ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 241 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา) | กษ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๑,๓๘๐ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 242 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 41 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 เมษายน 2561) | นร04 | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ครั้งที่ ๔๑ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๐ เมษายน ๒๕๖๑) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่อง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างแผนการปฏิรูปประเทศ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนงาน/โครงการในระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับร่างแผนการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน ทั้งนี้ แผนการปฏิรูปประเทศได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย และการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การจัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ การจัดโครงการตลาดประชารัฐ (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) ให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น และพัฒนาการให้บริการทางการเงินในระบบการเงินของไทยสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น โครงการ ๑ ตำบล ๑ นวัตกรรมเกษตร เป็นการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น เร่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในภูมิภาคอาเซียนและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนให้ชุมชนมีการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เครื่อง GPS แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม อุปกรณ์โทรมาตร และการใช้งานระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการน้ำ และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ โดยจัดตั้งกลุ่มขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ในสำนักงานปลัดกระทรวง และการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการขออนุญาตจากทางราชการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 243 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี) | กษ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๘๕-๒-๐๖.๔ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 244 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรอง (โดยไม่มีการลงนาม) ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมรัฐมนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ประกอบด้วย (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ (๒) ร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสนับสนุนสตรี สันติภาพ และความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) (๔) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการบิน : ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน (๕) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติ (๖) ร่างรายการกิจกรรมที่เป็นทางการ (Track 1) สำหรับปีกิจกรรม ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (๗) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านความมั่นคงทางทะเล ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ (๘) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการไม่แพร่ขยายและการลดอาวุธ (๙) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการทูตเชิงป้องกัน และ (๑๐) แผนการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ โดยการร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวจะเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน รวมทั้งการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาในกรอบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างและส่งเสริมผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงของประเทศไทย รวมถึงการร่วมกันแก้ไขปัญหาท้าทายที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยและภูมิภาคในภาพรวม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ในร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ ควรเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนามาตรการป้องกันการฟอกเงินผ่านนวัตกรรมทางการเงิน และการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์และการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการเร่งรัดความร่วมมือเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทชนิดใหม่ในอนุภูมิภาค ตลอดจนการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลข้อมูลทางดิจิทัลเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (๒) ในร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate resilience) โดยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ (Economic instrument) และ (๓) ในร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสนับสนุนสตรี สันติภาพและความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ควรเพิ่มเติมประเด็นการสนับสนุนบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารและการตัดสินใจในทุกระดับเพื่อพัฒนาการด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 245 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และยโสธร) เมื่อวันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (๒) ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแก้ไขปัญหาอุทกภัย (๓) ด้านการยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร (๔) ด้านคุณภาพชีวิต และ (๕) ด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งข้อสั่งการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการพัฒนาอาชีพให้กับประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน และสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดระบบการผลิตที่ครบวงจร สำหรับสินค้าเกษตรคุณภาพ ทั้งด้านการตลาดและระบบโลจิสติกส์ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 246 | มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561-2570 | อก | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับคณะทำงานพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) (D5) จัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยสาระสำคัญของมาตรการฯ เป็นการกำหนดให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Hub) อย่างครบวงจรภายในปี ๒๕๗๐ การกำหนดมาตรการและการดำเนินการที่สำคัญ ๔ มาตรการ คือ (๑) มาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย มาตรการเร่งด่วน และมาตรการสนับสนุน (๒) มาตรการเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ (๓) มาตรการกระตุ้นอุปสงค์ และ (๔) มาตรการสร้างเครือข่ายในรูปแบบของศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านชีวภาพ โดยใช้กลไกความความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) เป็นตัวขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรคำนึงถึงผลกระทบจากมาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุนที่จะให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวน ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอย่างไร และควรมีการวางแผนการบริหารจัดการผลผลิตในภาพรวมตลอดห่วงโซ่คุณค่า และคำนึงถึงภาพรวมการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพที่ประเทศไทยต้องการบรรลุผล เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูงบนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และควรมีการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 247 | ร่างปฏิญญารัฐมนตรีการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2018 | กต | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๘ และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ (รับรองโดยไม่ลงนาม) ในการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-level Political Forum on Sustainable Development : HLPF) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ต่อการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเป็นการเร่งรัดให้เกิดความคืบหน้าในการดำเนินการโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเป้าประสงค์ที่มีกรอบเวลาเพื่อบรรลุภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ เช่น การเสริมสร้างและยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษาที่คำนึงถึงเด็ก คนพิการ และเพศ และสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยขยายจำนวนทุนการศึกษาให้กับประเทศกำลังพัฒนา และการปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับน้ำ การบรรลุการบริหารจัดการสารเคมีและของเสียทั้งปวง รวมทั้งระบุถึงประเด็นที่ควรเน้นย้ำให้มีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น ความเสมอภาคระหว่างเพศ การมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน และการยกระดับการลงทุนและการดำเนินการโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเพื่อเพิ่มการเข้าถึงการวิจัยและเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการผลักดันประเด็นเกี่ยวกับกระบวนการทางด้านสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจเพื่อบรรจุไว้ในร่างปฏิญญาฯ เพิ่มเติมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 248 | การเร่งรัดการดำเนินการแผนงาน/โครงการตามนโยบายของรัฐบาล | นร | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้แผนงาน/โครงการตามนโยบายของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ และได้อนุมัติงบประมาณไปแล้วบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการ จึงให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกแห่งเร่งรัดดำเนินการตามแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงาน/โครงการที่เป็นการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 249 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมและอยู่ในความสนใจร่วมกัน เช่น การปรับปรุงเครื่องยนต์สำหรับการผลิตยุทโธปกรณ์และยานรบ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการจัดทำความร่วมมือดังกล่าวให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินโครงการอาหารกลางวัน โดยส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรชุมชนเพื่อนำผลผลิตมาบริโภคเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนเสริมจากงบประมาณที่รัฐได้จัดสรรให้ด้วย นั้น จากการเดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดระยอง พบว่า โรงเรียนวัดเกาะได้มีการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนทำการเกษตรแบบผสมผสานและนำผลผลิตมาประกอบเป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียนและส่งจำหน่ายด้วย ทำให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการ โดยสามารถจัดหาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารกลางวันเพิ่มเติมจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้อย่างเหมาะสม จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของโรงเรียนดังกล่าวไปเป็นต้นแบบขยายผลให้โรงเรียน/สถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในสังกัดนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เร่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตรในลักษณะต่าง ๆ เช่น เกษตรแบบผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ Smart Farmer เป็นต้น ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์ สถานที่สำคัญ เกร็ดความรู้ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละจังหวัดผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่ทำเป็นเอกสารและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แล้วให้นำไปเผยแพร่ในแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เช่น โรงเรียน/สถาบันการศึกษา วัด ห้องสมุดประชาชน เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้และปลูกฝังให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้มีการจัดตั้งห้องสมุดประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลความรู้สำหรับชุมชนต่อไปด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้สอดคล้องกับแนวทางประชารัฐ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยทั้งระบบให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็ว และให้เร่งจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจรในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกำจัดขยะมูลฝอย (Cluster) ทั่วประเทศ (จำนวน ๓๒๔ กลุ่ม) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน โดยให้พิจารณาขนาดและที่ตั้งให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม เป็นต้น รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์เรือนักท่องเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ตต่อนายกรัฐมนตรี โดยให้บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) เป็นประจำทุกวัน เช่น จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวนผู้เสียชีวิต การพิสูจน์สัญชาติ การดูแลให้ความช่วยเหลือเยียวยา สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุ เป็นต้น ๓.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่/สถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั่วประเทศ เช่น ถ้ำ น้ำตก เป็นต้น ให้ครบถ้วน และเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความปลอดภัย โดยให้กำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและเผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการพัฒนาคูคลองเพิ่มเติมในทุกจังหวัดอย่างน้อย ๑ คลอง ๑ จังหวัด ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว/พักผ่อนที่สะดวกและสะอาด ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญ เร่งรัด ขับเคลื่อน และติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ให้มีความคืบหน้าและเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในปี ๒๕๖๑ เช่น (๑) การดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญ เช่น การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปตำรวจ เป็นต้น (๒) การปฏิรูประบบราชการที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง ปรับย้าย สิทธิประโยชน์ อัตรากำลัง ตลอดจนการจ้างงานในลักษณะชั่วคราว (Ad-hoc) (๓) การบริหารจัดการภัยพิบัติที่ต้องบูรณาการร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการกลางเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้วย (๔) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะสั้น (๑-๒ ปี) การจัดที่ดินทำกิน การเพาะปลูกพืช โดยต้องมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ด้วย (๕) การบริหารจัดการขยะทั่วประเทศ (๖) การติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นโครงการมาจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของคณะรัฐมนตรี และโครงการที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก (๗) การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการระดับท้องถิ่น รวมทั้งการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ของท้องถิ่นที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนท้องถิ่นที่จะสามารถดำเนินการได้เองตามความเหมาะสมและที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนกลางในการดำเนินการ (๘) การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพให้รองรับและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น ด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น (๙) การเตรียมการเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยพิจารณากำหนดแนวทางการจัดให้มีอาชีพเสริมให้แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้มีรายได้ในการดำรงชีวิตที่ดีได้ (๑๐) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่าง ๆ เช่น วิสาหกิจตั้งต้น (Start up) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งในเรื่องเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยี (๑๑) การกำกับดูแลหน่วยงาน/องค์กรที่กำกับดูแลระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมขนส่งไม่ให้เกิดข้อติดขัด เช่น การเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) เป็นต้น และ (๑๒) การแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรให้มีความเข้มแข็งสามารถเป็นศูนย์รวมสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 250 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น จัดทำแผนการพัฒนาท่าเรือเพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าและการค้าขายในภาพรวมของประเทศ โดยให้ครอบคลุมทั่งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยให้เร่งจัดทำแผนฯ ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนในพื้นที่เพื่อประกอบการจัดทำแผนฯ รวมทั้งให้สร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในคราวประชุมครั้งต่อไป ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางการศึกษา หลักสูตรและตำราเรียน การศึกษานอกระบบ การอาชีวศึกษา การปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงาน การปรับปรุงกระบวนการทำงาน เป็นต้น ๒.๒ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเพื่อการปฏิรูปตำรวจต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงการปฏิบัติงานภายในองค์กร การแต่งตั้งโยกย้าย กลไกการรับเรื่องร้องเรียน การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบและการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดำเนินการสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลการทำการเกษตรในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่อาจก่อให้เกิดผลเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทำให้เกิดการบุกรุกและตัดไม้ทำลายป่า โดยให้นำข้อมูลจากระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) มาใช้ประกอบการดำเนินการด้วย พร้อมนี้ให้พิจารณากำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเป็นรูปธรรม แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 251 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ
๑. ด้านสังคม ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ และ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน โดยให้รายงานความคืบหน้าดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เช่น ๑.๑.๑ ลดการบ้านนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถมีเวลาอยู่กับผู้ปกครองมากขึ้น และส่งเสริมให้มีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศหรือดิจิทัล มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ปกครอง เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์และสามารถเตรียมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการอภิปรายในชั้นเรียนต่อไป ๑.๑.๒ เน้นการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล กล้าพูด กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม รวมทั้งปลูกฝังให้เกิดความรักชาติ ยึดมั่นในศาสนา และเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย และมีจิตอาสา ๑.๑.๓ มีแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และคุณธรรมเป็นการเฉพาะ ๑.๑.๔ ปรับปรุงหนังสือแบบเรียนให้แยกส่วนของแบบฝึกหัดออกจากหนังสือแบบเรียน เพื่อให้นักเรียนรุ่นหลังสามารถใช้หนังสือแบบเรียนต่อจากรุ่นก่อนได้ ๑.๑.๕ ทบทวนแนวทางการออกข้อสอบวัดผลการศึกษาในวิชาต่าง ๆ ให้เป็นข้อสอบในเชิงอัตนัยที่เน้นการคิดวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น โดยอาจใช้วิธีการสอบเก็บคะแนนเป็นระยะ ๆ ร่วมด้วย เช่น สอบเก็บคะแนนภายหลังสิ้นสุดคาบเรียน สอบเก็บคะแนนประจำสัปดาห์ หรือประจำเดือน เพื่อลดภาระนักเรียนในการสอบปลายภาคการศึกษา เป็นต้น ๑.๑.๖ ทบทวนระบบการสอบวัดผลและการสอบคัดเลือกในทุกระดับชั้นให้เหมาะสม เช่น ความเหมาะสมของการจัดให้มีการสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในชั้นอนุบาล และแนวทางการดำเนินการคัดเลือกนักศึกษาเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน เป็นต้น ๑.๒ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับครู เช่น ๑.๒.๑ พัฒนาครูโดยการจัดสรรวงเงินต่อหัวในการพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ของครู (คูปองครู) ให้เหมาะสม ๑.๒.๒ ปรับปรุงแนวทางการประเมินครู โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งกำหนดให้ครูต้องปฏิบัติงานในด้านการเรียนการสอน หรือปฏิบัติงานให้แก่โรงเรียน และสถาบันการศึกษาเป็นหลัก ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดค่าตอบแทนให้แก่ครูอย่างเหมาะสม ๑.๓ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ เช่น ๑.๓.๑ ระมัดระวังไม่ให้เกิดการทุจริตในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์และอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอนต่าง ๆ การดำเนินโครงการอาหารกลางวัน เป็นต้น ทั้งนี้ ควรส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรชุมชนเพื่อนำผลผลิตมาบริโภคเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนเสริมจากงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ด้วย ๑.๓.๒ เน้นการทำโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้จริงหรือพัฒนาต่อยอดไปได้ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่กำหนดไว้ ๑.๓.๓ ปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานภายในของกระทรวงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านการบริหาราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการปฏิรูปตำรวจจากการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ในแต่ละครั้ง เพื่อจะได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานความคืบหน้าการดำเนินการปฏิรูปตำรวจ โดยเฉพาะประเด็นที่อยู่ในความสนใจและเป็นความต้องการของประชาชนไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทุก ๆ ๓ เดือน เพื่อเสนอคณะกรรมการปฏิรูปประเทศพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการปฏิรูปตำรวจดังกล่าว โดยในระยะแรกควรพิจารณาแนวทางการปฏิรูปให้ครอบคลุมถึงการสร้างความสมดุลในการปฏิบัติภารกิจและใช้อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งในส่วนของศาล อัยการ และตำรวจ กระบวนการพิสูจน์หลักฐาน การทำสำนวนสืบสวนสอบสวน รวมทั้งกระบวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภายในของตำรวจ เช่น การบริหารงานจราจรที่กองบังคับการตำรวจจราจรต้องรับผิดชอบแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ร่วมกับสถานีตำรวจในพื้นที่ เป็นต้น ๒.๒ ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของตำรวจ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นต้น ควรให้มีการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างการปฏิบัติงานให้เหมาะสม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษควรรับดำเนินการเฉพาะคดีพิเศษ ซึ่งเป็นไปตามกรอบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งหน่วยงานเท่านั้น รวมทั้งควรพิจารณากำหนดสัดส่วนให้มีจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปปฏิบัติงานในหน่วยงานนี้อย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น และมีบุคลากรอื่นที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น งานตุลาการ กฎหมายระหว่างประเทศ การประสานงานกับต่างประเทศ/องค์กรระหว่างประเทศ เป็นต้น มาร่วมปฏิบัติงานในกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 252 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 40 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560-31 มีนาคม 2561) | นร | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การดำเนินโครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. มีมติเห็นชอบการเพิ่มประสิทธิภาพของสถานีตำรวจ เช่น การจัดให้มีเกณฑ์การวิเคราะห์โครงสร้างขนาดของสถานีตำรวจในมาตรฐานเดียวกัน การปรับปรุงการทำงานของแต่ละสถานีตำรวจให้มีความเป็นมาตรฐาน และให้วางระบบการประเมินผลงานตามพันธสัญญาการให้บริการประชาชน ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การประกาศวาระแห่งชาติ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ๔ กลุ่มอุตสาหกรรม ๑๖ สาขาอาชีพ (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การดำเนินโครงการ Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา การจัดทำระบบจดทะเบียนให้กับนักลงทุน (Angel Investor) (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดทำโครงการส่งเสริมความสามารถทางนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ การเปิดตัวสถาบันวิทยาการนวัตกรรม (NIA Academy) (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การหารือทวิภาคีระหว่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางการค้าการลงทุน และการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ [Greater Mekong Subregion (GMS) Summit] ครั้งที่ ๖ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การบริหารจัดการน้ำตามแผนการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การพัฒนาบุคลากรภาครัฐเพื่อรองรับ Thailand 4.0 การสร้างการรับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้แก่ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 253 | ผลการประชุมสมัชชาเอฟ เอ โอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 34 | กษ | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสมัชชาเอฟ เอ โอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๓๔ ณ เมืองนาดี สาธารณรัฐฟิจิ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๕ เมษายน ๒๕๖๑ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมประชุมฯ ซึ่งผลการประชุมฯ มีประเด็นเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาคุณภาพชีวิตในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เช่น (๑) ประเทศสมาชิกเอฟ เอ โอ ควรร่วมกันขจัดความหิวโหยและการขาดแคลนสารอาหาร และแก้ไขปัญหาภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสม ผ่านการจัดการดิน น้ำ และสภาพอากาศอย่างเหมาะสมต่อการผลิตสินค้าเกษตร การส่งเสริมการทำการเกษตรแบบผสมผสาน รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลาย ซึ่งเป็นพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (๒) ไทยได้ดำเนินการผลักดันประเด็นที่สำคัญ โดยให้ประเทศสมาชิกเอฟ เอ โอ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกได้รับรู้และดำเนินการเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร ความมั่นคงทางอาหารและความยากจน ผ่านหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน และการจัดการทรัพยากรดินและน้ำผ่านโครงการไทยนิยม ยั่งยืน รวมทั้งการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) (๓) รับทราบประเด็นที่ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกให้ความสำคัญในการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การทำเกษตรอย่างยั่งยืน การสร้างความรู้และเข้มแข็งให้เกษตรกรรายย่อย และการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายเงินทุนและความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ เป็นต้น และ (๔) การหารือทวิภาคีระหว่างไทยและเกาหลีในประเด็นการเร่งรัดการเปิดตลาดสินค้าเกษตรระหว่างกัน และการหารือระหว่างไทยกับฟิจิในประเด็นการเร่งรัดให้เปิดตลาดสินค้าเกษตรและถ่ายทอดองค์ความรู้ของไทยให้แก่ฟิจิ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปฏิบัติตามพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการขจัดความหิวโหยเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 254 | การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) | มท | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ประกอบด้วย ๑๒ โครงการ ๒ แผนงาน วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๙๙,๙๔๓.๖๘ ล้านบาท และโครงการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินร่วมลงทุน ๗,๗๕๒.๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในส่วนของบริษัท พีอีเอฯ ในวงเงิน ๗๗๙.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยงและควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ การพิจารณาความเป็นไปได้ในการบริหารและใช้ประโยชน์สินทรัพย์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ การเร่งรัดการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าฯ (ปรับแผนการลงทุน) การคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงการลงทุนดังกล่าว และการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนการดำเนินงานและการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการจัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าของ กฟภ. ในระยะต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานบูรณาการรวมแผนระบบไฟฟ้าดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนพลังงานในภาพรวมของประเทศ (ประกอบด้วย ๕ แผนหลัก) และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาในคราวเดียวกัน เพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมและเกิดความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินและทบทวนแผนพลังงานในภาพรวมทั้ง ๕ แผนหลักอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อให้สามารถปรับปรุงแผนพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. ดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาระบบไฟฟ้าที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนนำโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. เร่งพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตลอดจนติดตาม ประเมินผล แล้วรายงานผลการดำเนินงานต่อกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 255 | ผลการดำเนินงานและการขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานะการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ ๒ การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และเหตุผลความจำเป็นของหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ยังดำเนินโครงการไม่แล้วเสร็จ โดยพบว่า โครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ส่วนใหญ่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ แต่ยังคงมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ เช่น ปัญหาการเข้าใช้พื้นที่ และปัญหาอุทกภัย ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความประสงค์จะดำเนินการต่ออีก ๑๑ หน่วยงาน รวม ๑๒๖ โครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินกู้และแผนการดำเนินงานของแต่ละโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการและจะดำเนินการต่อ โดยมีแผนการใช้จ่ายเงินกู้ในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการในภาพรวมภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ และให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโครงการเงินกู้ฯ ให้เสร็จสิ้น ตามแผนงานของแต่ละหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้กำหนดไว้ โดยไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๖๒ พร้อมทั้งให้จัดทำรายงานผลการดำเนินโครงการส่งให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทุกเดือน ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป และกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการใดไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ให้ใช้เงินจากแหล่งอื่นเพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความประสงค์จะยกเลิกโครงการ ดำเนินการเสนอขอความเห็นชอบยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ไปยังกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) เพื่อให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) รวบรวมโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการที่แล้วเสร็จเข้าบัญชี “เงินฝากเงินกู้สำหรับโครงการเงินกู้ฯ” ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอโดยเร็วต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการติดตามและเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดตามแผน และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบเป็นระยะ รวมทั้งควรมีการจัดทำรายงานการประเมินผลโครงการเงินกู้ฯ หลังจากโครงการเงินกู้ฯ ได้เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำมาตรการเชิงนโยบายของรัฐบาลในอนาคตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 256 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2561 | นร04 | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งผลการประชุมมีความคืบหน้าการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๕ เรื่อง ตามที่ กขร. เสนอ ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน (เมษายน ๒๕๖๑) ๒. ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับกิจการสหกรณ์การเงินขนาดใหญ่ พ.ศ. .... ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ เดือน (มิถุนายน ๒๕๖๑) ๓. การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายประสานการดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน (เมษายน ๒๕๖๑) ๔. แนวทางการบูรณาการระบบสวัสดิการภาครัฐเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนมุ่งเป้า ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) บูรณาการข้อมูลระบบสวัสดิการภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน (กันยายน ๒๕๖๑) โดยประสานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติง (Cloud Computing) ด้วย ๕. โครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน (เมษายน ๒๕๖๑)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 257 | อุทยานธรณีสตูลได้รับการรับรองจากยูเนสโกเป็นอุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geoparks) | ทส | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง อุทยานธรณีสตูลได้รับการรับรองจากยูเนสโกเป็นอุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geoparks) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุทยานธรณีสตูลได้รับการพิจารณารับรองการเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๒๐๔ (204th Session of the Executive Board) เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ณ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ อุทยานธรณีโลกเมื่อได้รับการจัดตั้งแล้วจะมีสถานะเป็นอุทยานธรณีโลก ภายในระยะเวลา ๔ ปี หลังจากนั้นจะต้องได้รับการประเมินอุทยานธรณีโลกใหม่อีกครั้ง (Revalidation) เพื่อให้รักษาคุณสมบัติและคุณภาพของอุทยานธรณีโลก หากผลการประเมินผ่านเกณฑ์จะได้รับการต่ออายุเป็นอุทยานธรณีโลกอีก ๔ ปี แต่หากไม่ผ่านการประเมิน หน่วยงานผู้รับผิดชอบในการบริหารอุทยานธรณีโลกต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามขั้นตอนและข้อเสนอแนะของยูเนสโกให้แล้วเสร็จภายใน ๒ ปี หากไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในกำหนดได้ จะถูกถอดถอนจากการเป็นอุทยานธรณีโลก ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรธรณี) จะประสานหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดสตูล และอุทยานธรณีโลกยูเนสโกสตูล พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของสมาชิกสภาอุทยานธรณีโลกต่อการพัฒนาอุทยานธรณี เช่น การดำเนินการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง การเร่งรัดการป้องกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลและสิ่งก่อสร้างบริเวณแนวชายฝั่งที่ได้รับการกัดเซาะโดยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว และการจัดทำแผนการดำเนินงาน ๔ ปี ของอุทยานธรณีสตูล เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อพัฒนามาตรฐานของอุทยานธรณีสตูลและเตรียมรองรับการประเมินใน ๔ ปีข้างหน้า เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 258 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 38 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560-31 ธันวาคม 2560) | นร | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๘ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่องโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้มีการติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน และส่งร่างแผนปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเผยแพร่ในเว็บไซต์ และส่งให้ทุกส่วนราชการให้ความเห็น ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการสื่อสารมวลชนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และสถาบันพระมหากษัตริย์ จัดกิจกรรมตามโครงการหน่วยพระราชทานและประชาชน จิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์การต่อต้านการค้ามนุษย์เพื่อเผยแพร่บนเครื่องบิน พัฒนาระบบการให้บริการด้านแรงงาน ภายใต้แนวคิด “๙ ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานสู่ SMEs ๔.๐ (STEM Workforce towards SME 4.0) (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โครงการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ และ (๔) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การบริหารจัดการน้ำให้เกษตรกรในพื้นที่ชลประทาน การป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ การจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ๕๙ รายการ ใน ๒๐ จังหวัด การเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และการลดการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมและพื้นที่ชลประทานเดิม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 259 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ 2562 รายการเงินอุดหนุนเป็นค่าก่อสร้างอาคารเรียนรวม 6 ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนรวม ๖ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมระยะเวลา ๒ ปี วงเงินทั้งสิ้น ๑๘๐,๓๗๙,๓๐๐ บาท โดยค่าก่อสร้างอาคาร จำนวน ๑๘๐,๓๗๙,๓๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑๕๗,๘๓๒,๓๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๗๘,๙๑๖,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๗๘,๙๑๖,๓๐๐ บาท ให้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๒,๕๔๗,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลาและกรอบวงเงินงบประมาณที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน และคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. การดำเนินการเรื่องทำนองนี้ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 260 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ 2562 รายการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนามาตรฐานและเฝ้าระวังการปนเปื้อนสารเคมี กำจัดศัตรูพืชในผลิตภัณฑ์ออกานิกในสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ของมหาวิทยาลัยนเรศวร | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนามาตรฐานและเฝ้าระวังการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผลิตภัณฑ์ออกานิกในสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมระยะเวลา ๒ ปี วงเงินทั้งสิ้น ๙๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๗๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓๕,๔๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๓๖,๐๙๐,๐๐๐ บาท ให้มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเมื่อดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ก็ให้ขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารฯ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลา และกรอบวงเงินงบประมาณที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน และคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. การดำเนินการเรื่องทำนองนี้ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
