ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 201 | รายงานผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 (ไตรมาสที่ 2) | นร07 | 21/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. มอบหมายรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดหน่วยรับงบประมาณในความรับผิดชอบให้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของหน่วยงานเป็นสำคัญ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในโอกาสต่อไป หน่วยรับงบประมาณควรมีการเร่งรัดปรับปรุงแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการปฏิบัติงาน ๒. เห็นสมควรที่หน่วยรับงบประมาณรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณผ่านระบบฐานข้อมูล แผน/ผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ (BB EvMis) ตามระยะเวลาที่สำนักงบประมาณกำหนดอย่างเคร่งครัด เนื่องจากพบว่ามีบางหน่วยงานมีการรายงานล่าช้าหรือไม่ครบถ้วน เพื่อสำนักงบประมาณจะได้ประมวลผลและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓. ด้วยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ หมวด ๗ การประเมินผลและการรายงาน หน่วยรับงบประมาณจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ซึ่งเดิมสำนักงบประมาณมีเครื่องมือในการติดตามและประเมินผล ได้แก่ ระบบการวิเคราะห์ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานจากการใช้จ่ายงบประมาณ (Performance Assessment Rating Tool : PART) ที่เป็นเครื่องมือของหน่วยงานภาครัฐใช้ในการประเมินผลการดำเนินงานด้วยตนเอง (Self Assessment) และสำนักงบประมาณจะต้องทำหน้าที่วิเคราะห์ผลการประเมิน (Assessor) ของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละปีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระให้กับหน่วยรับงบประมาณ และดำเนินการให้สอดคล้องตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังกล่าว สำนักงบประมาณจึงเห็นสมควรที่จะดำเนินการทบทวนเพื่อยกเลิกระบบการวิเคราะห์ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานจากการใช้จ่ายงบประมาณ (PART) ตามขั้นตอนต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางเร่งรัดศึกษาปรับปรุง ควบคู่ไปกับการให้ความรู้กับหน่วยรับงบประมาณเกี่ยวกับกระบวนการ ขั้นตอน และวิธีการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้อง บนพื้นฐานของความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 202 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2562 | นร63 | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (เพิ่มเติม) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท และ (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ โดยรายละเอียดงบประมาณสำหรับการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟาเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท และการดำเนินการตามโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) ภายใต้แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ทางราชการเป็นสำคัญ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นแหล่งงบประมาณในการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท การดำเนินการตามโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) ภายใต้แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ รวมทั้งการเร่งรัดการเวนคืนที่ดิน และการประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 203 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยสำนักงาน กสทช. เห็นชอบตามข้อสังเกตที่ให้เร่งรัดการกำหนดนโยบายและจัดทำแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแนวนโยบายของรัฐ และการกำหนดหลักเกณฑ์ในการสนับสนุนการดำเนินการของรัฐเพื่อให้มีดาวเทียมหรือให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม โดยสำนักงาน กสทช. ได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำแผนและหลักเกณฑ์การอนุญาตสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว สำหรับข้อสังเกตในการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์จากการใช้คลื่นความถี่นั้น ได้มีประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม และจะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่จะมีในอนาคตต่อไป ส่วนข้อสังเกตในการเร่งรัดการออกระเบียบเกี่ยวกับเลขหมายโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาโครงการ นอกจากนี้ ข้อสังเกตในการปรับปรุงกฎหมายและการตราพระราชกฤษฎีกาหลอมรวมเทคโนโลยี สำนักงาน กสทช. อยู่ระหว่างพิจารณาศึกษาเพื่อปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และในการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวด้วย ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 204 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 30/04/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอแนวทางกรณีสัญญาจ้างเหมาบริการหรือสัญญาจ้างทำของสำหรับลูกจ้างในส่วนราชการเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ เห็นควรส่งเสริมให้สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์สถานะของกองทุนเงินทดแทนเพื่อเป็นแนวทางเพิ่มค่าทดแทนให้แก่ลูกจ้าง ตลอดจนการรวบรวมข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติการของกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเพื่อทบทวนวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการดังกล่าว และเห็นชอบตามข้อสังเกตในการแต่งตั้งแพทย์สาขาเวชศาสตร์ป้องกันเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนและการเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรอง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 205 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 4 สายชุมพร - ระนอง | คค | 24/04/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๔ สายชุมพร-ระนอง มีระยะทางรวมทั้งสิ้น ๑๐๒.๕๒ กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น ๕ ตอน โดยดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดใช้งานแล้ว ๓ ตอน ระยะทาง ๕๒.๓๒ กิโลเมตร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ๒ ตอน ระยะทาง ๕๐.๒๐ กิโลเมตร โดยมีถนนช่วงหนึ่งตัดผ่านพื้นที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี จังหวัดระนอง ระยะทางประมาณ ๒.๔๗ กิโลเมตร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และดำเนินการตามข้อเสนอแนะ เช่น การปรับปรุงแนวเส้นทางช่วงที่ผ่านน้ำตกปุญญบาล รวมทั้งการสำรวจและศึกษาสัตว์ป่าในบริเวณใกล้กับแนวการก่อสร้างถนนดังกล่าวเพื่อการจัดทำเส้นทางเชื่อมสัตว์ป่าและกำแพงบังคับสัตว์ป่าที่เหมาะสม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 206 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 02/04/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยได้เริ่มดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา เพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนได้ทราบและเข้าใจถึงระบบดังกล่าว และเข้ามาใช้ประโยชน์มากขึ้น รวมทั้งได้ดำเนินการเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรอง และจัดทำกรอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อผลักดันให้มีการทำธุรกรรมดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการใช้บังคับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 207 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 | กษ | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามที่ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบการเพิ่มเป้าหมายเกษตรกรในโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จากเดิม ๑๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน เป็น ๒๔๙,๙๑๘ ครัวเรือน (เพิ่มเป้าหมาย ๙๙,๙๑๘ ครัวเรือน) โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และชดเชยต้นทุนเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องอันเกิดจากผลของการเพิ่มเป้าหมายดังกล่าว ให้เป็นไปตามลักษณะวิธีการที่ได้ดำเนินการมาแล้วในโครงการดังกล่าว หรือเพิ่มเติมได้ แต่ให้อยู่ภายในกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (๓,๔๕๗,๗๕๖,๒๕๐ บาท) ๒. ที่ประชุมเห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ และขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท ออกไป จากเดิมสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๓. ที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวทางและวิธีการเพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มดิบ เพื่อลดสต็อกภายในประเทศ โดยให้ ๓.๑ กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มอัตราการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เพิ่มจากเดิม ๑,๐๐๐ ตัน/วัน เป็น ๑,๕๐๐ ตัน/วัน เพื่อเร่งดูดซับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ให้เร็วขึ้น ๓.๒ กฟผ. จัดหาสถานที่รับมอบน้ำมันปาล์มดิบตามมาตรการดังกล่าวที่คลังรับฝากจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดฉะเชิงเทรา และรับมอบน้ำมันปาล์มดิบตามสัญญาส่วนที่เหลือทั้งหมดจัดเก็บที่คลังดังกล่าวโดยเร็ว โดยให้ กฟผ. ชำระเงินค่าน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ผู้ขายหลังจากที่ผู้ขายได้นำน้ำมันปาล์มดิบเข้าจัดเก็บในคลังรับฝากที่ กฟผ. จัดหาเรียบร้อยแล้ว ในราคากิโลกรัมละ ๑๘ บาท หักค่าขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากคลังรับฝากถึงโรงไฟฟ้าบางปะกงที่ผู้ขายน้ำมันปาล์มดิบต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการเก็บสต็อกและการรักษาคุณภาพ ให้กระทรวงพลังงานจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ช่วยบริหารจัดการ Supply Chain ๓.๓ มอบหมายบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สนับสนุนมาตรการเร่งรัดการใช้น้ำมันปาล์มดิบและลดสต็อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินที่มีอยู่ภายในประเทศ โดยรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน เพื่อนำไปผลิตเป็น บี ๑๐๐ บี ๒๐ หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถระบายออกนอกระบบได้โดยเร็ว และให้ ปตท. รับผิดชอบดำเนินการโดยเร่งด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 208 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 4 | กต | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ [The Fourth Mekong-Lancang Cooperation (MLC) Foreign Ministers’ Meeting] ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยที่ประชุมฯ ได้รับรองแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบ MLC ครั้งที่ ๔ และรับทราบข้อเสนอของจีนในการดำเนินความร่วมมือ MLC ในอนาคต เช่น การจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง-ล้านช้าง ผ่านการส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพการผลิต โดยอาศัยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศสมาชิกและการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เป็นต้น นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกได้แสดงท่าทีในประเด็นที่สำคัญเพื่อร่วมดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ระยะ ๕ ปี ภายใต้กรอบ MLC โดยในส่วนของไทยได้เน้นย้ำการดำเนินภารกิจที่ต้องยึดตามหลักการพื้นฐานของปฏิญญาซานย่า อีกทั้งไทยได้รับข้อเสนอของจีน เช่น การจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง-ล้านช้าง ผ่านการส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติและดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป การส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพการผลิต โดยอาศัยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศสมาชิกและการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านนวัตกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนต่อไป และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในประเด็นการเร่งรัดการจัดทำแผนความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงระหว่างประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ควรให้หน่วยงานที่ดูแลภาพรวมระดับมหภาคของประเทศและระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานหลัก และควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักของไทยในคณะทำงานร่วมด้านศักยภาพการผลิตภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 209 | สรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และเรื่อง รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนด้านการศึกษา | ศธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และเรื่อง รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนด้านการศึกษา โดยได้ดำเนินโครงการ/กิจกรรมที่สำคัญ ภายใต้กรอบการปฏิรูปใน ๖ ด้าน รวม ๙๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ (๑) การปฏิรูปครู ๙ โครงการ/กิจกรรม (๒) การเพิ่ม กระจายโอกาสและคุณภาพทางการศึกษาอย่างทั่วถึง เท่าเทียม ๑๖ โครงการ/กิจกรรม (๓) การปฏิรูประบบการบริหารจัดการ ๒๒ โครงการ/กิจกรรม (๔) การผลิตและพัฒนากำลังคน เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ๒๐ โครงการ/กิจกรรม (๕) การปฏิรูปการเรียนรู้ ๒๕ โครงการ/กิจกรรม และ (๖) การปรับระบบ ICT เพื่อการศึกษา ๒ โครงการ/กิจกรรม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 210 | ผลการดำเนินงานและการขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ และการเบิกจ่ายเงินกู้ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการใดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ เห็นควรให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานเจ้าของโครงการหรือจากแหล่งอื่น เพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ของกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทางหลวง กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วงเงินรวมทั้งสิ้น ๖๗๙.๐๗ ล้านบาท โดยในการยกเลิกสัญญาขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการ และดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ยกเลิกโครงการต้องคืนเงินที่ได้เบิกไปแล้ว ขอให้เร่งดำเนินการและแจ้งผลการคืนเงินดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทราบด้วย สำหรับโครงการที่ขอยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทุกเดือน ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป และกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ ความคุ้มค่าทั้งในมิติสังคมและเศรษฐกิจ และผลสัมฤทธิ์ รวมถึงปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดทำมาตรการเชิงนโยบายของรัฐบาลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้กรมทางหลวงตรวจสอบโครงการประเภทต่าง ๆ ว่า เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ หรือไม่ และควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้เกิดการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่หรือลดข้อขัดแย้งจากการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. เห็นชอบเป็นหลักการว่า ในการดำเนินโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ เมื่อหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ และมีเงินคงเหลือจากการดำเนินงาน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ นำเงินที่เหลือในบัญชีดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 211 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... | สว | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ได้แก่ (๑) การเร่งรัดให้มีการแต่งตั้งประธานสภาและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เตรียมกระบวนการในการสรรหา แต่งตั้งประธานสภาและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว (๒) การเร่งรัดการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ และให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปด้านกฎหมาย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือกรอบการดำเนินการบริหารภายในของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไว้แล้ว และ (๓) การพิจารณาปรับปรุงแก้ไขแนวทางปฏิบัติ หรือรายละเอียดการปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติประจำปีที่จัดทำไว้เดิมให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มีการแก้ไข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กำหนดแนวทางดำเนินการไว้ ๒ แนวทาง คือ เมื่ออยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมแผนพัฒนาฯ ให้หน่วยงานดำเนินการตามแผนประจำปีเดิมที่กำหนดไว้ และเมื่อแก้ไขเพิ่มเติมแผนพัฒนาฯ เสร็จแล้ว ให้หน่วยงานดำเนินการปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับแก้ไข โดยกรอบวงเงินงบประมาณจะต้องไม่เกินจากกรอบเดิม เพื่อไม่ให้กระทบต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้จัดสรรไว้ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 212 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ปช | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ได้แก่ (๑) ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล (๒) ข้อเสนอแนะต่อ สพฐ. และ (๓) ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการดำเนินมาตรการลดความไม่โปร่งใสในการรับนักเรียนอย่างจริงจัง ควบคู่กับการปรับเชิงระบบ/โครงสร้างในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพสถานศึกษาเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 213 | การดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ และโครงการ ASEAN Digital Hub | นร | 05/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า ได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับโครงการเน็ตประชารัฐ และโครงการ ASEAN Digital Hub ร่วมกับผู้แทนจากกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ในการดำเนินโครงการดังกล่าวทั้ง ๒ โครงการ ยังมีประเด็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งพิจารณาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน เช่น ประเด็นเกี่ยวกับการชำระภาษี การจัดซื้อจัดจ้าง และการร่วมลงทุนของภาคเอกชน เป็นต้น ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มีหนังสือขอหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) และคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐแล้ว และเรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นควรให้มีการเร่งรัดการพิจารณาประเด็นข้อหารือดังกล่าวของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนโดยเร็ว ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปประสานและเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง และให้แจ้งผลการพิจารณาไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 214 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) ของกระทรวงคมนาคม | คค | 15/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) ของกระทรวงคมนาคม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพัฒนาโครงข่ายถนน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีนโยบายที่จะสร้างถนนทุกสายให้เป็นเส้นทางแห่งความสุขเชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งสินค้า ตลอดจนการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงทั้งในประเทศและอนุภูมิภาคให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย เป็นการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมโยงเมืองหลัก เมืองรอง การยกระดับความปลอดภัยทางถนน ปรับปรุงทุกจุดเสี่ยงอุบัติเหตุบนทางหลวงสายหลัก และการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตเมือง รองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งทางถนน และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมือง ๒. การพัฒนาโครงข่ายทางราง ให้เป็นโครงข่ายหลักของประเทศ กระทรวงคมนาคม โดยได้ดำเนินการเร่งรัดการพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง (การพัฒนาระบบรถไฟทางคู่) เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งทางราง ลดระยะเวลาในการโดยสารและการขนส่งสินค้า ซึ่งสอดคล้องตามนโยบายการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ใช้ระบบขนส่งทางราง ลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและประหยัดการใช้พลังงานของประเทศได้ในระยะยาว สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและยกระดับเศรษฐกิจของภาคโดยรวม โดยมีการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทางประมาณ ๒๘๐.๖๐ กิโลเมตร โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทางประมาณ ๑๘๙ กิโลเมตร ๓. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทางอากาศ ให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยมีนโยบายที่จะพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศให้เป็นประตูแห่งโอกาสการเดินทาง เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย โดยมีแผนพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ท่าอากาศยานลำปาง ท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอน และท่าอากาศยานปาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 215 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร11 | 25/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น ควรพิจารณาถึงบทบัญญัติบางประการที่ได้มีการพิจารณาปรับปรุงแล้ว หรือความซ้ำซ้อนกับพระราชบัญญัติอื่นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ การที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีจากการคุมขังยังนับอายุความต่อไป อาจทำให้เกิดความแตกต่างกันในการบังคับใช้กฎหมาย การจะลงโทษผู้กระทำความผิดกรณีหลบหนีจากการปล่อยตัวชั่วคราวของศาล ควรต้องดำเนินการโดยกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและการฟ้องร้องของพนักงานอัยการ และการกำหนดให้ไม่นับระยะเวลาที่หลบหนีเป็นส่วนหนึ่งของอายุความทำให้มีการขยายอายุความออกไปอาจส่งผลต่อการเร่งรัดของเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา กรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 216 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) | กค | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานะและผลการเร่งรัดส่วนราชการเจ้าของโครงการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) ในส่วนที่ไม่อยู่ในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ซึ่งได้ลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้วและอยู่ระหว่างเบิกจ่าย จำนวน ๔ โครงการ และ ๑ โครงการย่อย โครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ DPL แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน ๑ โครงการ โครงการที่อยู่ระหว่างการจัดสรรเงินกู้ DPL จำนวน ๑ โครงการ และผลการยุติการดำเนินโครงการ จำนวน ๕ โครงการหลัก ๕ โครงการย่อย และ ๑๕ รายการย่อย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้ DPL ของโครงการต่าง ๆ จำนวน ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร โครงการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ ระยะที่ ๓ ของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ โครงการจัดหาระบบบริหารจัดการ Software และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โครงการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายระบบความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศเพื่อทดแทนเครื่องเดิม โครงการพัฒนาระบบควบคุมผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีเพื่อประโยชน์แห่งการจัดเก็บภาษีอากรตามมาตรา ๓ สัตตแห่งประมวลรัษฎากร ของกรมสรรพากร โครงการจัดทำระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมทางศุลกากรด้วยระบบเอ็กซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้า สัมภาระและหีบห่อสินค้าของผู้เดินทางรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของกรมศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมทางกรมศุลกากรด้วยระบบเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้า สัมภาระและหีบห่อสินค้าของผู้เดินทางรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของกรมศุลกากร วงเงิน ๑,๓๑๘.๐๐ ล้านบาท ที่ยังไม่ได้ลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างนั้น หากโครงการดังกล่าวไม่สามารถลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างได้ทันภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถใช้เงินกู้ DPL เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไปได้ ๓. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. อนุมัติการยุติการดำเนินโครงการต่าง ๆ จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและรองรับการให้บริการประชาชน โครงการปรับเปลี่ยนระบบ e-mail โครงการพัฒนาระบบงานและเว็บไซต์สำหรับให้บริการผ่านอุปกรณ์และคอมพิวเตอร์พกพา (Mobile Application and Mobile Web Site) โครงการพัฒนาระบบยื่นรายการประกอบแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (Summary table) ของกรมสรรพากร และโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPPs Model) สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 217 | ข้อสังเกตของกรรมาธิการเต็มสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย พ.ศ. .... | สว | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเต็มสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการเร่งรัดกระบวนการให้เปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทยในกรุงเทพมหานคร เห็นควรแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการตรากฎหมายฉบับนี้ อีกทั้งทำความเข้าใจกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงถึงการที่ประเทศไทยจะเร่งรัดการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรและตราอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีในหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้สอดคล้องและครอบคลุมเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ที่จะมีการประกาศใช้ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศหามาตรการรองรับในทางปฏิบัติเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประเทศไทยในช่วงแรกก่อนที่จะมีการแก้ไขและจัดทำพระราชบัญญัติและอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนควรเร่งรัดการจัดทำคู่มือการกำหนดหลักเกณฑ์ รูปแบบ และคำแปลศัพท์ภาษาต่างประเทศสำหรับใช้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันตามข้อสังเกตในการให้ความเห็นชอบพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของกรรมาธิการฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 218 | ขอความเห็นชอบและลงนามร่างบันทึกความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงโยธาธิการและขนส่งแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | คค | 13/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงโยธาธิการและขนส่งแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามดังกล่าว โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความร่วมมือฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ด้านนโยบายระหว่างสองประเทศที่จะดำเนินความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งโดยไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นการเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน และแสดงความตั้งใจในการเร่งรัดการดำเนินความร่วมมือด้านคมนาคมขนส่งในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงระหว่างกันและระหว่างภูมิภาค การอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงความร่วมมือในการสร้างกลไกในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยระหว่างกัน โดยจะมีการลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในระหว่างการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat : JCR) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลแลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างบันทึกความร่วมมือฯ เป็นการทำความตกลงในระดับหน่วยงานมิใช้ระดับรัฐ อีกทั้งมิได้มีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่จำเป็นต้องมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม เนื่องจากไม่เข้าตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 219 | โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค | ศธ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น (Thai KOSEN) จำนวน ๒ วิทยาเขต ได้แก่ สถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KOSEN KMITL) และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KOSEN KMUTT) และพัฒนาหลักสูตรที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการผลิต วิศวกรนักปฏิบัติ นักเทคโนโลยีและนวัตกรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญสูงในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม และสามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีของประเทศ สนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมและการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จัดทำหลักสูตรด้านวิศวกรรมศาสตร์ และจัดให้มีทุนการศึกษาวิจัยและพัฒนา ฝึกอบรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์แก่นักศึกษาในหลักสูตรโคเซ็น ๔ ประเภท ระยะเวลาดำเนินการ ๑๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔) งบประมาณที่ใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ ทั้งสิ้น ๓,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ในระยะยาว โดยร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในภาคอุสาหกรรมของประเทศ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีผู้แทนของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นองค์ประกอบคณะกรรมการดังกล่าว ไปพิจารณาทบทวนองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวให้เหมาะสม ส่วนการจัดตั้งสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่เดิมรองรับการจัดตั้งสถาบันดังกล่าวก่อน ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM) สำหรับทุกระดับการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ดียิ่งขึ้นโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 220 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน-๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองมะละกา รัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการติดตามผลการดำเนินงานของ IMT-GT ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีผลสำเร็จสำคัญ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจของอนุภูมิภาค IMT-GT การเปิดใช้รถไฟฟ้ารางเบาในเมืองปาเล็มบัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และความก้าวหน้าในการก่อสร้างด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัม ประเทศมาเลเซีย และด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ประเทศไทย เป็นต้น และกำหนดแนวทางความร่วมมือแผนงาน IMT-GT ในระยะต่อไป เช่น การทบทวนการดำเนินงานระยะกึ่งกลางแผนการดำเนินการระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ การขับเคลื่อนแนวระเบียงเศรษฐกิจที่ ๖ และการเร่งรัดพัฒนาเมืองสีเขียวตามกรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนเพื่อช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ต่อไป เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ แผนงาน IMT-GT ซึ่งได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เนื้อหามีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น แต่คงไว้ซึ่งเนื้อหาและสาระสำคัญตามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ และมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส และการจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างกันในด้านความร่วมมือด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจโรคพืชและสัตว์ ต้องคำนึงถึงมิติความมั่นคงและผลผูกพันต่อการดำเนินการของไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
