ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 301 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 29 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 28 กุมภาพันธ์ 2560) | นร | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๙ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปการเงินฐานรากและร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินชุมชน การปฏิรูประบบการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ประชาชน การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปกฎหมายและระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศ ระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วงก่อนถึงโรงพยาบาล การปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภาครัฐ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น : การปฏิรูปการบริหารจัดการของหน่วยรับผิดชอบงานทาง ธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... และการปฏิรูปการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและแนวทางการดำเนินงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การจัดทำโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โครงการห้องเรียนกีฬา โครงการโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือและพัฒนาเป็นพิเศษอย่างเร่งด่วน (โรงเรียนไอซียู) การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา และการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ การดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังด้วยมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ การดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหารไทย ประจำปี ๒๕๖๐ การดูแลผู้บริโภคหลังการปรับราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้ม และการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ ได้พัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้มีสมรรถนะและทักษะฝีมือตามมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงเพื่อเป็นการส่งเสริมและผลักดันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับสากล ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 302 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๙๙๓ ครั้ง รวมจำนวน ๒๓,๖๗๖ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๐,๕๔๔ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๗๗ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย หนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด และแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน ตามลำดับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 303 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 : การเร่งรัดและขับเคลื่อนประเด็นการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ | นร | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการปฏิรูปด้านสังคม : กระจายการถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเป็นธรรม ตามสรุปผลการประชุม กขร. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ซึ่งที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการประเด็นปฏิรูปด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการประเด็นปฏิรูปด้านการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประสานงานกับคณะอนุกรรมการบูรณาการและขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง ภายใต้คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ เพื่อจัดประชุมขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวร่วมกับที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีการจัดทำแผนการดำเนินการและกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการในเรื่องสำคัญ เช่น ปฏิรูปด้านระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (ระบบ EHIA และระบบ SEA) ระบบผังเมือง และธนาคารที่ดิน โดยให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ และการปฏิรูปประเทศ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. และรายงานความคืบหน้าให้ กขร. ทราบ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามความคืบหน้าและสร้างการรับรู้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 304 | ขออนุมัติจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 1 | พม | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๕๙ ระยะที่ ๑ จำนวน ๑๔ โครงการ รวม ๔,๓๘๘ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๕๗.๓๘๖ ล้านบาท ของการเคหะแห่งชาติ โดยแหล่งที่มาของวงเงินลงทุนและการใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และในปีต่อ ๆ ไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติเริ่มดำเนินโครงการดังกล่าวได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นของมนุษย์และการเคหะแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนค่าก่อสร้างและอัตราการเช่า ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมดำเนินการโครงการฯ และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของโครงการฯ และการบริหารจัดการโครงการอาคารเช่าที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ การจัดทำแผนหารายได้จากอาคารเช่าที่ยังว่างอยู่ การเร่งรัดติดตามหนี้ค้างชำระ และกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดหนี้ค้างชำระใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ นำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้เช่า โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการดังกล่าวเป็นลำดับแรก ๒.๒ ให้ดำเนินโครงการในลักษณะประชารัฐและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณานำอาคารที่อยู่อาศัยของภาครัฐหรือเอกชนที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ หรือไม่สามารถจำหน่ายได้มาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางการคมนาคม รวมทั้งความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ๒.๓ ให้กำหนดหลักเกณฑ์การเช่า การบริหารโครงการ และการทำสัญญาเช่าให้รอบคอบ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้การเคหะแห่งชาติดำเนินโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๕๙ ระยะที่ ๑ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้การเคหะแห่งชาติจัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการในส่วนที่มีความพร้อมก่อน และให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 305 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2560 | อก | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ ซี่งมีมติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ร่างกรอบแผนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๒) เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองการบินภาคตะวันออก [Special EEC Zone : Eastern Airport City (EEC-A)] (๓) รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกกับการเชื่อมโยง ๓ สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา) (๔) แนวทางการเร่งรัดการอนุมัติโครงการร่วมทุนรัฐ-เอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุน (Public-Private Partnership : PPP) ในพื้นที่ EEC (๕) ความก้าวหน้าการชักจูงนักลงทุนรายสำคัญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๖) การจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) (๗) การจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ (๘) แนวทางการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทรา และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก : เมืองการบินภาคตะวันออก และการศึกษาระบบรางโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก กับการเชื่อมโยง ๓ สนามบิน ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้เร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขภายใต้ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินการโครงการในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมจะต้องให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง และเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวทางทะเล รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่โดยรอบ และมีการจัดทำแผน/นโยบาย/กลไก ส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง EECi กับเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ : เมืองการบินภาคตะวันออก โดยเฉพาะการทำวิจัยพัฒนาและสร้างต้นแบบต่าง ๆ และการพิจารณาการจัดสร้างระบบราง หรือเพิ่มเส้นทางต่อขยาย “โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายตะวันออก กับการเชื่อมโยงระหว่าง ๓ สนามบิน” ให้สามารถเชื่อมโยงถึงพื้นที่ EECi ได้ นอกจากนี้ ควรมีการประชาสัมพันธ์ การสร้างความเข้าใจและชี้แจงผลประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่และบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 306 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศไทยและประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก (Pacific Island Countries) ให้เกิดความยั่งยืนและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางการพัฒนาพลังงานชีวภาพ (Bioenergy) และแนวทางตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปส่งเสริม ให้ข้อมูล ความรู้ และความเข้าใจแก่ประชาชนของประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการประมงไทยเข้าไปประกอบธุรกิจประมง โดยเฉพาะการจับและแปรรูปสัตว์น้ำในประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น สาธารณรัฐวานูอาตู สาธารณรัฐนาอูตู และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำผลผลิตจากประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกมาแปรรูปและพัฒนาให้เป็นสินค้าส่งออกของประเทศไทยต่อไปด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาตามกรอบอำนาจหน้าที่เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่จะมีการจำแนกตามระดับรายได้ให้ได้รับรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทั่วถึง โดยให้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการให้ชัดเจน และบูรณาการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องโดยใช้ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นปัจจุบันมาประกอบการพิจารณาดำเนินการให้เหมาะสม ถูกต้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อาจดำเนินการเรื่องการจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย กระทรวงศึกษาธิการอาจดำเนินการเรื่องการส่งเสริมและให้โอกาสทางการศึกษาสำหรับผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินนโยบายในภาพรวมของรัฐบาลที่ต้องการให้การช่วยเหลือและยกระดับรายได้ของผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership : TPP) และการเข้าเป็นภาคีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) และสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนตามความเหมาะสมต่อไป ๓. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงานสำรวจข้อมูลภาวะการว่างงานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นครั้งแรกเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของการว่างงาน และกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการว่างงานที่เหมาะสมต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้ทุกส่วนราชการติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ในหลายพื้นที่ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานไปยังหน่วยงานในพื้นที่ให้เตรียมการป้องกันปัญหาน้ำท่วมฉับพลันที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเร่งสำรวจพื้นที่เสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน เช่น ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาที่อาจชำรุดและไม่แข็งแรงเพียงพอ และให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อประชาชน สำหรับพื้นที่ใดที่อาจเกิดภาวะน้ำท่วมขึ้น ให้ประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ (สถาบันอาชีวศึกษา) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร็วด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีความพร้อมในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เช่น การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ รถขนาดใหญ่เพื่อขนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ ๔.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมในการสำรวจเส้นทางการจราจรที่อาจชำรุดเสียหายในช่วงที่มีฝนตกหนัก โดยให้จัดเตรียมบุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ๕. ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบและปรับปรุงระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถใช้งานได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้มีการกระทำผิดกฎหมาย รวมทั้งให้สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดกฎหมายได้ ๖. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันรวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดการดำเนินการในเชิงพาณิชย์หรือนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถนำงานวิจัยดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว และให้ร่วมกันรวบรวมผลงานหรืองานวิจัยที่ได้รับรางวัลชนะเลิศต่าง ๆ เช่น ผลงานจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก (The Intel International Science and Engineering Fair 2017 : Intel ISEF) เพื่อนำไปต่อยอดการดำเนินการในเชิงพาณิชย์หรือนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย ๗. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาจัดซื้อ/จัดหาครุภัณฑ์ที่ผลิตหรือใช้วัตถุดิบในประเทศก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อส่งเสริมภาคการผลิตในประเทศและเกิดการลงทุนในประเทศมากขึ้นต่อไป ๘. ในการจัดทำเอกสารเผยแพร่หรือสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ของส่วนราชการ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดรูปแบบการจัดทำและวิธีการเผยแพร่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงตรงตามเจตนารมณ์ของการจัดทำ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 307 | ผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการคลังเมียนมา และการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการคลังเมียนมา และผลการเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมมหกรรมการค้าชายแดน Tak SEZ Fair 2017 ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ มีนาคม ๒๕๖๐ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการคลังเมียนมา ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลศุลกากรระหว่างกัน ส่งเสริมการค้า การลงทุน โดยผลักดันการใช้เงินบาท-เงินจ๊าด และการดำเนินพิธีการศุลกากรแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection : SSI) การท่องเที่ยวเชื่อมโยงฝั่งไทยและเมียนมา และความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ภายใต้โครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (Young Entrepreneur Network Development Program : YEN-D) รวมทั้งได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการด้านบริการสาธารณสุข ณ โรงพยาบาลนครแม่สอด อินเตอร์เนชั่นแนล ที่รองรับการบริการแก่ประชาชนไทยและเมียนมา ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๑ โดยมีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือถึงแนวทางการส่งเสริมและขจัดปัญหาอุปสรรคการค้าชายแดนระหว่างไทย-เมียนมา ในหลายประเด็น เช่น การสนับสนุนการใช้เงินสกุลท้องถิ่น (บาท-จ๊าด) ในพื้นที่ชายแดน เป็นต้น และจะมีการประชุมครั้งต่อไปในปี ๒๕๖๑ ที่เมียนมา ๓. การประชุมสภาธุรกิจไทย-เมียนมา มีผลการประชุม เช่น การเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐาน (สะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ ๒ และการยกระดับจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขรให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร) การผลักดันให้แม่สอด-เมียวดีเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษร่วม เป็นต้น ๔. งานมหกรรมการค้าชายแดน Tak SEZ Fair 2017 ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ภายในงานประกอบด้วยสินค้าจากผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการเมียนมา คาดว่ามีมูลค่าการซื้อขายภายในงานไม่ต่ำกว่า ๓๐ ล้านบาท และมีผลให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องของผู้ประกอบการและผู้ค้าไทย-เมียนมาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 308 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 28 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มกราคม 2560) | นร | 25/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๘ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ มกราคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ เป็นต้น ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรงและที่ปรึกษากฎหมายของเด็กและเยาวชน การปฏิรูปประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เรื่องร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพลังงานทดแทน พ.ศ. .... และ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารการประชาสัมพันธ์ในภาครัฐเพื่อความโปร่งใส พ.ศ. .... เป็นต้น ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช โดยการจัดนิทรรศการ “ในดวงใจนิรันดร์” จัดงานมหกรรม “ตามรอยพ่อบนดอยสูง” และพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ราษฎรบนพื้นที่สูง เป็นต้น ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมมือกับ UN HABITAT จัดการประชุมหุ้นส่วนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคเพื่อการขับเคลื่อนวาระใหม่แห่งการพัฒนาเมือง การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ใกล้เคียงมาเรียนรวมกัน และการส่งเสริมกลไกประชารัฐ โดยจัดทำ VDO Infographic และ Logo “อาชีวะฝีมือชนคนสร้างชาติ” เป็นต้น ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การเร่งรัดติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ การกำหนดมาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก การจัดงาน “ค้าส่งรวมใจ โชห่วยไทยคู่สังคม” และการเร่งผลักดันมันสำปะหลังสู่ตลาดต่างประเทศการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาง เป็นต้น ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์จากฐานการผลิตในชุมชนสู่แหล่งแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าทั้งภายในประเทศและการเชื่อมโยงกับอาเซียน โดยกรมทางหลวงได้ดำเนินการสานต่อโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เป็นต้น ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติ การตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐผ่านเว็บไซต์ “ภาษีไปไหน” การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 309 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 11/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สิ้นสุดลงแล้ว ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 (ปรับปรุงใหม่) มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ ๒. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๙ ของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน (Action Plan) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓. รับทราบความก้าวหน้าในเรื่องต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน โครงการบ้านประชารัฐ โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ และมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น เป็นต้น ๔. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในส่วนของมาตรการฟื้นฟู SMEs ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้โดยเร็ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดของการใช้เงินสนับสนุนของมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Matching Fund) ภายใต้มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น และรายงานผลการหารือต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ต่อไป ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรายงานความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางแก้ไขในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง (Action Plan) ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๖๐ และการดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกสามเดือน ๗. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ดำเนินการใกล้สิ้นสุดโครงการแล้ว) และมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (สิ้นสุดมาตรการแล้ว) ออกจากกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ใช้ในการติดตามความคืบหน้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 310 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 27 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 ธันวาคม 2559) | นร | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๗ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนาต่าง ๆ และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า และร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... การยกร่างแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี การยกร่างยุทธศาสตร์การจัดการคุณภาพน้ำของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ การปฏิรูปกฎหมายและระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน การปฏิรูปการประกันภัยการเกษตร การปฏิรูประบบสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน การปฏิรูประบบงบประมาณและการคลังภาครัฐ เศรษฐกิจผู้สูงวัย การอนุรักษ์พลังงานโดยใช้ข้อบัญญัติเกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (Building Energy Code : BEC) ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมาย การจัดทำร่างพระราชบัญญัติรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. .... การประชุมหารือด้านการทหารระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมอินเดีย ครั้งที่ ๕ การฝึกผสม COPE TIGER 2017 การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม การดำเนินงานด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมกลุ่มคนพิการและผู้ด้อยโอกาส การจัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี ๒๕๕๙ การจัดนิทรรศการในงาน Thailand Friendly Design Expo 2016 : มหกรรมอารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ ๑ การมอบสุขภาพดีเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทยทุกคนตรวจสุขภาพฟรี การจัดโปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับกลุ่มผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะฟรี การจัดทำระบบสมุนไพรไทยสำหรับประชาชน Version 1.0 (Mobile Application) ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๕๙ โครงการของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๐ ให้แก่ประชาชนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ การจัดทำมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยขั้นพื้นฐาน 4Q การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลตามนโยบายรัฐบาล การเร่งปั้นผู้ประกอบการรายใหม่สู่การเป็นมืออาชีพ การหารือกรอบความร่วมมือด้านการค้า ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การพัฒนาด่านการค้าชายแดนและโครงข่ายการคมนาคมขนส่งบริเวณประตูการค้าหลักของประเทศ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ไทย-จีน โครงการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ๒ เส้นทาง ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความเป็นธรรม การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 311 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ปช | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องการใช้สิทธิคัดค้านบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งและมอบหมายเป็นพนักงานไต่สวน รวมทั้งหลักเกณฑ์การพิจารณามอบหมายให้พนักงานไต่สวนดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต้องคำนึงถึงความเชี่ยวชาญและความเหมาะสมเป็นหลัก และระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจรับคำกล่าวหา การแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้นำหลักการดังกล่าวมากำหนดไว้ในระเบียบฯ ด้วย สำหรับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแต่งตั้งพนักงานไต่สวน การแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานไต่สวน และการลงนามแทนในหนังสือ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ออกระเบียบที่เกี่ยวข้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วบางฉบับ โดยกำหนดให้การปรับปรุงระเบียบและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับ อีกทั้งการเร่งรัดดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนหรือมอบหมายพนักงานไต่สวนให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง ตั้งแต่วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๙ แล้ว และจะต้องดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ หากไม่แล้วเสร็จจะต้องชี้แจงเหตุผลต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 312 | การลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว | อก | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว บนที่ดินราชพัสดุ จำนวน ๖๖๐-๒-๒๓ ไร่ ที่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับกรมธนารักษ์เป็นเวลา ๕๐ ปี เงินลงทุนโครงการรวม ๑,๖๖๐.๒๖ ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณแผ่นดิน (งบอุดหนุน) จำนวน ๗๐๐.๐๐ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรให้แล้ว และงบประมาณของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จำนวน ๙๖๐.๒๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เช่น กนอ. ควรมีการวางแผนบริหารจัดการด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และสิ่งแวดล้อมของโครงการให้มีความพร้อมสามารถรองรับปัญหาและความต้องการได้อย่างเพียงพอและมีเสถียรภาพ ควบคู่กับการเร่งรัดให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็ว โดยมีแผนการตลาดและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งควรมีกระบวนการอนุมัติอนุญาตแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ และควรพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าให้ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในการดึงดูดนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการ/มาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและสาธารณูปโภค การเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาประกอบกิจการในพื้นที่ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กำหนดระยะเวลาดำเนินการ รวมทั้งตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. ร่วมกับคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการและกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วและระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงและส่งเสริมกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 313 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมให้ทุกโรงเรียนให้ความสำคัญในการจัดการเรียนการสอนวิชาลูกเสือและเนตรนารี รวมทั้งพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเครื่องแบบลูกเสือและเนตรนารีสำหรับนักเรียนที่มีฐานะยากจนด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาเส้นทางการคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการค้าการลงทุนของภูมิภาค โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยการเชื่อมโยงเส้นทางจากกรุงเทพมหานครไปสู่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ท่าเรือแหลมฉบัง และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ด้วย นั้น ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการโดยเร็วและให้เชื่อมโยงถึงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วด้วย ทั้งนี้ ให้นำเสนอแผนงานโครงการในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๖ เดือน ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเร่งสำรวจเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้ประดิษฐ์คิดค้นและสามารถนำมาใช้ในกระบวนการผลิตยาจากพืชสมุนไพร โดยให้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด แล้วส่งให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเพื่อสร้างการรับรู้ และให้มีการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและอุปกรณ์ดังกล่าวอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว และร่วมกันรวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดการดำเนินการในเชิงพาณิชย์หรือนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถนำงานวิจัยดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน ๒.๓ ให้กระทรวงกลาโหม (กรมสรรพาวุธทหารบก) สำรวจความต้องการใช้ยางพาราสำหรับผลิตยางรถยนต์เพื่อใช้ในหน่วยงานในสังกัด รวมทั้งนำร่องผลิตยางรถยนต์ดังกล่าวเพื่อส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ๒.๔ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินงานแบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) โดยการใช้ดิจิทัลในกระบวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งประสานให้ทุกหน่วยงานที่มีการให้บริการต่าง ๆ แก่ประชาชนผ่านระบบออนไลน์ให้ความสำคัญในการจูงใจให้ประชาชนใช้บริการให้มากขึ้นเพื่อให้ผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ของประเทศดีขึ้น เช่น การให้บริการระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) การให้บริการขอใช้ไฟฟ้า และการให้บริการด้านประกันสังคมทางระบบออนไลน์ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำชุดข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อใช้ในการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อมูลที่สำคัญ เช่น (๑) การกักเก็บน้ำ ระบบส่งน้ำ และระบบการระบายน้ำในแต่ละสภาพภูมิประเทศ (๒) ข้อมูลสถานการณ์น้ำ จำแนกเป็นรายภูมิภาคและความเชื่อมโยงในการใช้น้ำร่วมกัน (๓) การดำเนินการของรัฐบาลทั้งที่เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จำแนกเป็นปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง และมาตรการระยะยาวที่มีความยั่งยืน (๔) ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม รายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือกรณีเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในช่วงเดือนมกราคม ๒๕๖๐ โดยให้บูรณาการข้อมูลจากทุกหน่วยงาน และจัดทำสรุปผลการดำเนินการดังกล่าวนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ภายใน ๑ เดือน โดยอย่างน้อยให้มีข้อมูลดังต่อไปนี้ ๓.๒.๑ ผลการให้ความช่วยเหลือประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน การเยียวยาเกษตรกรและผู้ประกอบการ ๓.๒.๒ แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าว โดยให้มีข้อมูลเกี่ยวกับการวางผังเมือง แผนการกักเก็บน้ำและการระบายน้ำ เส้นทางคมนาคมทั้งทางถนนและทางราง รวมทั้งให้ระบุด้วยว่าได้มีการดำเนินการตามแผนในเรื่องใดแล้ว และจะต้องมีการดำเนินการในเรื่องใดต่อไป ตลอดจนชี้แจงปัญหาอุปสรรคที่อาจจะทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวได้ด้วย ๓.๒.๓ เส้นทางคมนาคมขนส่งสายรองที่ประชาชนสามารถใช้แทนเส้นทางหลัก เช่น ถนนเพชรเกษมที่ชำรุดเสียหายในกรณีที่เกิดเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 314 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีคณะกรรมการกลางเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าสูงตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตในโครงการ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าวนำร่องการตรวจสอบโครงการด้านการคมนาคมขนส่ง เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ๒. ในการจัดทำเอกสารหรือสื่อต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์หรือเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ/กิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาล ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดส่งเอกสารหรือสื่อดังกล่าวที่จัดทำขึ้นให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อทำความเข้าใจและนำไปถ่ายทอดหรือเผยแพร่ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง โดยให้พิจารณาใช้ช่องทางการเผยแพร่ที่หลากหลายและเหมาะสมตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดตรวจสอบการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่มีปัญหาติดขัด ล่าช้า หรือค้างการดำเนินการมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตของทางราชการที่ประชาชนหรือเอกชนได้ยื่นเรื่องไว้ รวมทั้งเรื่องที่เป็นการอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการเสนอเรื่องดังกล่าวพร้อมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 315 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 26 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 พฤศจิกายน 2559) | นร | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ และให้ กขร. รวบรวมสรุปข้อมูลการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ถึงปัจจุบัน เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลต่อไป มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนาต่าง ๆ และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ผ่านศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. ได้มีการติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป โดยกระทรวงการคลังได้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอประเด็นปฏิรูปตามแผนปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่องการป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการในประเด็นการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการและเฝ้าระวังเว็บไซต์ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั่วไปที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย การพัฒนา กศน. ตำบล เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างและกระจายโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลตามนโยบายรัฐบาล ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น โครงการห้องสมุดอาเซียน การจัดงาน CLMVT Forum 2016 เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และการติดตามการแก้ไขปัญหาการค้าชายแดนด้านประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การจัดหน่วยบริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ โครงการมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 316 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๓,๔๐๑ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๔๒๑ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๒,๙๙๐ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๐๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓,๔๓๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๙๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 317 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา พ.ศ. .... | คค | 07/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา ในท้องที่อำเภอบางปะอิน อำเภอวังน้อย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อำเภอหนองแค อำเภอเมืองสระบุรี อำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และอำเภอปากช่อง อำเภอสีคิ้ว อำเภอสูงเนิน อำเภอขามทะเลสอ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาก่อสร้างทางสายต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และโดยที่แนวเขตบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้เคยมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๔ ปี จึงเห็นควรให้กรมทางหลวงเร่งรัดการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับใหม่ รวมทั้งพิจารณาแนวทางหรือมาตรการเร่งรัดให้สามารถจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างก่อสร้างได้ตามสัญญา และสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ภายในปี ๒๕๖๓ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 318 | ร่างกฎกระทรวงการขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบียนท่าเทียบเรือประมง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบียนท่าเทียบเรือประมง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขหลักเกณฑ์ในการขอจดทะเบียนท่าเทียบเรือประมงและเงื่อนไขในการยื่นหนังสือรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมงภายหลังจากวันที่ได้จดทะเบียนท่าเทียบเรือประมง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้พิจารณาในกรณีที่ท่าเทียบเรือประมงที่ขอจดทะเบียนเป็นสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำ ซึ่งต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ด้วย รวมทั้งการกำหนดให้ผู้ที่ได้จดทะเบียนท่าเทียบเรือประมง ตามกฎกระทรวงการขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบียนท่าเทียบเรือประมง พ.ศ. ๒๕๕๙ ไว้แล้ว จะต้องยื่นหนังสือรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมง ภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น อาจเป็นการเร่งรัดผู้ที่ได้รับจดทะเบียนมากเกินไป จึงเห็นควรขยายระยะเวลาเพื่อให้ผู้ที่จะยื่นขอรับรองมาตรฐานฯ ได้เตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมงดังกล่าว หรือกำหนดเป็นช่วงระยะเวลาภายหลังที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดกรมประมงกำหนดมาตรฐานด้านสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมงตามประเภทกิจกรรมของท่าเทียบเรือประมงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลตามมาตรา ๙๘ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วและเร่งรัดการเสนอกฎหมายลำดับรองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้การใช้บังคับกฎหมายเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และสามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 319 | แนวทางความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงการขนส่งทางถนนระหว่างไทย - เมียนมา ภายใต้กรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง | คค | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การให้ความช่วยเหลือแก่เมียนมาในการปรับปรุงเส้นทางสายเอ็นดุ-ท่าตอน ในเมียนมา ระยะทาง ๖๐ กิโลเมตร โดยมีกรมทางหลวงเป็นหน่วยงานดำเนินการ และให้หารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณในการพิจารณารูปแบบการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวต่อไป ๑.๒ การเร่งรัดผลักดันเมียนมาให้มีการเจรจาเพื่อจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลง CBTA (Initial Implementation of the Cross-Border Transport Agreement : IICBTA) ณ จุดผ่านแดนแม่สอด-เมียวดี กับฝ่ายไทยเพื่อให้ได้ข้อยุติภายในระยะเวลา ๒ เดือน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดผลักดันให้มีการเจรจากับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนที่ยังไม่ได้เจรจาความตกลงด้านการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับประเทศไทย เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว พร้อมทั้งดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS CBTA) โดยเร็ว ทั้งนี้ ในการเจรจาควรพิจารณาถึงแนวโน้มและความต้องการขนส่งสินค้าข้ามแดนระหว่างผู้ประกอบการไทยกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์จากความร่วมมือดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 320 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการบ่มเพาะและกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม ทั้งที่ประดิษฐ์คิดค้นโดยเยาวชนและประชาชนทั่วไป รวมถึงการแปลงนวัตกรรมให้เป็นสินค้าออกสู่ท้องตลาด โดยใช้กลไกประชารัฐที่มีภาคเอกชนมาร่วมดำเนินการ เช่น การจับคู่ธุรกิจกับเยาวชนที่มีความรู้ ความสามารถ การกำหนดมาตรการสนับสนุนผู้เริ่มทำธุรกิจ (New Startup) นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นการพัฒนาต่อยอดและการแปลงนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ที่คิดค้นโดยเยาวชนและประชาชนทั่วไปให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น โดยแบ่งหลักสูตรออกเป็น ๒ ระดับ คือ (๑) ระดับหัวหน้าหน่วยงาน เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการระดับหัวหน้าประจำอำเภอ และ (๒) ระดับรองหัวหน้าหน่วยงาน เช่น รองปลัดกระทรวง รองอธิบดี โดยหลักสูตรดังกล่าวให้มุ่งเน้นกิจกรรมการระดมความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนหรือแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น การสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ทั้งนี้ ให้นำผลการฝึกอบรมของบุคลากรดังกล่าวไปใช้ประกอบการประเมินและกำหนดเป็นคุณสมบัติในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในอนาคตด้วย ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙ [เรื่อง การเข้าร่วมงาน International Tourismus Borse (ITB 2016)] มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวประเทศไทยเสียหาย นั้น ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการดูแลให้ความช่วยเหลือลูกจ้างหรือพนักงานบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากกรณีผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับทัวร์ศูนย์เหรียญที่ปิดกิจการไปแล้ว ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยของรถโดยสารให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถโดยสารขนาดใหญ่ (รถสองชั้น) ทั้งในด้านมาตรฐานของรถโดยสาร มาตรฐานการตรวจสภาพรถ การกำกับดูแลผู้ขับรถ และมาตรฐานการบำรุงรักษารถ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน รวมทั้งให้สำรวจและดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยงอันตราย และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดสำหรับผู้ขับรถที่ฝ่าฝืนกฎจราจรด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
