ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 381 | ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการกำจัดโรคไข้มาลาเรียประเทศไทย | สธ | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การกำจัดโรคไข้มาลาเรียประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๙ โดยมีวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยปลอดจากโรคไข้มาลาเรีย ภายในปี ๒๕๖๗ (ค.ศ. ๒๐๒๔)” และแผนปฏิบัติการกำจัดโรคไข้มาลาเรียประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ คือ (๑) การเร่งรัดกำจัดการแพร่เชื้อมาลาเรียในประเทศไทย (๒) การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม มาตรการ และรูปแบบที่เหมาะสม ในการกำจัดโรคไข้มาลาเรีย (๓) การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายระดับประเทศ และระดับนานาชาติ เพื่อขับเคลื่อนงานกำจัดโรคไข้มาลาเรีย และ (๔) การส่งเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพในการดูแลตนเองจากโรคไข้มาลาเรีย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการพัฒนายาหรือวัคซีนตัวใหม่ โดยรัฐบาลสนับสนุนทั้งด้านบุคลากรและงบประมาณ และส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องเพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายการกำจัดมาลาเรียให้หมดไปจากประเทศไทย รวมทั้งควรมีมาตรการส่งเสริมและพัฒนาวัคซีนให้สามารถควบคุมการเกิดโรคไข้เลือดออกด้วย และควรมีการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดให้ครอบคลุมมาตรการที่สำคัญภายใต้แผนปฏิบัติการฯ โดยเฉพาะประเด็นการกำจัดเชื้อมาลาเรียดื้อยา การผลักดันนโยบาย/กลไกระดับประเทศ ระหว่างประเทศ และแนวชายแดนให้เกิดแนวทางการทำงานร่วมกัน สำหรับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ควรมีลักษณะเป็นงบประมาณแบบบูรณาการเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการจัดสรรงบประมาณและส่งเสริมให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำงานเชื่อมโยงกัน นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความประหยัดและคุ้มค่า ตลอดจนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 382 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงโครงการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการบ้านประชารัฐ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องคำนึงถึงความสามารถและฐานะของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการในอนาคตด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมทางบก โดยเฉพาะในจุดที่เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ทางยกระดับเพื่อแก้ปัญหาการจราจรบริเวณถนนพระราม ๒ เส้นทางสายหลักสู่ภาคใต้ที่ชำรุดทรุดโทรม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวและประชาชน ๑.๓ ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น พัฒนาระบบผันน้ำเชื่อมโยง ๒ จังหวัด จากแม่น้ำเพชรบุรีถึงอ่างเก็บน้ำห้วยมงคล (จังหวัดเพชรบุรี-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแนวทางการส่งเสริมเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เกษตรกร โดยหาวิธีอื่นแทนการแจกเมล็ดพันธุ์ เช่น การนำเมล็ดพันธุ์ดีไปแลกเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกร ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำสรุปกรอบความร่วมมือในภารกิจสำคัญที่ประเทศไทยร่วมมือกับต่างประเทศในระดับต่าง ๆ เช่น กรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) กรอบความร่วมมืออาเซียน กรอบความร่วมมือในกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) กรอบความร่วมมือกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในองค์การสหประชาชาติ (Group of 77 : G77) กรอบความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ โดยจัดทำกรอบระยะเวลาการดำเนินการให้ชัดเจนว่ากิจกรรมใดจะต้องดำเนินการภายในช่วงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) และกิจกรรมใดจะต้องส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไป โดยให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนงานในภารกิจหลักของหน่วยงานระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านจัดทำแผนการปฏิรูปภารกิจที่สำคัญในความรับผิดชอบที่จะดำเนินการในช่วงปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ โดยให้มีแผนที่นำทาง (Roadmap) ในแต่ละภารกิจที่ชัดเจน จำแนกเป็นภารกิจหลัก ภารกิจรอง และภารกิจเสริม โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการทั้งในเชิงการบริหารงานและการบริหารงบประมาณ ความพร้อมในด้านกฎหมาย การกำหนดกลไกการขับเคลื่อนการวางแผนการบริหารจัดการในระยะยาวอย่างเป็นระบบ การบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน นั้น ให้ดำเนินการ ๓.๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านกำกับให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยในการจัดทำ Roadmap ให้คำนึงถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการให้แล้วเสร็จในช่วงปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ เป็นสำคัญ และให้พิจารณาในด้านต่าง ๆ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เช่น การเกษตร การบริหารจัดการน้ำ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ การศึกษา สาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความมั่นคง การค้าการลงทุน การสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดระเบียบพื้นที่ ระบบการคมนาคมขนส่ง การจัดการเมืองใหญ่ การบริหารจัดการแรงงานทั้งในและต่างประเทศ กฎหมายและการแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา การอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านส่ง Roadmap ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ภายในสัปดาห์หน้าเพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓.๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการเกี่ยวกับภารกิจที่สำคัญในความรับผิดชอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนหรือเรื่องที่สมควรสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน โดยจัดทำสื่อวีดิทัศน์เผยแพร่ภารกิจในลักษณะดังกล่าวส่งให้กรมประชาสัมพันธ์เพื่อนำไปออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติหรือรายการเดินหน้าประเทศไทย รวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลภารกิจในลักษณะดังกล่าว และ Application ในความรับผิดชอบกับศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Government Application Center : GAC) ๓.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ให้ทุกส่วนราชการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเสนอ นั้น ในการจัดทำโครงการหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของส่วนราชการในระยะต่อไป ให้ส่วนราชการเชิญคณะกรรมการสานพลังประชารัฐและคณะทำงาน ๑๒ คณะ ภาคธุรกิจ เข้าร่วมตามความเหมาะสมด้วย เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ตามแนวทางประชารัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการจัดหารถไฟฟ้าสำหรับโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) และพิจารณาเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานี เช่น ลิฟท์ และทางลาดสำหรับผู้โดยสารที่มีสัมภาระ รวมทั้งพิจารณาช่องทางการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น โดยให้คำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนเป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||
| 383 | การดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองและแผนการเสนอกฎหมายลำดับรอง และการเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ | นร | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองและแผนการเสนอกฎหมายลำดับรอง และการเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ ดังนี้
๑. ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อคณะรัฐมนตรี ให้ทุกส่วนราชการเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบและเพื่อติดตามความคืบหน้าด้วย ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านกำกับติดตามและเร่งรัดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ กฎหมายเกี่ยวกับด้านภาษี กฎหมายเกี่ยวกับการเงินการคลัง กฎหมายเกี่ยวกับวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวกับการให้บริการภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) กฎหมายเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพื่อให้สามารถนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในโครงการอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐต่อไป กฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ โดยให้มีการกำหนดให้ชัดเจนเกี่ยวกับสหกรณ์ด้านการเกษตรและสหกรณ์ด้านอื่น ๆ รวมทั้งกฎหมายที่ต้องปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอนในการดำเนินการให้กระชับและรวดเร็วขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายเกี่ยวกับศุลกากร กฎหมายคนเข้าเมือง ตลอดจนจัดทำกฎหมายลำดับรองซึ่งออกตามกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) กฎหมายเกี่ยวกับการประมง กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ กฎหมายเกี่ยวกับการบินพลเรือน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการเพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในเดือนตุลาคม ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
| 384 | การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมิน การหักลดหย่อน จำนวนเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน และอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรวิเคราะห์ถึงภาระภาษีที่แท้จริงของผู้มีหน้าที่เสียภาษีในแต่ละช่วงชั้นรายได้ เพื่อให้สามารถพิจารณาผลกระทบของการปรับปรุงการหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีต่อการกระจายรายได้ระหว่างผู้มีหน้าที่ต้องชำระภาษีในช่วงชั้นรายได้ต่าง ๆ การเตรียมแนวทางในการลดผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยเฉพาะการเร่งรัดการขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล การเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการนำนโยบายการจัดสรรเงินโอนให้ผู้มีรายได้น้อย (Negative Income Tax) มาใช้ในประเทศ และการกำหนดให้ประชาชนผู้มีรายได้ทุกคนต้องยื่นแบบเพื่อชำระภาษี นอกจากนี้ การปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่นำเสนอ ควรคำนึงถึงการบรรเทาภาระรายจ่ายภาษีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย และความสอดคล้องตามหลักการของโครงสร้างอัตราภาษีก้าวหน้าอย่างแท้จริง อีกทั้งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ในภาพรวมของรัฐบาล จึงควรพิจารณาสัดส่วนของความเป็นธรรมที่ประชาชนจะได้รับกับรายได้ของรัฐที่เสียไปที่อาจส่งผลกระทบต่อความเพียงพอและความเหมาะสมในการจัดบริการสาธารณะของรัฐที่ผ่านกลไกของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมทั้งมาตรการทางภาษีอื่นใดที่จะนำมาทดแทนกับภาษีบุคคลธรรมดาที่สูญเสียไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 385 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) | คค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในกรอบวงเงินรวม ๘๒,๙๐๗ ล้านบาท (ไม่รวมค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว) ประกอบด้วย ค่างานก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๘๐,๑๑๘ ล้านบาท (รวมค่า Provisional Sum) และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างงานโยธาโครงการ จำนวน ๒,๗๘๙ ล้านบาท โดยแต่ละรายการจะแบ่งเป็นหลายสัญญาตามความเหมาะสมทางเทคนิค ๑.๒ แหล่งเงินดำเนินโครงการ ๑.๒.๑ ให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมโดยวิธีการให้กู้ต่อหรือค้ำประกันเงินกู้ภายใต้กรอบวงเงินค่างานก่อสร้างงานโยธาค่า Provisional Sum ของงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโยธา ในกรอบวงเงินรวม ๘๒,๙๐๗ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินในกรอบวงเงินสำหรับในแต่ละกรณีตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๕ (๓) โดยให้ รฟม. ทยอยกู้เงินดังกล่าวเป็นงวด ๆ ตามความเหมาะสมและความจำเป็น ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีให้เป็นรายได้แก่ รฟม. ให้เพียงพอเพื่อการดำเนินการ การบริหารงาน การลงทุน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และการชำระหนี้แก่แหล่งเงินกู้ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง และเงินชดเชยสาธารณะของโครงการ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรเร่งรัดการนำเสนอรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้ รฟม. สามารถดำเนินการสรรหาเอกชนเข้าร่วมลงทุน การกำกับดูแลให้ รฟม. กำหนดราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้ไม่เกิน ๓๐ วันก่อนเริ่มดำเนินการจัดหาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม การดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุอย่างเคร่งครัดและเจรจาต่อรองราคาให้ได้ราคาต่ำสุด การนำเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ มาใช้ การเร่งรัดดำเนินโครงการและเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนโดยเร็ว รวมทั้งการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการเพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับการบริหารโครงการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การเร่งพิจารณาการนำเสนอโครงการเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มได้ทั้งเส้นทางภายในปี ๒๕๖๕ ตามเป้าหมาย การพิจารณาหาข้อสรุปเรื่องรูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการเดินรถที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยเร็ว การแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงภายในและภายนอกสถานี การเร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาของแผนงานที่กำหนด ตลอดจนเสนอโครงการในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถโดยให้เอกชนร่วมลงทุนให้สอดรับกับระยะเวลาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ยังคงมีภาระงบประมาณค่อนข้างสูง แม้ว่าจะมีการปรับลดกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาของโครงการลงบางส่วนแล้ว ดังนั้น ในระหว่างดำเนินโครงการ หาก รฟม. พิจารณาแล้วเห็นว่างานก่อสร้างในส่วนใดที่เอกชนมีความสนใจจะเข้าร่วมลงทุน เช่น การก่อสร้างอาคารจอดแล้วจร ก็ให้ รฟม. เร่งพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณภาครัฐ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้วย ๔. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐดำเนินการสุ่มตรวจโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมที่ผ่านมา เพื่อศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของการจ้างที่ปรึกษาโครงการและให้ข้อเสนอแนะในการจ้างที่ปรึกษาที่เหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 386 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ปี 2559 | พณ | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนมกราคมปี ๒๕๕๙ ยังคงเผชิญแรงฉุดรั้งสำคัญที่กดดันมูลค่าส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยสืบเนื่องจากปี ๒๕๕๘ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันที่ลดลงกระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และกำลังซื้อของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตรโลกที่อยู่ในระดับต่ำ การใช้มาตรการลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออกของหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังมีสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศผู้ส่งออกสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย อีกทั้งข้อมูลการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยแสดงว่าไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในตลาดและสินค้าส่งออกสำคัญไว้ได้ สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนมกราคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๕,๗๑๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๘.๙๑ (YoY) แต่หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกจะหดตัวอยู่ที่ร้อยละ ๕.๔ (YoY) และมีแนวโน้มหดตัวในอัตราที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรลดลงร้อยละ ๔.๑ (YoY) และมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวลดลงร้อยละ ๘.๕ (YoY) สำหรับการนำเข้าเดือนมกราคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๕,๔๗๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๒.๓๗ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ยังคงเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๙ ติดต่อกัน เป็นมูลค่า ๒๓๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. แนวทางการขับเคลื่อนการส่งออกของไทย ปี ๒๕๕๙ มี ๕ ด้าน ได้แก่ การขยายการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดอินโดจีน หรือ CLMV การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก การส่งเสริมการค้าบริการ (Trade in Services) การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ และการผลักดันและแก้ปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
|
|||||||||||||||||||||
| 387 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2559 | กค | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน มาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งแจ้งหน่วยงานเจ้าของโครงการให้เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมประกวดราคาให้มีการประกวดราคาและลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดทาง ๑ เมตร (Meter Gauge) ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ให้เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๙ ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๘,๐๕๒ ล้านบาท และ (๒) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ให้เร่งรัดการเจรจาต่อรองราคาใน ๘ ตอนที่เหลือ รวมทั้งเร่งประกวดราคาในอีก ๒ ตอนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าข่ายโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) ที่ได้รับอนุมัติแล้วให้มีการเบิกจ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ในช่วง ๒ เดือนที่เหลือของไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ (กุมภาพันธ์-มีนาคม ๒๕๕๙) ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๕. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศมีหนังสือถึงหน่วยงานราชการเน้นย้ำให้ดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ สำหรับวงเงิน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ก่อหนี้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกรณีที่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ แต่อาจจะเบิกจ่ายงบประมาณแล้วเสร็จภายหลังสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ในกรณีนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นส่งเรื่องขอผ่อนผันกรณีการเบิกจ่ายล่าช้าดังกล่าวมายังสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้รวบรวมเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียว แต่หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมิได้แจ้งผ่อนผันไปยังสำนักงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจะต้องนำเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณี รวมทั้งเร่งดำเนินการตามโครงการและมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
| 388 | หลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายการที่นำงบประมาณมาจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ. .... เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนในทุกงบรายจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ไม่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ไม่รวมงบกลาง ๑.๒ รายการที่ไม่นำงบประมาณมาจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ. .... ๑.๒.๑ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนที่เป็นงานดำเนินการเอง ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน งบลงทุนที่มีคุณลักษณะพิเศษต้องใช้เทคโนโลยีหรือข้อเทคนิคพิเศษชั้นสูง หรือต้องจัดหาจากต่างประเทศ รายการที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการขยายระยะเวลา และเงินงบประมาณเหลือจ่าย ๑.๒.๒ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนที่เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ และพิจารณาแล้วว่าจะสามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความต่อเนื่อง และเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ๑.๒.๓ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนจากการโอนเปลี่ยนแปลงเงินเหลือจ่ายจากรายจ่ายลงทุนหรือรายจ่ายประจำ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ดำเนินการได้โดยต้องลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๓ ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ได้เสนอแผนการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณพร้อมชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/ว ๖๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ เรื่อง การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วนั้น สำนักงบประมาณจะนำแผนดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา และหากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นก็จะดึงงบประมาณคืน และจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ต่อไป ๑.๔ สำหรับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ให้รวบรวมรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันงบประมาณได้ทันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||
| 389 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร] | กค | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาของมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายได้ ๒ เท่า สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ กำหนดให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ มาหักจากเงินได้พึงประเมินเสมือนเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ เฉพาะค่าบริการหรือค่าที่พักที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยและการแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว รวมทั้งติดตามประเมินผลมาตรการดังกล่าวทั้งที่ได้ดำเนินมาตรการไปแล้วในช่วงก่อนหน้าและมาตรการในครั้งนี้ นอกจากนี้ จัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจทราบและเข้าใจสาระสำคัญ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่ชัดเจน รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรการดังกล่าวอย่างทั่วถึงโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 390 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตรวจพิจารณาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ที่ได้มีการลงนามไปแล้ว หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหรือจัดทำบันทึกความเข้าใจขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนได้หารือร่วมกัน ให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการบ่มเพาะและกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมทั้งที่ประดิษฐ์คิดค้นโดยเยาวชนและประชาชนทั่วไป รวมถึงการแปลงนวัตกรรมให้เป็นสินค้าออกสู่ท้องตลาด โดยใช้กลไกประชารัฐที่มีภาคเอกชนมาร่วมดำเนินการ เช่น การจับคู่ธุรกิจกับเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถ การกำหนดมาตรการสนับสนุนผู้เริ่มทำธุรกิจ (New Start-up) โดยอาจพิจารณานำรูปแบบการส่งเสริมนวัตกรรมของประเทศเกาหลีใต้มาปรับใช้ในประเทศไทย ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้ทุกกระทรวงจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนในการเสนอร่างกฎหมายใหม่ การแก้ไขกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการดำเนินการในภารกิจที่สำคัญเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ต่อการปฏิรูปและการบริหารราชการแผ่นดินตาม Road Map โดยจำแนกให้ชัดว่า เรื่องใดสามารถจัดทำเป็นกฎหมาย หรือเรื่องใดมีความจำเป็นต้องใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ให้ทุกกระทรวงนำเสนอให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาภายในวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินการรวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กลั่นกรองก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการที่มีหน้าที่กำหนดนโยบาย ขับเคลื่อนและติดตามงานที่สำคัญในเรื่องต่าง ๆ เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน ควรกำหนดคุณสมบัติในเรื่องอายุของกรรมการไว้ให้มีความเหมาะสมด้วย เช่น ควรมีอายุไม่เกิน ๗๐ ปีบริบูรณ์ ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดประเด็นการขับเคลื่อนการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหลือของการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยเฉพาะเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบการบูรณาการในแต่ละประเด็นนั้น ในการดำเนินการดังกล่าวให้คำนึงถึงความเชื่อมโยงในมิติต่าง ๆ เช่น ความเหมาะสมตามมิติเชิงพื้นที่ในระดับต่าง ๆ (ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด ประเทศ) ความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ (ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน) แล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจัดทำข้อมูลสรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการเตรียมการรองรับฤดูฝนที่จะมาถึงนี้ เช่น ปริมาณน้ำต้นทุน ระบบส่งน้ำ ปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ เพื่อชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓.๔ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ร่วมกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงกลาโหม (กองทัพอากาศ) จัดทำแผนการผลิตนักบินให้สอดรับกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการบินทั้งในและระหว่างประเทศ โดยพิจารณาร่วมกับสถาบันด้านการบินของทั้งภาครัฐ กองทัพอากาศ และภาคเอกชน ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการผลิตนักบินให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๙ นี้ ๓.๕ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ (ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากต่างประเทศเสนอค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายในรูปแบบซื้อบริการนำเที่ยวเสริมและนำเที่ยวในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน) และปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยให้คนไทยเป็นตัวแทน (nominee) เพื่อให้มีการใช้จ่ายเงินภายในประเทศในภาคการท่องเที่ยวมากขึ้นและไม่ให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวประเทศไทยเสียหาย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน รวมทั้งกำกับดูแลราคาของบริการนำเที่ยวให้มีมาตรฐาน ไม่สูงเกินความเป็นจริง ๓.๖ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการปราบปราม และพิจารณาให้มีมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้มีการแสดงที่เข้าข่ายลามกอนาจารในที่สาธารณะเพื่อใช้ในการโฆษณาหรือเชิญชวนให้ประชาชนเข้าชมการจัดแสดงสินค้า โดยให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๓.๗ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเกี่ยวกับการจัดทำข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปตำรวจ โดยให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการจัดทำแผนการปฏิรูปตำรวจโดยให้ครอบคลุมเรื่องอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน การกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ด้วย และเสนอแผนดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
| 391 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน (กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว) | กก | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการบูรณาการระบบบริการรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว ๑๑๕๕ กับศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ จำนวน ๘๔,๘๘๑,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่เกาะพงัน เกาะช้าง เกาะเสม็ด จำนวน ๓๙,๒๓๘,๔๐๐ บาท นั้น ให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) ทั้งนี้ หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการทั้ง ๒ รายการดังกล่าว ให้เสนอกระทรวงการคลังเพื่อกลั่นกรองเหตุผลความจำเป็นและความเหมาะสมในการขยายระยะเวลา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบลงทุนสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของตำรวจท่องเที่ยว จำนวน ๑๗๙,๙๘๗,๕๐๐ บาท นั้น ให้ปฏิบัติตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/ว ๖๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||
| 392 | การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2557 และการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | อื่นๆ | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ และ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ และเรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) รวมทั้งมีมติเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) นั้น โดยที่ขณะนี้มีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐจำนวนหลายหน่วยงานที่คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จึงให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการ ดังนี้
๑. กรณีการขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการโครงการต่อ ให้เสนอกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการรวบรวมและกลั่นกรองเหตุผลความจำเป็นและความเหมาะสมในการขยายระยะเวลา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. กรณีการขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบลงทุน สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ปฏิบัติตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/ว ๖๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 393 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสิ้น ๔๑,๖๘๖ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๕๕๐ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๗๒ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๒๘ สำหรับประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย และปัญหาหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||
| 394 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2563 ของกรมทางหลวง | คค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงาน ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ได้ผู้รับเหมาสำหรับงานก่อสร้างตอนที่ ๑ แล้ว โดยหากโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี สามารถเริ่มลงนามในสัญญาได้ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ๒๕๕๙ จะทำให้ระยะเวลาการดำเนินโครงการเร็วขึ้นกว่าแผนเดิมประมาณ ๖ เดือน สำหรับแผนดำเนินโครงการในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย การบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) และการบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงานว่า ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้แล้วทั้งสิ้น ๒,๗๓๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลงบประมาณ จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และกำหนดรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน ๕๔๖,๖๐๐ ล้านบาท หากให้ใช้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท จากเงินกู้ ในส่วนของการขาดดุลงบประมาณก็จะเหลือรายจ่ายลงทุนที่จะใช้จากรายได้ จำนวน ๑๕๖,๖๐๐ ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ในโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ๒ สายทาง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ได้ และยังมีวงเงินรายจ่ายลงทุนคงเหลือที่จะใช้จ่ายจากรายได้ ได้อีกจำนวน ๑๑๗,๗๐๖ ล้านบาท โดยการใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการจะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะในปี ๒๕๖๐ ได้ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในส่วนที่เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) ในงานก่อสร้างที่พักริมทาง (Rest Area) สถานีบริการทางหลวง (Service Area) และศูนย์บริการทางหลวง (Service Center) งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงเงินค่าก่อสร้าง การพิจารณาแนวทางบริหารจัดการเงินกองทุน เงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลประโยชน์ทางการเงินของเงินกองทุนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการกำกับติดตามการดำเนินโครงการในขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบกับรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (หากมี) และการก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่กำหนด และสอดคล้องกับการให้เอกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) ตามกรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 395 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑.๑ ในปัจจุบันมีประชาชนมาติดต่อหน่วยงานราชการภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาลเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อราชการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดระเบียบภายในทำเนียบรัฐบาล เช่น สถานที่จอดรถ การจัดระบบการเข้า-ออกของบุคคล และการรักษาความปลอดภัย เป็นต้น ๑.๑.๒ ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการมิให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายหรือมีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพล ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้มีผลสัมฤทธิ์ภายใน ๖ เดือน นั้น ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๑.๓ กระทรวงกลาโหมจะได้ดำเนินการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และหลังจากดำเนินการเสร็จแล้วจะได้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนและวางระบบการตรวจคนเข้าเมืองตามด่านตรวจคนเข้าเมืองต่าง ๆ รวมถึงให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินการด้วย เช่น การใช้ระบบ Biometrics หรือการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เพื่อสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องได้แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ นั้น ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ได้นำระบบ Biometrics มาใช้ในท่าอากาศยานแล้ว (นำร่อง) และจะขยายผลการดำเนินการต่อไป ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการจัดงานประกาศรางวัล ๕๐ ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี ๒๕๕๙ (Asia’ 50 Best Restaurants 2016) ว่า ในปีนี้มีร้านอาหารของไทยติดอันดับจำนวน ๔ ร้าน โดยหนึ่งในนั้นได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นปีที่ ๒ ติดต่อกัน ซึ่งในอนาคตอาจมีการพิจารณานำผลผลิตของโครงการหลวงมาใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยด้วย ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ และองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นต้น ดำเนินโครงการ “ปิดเทอมนี้... สนุกคิด... สนุกเรียนรู้... สู่อนาคต” ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านดาราศาสตร์ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสแสวงหาความรู้จากพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ในช่วงปิดภาคเรียน (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๕๙) ๑.๔ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๙ มีแนวโน้มชะลอตัว เห็นได้จากมูลค่าการส่งออกและนำเข้าที่หดตัวของประเทศหลักในภูมิภาค ประกอบกับอุปสงค์ภายในประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้ว่าสถานการณ์การส่งออกของประเทศไทยในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในช่วงครึ่งแรกของปี และเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ภายในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ๑.๕ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านกฎหมายว่า ๑.๕.๑ ช่วงระยะเวลาหลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับและต้องพิจารณาโดยเร็ว และเพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและตามกรอบระยะเวลา เห็นควรให้ส่วนราชการเร่งรัดเสนอร่างพระราชบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรีในห้วงระยะเวลาก่อนที่จะมีการออกเสียงประชามติ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้สามารถเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้โดยเร็ว ๑.๕.๒ ปัจจุบันสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เห็นชอบกฎหมายมาแล้ว ๑๕๑ ฉบับ และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการออกกฎหมายลูกบทต่อไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการออกกฎหมายต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 396 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 | นร | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี ๒๕๕๙ ๑.๒ การวางแผนเพิ่มน้ำต้นทุนโครงการขนาดใหญ่หรือโครงการผันน้ำ ๑.๓ การจัดทำระบบการเก็บกักน้ำและการส่งน้ำควบคู่กับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง จำนวน ๓ โครงการ ๑.๔ การจัดการทรัพยากรน้ำที่เกี่ยวกับต่างประเทศ ๑.๕ ความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารพัฒนาเอเชีย Community Based-Flood Risk Management and Response in the Chao Phraya Basin ๑.๖ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ (โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปี ๒๕๕๙ ให้กับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) ๑.๗ ร่างข้อตกลงโครงการ Technical Assistance of Sewage Technology in Collaboration with Public and Private Sectors in Thailand ระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำประเทศญี่ปุ่น ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งรัดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยบริหารโครงการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งเร่งดำเนินการเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งในปี ๒๕๕๙ การจัดเตรียมแผนงาน/โครงการในระยะยาวรวมทั้งการจัดการน้ำที่เกี่ยวกับต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ สำหรับแผนงาน/โครงการใดที่จะต้องขออนุมัติเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้หน่วยงานดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี) ด้วย ๓. ให้คณะทำงานในระดับพื้นที่เร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ที่คาดว่าจะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการจัดหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคให้เพียงพอ รวมทั้งดำเนินการให้การช่วยเหลือตามมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน ๔. ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาการก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการอุปโภค เนื่องจากมีความเป็นไปได้ในการดำเนินการได้มากกว่าการก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ |
|||||||||||||||||||||
| 397 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการร่วมลงทุนตามรายการโครงการในกิจการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2558 - 2562 (Project Pipeline) ของกระทรวงคมนาคม | คค | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการร่วมลงทุนตามรายการโครงการในกิจการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ (Project Pipeline) ของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๒๗ โครงการ ประกอบด้วย กิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน จำนวน ๑๖ โครงการ และกิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมการลงทุน จำนวน ๑๑ โครงการ ในจำนวนนี้มี ๕ โครงการอยู่ภายใต้มาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP Fast Track) ซึ่งภาพรวมการดำเนินงานส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมและจัดทำรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพิจารณารูปแบบการลงทุน รวมทั้งอยู่ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และศึกษารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดกระบวนการการร่วมลงทุนในโครงการสำคัญให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ
|
|||||||||||||||||||||
| 398 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 14 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 30 พฤศจิกายน 2558) | นร04 | 16/02/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน และโครงการส่งเสริมวิถีประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๑.๒ การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การดำเนินการเชิงนโยบาย โดยทุกส่วนราชการนำวาระการปฏิรูปและวาระการพัฒนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติมาจัดทำแผนปฏิบัติการโดยจัดกลุ่มให้อยู่ภายใต้ประเด็นการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑ ด้าน และแบ่งเป็น ๓ วาระ รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเป็นกลไกการขับเคลื่อนและประสานงาน มีกรอบการขับเคลื่อนการปฏิรูปในการประชุมคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย ๑.๓ การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลรับไปดำเนินการเร่งรัดส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการในประเด็นสำคัญรัฐบาล ได้แก่ การสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ การจัดทำร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี (ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙) การประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒, ๑๓, ๑๔ และ ๑๕ (รวม ๒๐ ปี) รวมทั้งการใช้ระบบงบประมาณแบบใหม่โดยเน้นการบูรณาการในมิติ Function (ภารกิจพื้นฐาน) มิติ Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) และมิติ Area (ภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด)
|
|||||||||||||||||||||
| 399 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า ตามที่เสนอขออนุมัติเงินจ่ายขาดจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน ๑๐ ล้านบาท นั้น จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการของกลุ่มเกษตรกรในระดับจังหวัด รวมถึงการเร่งรัดการชำระหนี้เงินกู้และแก้ไขปัญหาของกลุ่มเกษตรกรให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทั้งนี้ จะเบิกจ่ายงบประมาณตามที่ใช้จ่ายจริง ด้วยความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒. อนุมัติการจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเงิน จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยไม่มีดอกเบี้ย กำหนดชำระคืนภายใน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) เพื่อดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาด รวมทั้งเงินจ่ายขาดสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาจัดสรรเงินให้แก่กลุ่มเกษตรกรโดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลที่ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการและรายงานผลให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบเป็นรายปีอย่างต่อเนื่อง การพิจารณาแผนงาน/โครงการที่กลุ่มเกษตรกรเสนอขอใช้เงินตามโครงการ ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการ การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการตลาดเพื่อให้มีการบริหารจัดการครบวงจรทั้งการผลิตและการตลาด การกำกับดูแลการจัดสรรเงินให้มีความทั่วถึง เป็นธรรมและโปร่งใส รวมถึงติดตามผลการชำระคืนเงินจากกลุ่มเกษตรกรอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และให้ความสำคัญกับความสอดคล้องระหว่างกิจกรรมของกลุ่มเกษตรกรกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการกู้ยืมเงินไปเพื่อดำเนินกิจกรรมการเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้งของกลุ่มเกษตรกรจะต้องสอดคล้องกับมาตรการส่งเสริมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อลดความเสี่ยงในการคืนเงินทุนให้กับกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 400 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้] | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้กับผู้นำเข้า/ผู้ขายที่เป็นบุคคลธรรมดา ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้ามาเพื่อขายหรือการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกันเฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้นำเข้าหรือผู้ขายซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้จากการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่และได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ๒.๓ ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๔๔ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินเฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการซื้ออัญมณี บางกรณี ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ได้แก่ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าและการขายพลอยก้อนที่ยังไม่ได้เจียระไนในแบบถาวร การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าเพชรและการขายพลอยก้อนที่เจียระไนแล้วเพื่อใช้ในการผลิตแบบถาวร และการยกเว้นอากรขาเข้าสร้อยขดม้วนเพื่อใช้ในการผลิตและอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าหรือการขายอัญมณีที่ยังไม่ได้ประกอบเป็นตัวเรือนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs การเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ระยะที่ ๒ โดยเร็ว และจัดทำแนวทางเพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ไทยในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลก ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการลักลอบการนำเข้าอัญมณีที่ผิดกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||
.....
