ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 59 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1161 - 1180 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1161 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญา 2.1 การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” เป็น “โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ๒. เห็นชอบร่างสัญญา ๒.๑ การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในวงเงินค่าจ้าง ๑,๗๐๖.๗๗๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการฯ ด้วยความละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ รวมถึงศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ และให้ความสำคัญกับการกำกับและบริหารโครงการฯ ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)] โดยเฉพาะกรณีการจัดตั้งองค์กรพิเศษ เพื่อให้สอดรับกับแผนการดำเนินโครงการที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1162 | ขออนุมัติการแสดงเจตจำนงที่จะร่วมมือกับ OECD ในการดำเนินโครงการ Country Programme ในโอกาสที่เลขาธิการ OECD เยือนไทย | กต | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแสดงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายในการร่วมมือในการดำเนินโครงการ Country Programme (CP) และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) เป็นผู้ลงนามแทนรัฐบาลไทย ในโอกาสที่นาย Angel Gurria เลขาธิการ OECD จะเดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการ CP ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมเป็นผู้ประสานงานกับ OECD ในการติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ CP และบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุเจตจำนงของการดำเนินความร่วมมือกับ OECD ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1163 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาตามกรอบอำนาจหน้าที่เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้มีการจำแนกตามระดับรายได้ให้ได้รับรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทั่วถึง โดยให้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการให้ชัดเจน และบูรณาการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นปัจจุบันมาประกอบการพิจารณาดำเนินการ นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้เร่งพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการและให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกลุ่มต่าง ๆ ที่ชัดเจนและเหมาะสมตามระดับรายได้ที่ได้มีการจำแนกไว้ ทั้งที่เป็นมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของประเทศในอนาคตเกินจำเป็น รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้ผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนฯ ได้เข้าสู่ระบบการจัดทำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ภาครัฐสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังพิจารณาส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐที่มีการจัดทำโครงการขนาดใหญ่พิจารณาจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) นั้น ให้ทุกส่วนราชการนำข้อตกลงดังกล่าวไปใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดด้วย ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดแนวทางการติดตามและตรวจสอบภาคเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในงานราชการ เช่น การให้สินบน รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดให้ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสและป้องกันปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ และให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปฏิรูปกิจการตำรวจใน ๓ ด้านหลัก คือ (๑) ด้านองค์กร (๒) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (๓) ด้านบุคลากร ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา ๙ เดือน โดยให้ศึกษาประเด็นปัญหาของทุกระบบภายใน ๒ เดือนแรก และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในอีก ๔ เดือนถัดมา ในส่วน ๓ เดือนที่เหลือจะเป็นการสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะด้วย นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวจากการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ในแต่ละครั้งด้วย เพื่อจะได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๒.๔ ในการเสนอโครงการ/มาตรการในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของราชการในระยะต่อไป ให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับสภาพสังคมและภูมิศาสตร์ของพื้นที่ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ/มาตรการด้านการเกษตรและการบริหารจัดการน้ำที่ควรส่งเสริมให้เลือกพันธุ์พืชและวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ในแต่ละพื้นที่ที่อาจมีความหลากหลาย และต้องพิจารณาถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่น แหล่งน้ำธรรมชาติ ฝ่ายน้ำล้น เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาทบทวนโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการไปแล้ว และพบว่ามีปัญหาไม่เป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ เช่น ฝายชะลอน้ำ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก และปรับปรุงให้เหมาะสม และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักประสานกรมประชาสัมพันธ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำวีดิทัศน์สรุปผลงานสำคัญของรัฐบาลเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ และสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาลในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม. สัญจร) โดยให้มีความยาวประมาณ ๑๕ นาที และมีเนื้อหาที่ประกอบด้วยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและทิศทางการดำเนินการในอนาคตในแต่ละภาคของประเทศที่ครอบคลุมทั้ง ๖ ภาค สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นการปฏิรูปประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างให้แล้วเสร็จก่อน เพื่อใช้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ ๒๑-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ ก่อน สำหรับวีดิทัศน์ส่วนที่เหลือให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จสอดคล้องกับกรอบเวลาในการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ที่จะกำหนดในครั้งต่อ ๆ ไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1164 | ขออนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมสำหรับงานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 15/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินสำหรับงานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน ๓ แห่ง เพิ่มเติม ๒๔๓.๖๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินรวมของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจะเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมควรเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสิ่งปลูกสร้างและค่ารื้อย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการลงทุนพัฒนาระบบรางภายใต้ความรับผิดชอบของ รฟท. และจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการโดยสะท้อนถึงราคาตลาดที่แท้จริงและเกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืน รวมทั้งควรแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ เพื่อพิจารณาตรวจสอบ กลั่นกรอง ให้เกิดความรอบคอบ ถูกต้อง เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้เป็นค่าเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๒๔๓.๖๓ ล้านบาท ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินได้ตามมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ ตลอดจนดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้การดำเนินโครงการล่าช้า และพิจารณากำหนดแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1165 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 31 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 เมษายน 2560) | นร | 08/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๑ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ โดยมีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามการขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การสนับสนุนการใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน การขับเคลื่อนแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๐ การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) การเข้าร่วมการประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน การเข้าร่วมการประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนเยาวชนอาเซียน การประชุมระดับผู้นำแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ครั้งที่ ๑๐ การเข้าร่วมงาน ASEAN Business Circle จัดโดยสภาหอการค้าออสเตรีย ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1166 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการสนับสนุนปัจจัยการผลิตปศุสัตว์ "โคบาลบูรพา" | กษ | 08/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมปศุสัตว์ สำหรับดำเนินการตามโครงการสนับสนุนปัจจัยการผลิตปศุสัตว์ “โคบาลบูรพา” โดยมีกำหนดชำระคืนสำหรับกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงโคเนื้อภายใน ๖ ปี และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะภายใน ๕ ปี ระยะเวลาโครงการ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕ โดยอนุมัติวงเงินยืม (เงินหมุนเวียน) จำนวน ๓๕๘,๘๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ ต่อปี ระยะเวลาปลอดการชำระหนี้สำหรับกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงโคเนื้อใน ๓ ปีแรก และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะใน ๒ ปีแรก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการสนับสนุนเงินยืมจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรสำหรับการก่อสร้างโรงเรือนและการจัดหาแหล่งน้ำให้ถึงมือเกษตรกรโดยเร็ว เพื่อให้สอดรับกับการอุดหนุนพันธุ์แม่โคเนื้อและพันธุ์แพะเนื้อให้แก่เกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำกับดูแลและติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการฯ และควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และอบรมให้ความรู้/ถ่ายทอดเทคโนโลยี การให้ความรู้และสนับสนุนการดำเนินงานให้กับสหกรณ์ที่จะจัดตั้งใหม่ การป้องกันการหมุนเวียนโคเข้าโครงการของรัฐซ้ำซ้อน และการตรวจเยี่ยมติดตามและประเมินผลโครงการฯ อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินงานของกรมปศุสัตว์และหน่วยงานสนับสนุนให้มีการบูรณาการกันอย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตลอดจนกำกับดูแลการชำระคืนเงินจากเกษตรกรให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1167 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพิ่มเติม [ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงและการดูแลรักษาพื้นที่สงวนหวงห้าม ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. 2481 ของกองทัพบก (มณฑลทหารบกที่ 17)] | กห | 08/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๑๓,๐๑๗,๔๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงและการดูแลรักษาพื้นที่สงวนหวงห้าม ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. ๒๔๘๑ ของกองทัพบก (มณฑลทหารบกที่ ๑๗) ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1168 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ โดยมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เอกชนเช่าที่ราชพัสดุที่ได้มาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรีและนครพนม และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุนเกี่ยวกับรายละเอียดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียม รวมทั้งเงื่อนไขในการเช่าให้ละเอียด ชัดเจน และครบถ้วน ๑.๒ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งให้ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๒ ปี นับตั้งแต่วันจัดทำสัญญาเช่า และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณามาตรการเร่งรัดการลงทุนและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมากขึ้น ๑.๓ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกของการตรวจสอบเอกสารและพิธีการศุลกากรผ่านการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ระบบ CIQ (Customs, Immigration and Quarantine) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งนำพื้นที่มาก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ และเร่งเจรจากับมาเลเซียเพื่อกำหนดจุดผ่านแดน ณ ด่านสะเดาแห่งใหม่ ๑.๔ เห็นชอบการแก้ไขคำสั่ง กนพ. ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว และดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศในการประชาสัมพันธ์เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๕ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ ประกอบด้วย ๓ กลไก คือ (๑) กำหนดแนวปฏิบัติในการประสานงานระหว่างอนุกรรมการภายใต้ กนพ. และกลไกระดับพื้นที่ (๒) ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ติดตามและขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และ (๓) วางแนวทางการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑๐ พื้นที่ และเชื่อมโยงกับหน่วยงานในส่วนกลาง ๑.๖ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายและความเห็นของ กนพ. ไปประกอบการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านลงทุน (One Stop Service : OSS) และการแก้ไขปัญหากรณีภาระค่าใช้จ่าย (ค่าสาธารณูปโภค) ในศูนย์ OSS การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว และการดำเนินโครงการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ได้รับจัดสรรงบประมาณระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ สามารถดำเนินการได้ตามแผน เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับกรณีที่กรมศุลกากรมีความต้องการอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่ออนุมัติกรอบอัตรากำลังนั้น มิใช่อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ก.พ.ร. จึงขอแก้ไขเป็นสำนักงาน ก.พ. ไปดำเนินการ ๓. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม กนพ. ต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1169 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 | มท | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๐ และมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๔๔๖) เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ อาทิ การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟทุกประเภท และการนำค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งที่กระแสไฟฟ้าขัดข้องและค่าเฉลี่ยระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าขัดข้องมาเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานในการประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการศึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะแรกของโครงการฯ เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานในระยะที่ ๒ ต่อไป และให้ กฟภ. กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน นอกจากนี้ ควรนำผลการศึกษา “โครงการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่มีศักยภาพสูงตามนโยบายรัฐบาล : จังหวัดเชียงรายและนครพนม” มาประกอบการจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า และควรดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการฯ ในระยะแรกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ได้ตรงตามเป้าหมายของโครงการฯ ที่ได้กำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ กฟภ. เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานและให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน โดยหากตรวจพบปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่มีผลต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ให้ กฟภ. เร่งพิจารณาดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1170 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 5,112 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕,๑๑๒ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จำนวน ๑,๘๔๒ ล้านบาท ให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี พ.ศ. ๒๕๕๖ และตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนและทรัพย์สินที่ถูกเขตทางเพื่อส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาที่ได้ลงนามในสัญญาแล้ว และค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จำนวน ๒,๗๗๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่างานล่วงหน้าร้อยละ ๑๕ ของค่าก่อสร้าง ๔ ช่วง ที่ขาดอยู่ และค่างวดงานตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการให้กรมทางหลวงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แผนงานบูรณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ สายอำเภอหล่มสัก-อำเภอน้ำหนาว ตอนบ้านน้ำดุก-อำเภอคอนสาร จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ รวม ๔ รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๘๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้กรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๒ แต่เนื่องจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำให้ต้องชะลอโครงการ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ มอบหมายให้กรมทางหลวงไปพิจารณาทบทวนและศึกษาทางเลือกแนวทางอื่นที่มีความเหมาะสม มีข้อมูลประกอบรอบด้าน และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าและสัตว์ป่าน้อยที่สุด ไปตั้งจ่ายโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เพื่อเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน ๕๑๖ ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๕๖๔ ล้านบาท โดยปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย สำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาทบทวนและศึกษาทางเลือกแนวเส้นทางดำเนินโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางสายหลักให้เป็น ๔ ช่องจราจร สายอำเภอหล่มสัก-อำเภอน้ำหนาว ตอนบ้านน้ำดุก-อำเภอคอนสาร จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ สำหรับกรณีกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรีอาจต้องปรับเพิ่มขึ้นนั้น เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามให้กรมทางหลวงเร่งดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งควรคำนึงถึงผลกระทบต่อความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดนครราชสีมา ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ ๓.๑ ให้กรมทางหลวงเร่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการสำรวจทรัพย์สินเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓.๒ ในการเสนอขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ต่อคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงทบทวนผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโดยจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการภายใต้กรอบวงเงินลงทุนเดิมกับกรอบวงเงินลงทุนใหม่ และหากพบว่า ผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการภายใต้กรอบวงเงินลงทุนใหม่มีความคุ้มค่าน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการบริหารโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือมีมาตรการเพิ่มความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย รวมทั้งให้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายงบประมาณในภาพรวมของทั้งโครงการ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่โครงการดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๓.๓ ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในอนาคตให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในสังกัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1171 | ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) | ดศ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของการลงทุนการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) และพิจารณากำหนดค่าบริการทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านให้มีความเหมาะสม รวมทั้งเร่งประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้มีการเข้ามาเชื่อมต่อโครงข่ายที่ประเทศไทยได้ดำเนินการไว้แล้ว และให้มีการประเมินผลการลงทุนเป็นระยะ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอเพิ่มเติมว่า กิจกรรมย่อยใด ๆ ภายใต้กิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณแทนกันดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๓.๑ เร่งรัดการดำเนินกิจกรรมที่ ๒ กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยให้จัดทำรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินการ รวมทั้งปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน และแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นระยะ ๆ ๓.๒ หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพย์สิน รวมทั้งการดำเนินงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยเฉพาะการกำหนดสิทธิในทรัพย์สินที่เป็นอุปกรณ์ (ทรัพย์สินที่จับต้องได้) และทรัพย์สินที่เป็นสิทธิการใช้งานวงจร (ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ชัดเจน ๓.๓ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานในสังกัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1172 | บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กต | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือและความรับผิดชอบในการดำเนินโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวให้มีความพร้อมในการเปิดสอนระดับปริญญาตรี โดยคาดว่าจะให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสที่มีการประชุมความร่วมมือทางวิชาการไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างกรมเอเชีย แปซิฟิก และแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกับกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนสำหรับการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางวิชาการและเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๓๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1173 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการและเพิ่มวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการโรคหัวใจ มะเร็งและวินิจฉัยรักษาเป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 22,000 ตารางเมตร โรงพยาบาลสระบุรี ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี | สธ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการโรคหัวใจ มะเร็งและวินิจฉัยรักษา เป็นอาคาร คสล. ๗ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒๒,๐๐๐ ตารางเมตร โรงพยาบาลสระบุรี ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ วงเงิน ๔๓๗,๘๕๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๔๕๖,๔๔๓,๕๘๐.๘๘ บาท โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นค่างานส่วนที่เพิ่มขึ้นตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการก่อสร้างและการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐนมตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาการปรับแก้ไขแบบอาคาร ซึ่งทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณการก่อสร้างอาคารดังกล่าวเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ตามแผนเดิม และกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนเนื่องจากต้องเลื่อนกำหนดการเปิดให้บริการอาคารดังกล่าวออกไปจากเดิม โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.๒ ให้กำกับดูแลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานในสังกัดให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1174 | โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ | กค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) ปรับปรุงใหม่ (โครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่) โดยรัฐบาลรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันแทนผู้ประกอบการ SMEs สี่ปีแรกในอัตราร้อยละ ๑.๗๕ ร้อยละ ๑.๒๕ ร้อยละ ๐.๗๕ และร้อยละ ๐.๒๕ ตามลำดับ และให้สถาบันการเงินร่วมชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ ๒ ถึง ๔ ในส่วนที่เหลือ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไม่มีภาระการจ่ายค่าธรรมเนียมใน ๔ ปีแรก รวมทั้งเพิ่มความรับผิดชอบจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิมสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๒๓.๗๕ เป็นสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ย ณ วันสิ้นอายุการค้ำประกัน และอนุมัติงบประมาณชดเชยเพิ่มเติมไม่เกิน ๘,๓๐๒.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรส่งเสริมให้มีการกระจายวงเงินให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ SMEs รายเล็ก และผู้ประกอบการ SMEs ในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น และให้มีการออกแบบลักษณะการเก็บข้อมูลเพื่อสร้างข้อมูลของสินเชื่อภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของนโยบายและเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบโครงการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งควรทำข้อตกลงกับสถาบันการเงินถึงกลไกการสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ ๒-๔ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1175 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน | กษ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาด้านการเกษตร "โครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน" ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดย ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ มีความก้าวหน้าสรุปได้ ดังนี้
๑. ชุมชนเข้าร่วมโครงการ ๙,๑๐๑ ชุมชน จำนวนโครงการที่เสนอจากชุมชนและได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการโครงการฯ ระดับอำเภอ และผ่านความเห็นชอบแผนปฏิบัติงานและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณ จากกองทุนจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ สำนักงบประมาณ จำนวน ๒๔,๑๖๘ โครงการ วงเงิน ๑๙,๘๖๗.๒๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๓๒ ของวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ สำหรับประเภทของโครงการที่เสนอจากชุมชน ได้แก่ (๑) การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ (๒) การผลิตพืชและพันธุ์พืช (๓) การปศุสัตว์ และ (๔) การผลิตอาหาร การแปรรูปผลผลิต และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ทั้งนี้ สำนักงานเกษตรจังหวัดเริ่มโอนเงินให้คณะกรรมการโครงการฯ ระดับชุมชน ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ครบถ้วนแล้ว ๒๔,๑๖๘ โครงการ วงเงิน ๑๙,๘๖๗.๒๐ ล้านบาท และกลุ่มสมาชิกศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และเครือข่ายได้รับการสนับสนุนงบประมาณเริ่มดำเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๒. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินการ ได้แก่ (๑) ระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณค่อนข้างสั้น (๒) ข้อปฏิบัติของกรมสรรพากรที่ให้กลุ่มสมาชิกของชุมชน ศพก. และ/หรือเครือข่ายที่เสนอโครงการ ต้องมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ทำให้เกิดข้อกังวลในขั้นตอนที่ไม่คุ้นเคย (๓) การจัดทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรมีข้อจำกัดเรื่องเวลาทำการ และ (๔) เหตุการณ์พายุโซนร้อน “เซินกา” ส่งผลให้ฝนตกหนัก ทำให้บางพื้นที่ไม่สามารถปฏิบัติงานตามแผนได้ และมีวัสดุการเกษตรเสียหายเนื่องจากอุทกภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1176 | โครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน | ทส | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ และเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติตามพระราโชบายฯ รวมทั้งเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ต้นไม้ และทรัพยากรป่าไม้ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ ซึ่งจะเปิดโครงการฯ ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดเตรียมพื้นที่ปลูกต้นไม้ และกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จัดเตรียมกล้าไม้เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปลูก ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่น ๆ ทุกกระทรวง กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งร่วมกันดำเนินโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินโครงการฯ ควรยึดหลักการปลูกและฟื้นฟูป่าไม้ตามแนวพระราชดำริ “ปลูกป่า ปลูกคน” โดยประยุกต์ความสำเร็จจากการพัฒนาฟื้นฟูป่าไม้อันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ สำหรับการประเมินความสำเร็จของโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยชี้วัดความสำเร็จในเชิงคุณภาพร่วมด้วย อาทิ คุณภาพชีวิตของชุมชนและความหลากหลายทางชีวภาพที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากความสมบูรณ์ของป่าไม้ที่ได้รับการฟื้นฟู อนุรักษ์ ปลูกทดแทนภายใต้โครงการฯ และชุมชมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายการปลูกฟื้นฟูและดูแลฝืนป่าไปพร้อมกับการบริหารจัดการป่าชุมชนด้วยความต้องการของชุมชนเอง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ไม่ให้มีการตัดต้นไม้ยืนต้นที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ในความรับผิดชอบอย่างเด็ดขาด ยกเว้นในกรณีจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น รวมทั้งให้ร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อการดูแลรักษาต้นไม้และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีความสวยงามตามธรรมชาติอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1177 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตป่าชายเลน สำหรับดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายน้ำ คลอง D2 ตำบลบางเขา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี | กษ | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าชายเลนสำหรับดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายน้ำ คลอง D2 ตำบลบางเขา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ของกรมชลประทาน จำนวน ๑๖๕ ไร่ ๓ งาน ๖๗ ตารางวา (ระยะทาง ๘.๘๔๙ กิโลเมตร) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้เสนอขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลนโดยเด็ดขาด เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเว้นแล้ว จึงเสนอเรื่องต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อขออนุญาตทำประโยชน์ในเขตป่าชายเลน โดยหน่วยงานเจ้าของโครงการต้องจัดเตรียมรายละเอียดเพิ่มเติมประกอบการยื่นขออนุญาต ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมชลประทานรายงานการดำเนินงานเพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายน้ำ คลอง D2 (สายใหม่ และท้ายประตูระบายน้ำ) โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องความเหมาะสมของพื้นที่ทิ้งตะกอน การรบกวนสภาพธรรมชาติ การไหลเข้าออกของน้ำทะเลที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดำเนินงานและพื้นที่ใกล้เคียงตามมาในภายหลัง แล้วเสนอรายงานการดำเนินงานต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อพิจารณาตรวจสอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าว เมื่อกรมชลประทานปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว ก็เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับการจัดสรรไว้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1178 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) | คค | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) กรอบวงเงินรวม ๑๐๑,๑๑๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ รฟม. ดำเนินการประกวดราคางานก่อสร้างงานโยธาได้ แต่จะลงนามสัญญาจ้างผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาได้ต่อเมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้เห็นชอบรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการฯ) แล้ว และให้กำหนดเป็นเงื่อนไขในสัญญาที่ผู้รับเหมาต้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยหากความเห็น ข้อเสนอแนะ หรือมาตรการที่เสนอโดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีผลทำให้ค่าก่อสร้างโครงการสูงเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบให้ขยายกรอบวงเงินโครงการเพื่อดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการฯ ในช่วงที่ผ่านพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่าอย่างเคร่งครัด ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระการลงทุนในส่วนของงานก่อสร้างโครงการให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๕ (๓) ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับการประกวดราคาให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เพื่อให้ผลการประกวดราคาสามารถได้ราคาและงานแต่ละรายการที่ดีที่สุด อันนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งให้กำกับการกำหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ของการประกวดราคาให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณอย่างเคร่งครัด ๔. ให้ รฟม. เร่งเจรจาตกลงกับเอกชนผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน เพื่อให้ได้ข้อสรุปในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการใช้ศูนย์ซ่อมบำรุงร่วมกันของโครงการทั้ง ๒ ช่วง และระบุรายละเอียดดังกล่าวในรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อประกอบการพิจารณารายงานของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐต่อไป พร้อมทั้งให้เร่งรัดการนำเสนอรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้ รฟม. สามารถดำเนินการสรรหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถได้ในช่วงระยะเวลาที่สอดคล้องกับแผนงานก่อสร้างงานโยธา ทั้งนี้ ในการเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางอื่น ๆ ในระยะต่อไป เห็นควรให้ รฟม. เสนอขออนุมัติรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าในคราวเดียวกันกับการก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้ภาครัฐสามารถพิจารณาถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินโครงการในภาพรวมได้อย่างรอบคอบ ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางและรูปแบบการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งสาธารณะ (Transit Oriented Development : TOD) ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สอดรับกับแผนงานก่อสร้างงานโยธา และเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๖. ให้ รฟม. ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนเตรียมมาตรการรองรับปัญหาหรืออุปสรรคจากการจัดสรรที่ดินในกรณีที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืนที่ดินต่อไป ๗. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางรองรับปัญหาการจราจรติดขัดที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าตามแผนในอนาคต ตลอดจนกำหนดมาตรการกวดขันวินัยการจราจรตามแนวเส้นทางการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเพื่อบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดในภาพรวม ๘. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนรูปแบบการเข้าร่วมลงทุนในงานระบบรถไฟฟ้าและบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าของโครงการฯ ให้สอดคล้องกับนโยบายระบบตั๋วโดยสารร่วมของรัฐบาล และพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม เช่น (๑) การศึกษาและทบทวนความเหมาะสมงานระบบไฟฟ้า รถไฟฟ้า และการให้บริการและบำรุงรักษา เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการปริมาณผู้โดยสารตามที่ รฟม. ได้ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันแล้ว (๒) การให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๓) การพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ศูนย์ซ่อมบำรุง สถานี และอาคารจอดแล้วจร (๔) เสนอขออนุมัติรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าในคราวเดียวกันกับการก่อสร้างงานโยธา สำหรับการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางอื่น ๆ ในระยะต่อไป และ (๕) พิจารณาดำเนินมาตรการที่ส่งเสริมให้ประชาชนปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากกว่าการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๙. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทางและรูปแบบการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐในภาพรวมที่สามารถลดภาระงบประมาณภาครัฐ ลดผลกระทบต่อระดับหนี้สาธารณะ และสามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จได้โดยเร็ว เช่น การสนับสนุนให้นักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศเข้ามาร่วมลงทุนหรือเป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการแทนภาครัฐ เป็นต้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1179 | การขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ปี 2560 | กษ | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ปี ๒๕๖๐ และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยรายละเอียดงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ปี ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้ดำเนินโครงการฯ และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑,๘๕๑,๐๒๑,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงินรวม ๑๖๔,๔๒๖,๙๐๐ บาท (๒) กระทรวงกลาโหม วงเงินรวม ๑,๕๕๑,๕๙๔,๖๐๐ บาท และ (๓) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษา วงเงินรวม ๑๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยแต่ละหน่วยงานจะต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องจัดทำแผนการนำยางพาราไปใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพภายในกรอบระยะเวลาโครงการฯ ที่กำหนดโดยเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในระยะต่อไป หน่วยงานราชการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการจัดทำแผนและแนวทางการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ยางพาราภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับมาตรการในระยะต่อไป ควรแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยควรกำหนดแนวทางการลดพื้นที่ปลูกยางพาราในพื้นที่บุกรุกกว่า ๓ ล้านไร่ การส่งเสริมการปลูกพืชอื่นทดแทนยางพารา รวมทั้งเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1180 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำเหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลโพธิ์ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. ....) | กษ | 18/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าทำการสำรวจพื้นที่ที่จะจัดทำเป็ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลชัยนาท อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลโพธิ์ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินและการนำที่สาธารณะไปจัดรูที่ดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงและวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....