ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 53 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1041 - 1060 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1041 | ขออนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลำลูกกา คลองสอง) | พม | 17/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลำลูกกา คลองสอง) จำนวน ๘๒๐ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๙๐๓.๓๗๖ ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นอาคารชุดพักอาศัยรวม ๔ ชั้น ขนาด ๒๗ ตารางเมตร ทาวเฮาส์ ๓ ชั้น ขนาด ๒๐ และ ๒๘ ตารางวา และบ้านแฝดเชิงอิสระขนาด ๒ ชั้น ขนาด ๓๕ ตารางวา ระยะเวลาดำเนินโครงการระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๖๑-ธันวาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติสามารถดำเนินโครงการฯ ได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาและเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๘๑๔.๕๖๔ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จัดให้มีระบบขนส่งเพื่อขนส่งผู้อยู่อาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด จัดเตรียมแผนการบริหารจัดการชุมชน ควรควบคุมการขายโครงการและการโอนลูกหนี้ในระยะที่กำหนด รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการอย่างรัดกุมเพื่อให้โครงการมีความคุ้มค่าในการลงทุนตามที่ประมาณการไว้ และกำหนดเงื่อนไขการป้องกันการเก็งกำไร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ในการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในระยะต่อไป ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าวโดยเน้นการก่อสร้างในรูปแบบอาคารสูงเพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ก่อสร้างเป็นหน่วยที่อยู่อาศัยได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1042 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการ The Michelin Guide Thailand ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | กก | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการ The Michelin Guide Thailand ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ร่วมกับบริษัท มิชลิน ทราเวล พาร์ทเนอร์ จำกัด จัดทำโครงการ The Michelin Guide Thailand เป็นโครงการต่อเนื่อง ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) เพื่อสร้างการรับรู้การท่องเที่ยวด้านอาหาร (Gastronomy Tourism) และอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายด้านอาหารจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ ได้เปิดตัวโครงการฯ และการแถลงข่าวเปิดตัวคู่มือแนะนำร้านอาหารและที่พักระดับโลก ฉบับกรุงเทพมหานคร ประจำปี ๒๕๖๑ หรือ “The Michelin Guide Bangkok 2018” รวมทั้งพิธีมอบรางวัล Chef Awards ซึ่งมีร้านอาหารที่ได้รับสองดาวมิชลิน ๓ ร้าน และระดับหนึ่งดาวมิชลิน ๑๔ ร้าน ซึ่งในจำนวน ๑๔ ร้าน มีเพียง ๑ ร้านที่เป็นร้านอาหารประเภทริมทาง (Street Food) คือ ร้านเจ๊ไฝ และเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ได้จัดพิธีประกาศรางวัล Chef Awards และงาน Gala Dinner ภายใต้แนวคิด “Reaching for the Stars” ภายในงานมีการจัดพื้นที่การแสดงสาธิตการจัดทำอาหารไทย “เมี่ยงกลีบบัว” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก ๑.๒ สรุปความคุ้มค่าสื่อ หรือ Media Value จากการดำเนินงานโครงการฯ ปีที่ ๑ (ปี ๒๕๖๐) สามารถสร้างการรับรู้แก่นักท่องเที่ยวผ่านสื่อมวลชนชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ต่ำกว่า ๑๖๐ ล้านคน (เป้าหมาย ๑๕๐ ล้านคน) คิดเป็นมูลค่าสื่อในประเทศประมาณ ๑๐ ล้านบาท และสื่อต่างประเทศไม่ต่ำกว่า ๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒๙๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ ผลประโยชน์ และความคุ้มค่าที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยให้มีข้อมูลที่ครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว การเข้ารับบริการในภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร ที่พัก และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ในลักษณะการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1043 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๘๔๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๖๐ จำนวน ๒๕๔,๒๗๓,๗๔๖.๙๔ บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ให้ได้ตามเป้าหมาย โดยเกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ-โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในอนาคต และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๑ ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ และการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. เตรียมการเพื่อให้เกษตรกรกลุ่มที่ได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับภาระโดยจ่ายเบี้ยประกันภัยส่วนหนึ่งในการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ๑.๘ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ จะต้องมีความเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ของฤดูกาลเพาะปลูกอย่างแท้จริง รวมทั้งประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเกษตรกรผู้เอาประกันภัย จำนวนพื้นที่การเพาะปลูก ประเภทของภัยที่จะคุ้มครอง อัตราเบี้ยประกันภัย อัตราค่าสินไหมทดแทน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ควรพิจารณาผลการดำเนินงานโดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม แต่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมและมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเป็นประจำทุกปี ตลอดจนเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายผลไปยังข้าวนาปรัง ซึ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางการเกษตรเช่นกัน รวมถึงสินค้าเกษตรที่สำคัญอื่น ๆ ในระยะต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1044 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม | นร04 | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม นับตั้งแต่การจัดงานแรก คือ งาน “ตลาดนัดกล้วยไม้คุณภาพ” เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๘ จนจบภารกิจเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ รวมระยะวเลา ๓ ปีเต็ม มีการจัดงานรวมทั้งสิ้น ๓๘ งาน จำนวนเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์ ผลิตผล และการบริหาร รวมทั้งสิ้น ๘,๐๑๙ ราย ผู้เข้าชมงาน จำนวน ๓,๙๗๘,๖๙๖ คน ยอดการจำหน่ายทั้งสิ้น ๑,๙๓๖,๖๖๔,๒๔๗ บาท รวมทั้งมีกระแสเงินหมุนเวียนจากกิจกรรมอื่น ๆ อาทิ จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของกรมบังคับคดีและสำนักงาน ป.ป.ส. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี การประมูลเลขทะเบียนรถสวย การจำหน่ายเหรียญที่ระลึกของกรมธนารักษ์ การจำหน่ายสลากออมทรัพย์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การจำหน่ายสลากออมสินและเงินฝาก จำนวน ๑,๓๓๑,๙๗๙,๑๗๓ บาท ๒. กระทรวงมหาดไทยจัดงานเปิดตัว (Kick Off) โครงการตลาดประชารัฐ “ตลาดประชารัฐ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ระยะเวลาการจัดงาน ๓ วัน คือ ระหว่างวันที่ ๕-๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ เพื่อประชาสัมพันธ์การจบภารกิจโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ณ บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล และส่งต่อรูปแบบ (Model) ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมไปสู่ตลาดประชารัฐ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ให้ประชาชนได้มีพื้นที่ค้าขายในท้องถิ่น เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้สู่ท้องถิ่นและเศรษฐกิจฐานราก โดยผลการจัดงาน มีผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้า จำนวน ๑๘๐ ราย ผู้เข้าชมงาน จำนวน ๒๑,๙๒๗ คน ยอดการจำหน่ายทั้งสิ้น ๘,๖๘๓,๘๒๒ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1045 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดพื้นที่เพื่อเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรสามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนนำสินค้าและผลิตผล/ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ ที่มีคุณภาพเข้ามาจำหน่ายแก่ผู้บริโภคได้ในแต่ละสัปดาห์ และให้ส่วนราชการที่จะจัดตั้งตลาดดังกล่าวประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยด้วยเพื่อให้แต่ละจังหวัดพิจารณาคัดเลือกและสนับสนุนให้เกษตรกรที่มีศักยภาพและความพร้อมของจังหวัดนั้น ๆ นำสินค้ามาจำหน่ายด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาปรับใช้กับตลาดอื่น ๆ ที่ได้มีการจัดตั้งและดำเนินการอยู่แล้วด้วย เช่น ตลาดประชารัฐ โดยอาจกำหนดให้มีวันพิเศษในแต่ละสัปดาห์ที่ให้มีการจำหน่ายสินค้าที่แตกต่างไปจากวันอื่น ๆ เช่น ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ตลาดสินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ตลาดอาหารที่มีความปลอดภัย เป็นต้น ๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒.๑ เร่งดำเนินการจัดระเบียบการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประชาชนนิยมไปเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก เช่น อุทยานแห่งชาติ ให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งในด้านการจราจร สถานที่จอดรถ และการรักษาความปลอดภัย ๑.๒.๒ สนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ทั้งในเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองท่องเที่ยวรองมากยิ่งขึ้น โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ รวมทั้งการบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย ๑.๒.๓ จัดทำเส้นทางการท่องเที่ยวชุมชนเชิงคุณภาพจำแนกตามเอกลักษณ์ไทยในด้านต่าง ๆ ให้มีความหลากหลาย เช่น เส้นทางผ้าไหมไทย อาหารไทย ข้าวไทย ทะเลไทย เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ และมีเรื่องราว (story) ประกอบเพื่อเป็นการให้ความรู้และดึงดูดความสนใจ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและการประกอบการของชุมชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยให้รวมถึงการแปรรูปสินค้าของชุมชนด้วย ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการดำเนินโครงการก่อสร้างเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีการกันพื้นที่ผิวทางการจราจร ปิดเส้นทาง หรือกีดขวางการจราจร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของปัญหาการจราจรติดขัดและปัญหามลพิษ โดยให้กระทรวงคมนาคมขอความร่วมมือกับผู้รับเหมาก่อสร้างในการจัดการพื้นที่เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรผ่านเส้นทางดังกล่าวได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และเกิดผลกระทบด้านการจราจรให้น้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1046 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 38 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560-31 ธันวาคม 2560) | นร | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๘ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่องโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้มีการติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน และส่งร่างแผนปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเผยแพร่ในเว็บไซต์ และส่งให้ทุกส่วนราชการให้ความเห็น ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการสื่อสารมวลชนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และสถาบันพระมหากษัตริย์ จัดกิจกรรมตามโครงการหน่วยพระราชทานและประชาชน จิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์การต่อต้านการค้ามนุษย์เพื่อเผยแพร่บนเครื่องบิน พัฒนาระบบการให้บริการด้านแรงงาน ภายใต้แนวคิด “๙ ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ” โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานสู่ SMEs ๔.๐ (STEM Workforce towards SME 4.0) (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โครงการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ และ (๔) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การบริหารจัดการน้ำให้เกษตรกรในพื้นที่ชลประทาน การป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ การจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ๕๙ รายการ ใน ๒๐ จังหวัด การเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และการลดการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมและพื้นที่ชลประทานเดิม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1047 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 | ดศ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าของการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ (๒) รายงานความคืบหน้ากรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ (๓) รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ (๔) ความคืบหน้าการศึกษาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การอวกาศแห่งชาติ พ.ศ. .... (๕) ความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) และ (๖) ผลการสัมมนา “เทคโนโลยีอวกาศสู่งานวิจัยไทย ๔.๐” และการขับเคลื่อน Thailand Satellite Consortium ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุม United Nations/United Arab Emirates-High Level Forum : Space as a Driver for Socio-Economic Sustainable Development (UN/UAE-High Level Forum) วันที่ ๖-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (๒) แนวทางการบริหารเอกสารข่ายงานดาวเทียมและสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมตามมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ (๓) นโยบายการอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เข้าใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียมต่างประเทศในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1048 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | กษ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี ๒๕๖๐/๖๑ ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ ๓๑ จังหวัด พื้นที่ ๗๐๐,๐๐๐ ไร่ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวนาปรังเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ กระจายผลผลิตให้ออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน จากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หมุนเวียนในระบบปลูกข้าว โดยรัฐถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกร รวมทั้งสนับสนุนเงินอุดหนุนในอัตราไร่ละ ๒,๐๐๐ บาท (รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่) คิดเป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น ๑,๔๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการฯ ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการฯ จะต้องไม่ดำเนินการเพาะปลูกในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการฯ ให้หน่วยงานในพื้นที่และเกษตรกรในพื้นที่รับทราบ การตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรต้องรวดเร็วเพื่อให้ทันต่อรอบการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ควรเข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และในการลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่า และควรส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมและมีรายได้ใกล้เคียงกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1049 | ขออนุมัติโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมผู้สำเร็จอาชีวศึกษาในทุกระดับให้มีศักยภาพและขีดความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และทันต่อเทคโนโลยีการประกอบอาชีพที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนาสถานศึกษาต้นแบบในสังกัด สอศ. จำนวน ๒๐ แห่ง ทั่วประเทศ ที่มีคุณภาพสำหรับการขยายผลต่อไป และเพื่อสนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (Fist S Curve) การเติมอุตสาหกรรมอนาคต (New S Curve) และตอบสนองการพัฒนาประเทศตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๑) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๕๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณของประเทศไทย วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ วงเงิน ๒,๗๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยในส่วนของโครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาก่อนการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียดให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับทุนการศึกษา ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของผู้เรียน เงื่อนไขในการให้/ชดใช้ทุนประเภทต่าง ๆ อัตราตำแหน่งรองรับครูของ สอศ. ภายหลังจากที่นักเรียนจบการศึกษา ให้เป็นไปด้วยความรัดกุม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินการในลักษณะการร่วมจ่าย (Co-sharing) หรือรูปแบบประชารัฐ เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณภาครัฐด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เช่น ควรสร้างความร่วมมือระหว่าง สอศ. กับสถาบันวิจัยที่มีความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ EEC เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกทำงานจากโจทย์จริงของภาคอุตสาหกรรม และร่วมทำโครงการวิจัยและพัฒนากับภาคเอกชน ควรกำหนดแผนการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาในระยะสั้น โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่ออาศัยความชำนาญเฉพาะด้านของหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนากำลังคนระดับอาชีวศึกษาในภาพรวมของประเทศ การจัดสรรทุนควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของสาขาวิชาให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนาของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ รวมทั้งควรศึกษาวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนอาชีวศึกษาของประเทศทั้งในมิติเชิงปริมาณและมิติเชิงคุณภาพ ตลอดจนแผนการดำเนินการเตรียมและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษา และควรคำนึงถึงการได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจากหน่วยงาน/องค์กรวิชาชีพที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของประเทศไทยของตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้ผู้รับทุนสามารถปฏิบัติงานได้เมื่อสำเร็จการศึกษา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในส่วนของแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ โดยกรณีเงินสมทบที่เป็นเงินงบประมาณของประเทศไทยนั้น เห็นควรให้ สอศ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนเงินสมทบที่มาจากแหล่งเงินกู้ควรคำนึงถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น โดยผ่านกลไกขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้คำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1050 | ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการกำหนด "พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" เพิ่มเติม | อก | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า ค่าพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสาร และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งดำเนินงานบริหารและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๕๐ ปี และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) จัดเก็บรายได้จากการพัฒนาพื้นที่โครงการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของประกาศ กนศ. โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ รฟท. มีอำนาจร่วมลงทุนกับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก โดยรายละเอียดของการร่วมลงทุนอยู่ภายใต้หลักการของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่ได้อนุมัติไว้ ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในกรอบวงเงินจำนวน ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ รฟท. ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชน ในวงเงินไม่เกิน ๑๑๙,๔๒๕.๗๕ ล้านบาท ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาร่วมลงทุน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งระบบแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี โดยให้กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามผลการดำเนินงาน เกณฑ์ประเมินผลผลิตที่เอกชนต้องส่งมอบ (Output Specification) ระดับในการบริการ (Level of Service) และระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งนี้ กรณีมีเหตุจำเป็น อาจให้ทยอยจ่ายเงินดังกล่าวให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน โดยแบ่งจ่ายเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ โดยในกรณีดังกล่าว กนศ.จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๕ เห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ของ รฟท. เป็นจำนวนเงิน ๒๒,๕๕๘.๐๖ ล้านบาท ๑.๖ เห็นชอบให้พื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ตั้งแต่สนามบินดอนเมืองถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่ภายนอกระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๐ เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ๑.๗ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ รฟท. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) แนวทางการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (๒) การคำนึงถึงผลกระทบต่อโครงการลงทุนอื่นที่อยู่ภายในพื้นที่ตามแนวเส้นทางโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ (๓) การกำหนดให้พื้นที่ของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม และ (๔) การกำกับดูแลและติดตามภาระผูกพันงบประมาณของภาครัฐจากการร่วมลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและสอดคล้องกับบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้ รฟท. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมืองและการขอให้รัฐบาลรับภาระโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. ร่วมกับ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1051 | การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในคู่มือการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม "โครงการไทยนิยม ยั่งยืน" (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) | มท | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในคู่มือการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) โดยมีหลักเกณฑ์/เงื่อนไขของโครงการที่จะเสนอขอรับเงินอุดหนุนจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (๑) สร้างรายได้ให้กับประชาชน หรือทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๒) จะช่วยยกระดับหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น (๓) โครงการที่น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชน และ (๔) โครงการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการของประชาชน และเมื่อโครงการของชุมชน/หมู่บ้านได้รับความเห็นชอบแล้ว จะโอนเงินตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติเข้าบัญชีของหมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ๑๒๐ วัน (เดือนเมษายน-กรกฎาคม ๒๕๖๑) มีเป้าหมาย ๘๒,๓๗๑ หมู่บ้าน/ชุมชน สนับสนุนงบหมู่บ้าน/ชุมชนละไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินการดำเนินงานที่สะท้อนทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของทั้งโครงการ รวมทั้งจัดทำตัวชี้วัดที่ชัดเจนมีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำเที่ยงตรงและมีความน่าเชื่อถือสำหรับการวางแผนพัฒนาโครงการและใช้ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งรัดหรือกำกับดูแลหมู่บ้าน/ชุมชน ให้เตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการของชุมชนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าหรือสามารถดำเนินโครงการได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ การกำจัดผักตบชวา/วัชพืชและขยะสิ่งปฏิกูลเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำที่ควรต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูฝน รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการในการกำกับดูแลและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1052 | การดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 2/2560) | กษ | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อรับซื้อยางจากเกษตรกรชาวสวนยางและนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใช้ในหน่วยงานภาครัฐ เห็นควรให้ใช้เงินกองทุนพัฒนายางพารา วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินการหมุนเวียนรับซื้อยางตามมติคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยไปก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท (รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้หมุนเวียนรับซื้อยางพาราภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ จำนวน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท) โดยให้จัดทำข้อมูลความต้องการใช้ยางพารา แผนการรับซื้อและจำหน่ายยางพารา ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จำแนกข้อมูลเป็นรายเดือน และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการ วงเงินไม่เกิน ๑๕๐ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายการขายยางมาหมุนเวียนเพื่อรับซื้อยางพาราตามโครงการฯ เห็นควรให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ๑.๒ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ประกอบด้วย ค่าเบี้ยประกันภัย ในอัตราร้อยละ ๐.๓๖ ต่อปี จำนวน ๓๖ ล้านบาทต่อปี ระยะเวลา ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๑๐๘ ล้านบาท เห็นควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่จะเกิดขึ้น สำหรับค่าบริหารโครงการฯ อัตราร้อยละ ๐.๑๔ ต่อปี จำนวน ๑๔ ล้านบาทต่อปี ระยะเวลา ๓ ปี รวมเป็นเงินไม่เกิน ๔๒ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) โดยภาครัฐชดเชยดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี กรอบวงเงินไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทยเป็นที่ปรึกษาและแนะนำวิธีการคำนวณการชดเชยดอกเบี้ย โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับค่าบริหารโครงการฯ วงเงินไม่เกิน ๒ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กยท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการทั้ง ๓ โครงการ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และเป็นไปตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ) ที่ให้กำหนดมาตรการป้องกันและกำกับการดำเนินงานทุกขั้นตอนให้มีความโปร่งใส ไม่ให้เกิดการทุจริต รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรติดตามผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการดูดซับปริมาณยางออกจากระบบและด้านการรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1053 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดทำความร่วมมือในกรอบความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) และเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งพิจารณาการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) ให้ชัดเจนโดยเร็วด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางพัฒนาพื้นที่และการดำเนินกิจการต่าง ๆ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้พิจารณาความเหมาะสมด้านการลงทุน ทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน และการลงทุนของภาคเอกชนฝ่ายเดียว รวมทั้งการนำเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐไปดำเนินการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษด้วย เช่น เรื่อง Smart Farmer เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดรายละเอียดและหลักเกณฑ์ในการดำเนินการ รวมทั้งผลประโยชน์ที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะได้รับให้ชัดเจน และให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำเรื่องนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกในครั้งต่อไปด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำสรุปผลงานต่าง ๆ ของรัฐบาลที่สำคัญในรูปแบบวีดิทัศน์เพื่อใช้ในการสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้ถูกต้องต่อไป โดยให้เร่งจัดทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวให้หารือรายละเอียดและประสานการดำเนินงานกับรองนายกรัฐมนตรีท่านอื่น ๆ ด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน รวมถึงกองทุนออมทรัพย์อื่น ๆ ที่ประสบปัญหาทางการเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือต้องนำมาตรการทางกฎหมายมาใช้บังคับให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ ๒๐๑๘ ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของรูปแบบการจัดการศึกษาของออสเตรเลียเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการศึกษาของไทย เช่น การจัดการศึกษาทางเลือกโดยการศึกษาอยู่กับครอบครัว (Home School) การกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เพื่อใช้เทียบระดับกับการศึกษาปกติ การคัดแยกผู้เรียนตามความถนัดที่มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นศึกษา เป็นต้น เพื่อให้สามารถสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่ส่วนราชการในระดับท้องถิ่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาด้านการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยต่อไป ๒.๓.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของรูปแบบการตั้งด่านตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ยานพาหนะของออสเตรเลียซึ่งมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีความรวดเร็ว และประชาชนให้ความร่วมมือในการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เป็นอย่างดี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงกระบวนการดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒.๓.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงแรงงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดูแลคนไทยที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย คนไทยที่ประกอบการร้านอาหารไทย และแรงงานไทยเป็นไปอย่างเหมาะสมและตอบสนองต่อข้อเรียกร้องต่าง ๆ ได้ ๒.๓.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของออสเตรเลียเพื่อจัดทำความร่วมมือด้านการค้าสินค้าทางการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น การขายข้าวพันธุ์ กข ๔๓ เป็นต้น ๒.๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการบริหารจัดการของออสเตรเลียบริเวณอ่าวซิดนีย์ (Sydney Harbour) ที่มีการจัดระเบียบพื้นที่ริมอ่าวอย่างสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำในแม่น้ำไม่เน่าเสีย รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น โรงอุปรากรซิดนีย์ (Sydney Opera House) และสะพานซิดนีย์ฮาเบอร์ (Sydney Harbour Bridge) ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากร้านอาหารในบริเวณดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสมกับโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร่วมกันอย่างเหมาะสมด้วย ๒.๔ เพื่อให้การดำเนินโครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก (SAP) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นประโยชน์สูงสุด ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เร่งนำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างพิจารณาโดยด่วน ก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1054 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 1 | กค | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๘๕,๙๐๖.๔๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๐๒,๙๗๗.๐๖ ล้านบาท เป็น ๑,๕๘๘,๘๘๓.๔๘ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๙,๘๓๐.๑๑ ล้านบาท จากเดิม ๑๖๑,๔๓๓.๔๕ ล้านบาท เป็น ๑๗๑,๒๖๓.๕๖ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ตามนัยข้อ ๓.๔ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ รับทราบผลการติดตามการบริหารจัดการระบายยางพาราคงค้างของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พร้อมทั้งมอบหมายให้ กยท. ดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพยางพาราคงเหลือ และดำเนินการจำหน่ายยางพาราในระดับราคาที่เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และให้ กยท. รายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะต่อไป ๒. ให้ กยท. เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะที่เห็นควรให้ กยท. ดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพยาง และดำเนินการจำหน่ายยางพาราคงค้างของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางออกสู่ตลาด โดยเร็วต่อไป โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินงานของ กยท. อย่างใกล้ชิด ๓. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้ ทั้งในส่วนของการดำเนินการตามแผนงานปกติและการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ กำกับและติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมีการกำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานดำเนินโครงการตามแผนและใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมของระดับหนี้สาธารณะที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศที่อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนในแผนงาน/โครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ๕. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการการคลัง ซึ่งรวมถึงหนี้สาธารณะและงบประมาณในระยะปานกลางและระยะยาวที่สะท้อนกรอบการลงทุนในภาพรวมของประเทศ รวมถึงพื้นที่การคลังที่เหลือ (fiscal space) และให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อใช้ในการกำหนดกรอบแนวทางการพิจารณาจัดสรรแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล และเพื่อให้ภาพรวมของการบริหารงบประมาณและระดับหนี้สาธารณะเป็นไปด้วยความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานจัดทำภาพรวมการใช้จ่ายที่เป็นภาระผูกพันในระยะยาวโดยเฉพาะโครงการลงทุนภาครัฐ โดยให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงินในมิติต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน/การบริหารจัดการน้ำ โดยคำนึงถึงการดำเนินงานให้บรรลุตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศที่กำหนดไว้ และนำเสนอภาพรวมการใช้จ่ายดังกล่าวต่อกระทรวงการคลังเพื่อรวบรวมข้อมูลโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1055 | โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน | กค | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน โดยให้สินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว วงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาการให้กู้ยืมไม่เกิน ๕ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน และอนุมัติวงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการฯ เป็นวงเงินงบประมาณสูงสุดไม่เกิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลธนาคารออมสินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดภาระหนี้เสีย หรือหนี้สงสัยจะสูญ รวมทั้งให้ธนาคารออมสินมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการดำเนินโครงการฯ และควรมีมาตรการดำเนินการบริหารสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงและการประเมินความเสี่ยงที่ชัดเจน รวมถึงติดตามผลกระทบของโครงการฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลรักษาคุณภาพของลูกหนี้ในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการฯ ของธนาคารออมสิน ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) พิจารณาดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อป้องกันการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing loan : NPL) และปัญหาการปล่อยสินเชื่อไม่เหมาะสม (moral hazard) ซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณของภาครัฐเกินความจำเป็น ทั้งนี้ ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการอนุมัติสินเชื่อในโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ ๒ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และให้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการฯ ในระยะที่ ๑ เป็นลำดับแรกก่อนเพื่อความเป็นธรรม ๔. ให้กระทรวงการคลังติดตามการดำเนินโครงการฯ ทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสินอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้มีระบบตรวจสอบที่รัดกุมและโปร่งใส และให้พิจารณานำข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการฯ มาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการคลังเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงฐานข้อมูลดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนและสอดคล้องกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1056 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project จำนวน ๒๓ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๑.๕ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๔ พันล้านบาท โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดลงจากโครงการทั้งหมด เท่ากับ ๙๙,๘๗๐ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ กิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project ก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ (๑) การผลิตพลังงาน และ (๒) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น จำนวน ๓ ครั้ง โดยที่ประชุมมีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานรับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๖ วิธี พร้อมทั้งรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการ จำนวน ๔ ราย และขึ้นทะเบียนโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน ๑ โครงการ ๓. การจัดการอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๑๑ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๗๒๘ คน และได้เข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ JCM จำนวน ๕ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการ จำนวน ๔ โครงการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1057 | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายสินเชื่อ "โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)" | กค | 06/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายสินเชื่อโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากเดิม ให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐ เป็น ให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยการขยายระยะเวลาดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากอยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่ธนาคารออมสินได้รับอนุมัติไว้ ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินร่วมกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ เร่งรัดการเบิกจ่ายสินเชื่อให้ทันภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการส่งเสริมการลงทุนในประเทศของผู้ประกอบการ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ธนาคารออมสินร่วมกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ทันภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ และดำเนินการปิดโครงการฯ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป รวมทั้งเห็นควรมีการติดตามและประเมินผลลัพธ์และผลกระทบการดำเนินโครงการฯ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และรายงานให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในฐานะหน่วยงานวางแผนและประสานการขับเคลื่อนการส่งเสริม SMEs รับทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1058 | การลงนามในกรอบข้อตกลงการดำเนินงานกับกองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย พ.ศ. 2561-2563 | สธ | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามในกรอบข้อตกลงการดำเนินงาน (Framework Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ๑.๒ เห็นชอบเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทกับกองทุนโลกฯ โดยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยใช้ภาษาอังกฤษ ตามกฎเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการของกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL Arbitration Rules) ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นคู่สัญญาแทนรัฐบาลไทย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในกรอบข้อตกลงการดำเนินงานในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย ๑.๔ มอบหมายกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคลงนามในเอกสารยืนยันการรับทุน (Grant Confirmation) กับกองทุนโลกฯ และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกองทุนโลกฯ ในแต่ละรอบการให้ทุนของกองทุนโลกฯ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีตามข้อ ๑ วรรค ๑.๑(๒) (a) (ii) ของกรอบข้อตกลงฯ ซึ่งกำหนดให้ควรมีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการชำระค่าสินค้าและบริการด้วยเงินสนับสนุนจากกองทุนโลกฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการร่วมกับกองทุนโลกฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันและสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กองทุนโลกฯ หรือองค์กรที่มีลักษณะเดียวกันในอนาคต ตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1059 | รายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนาด้านการเกษตร "โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน" และขออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายค่าจ้างแรงงาน | กษ | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินโครงการพัฒนาด้านการเกษตร "โครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน" ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการดังกล่าวเสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์ของโครงการแล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๒๔,๑๔๗ โครงการ สามารถเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น ๑๙,๙๘๗.๐๓ ล้านบาท และมีผลประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น เกษตรกร จำนวน ๑.๕๖ ล้านราย ได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเกษตรของชุมชน เกิดกระบวนการเรียนรู้จากการจัดทำโครงการต่าง ๆ และเกิดการกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจฐานรากก่อให้เกิดกระแสเงินทุนหมุนเวียนในภาพรวมเพิ่มขึ้น ๕๔,๐๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้เปลี่ยนชื่อโครงการดังกล่าว เป็น “โครงการเกษตรยั่งยืน ๑” ๒. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายค่าจ้างแรงงานโครงการของชุมชน จำนวน ๕ ชุมชน ในพื้นที่อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร (ชุมชนเหล่าปอแดง ๑ และ ๒ โครงการปุ๋ยหมักจากผักตบชวา ชุมชนพังขว้าง โครงการเพาะเห็ดนางฟ้าในโรงเรือนชุมชนหนองลาด โครงการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ และชุมชนโคกก่อง โครงการทำปุ๋ยหมักจากผักตบชวา) จำนวนเงินทั้งสิ้น ๔,๕๖๘,๕๙๕ บาท โดยให้ดำเนินการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป ควรนำข้อสังเกตจากการประเมินผล และข้อเสนอแนะของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรไปปรับปรุงการดำเนินโครงการให้มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนมากขึ้น รวมทั้งพิจารณาชุมชนที่มีศักยภาพสำหรับต่อยอดการผลิตที่พัฒนาไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มและสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนมากขึ้น เช่น การผลิตสินค้าอินทรีย์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีเกษตร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1060 | ร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. 2018-2021 | กษ | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๑ [The Kingdom of Thailand, Food and Agriculture Organization of the United Nations (FAO) Country Programming Framework (CPF) 2018-2021] และกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การสนับสนุนของ FAO และผลลัพธ์ที่คาดหวังในประเทศไทยในประเด็นความปลอดภัยและมาตรฐานของอาหารได้รับการปรับปรุงเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคและเพื่อส่งเสริมการค้า สนับสนุนและเพิ่มโอกาสของการจัดการห่วงโซ่คุณค่าการผลิตสินค้าเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน (๒) การสนับสนุนความช่วยเหลือใต้-ใต้ หรือความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และ (๓) การดำเนินการ การตรวจสอบ และรายงานความคืบหน้าของกรอบความร่วมมือ CPF ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการที่ไทยอาจใช้เครือข่าย FAO มาพัฒนาองค์ความรู้ในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ประโยชน์ในการทำเกษตร (Smart/Precision farming) สำหรับการกำหนดงบประมาณในแต่ละโครงการมีจำนวนไม่มาก ซึ่งการดำเนินงานโครงการส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานในเชิงลึก อาจทำให้การดำเนินงานไม่สามารถตอบสนองหรือบรรลุผลผลิตตามวัตถุประสงค์ได้ หากได้รับความช่วยเหลือจาก FAO ในการดำเนินการติดตามและตรวจสอบในรูปแบบของผู้เชี่ยวชาญ องค์ความรู้ หรือเทคโนโลยี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอรับความช่วยเหลือหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และควรเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการที่ได้รับความช่วยเหลือดังกล่าวด้วย นอกจากนี้การนำเสนอร่างกรอบความร่วมมือ CPF ในระยะต่อไป ควรนำเสนอผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นตามร่างกรอบความร่วมมือ CPF ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๑ ให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือ CPF ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๑ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
.....