ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 57 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1121 - 1140 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1121 | ขออนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2559 โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดชลบุรี (ห้วยกะปิ) | พม | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๙ โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดชลบุรี (ห้วยกะปิ) รวม ๑,๑๐๔ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๖๔๗.๓๑๔ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ ๔๔๔.๙๔๘ ล้านบาท เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๑๕๘.๓๔๒๓ ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ๔๔.๐๒๓๗ ล้านบาท โดยเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินโครงการฯ เห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการฯ ให้ กคช. ตามสัดส่วนของเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกับวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นของโครงการฯ ตามวงเงินของแผนการใช้จ่ายในแต่ละปี และ กคช. ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๖๑ และเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีมาดำเนินการและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ กคช. เริ่มดำเนินโครงการฯ ได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนดและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานด้วย รวมทั้งให้มีการประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จะดำเนินการในอนาคต กคช. ควรพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ของการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน (Public Private Partnerships : PPP) เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินลงทุน รวมทั้งการกำกับการก่อสร้างและค่าใช้จ่าย การควบคุมการขายโครงการฯ ในระยะเวลาที่กำหนด การปรับแผนกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพ และการคัดเลือกคุณสมบัติของลูกค้าให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1122 | ขออนุมัติจัดทำโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี | พม | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี รวม ๖๐๖ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๕๗๓.๘๒๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ ๔๕๓.๖๒๓ ล้านบาท เงินอุดหนุนจากรัฐ ๖๙.๒๘๐ ล้านบาท และเงินรายได้ ๕๐.๙๒๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของเงินอุดหนุนโครงการฯ เห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการฯ ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ตามสัดส่วนของเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกับวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นของโครงการฯ ตามวงเงินของแผนการใช้จ่ายในแต่ละปี และหาก กคช. มีความจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก็เห็นควรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งการจัดหาสินเชื่อให้กับข้าราชการที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยตามโครงการฯ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการฯ ให้รอบคอบเพื่อให้ข้าราชการกลุ่มเป้าหมายได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ โดยควรพิจารณากำหนดรายได้ขั้นสูงของข้าราชการผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (กลุ่ม ง. เช่าซื้อ) ให้ชัดเจน รวมทั้งให้คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม ตลอดจนความคุ้มค่าในการดำเนินการ และการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ในการกำหนดพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ที่อาจมีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งให้กำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้จัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการฯ ในส่วนที่มีความพร้อมและมีความต้องการที่ชัดเจนก่อน สำหรับการดำเนินการในส่วนที่เหลือให้ดำเนินการได้ เมื่อมีความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชัดเจนแล้ว โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ด้วย ๔. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ กคช. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรให้ กคช. สำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและพัฒนารูปแบบสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยของพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงจากอาคารคงเหลือและภาระทางการเงิน และจัดทำแผนบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ อาทิ การควบคุมระยะเวลาการก่อสร้างและการขายโครงการ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานและควบคุมคุณภาพของที่อยู่อาศัยให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ กคช. หารือกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจในรายละเอียดของสินเชื่อภายใต้โครงการฯ ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม นอกจากนี้ กคช. ควรกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อ/เช่าซื้อ และแนวทางการกำกับที่ชัดเจนเพื่อให้โครงการฯ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง รวมถึงจัดทำแนวทางการบริหารจัดการโครงการฯ ที่มีประสิทธิภาพและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ซื้อ/เช่าซื้อในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1123 | ขอความเห็นชอบโครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทย | มท | 17/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับเปลี่ยนชื่อโครงการนี้จากเดิม “โครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทย” เป็น “โครงการตลาดประชารัฐ” และชื่อประเภทตลาดที่ดำเนินการโดยกรมการพัฒนาชุมชน จากเดิม “โครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทยคนไทยยิ้มได้” เป็น “โครงการตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้” ๒. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการตลาดประชารัฐ โดยให้เพิ่มโครงการตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นตลาดประชารัฐอีก ๑ ประเภท รวมเป็น ๙ ประเภท ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด โดยบูรณาการตลาดประชารัฐทั้ง ๙ ประเภท ภายใต้โครงการตลาดประชารัฐ และให้ดำเนินการพร้อมกันตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายและเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๑๕,๔๘๗,๕๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๔๔๖,๗๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๕๖๒,๑๘๗,๕๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ส่งเสริมการตลาด การประชาสัมพันธ์ การค้าขาย การท่องเที่ยว รวมทั้งการสร้างแรงกระตุ้นการขาย ภายใต้การส่งเสริมตลาดประชารัฐต้องชม เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมตลาดประชารัฐทุกประเภทที่เข้าร่วมโครงการฯ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรพื้นที่ตลาดประชารัฐแต่ละแห่งให้เหมาะสม มีความโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถกระจายพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าเพิ่มเติม เช่น การขายผ่านช่องทางออนไลน์ การขยายตลาดในต่างประเทศ การนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาใช้ร่วมกับตลาดรประชารัฐ ทั้งนี้ ในการดำเนินการบริหารจัดการตลาดประชารัฐ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการที่มีความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันในพื้นที่ และควรให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานของตลาดและการกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ อย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องกับหลักการของโครงการฯ รวมทั้งควรมีการประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการอย่างเป็นระบบครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการควบคุมการผลิตให้ได้คุณภาพมาตรฐานและมีความปลอดภัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๖. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1124 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการประตูระบายน้ำศรีสองรักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย | กษ | 10/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการก่อสร้างโครงการประตูระบายน้ำศรีสองรักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๖) วงเงินโครงการรวมทั้งสิ้น ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กรมชลประทานสามารถดำเนินการเตรียมความพร้อมของโครงการฯ ได้ทันที และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เสนออย่างเคร่งครัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ โดยคำนึงถึงการพัฒนาพื้นที่ระดับภาคด้วย ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานเตรียมความพร้อมเบื้องต้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทานและสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) เร่งรัดกระบวนการจัดหาที่ดินเพื่อการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตั้งคณะทำงานเพื่อชี้แจงและสร้างความรู้ความเข้าใจในกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการเกษตรและปศุสัตว์ และการป้องกันน้ำท่วม เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างแรงจูงใจให้ราษฎรเข้าร่วมพัฒนาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่ตั้งไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1125 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 03/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย (๑) การเปิดตลาดสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคและเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับปี ๒๕๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ (๒) เห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตานำเข้าสินค้าเกษตรตามพันธกรณีตามความตกลง WTO สำหรับสินค้าเกษตร ๔ รายการ ได้แก่ มะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง น้ำมันมะพร้าว และกากถั่ว ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นไป (๓) เห็นชอบเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้ามะพร้าวตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (๔) เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์มะพร้าวเพื่ออุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ และ (๕) เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองเพื่อความมั่นคงทางอาหาร พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมการค้าต่างประเทศเร่งรัดดำเนินการปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาและขั้นตอนการจัดสรรโควตาการนำเข้า สำหรับปี ๒๕๖๐ สินค้ากากถั่วเหลือง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และติดตามผลการนำเข้ามะพร้าวตามกรอบการค้าต่าง ๆ พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมมะพร้าวในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง และรายงานคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชทราบ เพื่อให้แก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการในระยะที่ ๑ ภายใต้ยุทธศาสตร์มะพร้าวเพื่ออุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ และยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองเพื่อความมั่นคงทางอาหาร พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙ อย่างต่อเนื่อง และรายงานคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชทราบเป็นระยะ ๆ ก่อนการดำเนินการในระยะต่อไป หากผลการดำเนินโครงการในระยะแรกไม่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการให้เหมาะสมหรือยกเลิก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1126 | การดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย | อก | 03/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยที่มีการดำเนินงานแล้วเสร็จ โดยมีการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างอุปทาน (Supply) ได้แก่ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ ๕/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เรื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ เป็นการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV) รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) รถโดยสารไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Bus) กิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถไฟฟ้า และกิจการผลิตอุปกรณ์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ๑.๒ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เห็นชอบให้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ขยายกิจการรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด กำลังการผลิตปีละ ๗๐,๐๐๐ คัน การผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ปีละประมาณ ๗๐,๐๐๐ ชิ้น และชิ้นส่วนยานพาหนะ ปีละประมาณ ๙,๑๐๐,๐๐๐ ชิ้น เงินลงทุนรวม ๑๙,๐๑๖ ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา ๑.๓ กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๑๓๘) ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน ลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากอัตราปกติลงกึ่งหนึ่ง และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากอัตราปกติ เหลือร้อยละ ๒ ๒. มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ประกอบด้วย (๑) มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างอุปทาน (Supply) (๒) มาตรการกระตุ้นตลาดภายในประเทศ (Demand) (๓) การเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน (๔) การจัดทำมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้า (๕) การบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว และ (๖) มาตรการด้านอื่น ๆ เช่น การดำเนินโครงการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) เพื่อพัฒนาบุคลากร จำนวน ๑๔๐ คน ใน ๔ สาขา ประกอบด้วย งานปรับแต่งระบบไฮดรอลิก (Hydraulic Systems) งานออกแบบและประกอบวงจรนิวเมติก (Pneumatic Systems) งานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า (PLC) และงานซ่อมบำรุงเครื่องจักร (Mechanical Maintenance)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1127 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ พ.ศ. .... | กษ | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรปรับปรุงในรายละเอียดของร่างกฎกระทรวงฯ ในบางประเด็น และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้อ ๑ และข้อ ๙ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน ประเภทของกิจการหรือโครงการ เนื้อที่ วัตถุประสงค์ และมูลค่าของการดำเนินกิจการ โดยมิได้มอบอำนาจให้ออกระเบียบเพื่อกระทำการอื่นใดต่อไปได้อีก แต่ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กำหนดให้การดำเนินการตามร่างข้อ ๑๗ วรรค ๒ และร่างข้อ ๒๐ จะต้องกำหนดไว้ในระเบียบ ดังนั้น ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จึงอาจไม่สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวที่ต้องดำเนินการให้มีการออกเป็นกฎกระทรวง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ยื่นขออนุญาตแสดงถึงความจำเป็นของการดำเนินโครงการที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมในการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ของพื้นที่ดังกล่าวเพื่อประเมินผลกระทบรอบด้าน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสมในการพัฒนาที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าวและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น การพิจารณากำหนดขั้นตอนและระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา รวมทั้งอัตราเยียวยาหรือชดเชยเกษตรกรขั้นต่ำในการขอใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละกรณี และการพิจารณากำหนดให้หน่วยงานที่จำเป็นต้องใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ หรือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมและสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนและวิธีการพิจารณาในกรณีที่เกษตรกรไม่ยินยอมให้ใช้ที่ดินที่มีแบบแผนและลดการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพื่อสร้างความยอมรับและปฏิบัติตามจากเกษตรกรในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1128 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2561 | นร11 | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๙๗๕,๔๑๔ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๔๖,๓๓๗ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติโครงการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๒. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว โดยกรณีมีการปรับลดเป้าหมายการลงทุนต้องเป็นเหตุจากปัจจัยภายนอกที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถบริหารจัดการได้เท่านั้น ๔. ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๕. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๑๒๕,๓๑๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๙๗,๑๐๖ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๔๘,๖๖๕ ล้านบาท ๖. ให้กระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่ง และหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับรายละเอียดประกอบการวิเคราะห์ความจำเป็นและความเหมาะสมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ครบถ้วนและสอดคล้องกับปัจจัยในทุกด้าน รวมถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และให้มีการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งการมีมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายกรณีที่มีความล่าช้า เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1129 | ขออนุมัติงบกลางปี 2560 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560 - 2564) | กษ | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลางปี ๒๕๖๐ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๗๗.๕๒๘๔ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถเริ่มดำเนินโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ตามเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักการพัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (๒) โครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ (๓) โครงการอาคารอัดน้ำท้ายอ่างเก็บน้ำประแสร์ (๔) โครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำดอกกราย และ (๕) โครงการเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้สำหรับงานดำเนินการเอง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานส่งรายละเอียดโครงการและวงเงินของ ๕ โครงการ ที่มีการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติบรรจุในแผนงานโครงการที่มีความพร้อม ตามการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและภัยแล้งทั้งประเทศ และได้กำหนดเป้าหมายการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ (Area-based) เพื่อพิจารณาให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ/เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1130 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | กษ | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี ๒๕๖๐/๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกรให้ทันต่อรอบการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา และควรเข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งในการลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่า ควรส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมและมีรายได้ใกล้เคียงกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้ตามแผนที่กำหนดและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒.๒ ให้เร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการให้เกษตรกรรับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานโครงการด้วย ๒.๓ การกำหนดให้พื้นที่ที่สามารถเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวในฤดูนาปรัง ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) และจะต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปประกอบกิจกรรมอื่นเป็นการถาวรไปแล้ว ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙) และโครงการปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนนาข้าว (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) ๓. การจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1131 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพิ่มเติม | กห | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๐๑๓,๐๘๗,๐๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย และกองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๑๒๙ เส้นทาง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย และกองทัพบก) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1132 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการนำการขับเคลื่อนการปฏิรูปการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) มาใช้ประกอบการพัฒนาแผนงานหรือโครงการสำคัญของประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้สามารถกำหนดกรอบการบริหารจัดการพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศได้อย่างเหมาะสม และให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาแผนงานหรือโครงการสำคัญเร่งด่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ รับทราบหนังสือบัญชีนวัตกรรมไทย ฉบับมิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้ทุกหน่วยงานนำไปใช้เป็นข้อมูลในการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมให้ตรงกับความต้องการใช้งานของแต่ละหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยอย่างน้อยให้แต่ละหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในอัตราส่วนร้อยละ ๓๐ ของความต้องการใช้งานทั้งหมดของหน่วยงาน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ต่อไป และให้สำนักงบประมาณติดตามและตรวจสอบการดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าวด้วย นั้น ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการเพื่อนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับภารกิจของหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อพัสดุและครุภัณฑ์ของภาครัฐตามรายการในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยให้เร่งรัดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณติดตามและรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้รถโดยสารประจำทางขนาดเล็กในการให้บริการการเดินทางแก่ประชาชนระหว่างกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงแทนการใช้รถตู้โดยสารที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย นั้น ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรถตู้โดยสารเดิมดังกล่าวด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานในระดับท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจและรวบรวมข้อมูลความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการของรัฐบาลในระยะต่อไปที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ ทั้งนี้ ให้จัดทำสรุปข้อมูลความต้องการดังกล่าวเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน ๕. ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการที่เป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๖. เพื่อให้การขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการพัฒนาระบบ Big Data ของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีทิศทางเดียวกัน จึงให้ดำเนินการ ดังนี้ ๖.๑ ให้ทุกหน่วยงานภาครัฐสำรวจการนำดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในภารกิจของหน่วยงานและภารกิจเพื่อการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน แล้วรายงานต่อคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ๖.๒ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] เป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์ Big Data ของทุกหน่วยงานจัดทำเป็นภาพรวมและแผนการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐภายใน ๓ เดือน ๖.๓ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานสถิติแห่งชาติ] รับไปดำเนินการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ ให้รับทราบและเข้าใจถึงข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินการ การเข้าถึง ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาล เช่น ด้านการเกษตร การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษา การสาธารณสุข โดยให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน ๒ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1133 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูฟื้นฟูชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2560 | กษ | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๖๐ เป็นการดำเนินการในชุมชนตามโครงการฯ ที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๔๓ จังหวัด มีเป้าหมายเกษตรกร จำนวน ๔๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน มีลักษณะการดำเนินการเป็นการสนับสนุนกิจกรรมในลักษณะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประกอบด้วย (๑) การปลูกพืชอายุสั้น (๒) การเลี้ยงสัตว์ (การเลี้ยงสัตว์ปีกและแมลงเศรษฐกิจ เช่น จิ้งหรีด) (๓) การผลิตอาหาร แปรรูปผลผลิต และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และ (๔) การประมง (เช่น การเลี้ยงกบในกระชัง การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน/พลาสติก) โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิต ครัวเรือนละไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม กลุ่มละไม่น้อยกว่า ๑๐ ราย สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๒๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกระบวนการถ่ายทอดความรู้และคำแนะนำในการผลิตตามกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เพื่อมิให้เกิดความเสียหายกับเกษตรกรขึ้นอีก รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของเกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อต่อยอดหรือให้คำแนะนำสำหรับใช้ประโยชน์จากกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้โครงการฯ เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวของครอบครัวต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๓.๑ ในการดำเนินกิจกรรมของเกษตรกรภายใต้โครงการฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องสำรวจเกษตรกรที่มีความพร้อมและเต็มใจเข้าร่วมโครงการและให้การสนับสนุนและคำแนะนำแก่เกษตรกรในการเลือกกิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และศักยภาพของเกษตรกร รวมทั้งมีการติดตามและให้คำแนะนำการดำเนินกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างแท้จริง ๓.๒ ให้เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๓ ให้ติดตาม ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ หากโครงการใดหมดความจำเป็นหรือมีโครงการอื่นใดที่สมควรดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น ก็ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1134 | ขออนุมัติหลักการในการเตรียมความพร้อมโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล - บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | กษ | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามแผนงานระยะเร่งด่วน ใน ๒ กิจกรรม คือ (๑) กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการสำรวจ-ออกแบบรายละเอียด และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ และ (๒) การดำเนินการในกระบวนการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างและงานเตรียมความพร้อมเพื่อการก่อสร้าง โดยคาดว่าหลังจากกระบวนการสำรวจออกแบบรายละเอียดและจัดหาที่ดินแล้วเสร็จ จะเริ่มการก่อสร้างโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ได้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินที่ใช้ดำเนินการโดยอาจพิจารณาจากความร่วมมือจากประเทศต่าง ๆ เงินกู้ หรือเงินงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดช่องทางการสื่อสารของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ครอบคลุมประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ติดกับคลองระบายน้ำฯ เพื่อป้องกันหรือลดการเกิดผลกระทบในอนาคต รวมทั้งควรมีการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างที่มีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และหากดำเนินการในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมเสร็จแล้ว ให้เร่งดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างเป็นระบบเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาพรวมทั้งระบบ (ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง) รวมทั้งแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินการเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1135 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร | กษ | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบขยายระยะเวลาการจ่ายเงินกู้โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ๑.๒ กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการซื้อข้าวคุณภาพจากโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ๑.๓ มอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ในการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ข้าว GAP และข้าวเพื่อสุขภาพระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับผู้ประกอบการค้าในจังหวัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรในโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๖ เดือน (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการให้ทันตามกำหนดที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้และควรติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูการผลิต รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนความร่วมมือทางการตลาดเพื่อให้ผลผลิตข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีตลาดรองรับที่ชัดเจน ควบคู่กับการส่งเสริมการผลิตและการรับรองมาตรฐาน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการและปัญหาอุปสรรคให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติได้รับทราบเป็นระยะ เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1136 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2560/61 ด้านการตลาด | พณ | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร กรอบวงเงินงบประมาณ ๑๒,๙๐๖.๒๕ ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ ๑๒,๕๐๐ ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด ๔๐๖.๒๕ ล้านบาท) และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐/๖๑ กรอบวงเงินจำนวน ๗๓,๓๖๙.๙๒ ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ ๒๑,๐๑๐ ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด ๕๒,๓๕๙.๙๒ ล้านบาท) โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการระบายข้าวเปลือก ให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ บริหารจัดการการระบายข้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพ และจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการดังกล่าว และในกรณีที่เกิดภาระส่วนต่างระหว่างราคาที่โครงการกำหนดในการให้สินเชื่อกับราคาที่ขายได้จากการระบายข้าวเปลือก ให้รัฐบาลรับภาระส่วนต่างดังกล่าว ๒. อนุมัติในหลักการโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๖๐/๖๑ วงเงิน ๙๔๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาศักยภาพของสถาบันเกษตรกรในการให้สินเชื่ออย่างรอบคอบ และพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรแปรรูปข้าวสารเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร (๒) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาความพร้อมของเกษตรกรที่จะได้รับสินเชื่อ และภาระหนี้สินของเกษตรกร ซึ่งอาจมีเกษตรกรบางรายที่สนใจเข้าร่วมโครงการแต่ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ รวมถึงคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ และเตรียมความพร้อมในด้านข้อมูลจำนวนยุ้งฉางที่ได้มาตรฐานและเครื่องอบลดความชื้น โดยมีการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนเครื่องอบลดความชื้นซึ่งอยู่ในความดูแลของสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ และ (๓) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ควรให้ความสำคัญกับการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าได้มีการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1137 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงเน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเข้มงวดในการตรวจตราผู้สัญจรผ่านแดน โดยกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติให้ชัดเจน เคร่งครัด เช่น การกำหนดให้รถยนต์ที่ผ่านจุดตรวจต้องเปิดกระจกทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการตรวจสอบจุดเสี่ยงที่อาจมีการลักลอบผ่านแดน โดยเฉพาะพื้นที่เอกชนที่ติดชายแดนที่อาจยังไม่มีมาตรการด้านความมั่นคงรองรับ ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นในการใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบผ่านแดนดังกล่าวด้วย ๑.๒ ให้คณะกรรมการบริหารการบูรณาการแผนและระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ทั่วประเทศ พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการติดตั้งกล้อง CCTV บริเวณจุดผ่านแดนหรือตามแนวชายแดนด้านต่าง ๆ ให้เพียงพอ ทั่วถึง รวมทั้งให้มีการตรวจสอบกล้อง CCTV ดังกล่าว ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเจรจากับฝ่ายมาเลเซียเกี่ยวกับความเหมาะสมในการขยายเวลาการเปิดจุดผ่านแดน โดยในเบื้องต้นอาจเปิดจุดผ่านแดน ๒๔ ชั่วโมง ให้เฉพาะการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์เท่านั้น โดยให้กำหนดประเภทรถยนต์และวัตถุประสงค์ของการขนผ่านให้รัดกุมและชัดเจนด้วย ทั้งนี้ สำหรับการเดินทางของผู้สัญจรผ่านแดนเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เห็นควรให้คงจำกัดเวลาไว้ตามเดิม ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับไปศึกษาและพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงาน บทบาท และภารกิจของสภาบันการเงินต่าง ๆ ของรัฐทั้งระบบ เพื่อให้สถาบันการเงินของรัฐเป็นองค์กรของรัฐที่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการให้บริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล และการให้บริการทางการเงินในฐานะสถาบันการเงินทั่วไป โดยไม่กระทบต่อสถานะทางการเงินโดยรวมของสถาบันการเงินของรัฐนั้น ๆ และให้รายงานผลการศึกษาต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๒.๒ ตามที่ได้มีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ (การจัดเก็บภาษีจากสินค้าสุราและยาสูบ) เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ แล้ว นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำกับดูแลผู้ประกอบการเพื่อมิให้มีการแสวงประโยชน์จากการกักตุนและขึ้นราคาสินค้าสุราและยาสูบในลักษณะที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ทั้งนี้ ให้ประสานกับฝ่ายความมั่นคงในการดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ทั่วถึงด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีการจัดตั้งตลาดกลางคืนเป็นศูนย์กลางการขายส่งสินค้าเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน (เช่น มาตรฐาน GAP) สินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) ระหว่างผู้ผลิต/เกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้าปลีกในพื้นที่ให้ครบทุกจังหวัดภายในปี ๒๕๖๑ โดยพิจารณากำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ อาจพิจารณานำกลไกประชารัฐมาสนับสนุนการดำเนินการด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการจัดให้มีหลักสูตรการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นการสร้างเสริมอาชีพในสาขาต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน และความต้องการของตลาดแรงงานไทย เช่น หลักสูตรเพื่อพัฒนาเกษตรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) หลักสูตรเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ธุรกิจตั้งต้น (Startup) และภาคการท่องเที่ยวและบริการ ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขับเคลื่อนให้มีโรงเรียนชาวนาเพิ่มขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกร เช่น การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพาะปลูกข้าว ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความรู้ความสามารถของเกษตรกรไปสู่การเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) ต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และให้พิจารณาดำเนินโครงการ/งานที่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณและไม่ก่อให้เกิดภาระผูกพันในปีต่อ ๆ ไป เป็นลำดับแรก เพื่อให้งานบรรลุผลและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๑ ๓.๒ เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นปีแห่งการปฏิรูปเน้นการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ (Agenda) นอกเหนือจากงานตามภารกิจปกติ (Function) จึงมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านสรุปผลการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบในช่วงการบริหารงานของรัฐบาลทั้งในส่วนของงานตามภารกิจ (Function) และงานตามยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล (Agenda) ที่ต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น การบริหารจัดการน้ำ การลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่ามีการดำเนินการเรื่องใด อย่างไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบหลัก และให้จัดทำแผนงานสำคัญที่จะดำเนินการต่อไปเป็นรายไตรมาสเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการแผ่นดินก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๑ เดือน ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เป็นการดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลำดับ ทั้งนี้ เพื่อลดภาระด้านการบริหารจัดการ รวมทั้งขั้นตอนการทำงานและปริมาณงานที่อาจซ้ำซ้อนกัน สำหรับสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (PMDU) นั้น ให้คงปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนเรื่องสำคัญเชิงนโยบายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1138 | การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี | นร | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๙ มกราคม ๒๕๕๙) ว่า ในการเสนอขออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการใด ๆ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการระบุตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการ รวมทั้งผลกระทบ/ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินโครงการให้ชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1139 | สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 2/2560 | คค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ประกอบด้วย เรื่องเพื่อทราบจำนวน ๔ เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องสืบเนื่องเพื่อทราบจากการประชุม คจร. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินโครงการตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (๒) ผลการดำเนินงานภายใต้ MOU ที่มอบหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารจัดการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (๓) รายงานการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบ และวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของระบบมวลชนจังหวัดภูเก็ต (รถไฟรางเบา จังหวัดภูเก็ต) (๔) ความคืบหน้าการดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเมืองภูมิภาค (จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดภูเก็ต และเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา) และเรื่องพิจารณา ๑ เรื่อง คือ โครงการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และออกแบบรายละเอียดโครงข่ายทางเชื่อมระหว่างทางยกระดับอุตราภิมุขและทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1140 | ร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขภาคผนวก 2 และภาคผนวก 5 ของความตกลงการค้าเสรี ไทย - ออสเตรเลีย | พณ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขภาคผนวก ๒ และภาคผนวก ๕ ของความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปริมาณสินค้าที่มีการใช้มาตรการโควตาภาษี (Tariff Rate Quota : TRQ) ตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก ๒ โดยเพิ่มปริมาณโควตานมผงขาดมันเนย ร้อยละ ๑๐ และแก้ไขปริมาณการนำเข้าสินค้าที่มีการใช้ปกป้องพิเศษ (Special Safeguard : SSG) ตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก ๕ โดยเพิ่มปริมาณการนำเข้า (Tigger Volume) ของสินค้า ๓ รายการ (๖ พิกัดสินค้า) ของไทย ได้แก่ หางนม ไขมันเนย และเนยแข็ง โดยมีผลในทางปฏิบัติภายในปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภามีมติเห็นชอบพิธีสารฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เสร็จสิ้นแล้ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการส่งเสริมอุตสาหกรรมนมไทยเพื่อลดปริมาณการนำเข้า และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมโคนมไทย ซึ่งฝ่ายออสเตรเลียจะเสนอความร่วมมือให้กับฝ่ายไทยนั้น ควรระบุรายละเอียดโครงการให้เป็นรูปธรรมและชัดเจน และควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการผู้มีส่วนได้เสียรับทราบถึงการดำเนินการจากการทบทวนพันธกรณีการเปิดตลาดสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นตามความตกลง TAFTA อย่างทั่วถึง รวมทั้งติดตามประเมินผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมาตรการที่มีอยู่ของหน่วยงานภาครัฐอย่างเต็มที่ และเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรและสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็งเพื่อรองรับการแข่งขันจากการเปิดเสรีทางการค้าในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๖. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสินค้าที่มีการใช้มาตรการโควตาภาษี (TRQ) จำนวน ๘ รายการ โควตาภาษีดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๖ รายการ ได้แก่ มั่นฝรั่ง (สดและแช่แข็ง) เมล็ดกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป ชา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) และจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ นมดิบและนมพร้อมดื่ม นมผงขาดมันเนย และสินค้าที่มีการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ (SSG) กำหนดเพดานปริมาณ Tigger Volume โดยเก็บภาษีนำเข้าในอัตราต่ำ ส่วนปริมาณที่นำเข้าเกินกำหนดจะเก็บภาษีในอัตราสูงกว่า จำนวน ๑๗ รายการ เช่น ไขมันเนย หางนม และเนยแข็ง จะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ หลังจากนั้นจะไม่กำหนดเพดานนำเข้าและอัตราภาษีนำเข้าจะเป็นร้อยละ ๐ จึงเห็นควรพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรดังกล่าวภายในประเทศ ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
.....