ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 401 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2015) ประเด็นนโยบายสำคัญการดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการขยะมูลฝอย | นร | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2015) ประเด็นนโยบายสำคัญการดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียน ได้แก่ การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ การเพิ่มศักยภาพของเมืองเพื่อเชื่อมโยงโอกาสจากอาเซียน (เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและด่านชายแดน) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คุณภาพชีวิตและการคุ้มครองทางสังคม และการพัฒนากฎหมาย กฎ และระเบียบ ๑.๒ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการขยะมูลฝอย โดยดำเนินการตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ได้แก่ การกำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่วิกฤต (ขยะมูลฝอยเก่า) การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่เหมาะสม (ขยะมูลฝอยใหม่) การวางระเบียบมาตรการการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการสร้างวินัยของคนในชาติมุ่งสู่การจัดการที่ยั่งยืน ๒. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากสัดส่วนงบกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามความเหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้การจัดการขยะมูลฝอยของประเทศเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล การดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียนให้เร่งรัดดำเนินการเชื่อมโยงระบบข้อมูลภายใต้ระบบเชื่อมโยงข้อมูล ณ จุดเดียว และให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมโยงในห่วงโซ่มูลค่าระหว่างภาคการผลิตกับภาคเกษตรและภาคบริการภายในประชาคมอาเซียนให้มากขึ้น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้านการจัดการขยะมูลฝอยให้มีการเร่งรัดแก้ไขปัญหาการจัดการขยะมูลด้วยรูปแบบการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยให้มีการจัดการขยะที่ต้นทาง ลดปริมาณการผลิตขยะ และส่งเสริมให้เกิดกลไกการคัดแยกขยะเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด และการวัดผลสัมฤทธิ์จากการตรวจราชการซึ่งมีตัวชี้วัดผลสำเร็จเชิงผลลัพธ์ที่มีความชัดเจนเพื่อสะท้อนผลการปฏิบัติงานได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 402 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 5/2558 | กค | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายกระทรวงคมนาคม ๒.๑ รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการขับเคลื่อนโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งตามแนวเส้นทางพัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Corridor) โดยเฉพาะโครงข่ายถนนเชื่อมโยงจากจังหวัดกาญจนบุรีไปยังเมียนมา และนำเสนอที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒.๒ จัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะต้องนำเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมพิจารณา เพื่อให้การพิจารณาโครงการสามารถแล้วเสร็จตามกำหนด ๓. มอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๓.๑ หารือกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเกี่ยวกับการประเมินเพื่อจัดระดับกองทุนหมู่บ้านให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุด รวมทั้งพิจารณาแนวทางการประเมินผลเพื่อยกระดับกองทุนที่มีศักยภาพจากระดับ C เป็นระดับ B ด้วย ๓.๒ มีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทยเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน เพื่อร่วมลงทุนในส่วนของทุนกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) กลุ่มเป้าหมาย ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางมาตรการใหม่ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และในอนาคตเมื่อกระทรวงการคลังจัดทำระบบ E-payment แล้วเสร็จก็จะสามารถรองรับและเชื่อมต่อกับข้อมูลทะเบียนผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ที่ประชุมมีมติให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ได้แก่ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสสวนยาง ให้ถือเป็นมาตรการที่อยู่ภายใต้การขับเคลื่อนของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ โดยให้มีการติดตามความคืบหน้า ปัยหาอุปสรรค เพื่อรายงานต่อที่ประชุมทุกเดือน พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบ
|
||||||||||||||||||||||||
| 403 | รายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review รอบที่ 2 | กต | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าของการจัดทำรายงานประเทศตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๒ และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดผลักดันประเด็นคั่งค้างให้แล้วเสร็จก่อนการนำเสนอรายงานในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ยกร่างรายงานประเทศฯ โดยประมวลจากข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมคณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council-HRC) กระบวนการจัดทำรายงานประเทศฯ เน้นการมีส่วนร่วมของส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และภาคประชาสังคม ถือเป็นจุดแข็งของไทยตั้งแต่ UPR รอบที่ ๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับวิธีการจัดทำรายงานที่เน้นการสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วม การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สิทธิของกลุ่ม (เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัย และผู้แสวงหาที่พักพิง) สิ่งท้าทาย การแก้ไขปัญหา ทิศทางในอนาคต และการปฏิรูปประเทศเพื่อประชาธิปไตยและการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการเร่งรัดผลักดันประเด็นที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ ๑.๒ เห็นชอบต่อร่างรายงานประเทศฯ รอบที่ ๒ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศรายงานให้ HRC ภายในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โดยอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับถ้อยคำในร่างรายงานภาษาอังกฤษให้มีจำนวนคำตามที่ HRC กำหนด โดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างรายงานดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงแรงงานที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรายงานประเทศฯ รอบที่ ๒ ในส่วนของการลงนามในบันทึกความเข้าใจกับเวียดนาม ขอให้ใช้ถ้อยคำที่สมบูรณ์ถูกต้องว่า “อีกทั้งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) และบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) กับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ และได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) และบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) กับราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๘” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 404 | ผลการเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 22 - 24 มกราคม 2559 | กต | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นประธานร่วมในพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม วิชาการ เกษตรกรรม และวิทยาศาสตร์ ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ ๙ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ไทย-อิหร่าน ๑.๑.๑ ได้มีการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานตามผลการประชุมฯ ครั้งที่ ๘ และผลักดันความร่วมมือใน ๕ มิติสำคัญตามกรอบการประชุมกลุ่มย่อยของคณะกรรมาธิการร่วมฯ ได้แก่ (๑) ด้านอุตสาหกรรม การค้า การเงิน และภาษี (๒) ด้านการเกษตร (๓) ด้านวิทยาศาสตร์ การท่องเที่ยว และสื่อมวลชน (๔) ด้านพลังงาน และเหมืองแร่ และ (๕) ด้านการคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๑.๒ การประชุมดังกล่าวสะท้อนเจตจำนงและความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายที่จะส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีความเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เช่น (๑) ประเด็นเรื่องการรื้อฟื้นช่องทางการชำระเงินผ่านธนาคาร เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถชำระค่าสินค้าและบริการกันได้โดยตรง (๒) การตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศเป็น ๓ พันล้านดอลลาร์สหรัฐในอีกห้าปีข้างหน้า (๓) การส่งเสริมความร่วมมือด้านเกษตรและพลังงาน (๔) การแสดงเจตจำนงในการเร่งรัดการเจรจาความตกลงที่คั่งค้างระหว่างกันกว่า ๒๐ ฉบับในโอกาสแรก เพื่อเป็นกรอบการส่งเสริมความร่วมมือของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๑.๓ ได้ร่วมกันจัดทำร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ (Draft Agreed Minutes) เพื่อให้ที่ประชุมรัฐมนตรีของคณะกรรมาธิการร่วมฯ ลงนามในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ระหว่างการเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในวันที่ ๑-๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ๑.๒ การหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดี และรัฐมนตรีของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้นำเสนอประเด็นหลักว่า ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือเพื่อส่งเสริมซึ่งกันและกันในประเด็นที่อีกฝ่ายมีศักยภาพมากกว่า กล่าวคือ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านสามารถช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานของไทย ขณะที่ไทยสามารถช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและวัตถุดิบอุตสาหกรรมของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน โดยเฉพาะข้าวและยางพารา นอกจากนี้ ยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรม ตลอดจนประเด็นในภูมิภาคและประเด็นระหว่างประเทศ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เจรจาความร่วมมือกับสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านระหว่างการเยือนในวันที่ ๑-๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ตามกรอบที่กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์เจรจาไว้ในระหว่างการเยือนวันที่ ๒๒-๒๔ มกราคม ๒๕๕๙ เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 405 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร01 | 12/01/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๘ มีการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสิ้น ๒๒๙,๔๕๖ ครั้ง รวมจำนวน ๑๔๕,๔๖๐ เรื่อง ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๐๗ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๘.๙๓ และพบว่าประชาชนยื่นเรื่องร้องทุกข์เพิ่มมากขึ้น ร้อยละ ๘๙ โดยจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ เป็นช่องทางที่ยื่นเรื่องเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง ร้อยละ ๒๘๔ และเรื่องร้องทุกข์ในประเด็นการบุกรุกทรัพยากรป่าไม้เพิ่มขึ้นจาก ๓๒๔ เรื่อง เป็น ๑,๘๗๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๔๗๗ ส่วนศูนย์ดำรงธรรมมีจำนวนการยื่นเรื่องร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จาก ๔๒,๓๑๕ เรื่อง เป็น ๖๘,๗๐๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๖๒ โดยมีผลการดำเนินการจนได้ข้อยุติร้อยละ ๗๐ สำหรับในส่วนของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีจำนวนการยื่นเรื่องร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จาก ๗๑,๕๐๔ เรื่อง เป็น ๑๖๕,๗๒๙ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๓๒ โดยมีผลการดำเนินการจนได้ข้อยุติร้อยละ ๙๒ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรม รวมทั้งให้แต่ละส่วนราชการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การให้บริการของส่วนราชการในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลและสามารถใช้บริการได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 406 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 13 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (JDS) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 ระหว่างไทยกับมาเลเซีย | กต | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission for Bilateral Cooperation : JC) ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (Joint Development Strategy : JDS) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๔ ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยที่ประชุมฯ ได้มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การเร่งรัดการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก การเชื่อมโยงโครงการเมืองยางพารา การบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมฮาลาล การพิจารณานำเข้าข้าวจากไทยทางบก การเร่งรัดการยกร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงรอบด้านระหว่างไทยกับมาเลเซีย และความร่วมมือในสาขาใหม่ (ด้านประมง ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน) เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมดังกล่าวไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าในส่วนของผลการประชุม JDS ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๔ ในเรื่องการเชื่อมโยงเมืองยางพาราและการบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการส่งเสริมการลงทุน เห็นควรมอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มอีกหน่วยงานหนึ่งด้วย ส่วนการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลก เห็นควรเพิ่มเติมหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ ๔ ร่วมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในด้านการเตรียมการพิธีวางศิลาฤกษ์ และด้านการบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย ควรมุ่งเน้นประเด็นการบูรณาการกับฝ่ายมาเลเซีย โดยให้ความสำคัญกับการจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของไทยกำหนด เพื่อเป็นกรอบแนวทางการบูรณาการกับฝ่ายมาเลเซีย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 407 | ขออนุมัติหลักการยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2558 - 2562 | กษ | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจหลัก ๗ ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลำไย ลิ้นจี่ และมะม่วง ดำเนินการภายใต้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการผลผลิต (๒) การบริหารจัดการการตลาด (๓) การวิจัยและพัฒนา (๔) พัฒนาองค์กรและเกษตรกร และ (๕) พัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ โดยแบ่งแผนปฏิบัติการออกเป็น ๒ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐) เน้นการจัดตั้งกลุ่มสร้างเครือข่ายและส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกรผู้ผลิตไม้ผลคุณภาพในพื้นที่การผลิตตามเขตความเหมาะสม (Zoning) และระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒) เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูปเพื่อการเพิ่มมูลค่าผลผลิตในการขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ของแต่ละหน่วยงานรวมวงเงินทั้งสิ้น ๗๗๓.๖๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณากำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มรสผลไม้ไทยหรือเข้าร่วมการจัดงานเทศกาลผลไม้ไทย หรือจัดเส้นทางท่องเที่ยวแวะชิมผลไม้ในแหล่งผลิต เป็นต้น การเร่งรัดผลักดันการผลิตตามมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) ให้เป็นมาตรฐานบังคับ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของผลไม้ไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสากล การติดตามสถานการณ์ผลผลิตผลไม้ในแต่ละปีอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งวางแผนการกระจายผลผลิตในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวผลไม้ในแต่ละชนิดและแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจนและรวดเร็ว การตรวจสอบคุณภาพความปลอดภัยของผลไม้ส่งออกของไทยและที่นำเข้าในประเทศอย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริมแนวทางเกษตรอินทรีย์ และเพิ่มบทบาทของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสถาบันการศึกษาในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 408 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 (โครงการจัดทำ Application สำหรับการให้บริการด้าน อิเล็กทรอนิกส์ e-Service ของกรมสรรพากรบนอุปกรณ์ Smart Device) | กค | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑ อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรยกเลิกโครงการจัดทำ Application สำหรับการให้บริการด้านอิเล็กทรอนิกส์ e-Service ของกรมสรรพากรบนอุปกรณ์ Smart Device และให้โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในโครงการดังกล่าว ไปดำเนินโครงการจัดซื้อเครื่องสแกนเนอร์เพื่อจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัล ในวงเงิน ๒๒,๙๖๒,๒๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการตรวจสอบความล่าช้าที่เกิดขึ้นในการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี และกำชับให้หน่วยงานในสังกัดให้ความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณโดยเฉพาะการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 409 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเกี่ยวกับรถประจำทางขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ทั้งนี้ ให้นำเสนอผลการศึกษาต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน นั้น ให้หน่วยงานข้างต้นร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาให้รถสามล้อเครื่อง (รถตุ๊กตุ๊ก) สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าต่อไปด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งสำรวจความต้องการใช้ยางพาราในการปูพื้นสนามฟุตซอลของสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ยางพาราให้แพร่หลาย เช่น สนับสนุนมาตรการทางภาษีและเงินทุนให้ผู้ประกอบการที่ผลิตยางพาราแปรรูปที่มีความต้องการขยายเครื่องจักรที่ใช้แปรรูปยางพารา ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในปี ๒๕๕๙ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์และสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนเพิ่มปริมาณการใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลในเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องเกี่ยวข้าว เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม รถโดยสารต่าง ๆ ในปี ๒๕๕๙ โดยอาจพิจารณากำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนการดำเนินการในประเด็นที่ได้รับมอบหมายตามความตกลงหรือความร่วมมือระหว่างประเทศที่ไทยได้มีการลงนามไปแล้ว โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ (ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘) โดยแบ่งเป็น ๒ ระยะ คือ ในช่วงเวลาที่เหลือของการบริหารราชการแผ่นดิน (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) และช่วงเวลา/เรื่องที่ต้องส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการจัดทำแผนปฏิบัติการและประเด็นภารกิจสำคัญสำหรับส่งต่อรัฐบาลต่อไปตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) การบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล นั้น ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการเพิ่มเติมโดยจัดทำเป็นเอกสารสรุปแผนปฏิบัติการในช่วงที่เหลือของการบริหารราชการแผ่นดิน (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ในรูปแบบที่กระชับและเข้าใจง่ายภายใน ๑ หน้ากระดาษ และส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรวบรวมเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เร่งรัดให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำฐานข้อมูลของประชาชนแต่ละกลุ่มเพื่อนำมากำหนดแนวทางการดูแลความเป็นอยู่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเชื่อมโยงกับข้อมูลทะเบียนราษฎร์ โดยพิจารณาให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างส่วนราชการไปบางส่วนแล้ว นั้น ในระยะต่อไปให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในการนำฐานข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นข้อมูลสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การบริหารจัดการน้ำ การช่วยเหลือภาคการเกษตร การส่งเสริมการลงทุน การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ๓.๓ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้สูงอายุ เช่น ทางลาดเพื่อขึ้น-ลงอาคาร และให้ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการดังกล่าวโดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และความมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจาาณากำหนดหลักเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการและผู้สูงอายุ โดยกำหนดให้เป็นเงื่อนไขในการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ภายในปี ๒๕๖๐ ๓.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘) อนุมัติให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไปรับคนพิการที่สามารถทำงานได้เข้าทำงานในอัตราที่เหมาะสม ตามมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ นั้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณากำหนดเป้าหมายการรับคนพิการเข้าทำงานในแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการขอความร่วมมือจากสถานประกอบการของภาคเอกชนในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำทะเบียนรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันระดับชาติและระดับนานาชาติประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม วิชาชีพเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนกลุ่มบุคคลดังกล่าวโดยอาจสนับสนุนทุนสำหรับขยายกิจการหรือสนับสนุนมาตรการทางภาษีต่อไป ๓.๖ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำหนังสือประมวลพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนน้อมนำเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำรงชีวิตต่อไป และให้กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ไปยังต่างประเทศต่อไปด้วย ๓.๗ ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการขุดลอกคูคลองทั่วประเทศ โดยเฉพาะการกำจัดวัชพืชในแหล่งน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
| 410 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและรัฐวิสาหกิจในกำกับกระทรวงคมนาคมและรัฐวิสาหกิจในกำกับกระทรวงคมนาคมปรับปรุงแนวทางและแผนงานการดำเนินโครงการพัฒนาระบบราง โดยเฉพาะโครงการที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุมัติเริ่มโครงการ โดยดำเนินการ ๑.๑.๑ ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดประเภทชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและขนส่งที่ภาคอุตสาหกรรมในประเทศมีศักยภาพในการผลิต และกำหนดให้มีการใช้ชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในโครงการพัฒนาที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศและจูงใจให้เกิดการต่อยอดนวัตกรรมของภาคการผลิตที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๒ ให้มีการพิจารณาโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั้งระบบเพื่อปรับปรุงโครงการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีความคุ้มค่าสูงสุด โดยเฉพาะการร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานระหว่างรถไฟฟ้าแต่ละสาย เช่น อาคารซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า (Maintenance Depot) เป็นต้น ๑.๑.๓ ให้จัดทำแผนผังการเชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและการเชื่อมโยงกับปริมณฑลเพื่อนำไปใช้กับแผนหลักในการพัฒนาระบบการขนส่ง ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความต่อเนื่องของระบบการขนส่งในรูปแบบต่าง ๆ ราคาการให้บริการที่เหมาะสม และการขยายตัวของเมืองด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการศึกษาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้นอกระบบที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ และรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการผลิตบุคลากรทางการศึกษาและบุคลากรทางการแพทย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยมุ่งเน้นการผลิตบุคลากรเพื่อกลับไปทำงานในภูมิลำเนา เช่น การผลิตครูรุ่นใหม่หรือครูตัวอย่างในทุกอำเภอ การผลิตแพทย์และพยาบาลในสาขาที่ขาดแคลนในโรงพยาบาลระดับชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ อาจกำหนดเป้าหมายว่า ภายในปี ๒๕๖๑ จะมีบุคลากรทางการศึกษาและบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอในทุกพื้นที่ ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านกำกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบให้เคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎหมาย และการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยการประมง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ตลอดจนเพื่อให้มีความสงบเรียบร้อยในสังคม ทั้งนี้ ให้ระมัดระวังการบังคับใช้กฎหมายที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับมอบหมายให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคจัดทำแผนการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมและจัดทำเป็นแผนการลงพื้นที่ในภาพรวม เพื่อให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน ดูนวัตกรรม และหารือกับภาคเอกชนในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติส่งแผนดังกล่าวให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เร่งรัดการนำเสนอเรื่องกองทุนชุมชนเมืองให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ๔.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการของส่วนราชการต่าง ๆ กำกับให้ส่วนราชการวางแผนในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามแนวทางการเสนอเรื่องเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัดด้วย ๔.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑ ธันวาคม ๒๕๕๘) เกี่ยวกับการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาล ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ นั้น ในการแถลงผลงานในแต่ละเรื่องให้แถลงถึงสภาพปัญหาในอดีต การดำเนินการที่ผ่านมาของรัฐบาล และเป้าหมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ จะต้องมีความชัดเจนและกระชับเพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจได้โดยง่าย ๔.๕ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการเร่งรัดการปรับปรุงด่านตรวจคนเข้าเมืองให้มีอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งานและมีความทันสมัย โดยสามารถเชื่อมโยงกับด่านตรวจคนเข้าเมืองของต่างประเทศได้ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)] นั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ร่วมกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยเร็ว และรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๔.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับให้ส่วนราชการที่มีพื้นที่สาธารณะปรับปรุงพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะในกรุงเทพมหานครให้มีมากขึ้น โดยหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาให้มีพื้นที่จอดรถสาธารณะในแหล่งชุมชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการลดปัญหาการจราจร โดยอาจจะพิจารณาดำเนินการตามแนวทาง “จอดแล้วเดิน” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดถนนคนเดินอีกทางหนึ่งด้วย และรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๔.๗ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการกำหนดรูปแบบมาตรฐานในการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์การอิสระให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินการ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๔.๘ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดให้มีหลักสูตรภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเฉพาะตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ประกอบการในการทำธุรกิจ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับข้าราชการในการดำเนินงานภาคราชการ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนหรือผู้ใช้แรงงานในด้านต่าง ๆ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 411 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) | คค | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในกรอบวงเงินจำนวน ๙,๖๒๕ ล้านบาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริง สำหรับค่าก่อสร้างงานโยธา ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ทบทวนมูลค่างานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ให้เป็นปัจจุบัน โดยพิจารณาดำเนินการตามนโยบายการลงทุนด้านระบบรางของรัฐที่เน้นให้การกำหนดมูลค่าการลงทุนมีความเหมาะสมและประหยัด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศเป็นหลัก และส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการขนส่งทางราง ทั้งนี้ ให้ระมัดระวังความซ้ำซ้อนของการจ้างที่ปรึกษาออกแบบและการจ้างบริษัทก่อสร้างด้วย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งภายใน ๓๐ วัน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เกี่ยวกับการทบทวนมูลค่างานโยธาให้เป็นราคาปัจจุบันและสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ การเร่งนำเสนอรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้สามารถสรรหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนงานระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณ ขบวนรถไฟฟ้า และการเดินรถ การเร่งนำเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมฯ เพื่อพิจารณาคัดเลือกเอกชนพร้อมกันทั้งสองช่วงในคราวเดียวกัน การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งดำเนินงานในส่วนระบบรถไฟฟ้าที่จะให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการอย่างรอบคอบและคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับของประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ การเร่งนำเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมฯ เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ทั้งเส้นทาง รวมทั้งการเร่งรัดการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะให้สอดคล้องกับเส้นทางและระยะเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เพื่อให้โครงข่ายการขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความสมบูรณ์ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการลงทุนงานระบบไฟฟ้าและการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งจะใช้วิธีการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน นั้น ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น รับไปพิจารณาหาแนวทางส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถไฟฟ้าและรางรถไฟภายในประเทศให้มีศักยภาพเพื่อรองรับการดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการขนส่งทางราง และลดภาระการนำเข้าวัสดุจากต่างประเทศ |
||||||||||||||||||||||||
| 412 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางในการปฏิบัติงาน การติดตามและเร่งรัดการดำเนินการ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ | นร | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ เรื่อง แนวทางในการปฏิบัติงานการติดตามและเร่งรัดการดำเนินการ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ผ่านกลไก “ประชารัฐ” ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ดำเนินการบนหลักการการทำงานเชิงรุก โดยให้ผู้ปฏิบัติทุกระดับในสังกัดเข้าใจปัญหาที่แท้จริงและลงพื้นที่เป็นระยะเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในการดำเนินการของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาและการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งต้องติดตาม ประเมินผล และรายงานความก้าวหน้าในการทำงานเป็นระยะ เช่น การแก้ไขปัญหาโรงงานขยะที่ตำบลทุ่งบัว อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหา ๒. การบูรณาการการทำงานทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ผ่านกลไก “ประชารัฐ” ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ดำเนินการบนหลักการความมีเอกภาพ โดยการดำเนินการหรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จะต้องมีการประสานงานเพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้มีความชัดเจนเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และการบังคับใช้กฎหมายต้องมีการบูรณาการ มิใช่ต่างคนต่างถือกฎหมายของตนเองเป็นหลัก เช่น ๒.๑ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ การตรวจสอบรถที่บรรทุกน้ำหนักเกิน ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ๒.๒ การตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยของเสียสู่ชุมชนและแหล่งน้ำ และการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ให้กระทรวงอุตสาหกรรมบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ โดยประเด็นสำคัญที่ควรใช้ประกอบการประเมิน เช่น การมีวิสัยทัศน์ การทำงานเชิงรุก ประสิทธิภาพทั้งงานตามพันธกิจ และการขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน ความพึงพอใจของประชาชน ผลงานที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อส่วนรวมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งความประพฤติตนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประกอบการประเมินผลในเดือนเมษายน ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
| 413 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการจัดทำแผนปฏิบัติการและประเด็นภารกิจสำคัญสำหรับส่งต่อรัฐบาลต่อไปตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) การบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล ซึ่งแบ่งเป็น ๔ ระยะ โดยให้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาต ตรวจสอบ หรือรับรองมาตรฐานสินค้าต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนสินค้าที่มีศักยภาพของผู้ประกอบการ และให้รายงานผลการออกใบอนุญาตฯ และผลการปฏิบัติงานให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๑ เดือน นั้น ให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาต ตรวจสอบ หรือรับรองมาตรฐานสินค้าต่าง ๆ ดำเนินการตามกรอบเวลาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากเรื่องใดที่มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการซึ่งต้องแก้ไขทั้งระบบให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ๒๕๕๙ นี้
|
||||||||||||||||||||||||
| 414 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญตามที่ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียน ครั้งที่ ๓๙ และครั้งที่ ๔๐ เสนอ และได้ให้การรับรอง ๑.๑ แผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ได้แก่ การติดตามผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน (แผนปฏิบัติการบรูไน) ปี ๒๕๕๔-๒๕๕๘ การรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ หรือแผนยุทธศาสตร์การขนส่งกัวลาลัมเปอร์ (Kula Lumpur Transport Strategic Plan : KLTSP) ฉบับใหม่ และมอบหมายให้คณะทำงานด้านการขนส่งของอาเซียนสาขาต่าง ๆ ดำเนินการตามมาตรการภายใต้แผนปฏิบัติการกัวลาลัมเปอร์ ๑.๒ ด้านการขนส่งทางอากาศ ได้แก่ การให้ประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการให้สัตยาบันความตกลงพหุภาคีอาเซียนว่าด้วยการเปิดเสรีการเดินอากาศ และความตกลงพหุภาคีอาเซียนว่าด้วยการเปิดเสรีอย่างเต็มที่ของบริการขนส่งผู้โดยสารทางอากาศ ให้ครบทุกประเทศ การลงนามพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และการทบทวนการจัดทำความตกลงและพิธีสารตามแผนงานการจัดตั้งตลาดการบินร่วมของอาเซียน ๑.๓ ด้านการขนส่งทางบก ได้แก่ การรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยทางถนน และยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางถนนของอาเซียน ๑.๔ ด้านการขนส่งทางน้ำ ได้แก่ ความคืบหน้าของแผนงานการเป็นตลาดขนส่งทางทะเลร่วมของอาเซียน (ASEAN Single Shipping Market) ปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ และยินดีต่อการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านการขนส่งทางทะเลร่วม ความคืบหน้าของการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำแผนฉุกเฉินกรณีเกิดน้ำมันรั่วไหลระดับภูมิภาคของอาเซียนภายใต้บันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยการเตรียมพร้อมและจัดการภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุน้ำมัน และการสนับสนุนแนวคิดริเริ่มในการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยอมรับประกาศนียบัตรของผู้ทำการในเรือใกล้ฝั่งของอาเซียน ๑.๕ ด้านการอำนวยความสะดวกการขนส่ง ได้แก่ การเร่งรัดการจัดทำร่างกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน การเร่งรัดให้ประเทศสมาชิกให้สัตยาบันความตกลงฉบับต่าง ๆ ได้แก่ กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ และกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งข้ามแดน รวมทั้งความคืบหน้าโครงการระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน (ASEAN Customs Transit System : ACTS) ๒. การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี อาเซียนได้รับความช่วยเหลือทางวิชาการจากประเทศคู่เจรจาในด้านการจัดทำโครงการศึกษาความเป็นไปได้ด้านโครงสร้างพื้นฐานเพี่อการเชื่อมโยงอาเซียนในสาขาต่าง ๆ การขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการศึกษาและฝึกอบรมบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและมีความเป็นมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ประเทศคู่เจรจาของอาเซียนได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากับอาเซียนอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 415 | รายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรายงานของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ พิจารณาศึกษาเรื่องหลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพ ของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออม แห่งชาติ พ.ศ. 2554 ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรายงานของคณะกรรมาธิการการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาศึกษาเรื่องหลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นด้วยกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยกองทุนการออมแห่งชาติได้เปิดรับสมัครสมาชิกไปแล้ว โดยให้สิทธิผู้ที่มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป และสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น ๓๒๗,๒๐๓ ราย สำหรับเงินสมทบของรัฐได้กำหนดจำนวนเงินสูงสุดไว้ในบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งจำนวนเงินสมทบต่อปีได้กำหนดในกฎกระทรวง นอกจากนี้ การกำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ดูแลหลักประกันบำนาญของประชาชนซึ่งเป็นภาระระยะยาว และกระทรวงแรงงานควรทำหน้าที่ดูแลการจัดสวัสดิการระยะสั้นของแรงงานเป็นไปตามหลักการที่กระทรวงการคลังได้เคยเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกองทุนการออมแห่งชาติ ๒. สำหรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งขาติ เห็นชอบตามที่คณะกรรมาธิการฯ เสนอ โดยปัจจุบันได้มีการเสนอร่างกฎหมายที่จะยุบเลิกความคุ้มครองประกันสังคมตามมาตรา ๔๐ ทางเลือกที่ ๓-๕ แล้ว ดังนั้น เมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จะไม่เกิดความซ้ำซ้อนหรือการแข่งขันระหว่างกองทุนการออมแห่งชาติและกองทุนประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติได้มีการจัดเก็บข้อมูลอายุและอาชีพของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติที่สมัครผ่านหน่วยรับสมัครสมาชิกด้วยแล้ว และสนับสนุนการทำประชาสัมพันธ์ไปยังแรงงานนอกระบบให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
| 416 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก ที่ใช้เงินกู้เหลือจ่ายจากโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (ไทยเข้มแข็ง) กรอบวงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการยกเลิกรายการที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติให้การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสำหรับรายการที่ลงนามในสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๓๖๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา ทั้งนี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จจะไม่มีการจัดสรรเงินเพื่อดำเนินการอีกต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน คือ เรียกค่าปรับ หากบริษัทไม่ยินยอมก็จะต้องมีการฟ้องร้องเรียกค่าปรับต่อไป ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๒. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๑๖ รายการ วงเงิน ๔๗,๒๖๙,๙๒๑.๗๗ บาท ๓. เห็นชอบการปิดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และยุติการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๔. สำหรับแนวทางการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเมื่อปิดโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยหากปรากฏภายหลังว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความจำเป็นต้องขอรับการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ก็เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติหลักการให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง กรณีที่ต้องจ่ายค่า K ตามสัดส่วนแหล่งที่มาของวงเงินค่าก่อสร้าง เพื่อให้สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของหน่วยงานในการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย |
||||||||||||||||||||||||
| 417 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เร่งรัดการเจรจาในระดับผู้นำเกี่ยวกับการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทยให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยเร็วต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล ซึ่งได้มีการเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี ศรีลังกา รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการทำประมงร่วมกับเวียดนามซึ่งมีความสนใจที่จะจัดทำความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับไทยให้เกิดผลโดยเร็วต่อไปด้วย ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนและการกำกับติดตามการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนแก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่ให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนอาจพิจารณาดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการดำเนินการของไทยในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่าเป็นการดำเนินการภายใต้สนธิสัญญา ข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นการดำเนินการที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐในการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการและประเด็นภารกิจสำคัญสำหรับส่งต่อรัฐบาลต่อไปตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) การบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล โดยให้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดให้มีหน่วยส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระดับพื้นที่เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ต่อไป ๓.๓ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักประสานกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๓.๔ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการ การบริหารจัดการ หรือการประเมินผลส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพและสามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศในระยะยาวต่อไป โดยหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๓.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการศึกษาเปรียบเทียบระบบการศึกษาในระดับต่าง ๆ ที่มีคุณภาพของต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ในระดับปฐมวัย ประเทศเกาหลีใต้ในระดับอาชีวศึกษา และประเทศฟินแลนด์ในระดับอุดมศึกษา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษาของไทย โดยให้เชิญนักวิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่มีศักยภาพทางวิทยาการด้านต่าง ๆ มาร่วมหารือ ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้จัดทำรายงานสรุปเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓.๖ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงโดยด่วน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสมต่อไปด้วย ๓.๗ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เช่น การจัดพื้นที่ของทางราชการที่ไม่มีการใช้ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประกอบอาชีพหรือเป็นที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว นั้น ให้เพิ่มเติมกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพค้าขายในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจัดหาพื้นที่เปิดตลาดกลางคืน ถนนคนเดิน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมดังกล่าวด้วย โดยให้จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในการใช้พื้นที่ให้เกิดความชัดเจนต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
| 418 | รายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency - EASA) | สลธ.คสช. | 17/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะทำงานพิเศษหารือกับผู้แทนสหภาพยุโรป รวมทั้งสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (Federal Aviation Administration : FAA) โดยมีนายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน พลอากาศเอก ปรีชา ประดับมุข กรรมการและเลขานุการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน และนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นรองหัวหน้าคณะ และผู้เกี่ยวข้องจำนวนไม่เกิน ๕ นาย ร่วมเป็นคณะ เดินทางไปหารือเพื่อให้ข้อมูลความคืบหน้าของฝ่ายไทยในรายละเอียดแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยใช้งบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน ๑.๒ เห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับ Cooperation Framework Agreement on Aviation Safety ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนาม ๑.๓ เห็นชอบค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าว ภายในวงเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ ยูโร หรือไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการเงินงบกลางเพื่อสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนร่วมกับผู้แทนส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปลงนามและเจรจากับองค์การกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency : EASA) ในเรื่องขอบเขตของงานหรือรายละเอียดความร่วมมือแล้ววางแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เสนอให้ทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๔ ให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเร่งรัดผลักดันให้ผู้ที่ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศทุกรายของสายการบินทั้ง ๔๑ สายการบิน เข้ามาดำเนินกระบวนการเพื่อออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศฉบับใหม่ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยให้มีมาตรการลงโทษทางปกครองเกี่ยวกับใบอนุญาต เช่น พักใช้หรือระงับใบอนุญาต ฯลฯ สำหรับสายการบินที่ไม่ให้ความร่วมมือ หรือมีความเสี่ยงสูงด้านความไม่ปลอดภัย ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม และไม่เกิดความเสียหายต่อการแก้ไขปัญหาในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจะต้องไม่ออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศฉบับใหม่เพิ่มเติม จนกว่าจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย (Significant Safety Concern : SSC) ได้โดยเร็วที่สุดด้วย ๑.๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้นำเสนอแผนปฏิบัติการที่มีรายละเอียด ขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินงาน กิจกรรม ทุกเรื่อง โดยเฉพาะแผนงานด้านการจัดการบุคลากรของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๖ ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินการในภาพรวมแล้วรายงานให้ทราบทุกระยะ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความปลอดภัยการบิน (Cooperation Framework Agreement on Aviation Safety) ในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมและศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการให้กระทรวงคมนาคมและศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเพื่อให้การแก้ไขปัญหาด้านการบินพลเรือนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||
| 419 | ข้อเสนอ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย : กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (NEW Engine of Growth) | อก | 17/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) จำนวน ๑๐ คลัสเตอร์ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การต่อยอด ๕ อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ประกอบด้วย ๑.๑.๑ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive) ๑.๑.๒ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) ๑.๑.๓ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism) ๑.๑.๔ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) ๑.๑.๕ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) ๑.๒ การเติม ๕ อุตสาหกรรมอนาคต (New-S-curve) ประกอบด้วย ๑.๒.๑ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) ๑.๒.๒ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics) ๑.๒.๓ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) ๑.๒.๔ อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital) ๑.๒.๕ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ โดยมีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ ทั้งนี้ มาตรการใดเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะมาตรการด้านสิทธิพิเศษ การส่งเสริมการลงทุน มาตรการด้านการเงินและการคลัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดทำรายละเอียด และดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายมาตรการก่อนดำเนินการ ๓. เห็นชอบในหลักการกลไกการผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ “คัดเลือก-เจรจา” โครงการลงทุนรายสำคัญที่จะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเกิดขึ้นได้โดยเร็ว และนำเสนอผลการเจรจาให้กับคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อการพิจารณาอนุมัติต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการเร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะแต่งตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษต่อไป ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและแหล่งที่มาของเงินลงทุน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาและวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในรายละเอียดของศักยภาพของแต่ละอุตสาหกรรมโดยมีการเปรียบเทียบความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบถึงศักยภาพที่แท้จริงของอุตสาหกรรมที่เสนอ การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนของ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับอุตสาหกรรมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ๖ คลัสเตอร์ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ การกำหนดจุดเน้นของคลัสเตอร์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพที่แท้จริงก่อนที่จะกำหนดมาตรการสนับสนุน ตลอดจนการพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบข้อดีและข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และให้คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 420 | รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | สว | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สว.สนช.) รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยกำหนดให้มียุทธศาสตร์จัดสรร จำนวน ๒ ยุทธศาสตร์ คือ (๑) ยุทธศาสตร์สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม และ (๒) ยุทธศาสตร์บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งกำหนดงบประมาณ จำนวน ๑,๓๑๒.๒๐๕๑ ล้านบาท และดำเนินการได้ จำนวน ๑,๒๖๕.๔๙๙๕ ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม กำหนดงบประมาณ จำนวน ๕๑.๖๔๓๓ ล้านบาท ดำเนินการได้ จำนวน ๕๐.๖๘๙๖ ล้านบาท โดยนำไปใช้พัฒนาข้อมูลระบบสารสนเทศและระบบเครือข่าย และการบำรุงรักษาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๕.๑๕๖๓ ล้านบาท และเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๒๕.๕๓๓๔ ล้านบาท ๒. ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี กำหนดงบประมาณ จำนวน ๑,๒๖๐.๕๖๑๘ ล้านบาท ดำเนินการได้ จำนวน ๑,๒๑๔.๘๐๙๙ ล้านบาท โดยนำไปใช้เกี่ยวกับการให้บริการสนับสนุนเพื่อการดำเนินงานในด้านนิติบัญญัติ และการพัฒนาองค์กรเพื่อให้งานด้านนิติบัญญัติเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ๓. ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข สว.สนช. ได้รับจัดสรรงบประมาณรายการครุภัณฑ์ จำนวน ๓๑,๐๓๐,๗๐๐ บาท สามารถเบิกจ่ายได้ครบ จำนวน ๑๒ รายการ เป็นเงิน ๒๕,๙๕๖,๑๒๗.๔๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเร่งรัดฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ รายการครุภัณฑ์สำหรับใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคลและระบบสารสนเทศข้อมูลประวัติผลงานสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดการแบ่งจ่ายออกเป็น ๓ งวด โดย ณ สิ้นปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายงวดที่ ๑ และงวดที่ ๒ แล้ว จำนวน ๒,๙๒๑,๑๐๐ บาท และจำนวนเงินค้างจ่ายในงวดที่ ๓ จำนวน ๑,๙๔๗,๔๐๐ บาท มีกำหนดจ่ายในเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งได้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
.....
