ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 221 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีนายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๕ โดยแนวคิดหลักของการประชุมฯ คือ การสร้างโอกาสอย่างครอบคลุมเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล (Hamessing Inclusive Oppertunities, Embracing the Digital Future) โดยมีผลการหารือที่สำคัญ ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค การเร่งรัดการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน การผลักดันความร่วมมือด้านภาษีและความโปร่งใส การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู และการบริหารการเงินและการประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ร่วม (Joint Ministerial Statement) ของการประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๕ สำหรับการประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๖ จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐชิลี ๒. การประชุม APEC Finance Ministers’ Retreat ได้มีการหารือถึงกลยุทธ์ทางการคลังในยุคดิจิทัล โดยปัจจุบันสมาชิกเอเปคให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล การสนับสนุนให้ภาครัฐจ่ายเงินให้แก่ประชาชนโดยตรงผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงิน โดยสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสทางการคลังผ่านการจัดทำกลยุทธ์ทางการคลังระยะปานกลาง และการรักษาระดับหนี้สาธารณะภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง ๓. การประชุม ABAC’s Executive Dialogues with APEC Finance Ministers ได้มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนทางในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ซึ่งที่ประชุมสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคเอเปคผ่านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ รวมทั้งยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทของ Fintech ในการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึงและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น โดยจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 222 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 | กษ | 13/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. โครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี ๒๕๖๑ ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพ จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน เพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มภายในประเทศ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการให้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้เงินงบกลางสำหรับโครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี ๒๕๖๑ ตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าตามข้อ ๑.๑ และปรับเปลี่ยนชื่อ จาก โครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี ๒๕๖๑ ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เป็น มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ๑.๓ เห็นชอบให้ปรับกรอบระยะเวลาและเงื่อนไขราคาของกิจกรรมการผลักดันการส่งออกตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ตามที่คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดเสนอ สำหรับการบริหารและกำกับดูแลการผลักดันการส่งออกให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบริหารและกำกับดูแลมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ (เฉพาะกิจ) ที่ กนป. แต่งตั้งต่อไป ๑.๔ มอบหมายคณะกรรมการจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พิจารณาความเหมาะสมของราคาขั้นต่ำในการรับซื้อผลปาล์มดิบจากเกษตรกร เพื่อเผยแพร่เป็นข้อมูลด้านการตลาดให้แก่เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่อไป ๒. มาตรการเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ (ด้านพลังงาน) เห็นชอบให้มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซล (บี ๗) จากอัตราส่วนผสมร้อยละ ๖.๕-๗.๐ เป็นร้อยละ ๖.๘-๗.๐ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานหาแนวทางส่งเสริมและมาตรการจูงใจให้มีการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี ๒๐ ในรถบรรทุกและรถยนต์ขนาดเล็ก ๓. มาตรการกำกับดูแลให้เป็นไปตามข้อ ๑ และข้อ ๒ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารและกำกับดูแลมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ (เฉพาะกิจ) โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร ๑ กรมการค้าภายใน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นอนุกรรมการ รวม ๑๓ คน โดยให้เพิ่มองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการ จำนวน ๔ ท่าน คือ ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จำนวน ๑ ท่าน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. จำนวน ๓ ท่าน รวม ๑๗ ท่าน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 223 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ มีผู้ใช้สิทธิเฉลี่ยเดือนละ ๑,๒๕๕,๗๑๗ คน จำนวนธุรกรรมรวมทั้งสิ้น ๑๓,๕๖๘,๒๖๙ รายการ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๑,๘๙๒ ล้านบาท ส่วนการตรวจสอบผู้มีสิทธิที่มีพฤติกรรมการใช้สิทธิไม่เหมาะสม (Fraud Detection) ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ พบว่า ผู้ใช้สิทธิเข้าเงื่อนไขพฤติกรรมเสี่ยง จำนวนทั้งสิ้น ๑,๔๘๑ ราย (ไม่นับคนซ้ำที่เข้าแต่ละเงื่อนไข) คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๙๕,๑๗๓,๙๖๔.๒๗ บาท สำหรับปัญหาอุปสรรค จากการติดตามการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ได้แก่ (๑) การใช้งานเครื่องรับรายการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) สัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่เสถียร ส่งผลให้การประมวลผลเกิดความล่าช้า (๒) เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกรรมผ่านเครื่อง EDC และการใช้งาน KTB Corporate Online ตลอดจนยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับแนวทางการบันทึกและจัดส่งข้อมูลค่ารักษาพยาบาลผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว และ (๓) ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังไม่พกบัตรประจำตัวประชาชนในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลกับผู้มารับบริการ ๒. สั่งการให้ส่วนราชการให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบพฤติกรรมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลที่กรมบัญชีกลางจัดส่งให้เป็นประจำทุกเดือน และหากพบว่าผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวมีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทุจริตในการใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ขอให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการทุจริต ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 224 | ข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรเกี่ยวกับการแก้ไขอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อการจำแนกประเภทและการกำหนดรหัสสินค้า (Recommendation of the Customs Co-operation Council Concerning the Amendment of the International Convention on the Harmonized Commodity Description and Coding System) | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรเกี่ยวกับการแก้ไขอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อการจำแนกประเภทและการกำหนดรหัสสินค้า (Recommendation of the Customs Co-operation Council concerning the Amendment of the International Convention on the Harmonized Commodity Description and Coding System) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อความในข้อ ๘ ของอนุสัญญาดังกล่าว จากเดิม ประเทศสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์สามารถตั้งข้อสงวนเพื่อร้องขอให้คณะกรรมการทบทวนประเด็นดังกล่าวได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็น ประเทศสมาชิกสามารถยื่นขอให้มีการทบทวนประเด็นหนึ่ง ๆ ได้ไม่เกิน ๒ ครั้ง และคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์จะทำการทบทวนประเด็นหนึ่ง ๆ ได้ไม่เกิน ๒ ครั้ง (ไม่นับรวมการพิจารณาในครั้งแรก) โดยเมื่อคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ได้ทบทวนประเด็นนั้น ๆ ครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดแล้ว ให้ถือว่ามติของคณะกรรมการเป็นที่สิ้นสุด และให้ประเทศสมาชิกนำมติของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ในประเด็นดังกล่าวไปใช้เป็นแนวปฏิบัติในการกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรต่อไป เพื่อให้กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการตีความและการใช้ระบบฮาร์โมไนซ์ให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน รวมถึงเป็นการปฏิบัติให้ถูกต้อง ครบถ้วน ตามพันธกรณีระหว่างประเทศเพื่อเป็นการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ตามที่ที่ประชุมคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร [World Customs Organization (WCO) Council Sessions] ครั้งที่ ๑๓๒ ได้ให้การรับรอง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 225 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 44 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 31 กรกฎาคม 2561) | นร | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๔ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่อง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและการเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี ๒๕๖๐ (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดงาน THAI TECH EXPO 2018 ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีพร้อมใช้ พัฒนาไทยยั่งยืน” (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การเสริมสร้างบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในประชาคมโลก ผลักดันบทบาทที่สร้างสรรค์และรับผิดชอบ เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น กิจกรรม “ทำความดี ด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” การจัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำและเตือนภัยที่เกิดจากน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่เสี่ยงภัย และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐและการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชน การจัดทำและเผยแพร่วีดิทัศน์เรื่อง การลดการใช้กระดาษด้วย QR Code และมาตรการยกเลิกการขอสำเนาเอกสารของทางราชการจากประชาชนทางช่องทางต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 226 | ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี 2561 | กค | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกันของกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปค ใน ๔ ประเด็นสำคัญ คือ (๑) การเร่งรัดการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (๒) การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน (๓) การผลักดันความร่วมมือด้านภาษีและความโปร่งใส และ (๔) การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกเอเปคให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ ๒๕ ในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 227 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2561 | นร11 | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการรายงานความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศที่สำคัญ เช่น ผลประชุมประจำปี ๒๕๖๑ เรื่อง “ยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา” เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในแนวคิดและสาระสำคัญของร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ความคืบหน้าในการขับเคลื่อนกิจกรรม/โครงการเร่งด่วน (Quick Win) การเร่งรัดกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งความคืบหน้าในการจัดทำสัญลักษณ์ในการสื่อสาร (Logo) ภาพสื่อสารหลัก (Key Visual) และเพลง “อนาคตเรา” เพื่อใช้สำหรับการสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 228 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ 2562 | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กะทรวงพาณิชย์เสนอแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) จำนวน ๒๑๕ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑,๗๓๑.๓๑ ล้านบาท จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๑๐ หน่วยงาน ซึ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ มีมติอนุมัติแล้ว ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๖๗ โครงการ วงเงินรวม ๑,๔๙๐.๘๘ ล้านบาท ได้แก่ การผลักดันคลัสเตอร์เป้าหมายสำคัญ การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศของไทย การพัฒนาส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและการสร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการสร้างแบรนด์สินค้าและบริการ และการพัฒนาองค์การสู่อนาคต ๒. ยุทธศาสตร์การเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาด จำนวน ๑๓๕ โครงการ วงเงินรวม ๒๒.๗๘ ล้านบาท ได้แก่ การประชุมเจรจาเชิงรุก และการปกป้องผลประโยชน์ และการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า ๓. ยุทธศาสตร์การเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ จำนวน ๑๒ โครงการ วงเงินรวม ๑๖๗.๖๔ ล้านบาท ได้แก่ การขยายส่วนแบ่งตลาดในตลาดหลักและตลาดศักยภาพสูงให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน การพัฒนาตลาดใหม่ การผลักดันการค้าผ่านช่องทางตลาดและช่องทางกระจายสินค้ารูปแบบใหม่ ๔. แผนงานตามนโนยบายและมาตรการเร่งด่วน (โครงการเร่งด่วนที่สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างปี) จำนวน ๑ โครงการ วงเงินรวม ๕๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 229 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) (Draft Joint Statement of the Twenty-Forth Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Ministerial Meeting) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ครั้งที่ ๒๔ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองมะละกา รัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมความก้าวหน้าในการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ และการขับเคลื่อนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (IB2017-2021) เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปี ๒๕๗๙ ของ IMT-GT ซึ่งได้รับรองในที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๑ แผนงาน IMT-GT ตลอดจนเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนโครงการด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนุภูมิภาค การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนโครงการพื้นฐานสำหรับการเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Project : PCP) ของแผนงาน IMT-GT ในโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส ควรดำเนินการอย่างรัดกุมบนพื้นฐานผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ และควรมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ส่วนการขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาและด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัมแห่งใหม่ ฝ่ายไทยควรสงวนท่าทีการหารือในประเด็นการขยายเวลา ๒๔ ชั่วโมง และการขยายความเชื่อมโยงของด่านศุลกากรดังกล่าว โดยให้นำประเด็นดังกล่าวหารือและเจรจาในกรอบทวิภาคีระหว่างไทยและมาเลเซีย นอกจากนี้ ไทยควรสงวนท่าทีการเร่งรัดสำหรับจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างกัน (Framework of Cooperation : FOC) ในด้านความร่วมมือด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจโรคพืชและสัตว์ (Custom Immigration Quarantine : CIQs) เนื่องจากกรอบความร่วมมือดังกล่าวจะมีผลผูกพันกับหน่วยงานที่ทำการที่ด่านศุลกากรของไทย โดยมีความจำเป็นต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จก่อน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 230 | แผนปฏิบัติการด้านการรองรับการดำเนินการและลดผลกระทบจากการลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน | สธ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนปฏิบัติการด้านการรองรับการดำเนินการและลดผลกระทบจากการลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แผนการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการลดระยะเวลาในการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้แก่ (๑) จัดทำแผนมาตรการเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาชีวสมมูล และการขึ้นทะเบียนตำรับยา โดยได้ปรับลดขั้นตอนและลดระยะเวลาในการขออนุญาตก่อนทำการศึกษาชีวสมมูล รวมทั้งลดระยะเวลาในการประเมินรายงานการศึกษาชีวสมมูล ทำให้การพิจารณาอนุญาตรวดเร็วขึ้น และสามารถเป็นไปตามกรอบเวลาหรือสั้นกว่ากำหนดเวลาที่เอกชนเรียกร้องในทุกกระบวนการ และ (๒) จัดทำแผนมาตรการเกี่ยวกับบุคลากรของรัฐที่ทำหน้าที่ตรวจตราศูนย์การศึกษาชีวสมมูล โดยวางแผนให้มีการเตรียมจำนวนบุคลากรอย่างเพียงพอ และพัฒนาศักยภาพให้สามารถตรวจตราศูนย์การศึกษาชีวสมมูลได้เอง ๑.๒ แผนการพัฒนาศูนย์การศึกษาชีวสมมูลให้มีความพร้อมสามารถที่จะขึ้นบัญชีของอาเซียน ได้แก่ (๑) จัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศูนย์การศึกษาชีวสมมูลให้มีความพร้อมในด้านความรู้ และมาตรฐานการตรวจตราด้านชีวสมมูลของอาเซียน (๒) การตรวจการประเมินศูนย์การศึกษาชีวสมมูลเบื้องต้นโดยเจ้าหน้าที่ อย. เพื่อแนะนำการพัฒนารองรับการตรวจสอบของอาเซียน และ (๓) การสนับสนุนด้านการเงินต่อการพัฒนาและการศึกษาชีวสมมูล (ไม่จำกัดจำนวนที่ขอรับการสนับสนุนต่อบริษัท) ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลแผนการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งก่อนเริ่มแผนฯ ระหว่างดำเนินการตามแผนฯ และหลังจากการดำเนินการตามแผนฯ เพื่อปรับปรุงศูนย์ศึกษาชีวสมมูลให้มีประสิทธิภาพ และทำให้ไทยได้รับผลกระทบจากข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียนน้อยที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 231 | การเร่งรัดกฎหมายสำคัญของรัฐบาล | นร | 18/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนกฎหมายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว สามารถใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งดำเนินการพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาล ดังนี้
๑. รับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและขจัดการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและความเห็นขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ๒. ให้ยกร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... พร้อมดำเนินการตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเกิดผลสำเร็จและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๓. เร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณา เพื่อให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่ต้องมีการรายงานผลการดำเนินการต่อองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในการประชุมคราวต่อไป ๔. เร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง) สำหรับรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมข้อมูลรายละเอียดประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางสำเร็จเป็นรูปธรรม ๕. เร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยพิจารณาให้ครอบคลุมถึงการใช้ประโยชน์จากไม้ที่ขึ้นหรือที่ปลูกขึ้นในพื้นที่อื่นนอกเหนือจากที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 232 | ผลการหารือทวิภาคีของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ 8 ณ กรุงเทพมหานคร | กต | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือทวิภาคีของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ ๘ ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้ (๑) การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนที่ป่าไร่-โอเนียง การผลักดันปริมาณการค้าของทั้งสองฝ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ๑.๕ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ และการเร่งรัดการลงนามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศ เป็นต้น (๒) การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างกัน การพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว รวมถึงพิจารณาเรื่องราคาไฟฟ้าด้วย เป็นต้น และ (๓) การหารือทวิภาคีร่วมกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การผลักดันการค้าทวิภาคีบรรลุเป้าหมาย ๒ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ และการพิจารณาขยายการจ้างแรงงานเวียดนามให้ครอบคลุมสาขาบริการและสาขาอุตสาหกรรม เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการหารือฯ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดติดตามการดำเนินการของฝ่ายเวียดนามในการแก้ไขปัญหาการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และให้ดำเนินการต่อไปโดยยึดหลักการของผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งให้พิจารณาแสวงหาตลาดอื่น ๆ เพื่อการส่งออกรถยนต์ของไทยเพิ่มเติมด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรต่าง ๆ หากการเปิดจุดผ่านแดนที่จะทำการเปิดยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดน เห็นควรหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม (กรมแผนที่ทหาร) ตรวจสอบพื้นที่ก่อน เพื่อจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 233 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 42 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 31 พฤษภาคม 2561) และครั้งที่ 43 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 มิถุนายน 2561) [สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 43 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 มิถุนายน 2561)] | นร | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๓ ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล โดยดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ส่งเสริมความสามัคคีสมานฉันท์ในพื้นที่ โดยการจัดงานประเพณี จัดกิจกรรมทางศาสนา และจัดกิจกรรมพัฒนา การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ การจัดกิจกรรมในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยคณะกรรมการหมู่บ้าน การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดองโดยอาสาสมัครต้นแบบประชาธิปไตย การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่อง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและการเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี ๒๕๖๑ (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดงาน “Technology Investment Conference 2018” และการจัดงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค” ประจำปี ๒๕๖๑ (National Science and Technology Fair 2018, Regional) (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การเร่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในภูมิภาคอาเซียนและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย และการจัดทำแผนการพัฒนาฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนในระยะต่อไป และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การดำเนินโครงการพัฒนานักยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปประเทศเชิงบูรณาการ (Strategist Development Program) การลงนามบันทึกข้อตกลงการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ และโครงการยกเลิกสำเนาเอกสารราชการ (No Copy)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 234 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนสิงหาคม 2561 | นร11 | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ โดยมีความก้าวหน้าในการจัดทำแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติ การขับเคลื่อนตามกิจกรรม/โครงการเร่งด่วน (Quick Win) ของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ การเร่งรัดการตรากฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ และการสร้างการรับรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งการดำเนินการในระยะต่อไป เช่น การจัดแปลร่างยุทธศาสตร์ชาติ (ฉบับเต็ม) เป็นภาษาอังกฤษ และการจัดพิมพ์ร่างยุทธศาสตร์ชาติ (ฉบับย่อ) ฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เผยแพร่ให้กับประชาชนทั่วไป และองค์กรระหว่างประเทศ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 235 | การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 21/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๗ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (๒) ร่างกรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลในอาเซียน (๓) ร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน (๔) ร่างบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าในพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๗ และบัญชีรายการสินค้าสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอของพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๗ (๕) ร่างแนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้า (๖) ร่างแผนการดำเนินงานด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกรอบอาเซียนบวกสาม ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ และ (๗) ร่างเป้าหมายความสำเร็จของการเจรจาในปีนี้ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารทั้ง ๗ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรผลักดันให้อาเซียนให้ความสำคัญในการเร่งรัดให้ประเทศสมาชิกดำเนินการในเรื่องที่ยังคงค้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อาทิ การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN-Wide Self-Certification) และการเชื่อมโยงระบบ ASEAN Single Window สำหรับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนควรคำนึงถึงการปรับประสานมาตรฐานหรือแนวทางการดำเนินงานที่ยังแตกต่างกันมากของประเทศสมาชิก เช่น การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น เพื่อให้อาเซียนสามารถเดินหน้าการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากความร่วมมือภายใต้แผนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. กรณีร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนที่จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนาม ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 236 | รายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ไตรมาสที่ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๑๑๓,๑๐๗.๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๘๗ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๔๒ (เป้าหมายกำหนดไว้ ร้อยละ ๗๔.๒๙) โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ จำนวน ๖๔๒,๕๔๙.๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๑๖ ๒. ข้อเสนอแนะ ๒.๑ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ต้องเร่งรัดการใช้จ่ายและการเบิกจ่ายงบประมาณในส่วนที่เหลือ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน มีความโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับ ๒.๒ หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จะต้องกำกับดูแลผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของหน่วยงานเป็นสำคัญ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในโอกาสต่อไปส่วนราชการฯ ควรมีการเร่งรัดปรับปรุงแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการปฏิบัติงานโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 237 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 | กต | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ (32nd ASEAN Summit) เมื่อวันที่ ๒๗-๒๘ เมษายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้เน้นย้ำความสำคัญของความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียน ความสามารถในการรับมือกับความท้าทายในด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ ความสำคัญของแนวคิดอินโด-แปซิฟิก และการสร้างเครือข่ายเมืองอัจฉริยะของอาเซียน โดยประเทศไทยได้เสนอกรุงเทพมหานคร ภูเก็ต และชลบุรีเป็นเมืองอัจฉริยะนำร่อง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับด้านการเมืองระหว่างประเทศ ได้แก่ (๑) สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี (๒) สถานการณ์ในรัฐยะไข่ และ (๓) สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ รวมทั้งประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเร่งรัดการรวมตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งเจรจาความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ให้แล้วเสร็จ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกที่เหลือเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership : CPTPP) รวมถึงเน้นย้ำความจำเป็นของการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ และการรับรองเอกสารผลลัพธ์ที่สำคัญของการประชุมฯ จำนวน ๓ ฉบับ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติและติดตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ประเด็นนวัตกรรม อาเซียนสามารถร่วมกันพัฒนาทักษะและนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Cybersecurity พร้อมไปกับการผลักดันด้าน Entrepreneurial และ Startup โดยประเทศไทยอาจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการริเริ่มและผลักดันโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพดังกล่าว โดยอาศัยงบประมาณจากองค์กรที่สนับสนุนทุนให้เลขาธิการอาเซียนเพื่อดำเนินการต่อไป (๒) การผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเร่งพัฒนาสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมผู้ประกอบการ Startup และยกระดับทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับรูปแบบงานในอนาคต (Future of jobs) รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์และการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจดิจิทัล และ (๓) เร่งรัดการดำเนินงานตามแผนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม โดยขยายความร่วมมือในสาขาอื่นที่มีความก้าวหน้าสูง อาทิ ความมั่นคงด้านน้ำ การป้องกันและบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ รวมทั้งเร่งเจรจาความตกลง RCEP เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 238 | ร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอไปตรวจพิจารณาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม) ของสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การห้ามมิให้สภาวิชาชีพจัดการศึกษาซ้ำซ้อนกับการศึกษาที่สถาบันอุดมศึกษาจัดอยู่ และห้ามมิให้สภาวิชาชีพออกข้อบังคับหรือหลักเกณฑ์เพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพ โดยมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติในการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา อาจเป็นการลิดรอนสิทธิของสภาวิชาชีพในการยกระดับมาตรฐานการประกอบวิชาชีพได้ (๒) การกำหนดชื่อและอำนาจหน้าที่ของคณะบุคคลและองค์กร รวมถึงกลไกในการขับเคลื่อนการจัดการอุดมศึกษาตามร่างพระราชบัญญัติฯ ควรพิจารณาความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับหลักการที่กำหนดไว้ในการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ที่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้เห็นชอบในหลักการไว้แล้ว (๓) ควรพิจารณาจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาตามศักยภาพและความเชี่ยวชาญของสถาบัน และปรับบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาให้สามารถผลิตกำลังคนเฉพาะทางได้อย่างมีคุณภาพ รวมทั้งควรมีกลไกในการกำกับและตรวจสอบการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างหลักประกันคุณภาพการจัดการศึกษาและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล และ (๔) การดำเนินงานของกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา ควรพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนระหว่างการดำเนินงานของกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษากับการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กยากจนหรือเด็กด้อยโอกาสที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาเช่นเดียวกัน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการเสนอเรื่อง การจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษาต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน แล้วแจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 239 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่) | กษ | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๒๒๙ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 240 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) | กษ | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๔๙ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตาม ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมทั้งคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
