนในการวางแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้
รวมทั้งควรกำหนดราคาจำหน่ายวัคซีนที่ได้จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม
เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
นอกจากนี้ ในส่วนการขยายฐานการใช้สิทธิสำหรับบริษัท (Corporate) ภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ควรพิจารณาขอความร่วมมือบริษัทให้ดำเนินการใช้สิทธิผ่านผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศเพื่อให้มาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดการกระจายรายได้และเสริมสภาพคล่องแก่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศและผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นเครือข่ายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1985 | การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 12 และผลการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชนกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 13 | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชนกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๖๓
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทย
ในการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๒ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๒๗
สิงหาคม ๒๕๖๓ รวมทั้งเห็นชอบประเด็นหารือของไทย
และร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๒
เพื่อให้รัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทย ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองร่างแถลงข่าวร่วมฯ
โดยไม่มีการลงนาม
ในการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๒ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๒๗
สิงหาคม ๒๕๖๓ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกยาน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรี่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1986 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน
และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ (ระยอง
ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) เมื่อวันอังคารที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดระยอง
และเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1987 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม)
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๐
แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ
๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี
ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ ภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สิ้นสุดลง
ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล
โดยการขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากขึ้น
รวมทั้งเริ่มทยอยปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๘๐
ของประมวลรัษฎากร
เมื่อระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศกลับสู่ภาวะปกติก่อนการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ในปี ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1988 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 | กษ. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย
ปี ๒๕๖๓ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยให้สามารถฟื้นฟูการผลิตลำไยที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านการผลิตและการตลาด
และส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรมีแนวทางปฏิบัติต่อสวนลำไยเพื่อประกอบอาชีพชาวสวนลำไยได้อย่างยั่งยืน
เกษตรกร จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ครัวเรือน ภายใต้กรอบวงเงินทั้งสิ้น ๓,๔๔๐,๐๔๙,๗๓๕ ล้านบาท
ระยะเวลาดำเนินการ เดือนสิงหาคม-ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า
ต้นทุนที่เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงอย่างทั่วถึงและไม่เกิดความซ้ำซ้อน
รวมถึงการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว
อันจะนำไปสู่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของสถานะทางการคลังของประเทศ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือในด้านการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์ให้ได้คุณภาพเหมาะสมกับการนำไปแปรรูปผลิตภัณฑ์
และการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากลำไยที่มีความหลากหลายมากขึ้น
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตลำไย เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1989 | ขออนุมัติร่างความตกลงโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และการกีฬาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีกำปงเฌอเตียลและสถาบันเทคโนโลยีกำปงสปือ | กต. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างความตกลงโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา
ด้านการศึกษา ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงศึกษาธิการ
เยาวชน และการกีฬาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
ว่าด้วยการพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีกำปงเฌอเตียลและสถาบันเทคโนโลยีกำปงสปือ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามความตกลงฯ
โดยมีกำหนดการลงนามความตกลงฯ ในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓ โดยร่างความตกลงฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คู่ภาคี (กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และการกีฬาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา)
ร่วมมือกันพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีกำปงเฌอเตียล และสถาบันเทคโนโลยีกำปงสปือ
เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาทั้งสายสามัญและสายอาชีวศึกษา
ระดับอนุปริญญา ระดับปริญญา ครูทักษะชีวิต และครูวิชาชีพในระดับอุดมศึกษา รวมทั้งการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของคู่ภาคี
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการฯ ที่จะเกิดขึ้นเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ภายใต้โครงการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย
ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1990 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งสิ้น 2,771.1784 ล้านบาท ของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท | คค. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งสิ้น ๒,๗๗๑.๑๗๘๔ ล้านบาท
ประกอบด้วย กรมทางหลวง วงเงินรวม ๑,๗๑๙.๑๐๐๘ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท วงเงินรวม
๑,๐๕๒.๐๗๗๖ ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ
(Rubber Fender Barrier : RFB) และโครงการติดตั้งหลักนำทางยางธรรมชาติ
(Rubber Guide Post : RGP) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาเลือกจุดดำเนินการ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ทุกภาคส่วนจะได้รับอย่างเคร่งครัด และรับรองความพร้อมกำลังการผลิตของสถาบันเกษตรกรในการผลิต
RFB และ RGP ตามปริมาณที่ต้องใช้ในการดำเนินโครงการฯ
ตลอดจนกำกับดูแลการผลิตและการติดตั้งให้มีมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
และติดตามการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดพัสดุ และวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย รวมทั้งให้ติดตามสถานการณ์ราคายางพาราอย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาต่อไป ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1991 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | สธ. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน
๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในลักษณะเงินอุดหนุนให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
เพื่อให้การสนับสนุนหน่วยงานเครือข่ายการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด
19 และการสร้างขีดความสามารถของประเทศโดยการพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควร (๑)
มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขหรือนอกสังกัดที่มีความชำนาญและเกี่ยวข้องด้านเทคนิคดังกล่าวร่วมพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในทุกมิติสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว
(๒)
มีการกำหนดข้อตกลงร่วมกันของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบแบบแผนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการวางแผนการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงิน
รวมทั้งการกำหนดราคาจำหน่ายวัคซีนที่ได้จากการพัฒนาวัคซีนต้นแบบและการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อยู่ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
และ (๓) สถาบันวัคซีนแห่งชาติควรวางระบบการกำกับและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ทันต่อสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเกิดผลสัมฤทธิ์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1992 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก
๑ (ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1993 | ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเวทีแสดงพลังสร้างสรรค์ของประชาชนคนรุ่นใหม่ ณ จังหวัดระยอง เพื่อกำหนดประเด็นการพัฒนาเชิงพื้นที่ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเวทีแสดงพลังสร้างสรรค์ของประชาชนคนรุ่นใหม่
ณ จังหวัดระยอง เพื่อกำหนดประเด็นการพัฒนาเชิงพื้นที่ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ และเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1994 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาวกุลยา ตันติเตมิท) | กค. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการ
ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง
ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เป็นต้นไป เนื่องจากครบกำหนดเวลา ๒ ปี
ที่ออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน
๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1995 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและเสนอมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม | กค. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม เพื่อให้ SMEs
สามารถเข้าถึงสินเชื่อตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อความต้องการ
โดยภาระงบประมาณสำหรับการชดเชยความเสียหายในอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๖
ของวงเงินอนุมัติค้ำประกัน กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๙,๑๒๐ ล้านบาท นั้น
เห็นควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ ขอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน
หากไม่เพียงพอจึงขอรับจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะต่อไป ๑.๒
เห็นชอบการปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท การปรับปรุงแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ
SMEs อย่างทั่วถึง
การขยายกลุ่มเป้าหมายโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และการปรับปรุงและขยายเวลาดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ
Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ ทั้งนี้
กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
รวมทั้งการปรับปรุงการดำเนินการดังกล่าวจะต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้เดิมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน
อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคต ประกอบกับในการดำเนินการดังกล่าว
เห็นควรที่กระทรวงการคลังจะได้กำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ
เพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยง
ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจาก NPLs ซึ่งรัฐบาลจะต้องรับภาระชดเชย
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคต
อีกทั้งเพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และเห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
โดยจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น (๑) ควรทบทวนตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นกรณีเร่งด่วน
และเน้นการพิจารณาผลการดำเนินงานจากการผลักดันนโยบายของภาครัฐแทนการพิจารณาผลกำไรจากการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและพันธกิจที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้รับมอบหมายในช่วงเวลานี้
(๒) ควรให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งเตรียมบุคลากร กระบวนการ
และระบบการคัดกรองเพื่อออกผลิตภัณฑ์ตามโครงการดังกล่าว
รวมทั้งพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องด้วย (๓) โครงการต่าง ๆ
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจที่เปราะบางและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
เช่น กลุ่มท่องเที่ยว และ SMEs ที่เข้าไม่ถึงระบบสถาบันการเงินก่อนเป็นอันดับแรก
และ (๔)
ภาครัฐควรดำเนินการควบคู่ไปกับการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs
มีรายได้หมุนเวียนที่จะนำมาชำระหนี้ในอนาคตได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1996 | การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 3 | กต. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ของการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง
ครั้งที่ ๓
และร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการทำงานร่วมกันและสอดคล้องกันระหว่างกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างกับระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศแห่งใหม่
ซึ่งเป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง
ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับประเด็นที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคง
ตลอดจนสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนในอนุภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้าง
ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหว อาทิ การจัดการทรัพยากรน้ำ
ควรจะได้มีการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ
และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1997 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2563 | นร.11 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณาขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๘ (๒)
แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้
(๑) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วนและเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
โดยไม่มีความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย
หรือสิทธิที่พึงได้รับจากภาครัฐไปแล้ว รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด มีความโปร่งใส
สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน และ
(๒) ให้กระทรวงการคลังหารือหน่วยงานรับผิดชอบแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการ/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ
เยียวยาและชดเชยให้กับภาคประชาชน
เกษตรกรและผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลของประชาชนที่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยา
และชดเชยภายใต้แผนงาน/โครงการดังกล่าวภายใต้ข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือ
เยียวยา และชดเชย
รวมถึงการจัดระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนในแต่ละกลุ่มได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1998 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดหารถสูบส่งน้ำ ไม่น้อยกว่า 35,000 ลิตร/นาที และส่งน้ำระยะไกล ไม่น้อยกว่า 10 กิโลเมตร พร้อมอุปกรณ์ | มท. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เพื่อจัดหารถสูบส่งน้ำไม่น้อยกว่า ๓๕,๐๐๐ ลิตร/นาที
และส่งน้ำระยะไกลไม่น้อยกว่า ๑๐ กิโลเมตร พร้อมอุปกรณ์ จำนวน ๗ คัน คันละ ๔๕,๐๐๐,๐๐๐
บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1999 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินโครงการจัดเช่ารถยนต์ตรวจการณ์ จำนวน 36 คัน รายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ 5 ปี (ปี 2563 - 2567) | มท. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่ารถยนต์ตรวจการณ์ จำนวน ๓๖
คัน สำหรับนำมาใช้ในราชการของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
แต่เนื่องจากเป็นกรณีเช่ารถยนต์ประเภทพิเศษ
และมีอัตราค่าเช่าไม่เป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด
เห็นควรที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะทำการตกลงกับกระทรวงการคลังก่อนการลงนามในสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม
๒๕๕๐ และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๘ ตามนัยข้อ ๗ (๓)
ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๓,๐๓๘,๔๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน
๙,๑๑๕,๒๐๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว
ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๘
โดยให้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนให้สอดคล้องกับวงเงินสัญญาต่อไป
และยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีกรณีเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการต่ำกว่า ๕ ปี
ด้วย หากการเช่ารถยนต์ตรวจการณ์ดังกล่าวมีระยะเวลาต่ำกว่า ๕ ปี ทั้งนี้
การก่อหนี้ผูกพันหรือจ่ายเงิน
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีที่รถยนต์ตรวจการณ์เป็นรถยนต์ที่ไม่มีอัตราค่าเช่ารถยนต์ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้
กระทรวงมหาดไทยจึงต้องขอทำความตกลงอัตราค่าเช่ารถยนต์ตรวจการณ์กับกระทรวงการคลัง
(กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒
พฤษภาคม ๒๕๕๐ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕
ก่อนดำเนินการทำสัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2000 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 และโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง | พณ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๓/๖๔ และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี
๒๕๖๓/๖๔ (ประกอบด้วย
โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลังและการบริหารจัดการการนำเข้าส่งออก)
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๓/๖๔ กรอบวงเงิน ๙,๗๘๘,๙๓๓,๗๙๘.๔๐ บาท
และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๓/๖๔
(ประกอบด้วย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังและโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร)
กรอบวงเงิน ๑๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน
เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
ทั้งในส่วนของข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่
จำนวนพื้นที่เพาะปลูก จำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน
ตลอดจนจัดให้มีระบบการรายงานการติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินโครงการ
เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน
สำหรับประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลังสำหรับอัตราค่าใช้จ่ายและกรอบวงเงินการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๒ (เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙
เพื่อดำเนินงานโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง)
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามมาตรการการดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายมันสำปะหลัง
รวมทั้งให้ดำเนินการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง
โดยป้องกันและควบคุมการขนย้ายต้นพันธุ์และท่อนพันธุ์จากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคทั้งในและประเทศเพื่อนบ้าน
และให้ความสำคัญกับการดำเนินการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๓/๖๔ และมาตรการคู่ขนาน ควรมีการตรวจสอบเกษตรกรผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ
ตลอดจนกลไกการชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงอย่างเหมาะสมและถูกต้อง
และควรกำกับดูแลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการ/มาตรการอย่างแท้จริง
สำหรับโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง
ควรกำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคและแมลงหวี่ขาวยาสูบพาหะนำโรคในทุกพื้นที่ที่พบการระบาด
รวมทั้งจ่ายค่าชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคใบด่างมันสำปะหลังโดยเร็ว
และควรเตรียมจัดหาท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่มีคุณภาพและปลอดโรคใบด่างมันสำปะหลังไว้สำหรับให้เกษตรกรใช้เพาะปลูกในฤดูการผลิตปีถัดไปด้วย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |