ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 51 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1001 - 1020 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1001 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ การดำเนินโครงการปรับปรุงพื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ 2561 (ความร่วมมือกองทัพบก - มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) | กห | 31/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๖๘,๙๑๒,๘๐๐ บาท ให้กองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (ความร่วมมือกองทัพบก-มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) จำนวน ๔๗ โครงการ ในพื้นที่ ๙ จังหวัด (ได้แก่ จังหวัดแพร่ พะเยา พิจิตร สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และพัทลุง) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การเก็บกักน้ำ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบกรับความเห็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้เสนอคำของบประมาณจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อดำเนินโครงการขุดลอกสระเก็บน้ำสาธารณะบึงหญ้า ตำบลหนองจิก อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่เดียวกันกับโครงการที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอรับการสนับสนุนจากกองทัพบกด้วย จึงเห็นควรให้กองทัพบกประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อบูรณาการแนวทางในการดำเนินการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนการเสนอของบประมาณ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ คูคลองต่าง ๆ ในปีต่อ ๆ ไป กองทัพบกควรประสานมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ คู คลองต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ ให้แล้วเสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประโยชน์สูงสุดตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมส่งแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (ความร่วมมือกองทัพบก-มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อนำไปประกอบเป็นแผนดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในภาพรวมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1002 | มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย | กค | 31/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาและลดภาระหนี้สินของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และส่งเสริมเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ฟื้นฟูการประกอบอาชีพ โดยเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับสิทธิ์ขยายระยะเวลาชำระหนี้ต้นเงินกู้เป็นระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ตามความสมัครใจ และจะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ สินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต หรือสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจัดหาปัจจัยการผลิตได้ รวมทั้ง ธ.ก.ส. จะส่งเสริมการออมที่เหมาะสมให้กับเกษรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๒๔.๘๕ ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ อย่างรอบคอบ ตลอดจนรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้มุ่งเน้นการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร การปรับปรุงระบบการผลิตให้เข้าสู่ระบบการเกษตรแบบผสมผสานโดยเปลี่ยนจากการผลิตพืชเชิงเดี่ยวมาสู่การปลูกพืชหลากหลายชนิด รวมถึงกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้มีการดำเนินการในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผ่านมาว่ามีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด และ (๒) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยอื่นที่เป็นหนี้สถาบันเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่มีภาระหนี้และไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ตามมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อยให้ได้รับความช่วยเหลือที่เท่าเทียมและทั่วถึงเช่นกันด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1003 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด | พณ | 24/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ด้านการตลาด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๒ โครงการ กรอบวงเงินงบประมาณ ๖๕,๐๑๖.๙๘ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี กรอบวงเงินงบประมาณ ๖๔,๕๐๙.๑๗ ล้านบาท และ (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร กรอบวงเงินงบประมาณ ๕๐๗.๘๑ ล้านบาท โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับวงเงินชดเชยส่วนต่างที่อาจจะเกิดขึ้น จำนวน ๒,๖๙๘.๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นควรที่กระทรวงพาณิชย์และ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องบริหารจัดการระบายข้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยคำนึงถึงวิธีการและขั้นตอนที่มีความโปร่งใส ชัดเจน โดยนำข้าวที่ผ่านการตรวจนับปริมาณและมีการตรวจวิเคราะห์และจัดระดับคุณภาพแล้วมาระบายตามจังหวะเวลา และช่องทางที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ การกำหนดเกณฑ์ราคาขั้นต่ำจะต้องไม่เป็นการชี้นำราคาข้าวในตลาด รวมถึงจำกัดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการโครงการดังกล่าวอย่างรอบคอบ ตลอดจนมีการติดตามการดำเนินโครงการและพิจารณาทบทวนให้เหมาะสมกับสถาพการณ์ ทั้งนี้ หากได้ดำเนินการตามขั้นตอนและคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบแล้ว และยังมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นก็ให้เสนอคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรก ๑.๒ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน กรอบวงเงินงบประมาณ ๕๗๒ ล้านบาท หากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าในการเก็บสต็อกที่เสนอตั้งไว้ จำนวน ๑๗๑.๕๑๙๙ ล้านบาท เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้กรมการค้าภายในปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๓ การดำเนินโครงการในภาพรวมดังกล่าวข้างต้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ รวมถึงการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว อันจะนำไปสู่เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาบูรณาการการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับโครงการที่ส่งเสริมให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหรือดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรรูปแบบอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากกว่าการปลูกข้าว และควรเชื่อมโยงข้อมูลการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลังด้วย เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังกำกับดูแลโครงการสินเชื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างเคร่งครัดและไม่ก่อให้เกิดภาระทางด้านงบประมาณที่เพิ่มเติมจากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ๔. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามและตรวจสอบการดำเนินการตามมาตรการฯ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เป็นไปด้วยความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1004 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 ณ ท่าเทียบเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1005 | โครงการ "ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม" | ทส | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และงดใช้โฟมบรรจุอาหาร โดยการดำเนินกิจกรรมร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ กิจกรรม : มาตรการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ (๑) มอบหมายทุกหน่วยงานภาครัฐร่วมมือในการดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ (๒) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดให้ “ผลการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย” เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ และ (๓) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมิน ๑.๒.๒ กิจกรรม : รณรงค์ ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” ไปพิจารณาความเหมาะสมเพื่อกำหนดเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเติมในการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปีของหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐด้วย เพื่อส่งเสริมให้การขับเคลื่อนโครงการฯ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลดการใช้วัสดุที่ผลิตขึ้นจากพลาสติก เช่น การใช้ถุงพลาสติกใส่สินค้าเท่าที่จำเป็นและกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้านำถุงผ้ามาใส่สินค้าเอง การให้ส่วนลดราคาสินค้า หรือมาตรการอื่น ๆ กรณีที่ลูกค้าไม่ใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางกำหนดมาตรการทางการเงินหรือการคลังในการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือประชาชนที่สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกที่จะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น การให้สิทธิพิเศษเพื่อลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1006 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และบี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 3 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๓ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1007 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการลงทุนก่อสร้างบริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1008 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และบี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1009 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2561 (ครั้งที่ 24) | พณ | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๑ (ครั้งที่ ๒๔) และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับฮ่องกง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๒๔ รัฐมนตรีการค้าเอเปคได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และพิจารณาแนวทางการดำเนินการของเอเปค ภายใต้แนวคิดหลัก คือ “การสร้างโอกาสอย่างทั่วถึงเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล” ใน ๔ หัวข้อหลัก ได้แก่ (๑) การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี (๒) การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงผ่านประเด็นดิจิทัล (๓) การส่งเสริมความเชื่อมโยงและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคในเชิงลึก และ (๔) วิสัยทัศน์สู่เอเปคภายหลังปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี โดยยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าภายใต้ WTO และแก้ไขปัญหาทางการค้าโดยการหารือร่วมกัน และเห็นว่า เขตเศรษฐกิจควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการในประเด็นที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง โดยเห็นว่าเอเปคควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงในพื้นที่ห่างไกล การส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง และการสนับสนุนให้ MSMEs ใช้ช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดโลกในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และรักษาการเป็นส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าโลก ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือทวิภาคีอย่างไม่เป็นทางการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง เพื่อหารือในประเด็นการค้าระหว่างกัน โดยฮ่องกงขอให้ช่วยสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (HKETO) ประจำประเทศไทย ซึ่งไทยแจ้งว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ และหวังว่าฮ่องกงจะส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมทั้งได้ขอบคุณฮ่องกงที่เป็นผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิรายสำคัญของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1010 | การบริจาคเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนให้แก่โครงการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (United Nations International Drug Control-UNDCP) สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime-UNODC) และสำนักเลขาธิการอาเซียน | ยธ | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ปรับลดงบประมาณสนับสนุนเงินอุดหนุนให้แก่กองทุนแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดระหว่างอาเซียนและจีน (ASEAN and China Cooperative Operations in Response to Dangerous Drugs : ACCORD) สำนักเลขาธิการอาเซียน จากเดิมจำนวน ๓๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นจำนวน ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ บริจาคเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนโครงการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (United Nations International Drug Control : UNDCP) โดยเป็นการสนับสนุนแผนงานย่อยการสนับสนุนงานเลขานุการและความร่วมมือในลักษณะความเป็นหุ้นส่วนภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง จากเดิมจำนวน ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นจำนวน ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๓ อนุมัติบริจาคเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนโครงการ Global SMART Programme ซึ่งเป็นโครงการภายใต้สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) จำนวนปีละ ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการก่อหนี้ผูกพันและการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินโครงการควรต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์การใช้สารที่ออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับสารอันตรายและสารกระตุ้นประสาทชนิดใหม่ ๆ ด้วย รวมทั้งควรมีการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1011 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมและอยู่ในความสนใจร่วมกัน เช่น การปรับปรุงเครื่องยนต์สำหรับการผลิตยุทโธปกรณ์และยานรบ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการจัดทำความร่วมมือดังกล่าวให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินโครงการอาหารกลางวัน โดยส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรชุมชนเพื่อนำผลผลิตมาบริโภคเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนเสริมจากงบประมาณที่รัฐได้จัดสรรให้ด้วย นั้น จากการเดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดระยอง พบว่า โรงเรียนวัดเกาะได้มีการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนทำการเกษตรแบบผสมผสานและนำผลผลิตมาประกอบเป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียนและส่งจำหน่ายด้วย ทำให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการ โดยสามารถจัดหาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารกลางวันเพิ่มเติมจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้อย่างเหมาะสม จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของโรงเรียนดังกล่าวไปเป็นต้นแบบขยายผลให้โรงเรียน/สถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในสังกัดนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เร่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตรในลักษณะต่าง ๆ เช่น เกษตรแบบผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ Smart Farmer เป็นต้น ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์ สถานที่สำคัญ เกร็ดความรู้ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละจังหวัดผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่ทำเป็นเอกสารและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แล้วให้นำไปเผยแพร่ในแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เช่น โรงเรียน/สถาบันการศึกษา วัด ห้องสมุดประชาชน เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้และปลูกฝังให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้มีการจัดตั้งห้องสมุดประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลความรู้สำหรับชุมชนต่อไปด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้สอดคล้องกับแนวทางประชารัฐ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยทั้งระบบให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็ว และให้เร่งจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจรในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกำจัดขยะมูลฝอย (Cluster) ทั่วประเทศ (จำนวน ๓๒๔ กลุ่ม) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน โดยให้พิจารณาขนาดและที่ตั้งให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม เป็นต้น รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์เรือนักท่องเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ตต่อนายกรัฐมนตรี โดยให้บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) เป็นประจำทุกวัน เช่น จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวนผู้เสียชีวิต การพิสูจน์สัญชาติ การดูแลให้ความช่วยเหลือเยียวยา สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุ เป็นต้น ๓.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่/สถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั่วประเทศ เช่น ถ้ำ น้ำตก เป็นต้น ให้ครบถ้วน และเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความปลอดภัย โดยให้กำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและเผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการพัฒนาคูคลองเพิ่มเติมในทุกจังหวัดอย่างน้อย ๑ คลอง ๑ จังหวัด ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว/พักผ่อนที่สะดวกและสะอาด ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญ เร่งรัด ขับเคลื่อน และติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ให้มีความคืบหน้าและเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในปี ๒๕๖๑ เช่น (๑) การดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญ เช่น การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปตำรวจ เป็นต้น (๒) การปฏิรูประบบราชการที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง ปรับย้าย สิทธิประโยชน์ อัตรากำลัง ตลอดจนการจ้างงานในลักษณะชั่วคราว (Ad-hoc) (๓) การบริหารจัดการภัยพิบัติที่ต้องบูรณาการร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการกลางเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้วย (๔) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะสั้น (๑-๒ ปี) การจัดที่ดินทำกิน การเพาะปลูกพืช โดยต้องมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ด้วย (๕) การบริหารจัดการขยะทั่วประเทศ (๖) การติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นโครงการมาจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของคณะรัฐมนตรี และโครงการที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก (๗) การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการระดับท้องถิ่น รวมทั้งการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ของท้องถิ่นที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนท้องถิ่นที่จะสามารถดำเนินการได้เองตามความเหมาะสมและที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนกลางในการดำเนินการ (๘) การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพให้รองรับและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น ด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น (๙) การเตรียมการเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยพิจารณากำหนดแนวทางการจัดให้มีอาชีพเสริมให้แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้มีรายได้ในการดำรงชีวิตที่ดีได้ (๑๐) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่าง ๆ เช่น วิสาหกิจตั้งต้น (Start up) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งในเรื่องเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยี (๑๑) การกำกับดูแลหน่วยงาน/องค์กรที่กำกับดูแลระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมขนส่งไม่ให้เกิดข้อติดขัด เช่น การเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) เป็นต้น และ (๑๒) การแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรให้มีความเข้มแข็งสามารถเป็นศูนย์รวมสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1012 | โครงการทุนศึกษาต่อในประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 4 (ปี 2561-2565) | กษ | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการทุนศึกษาต่อในประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ ๔ (ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๕๐ ทุน แบ่งเป็นทุนระดับปริญญาโท จำนวน ๒๕ ทุน และทุนระดับปริญญาเอก จำนวน ๒๕ ทุน งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น ๖๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายเพื่อการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ภายใต้แผนงานพื้นฐานด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลผลิตอำนวยการและบริหารจัดการด้านการเกษตร งบเงินอุดหนุน รายการค่าใช้จ่ายทุนการศึกษาของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓,๓๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การส่งเสริมให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้ทำวิจัยอย่างจริงจังหลังจากสำเร็จการศึกษา การแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดสรรทุนกับแหล่งทุนอื่น ๆ การประเมินผลในเรื่องการนำความรู้หรือผลงานทางวิชาการไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานจริงที่เป็นรูปธรรม และการต่อยอดเพื่อพัฒนาสู่การเป็นนักวิจัยที่พร้อมปฏิบัติงาน รองรับกิจกรรมวิจัยและนวัตกรรมของภาคการผลิต บริการ สังคม ชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนอัตรากำลังคนภาครัฐและแผนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐภาพรวมในระยะยาว (การจัดสรรทุนรัฐบาลให้กับหน่วยงานต่าง ๆ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยแผนดังกล่าวต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งให้พิจารณากำหนดกลไกและหลักเกณฑ์กลางที่เป็นมาตรฐานในการพิจารณาจัดสรรทุนรัฐบาลให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ โดยให้คำนึงถึงสาขาวิชาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาประเทศ และการทดแทนอัตรากำลังคนในสาขาที่ขาดแคลนของบุคลากรภาครัฐเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณากำหนดให้มีกลไกในการทบทวนแผนอัตรากำลังคนภาครัฐฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมในการพัฒนาประเทศที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ๓. ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่มีความประสงค์จะขอรับการจัดสรรทุนการศึกษาจากรัฐบาลจัดส่งเรื่องพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดสัดส่วนของสาขาวิชาเพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนและความต้องการในการเตรียมและพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน การวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและแผนอัตรากำลังคนเพื่อทดแทนบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน เป็นต้น ให้กับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาก่อนดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1013 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลีและราชอาณาจักรสเปน | วธ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลีและราชอาณาจักรสเปน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ สาธารณรัฐอิตาลี ประกอบด้วย (๑) การเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ณ นครรัฐวาติกัน และได้นำคัมภีร์พระมาลัยอักษรขอม (บาลี-ไทย) ถวายแด่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส (๒) การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมไทยและพิพิธภัณฑ์วาติกัน โดยทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และอนุรักษ์โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในอนาคตเพื่อให้เป็นแหล่งความรู้ทางวัฒนธรรม และ (๓) การหารือกับผู้แทนหน่วยงานทางด้านวัฒนธรรม ได้แก่ นายกเทศมนตรีเมือง Sermoneta และผู้แทนจากฝ่ายโบราณคดี เทศบาลกรุงโรม โดยได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการนำองค์ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะสถาปัตยกรรม การออกแบบผังเมือง และการออกแบบภูมิทัศน์มาใช้ในการบริหารจัดการแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม ๒. ภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ ราชอาณาจักรสเปน ประกอบด้วย (๑) การเป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงโขนและนิทรรศการโขน ณ โรงละคร Circulo de Bellas Artes ซึ่งได้กล่าวเปิดงานโดยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงการต่างประเทศในการดำเนินโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ เส้นทางประเทศในภูมิภาคยุโรปภายใต้รูปแบบ roadshow และ (๒) การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดทำข้อตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรสเปนกับผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม และการกีฬาสเปน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นควรให้มีการจัดทำข้อตกลงทางวัฒนธรรมในหัวข้อที่ต้องการแลกเปลี่ยนระหว่างกันเพิ่มเติม เพื่อขยายและเพิ่มพูนความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1014 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน) | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว เป็นการจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ รวมถึงส่งเสริมให้มีมาตรการการร่วมลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะมีผลเป็นการยุบเลิกกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น การพิจารณาให้ความเห็นชอบให้แหล่งเงินของกองทุนดังกล่าวไม่ต้องนำส่งคลังตามนัยมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น เพื่อนำไปประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำร่างพระราชบัญญัติที่ตรวจพิจารณาแล้วเสร็จเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1015 | โครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคาร SAT-1 และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด | พน | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (District Cooling System and Power Plant Company Limited : DCAP) ดำเนินโครงการเพื่อรองรับปริมาณความต้องการไฟฟ้าและน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ประกอบด้วย (๑) การดำเนินโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ ๑ (Satellite Airport Terminal-1 : SAT-1) และ (๒) การดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (Gas Insulated Switchgear : GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ในวงเงินลงทุนรวม ๙๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน โดย DCAP รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้ DCAP ประสานงานกับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินงานก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสอดคล้องกับการดำเนินการโครงการของ ทอท. และเห็นควรให้ DCAP ดำเนินการก่อสร้างโดยมิให้กระทบกับการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ เห็นควรให้ DCAP ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้จากแหล่งอื่น และเพื่อพัฒนาแผนงานธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและ ทอท. เร่งดำเนินการโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ ๒ เพื่อให้สามารถเริ่มให้บริการได้ตามที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแนวทางการพัฒนาระบบท่าอากาศยานของประเทศในภาพรวม และเร่งพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารเกินขีดความสามารถในการรองรับและท่าอากาศยานที่มีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย DCAP ปรับปรุงแผนการเบิกถอนเงินกู้ของโครงการก่อสร้างโรงผลิตน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ ๑ (SAT-1) และโครงการก่อสร้างสายส่ง 115 kV ไปยังสวิตซ์เกียร์ (GIS) ของสถานีไฟฟ้าย่อย DCAP 2 เพื่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับโรงผลิตน้ำเย็น โดยการซื้อไฟฟ้ามาใช้เอง ให้สอดคล้องตามข้อเท็จจริง รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำเย็นได้ทันตามความต้องการใช้น้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศของอาคาร SAT-1 ตามแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม และ ทอท. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1016 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Finance Ministers’ Meeting : ASEM FinMM) ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงโซเฟีย สาธารณรัฐบัลแกเรีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม ASEM FinMM ครั้งที่ ๑๓ มีผลการหารือใน ๓ ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การเตรียมการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ที่ประชุมได้สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรปในการดำเนินนโยบายภาคการเงิน การคลัง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้าง พร้อมทั้งมาตรการดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคและสถาบันการเงิน (๒) การรับมือกับความท้าทายด้านภาษีระหว่างประเทศ โดยผู้แทนจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) ได้สนับสนุนให้สมาชิก ASEM เข้าร่วมภายใต้กรอบความร่วมมือ (Inclusive Framework) ของ OECD เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพของความร่วมมือระหว่างประเทศในการขจัดภาระภาษีซ้ำซ้อน และ (๓) การรับมือกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ในระบบการเงินโดยเฉพาะการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ที่ประชุมมุ่งเน้นสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการสร้างความไว้วางใจ เพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ของการประชุม ASEM FinMM ครั้งที่ ๑๓ ๒. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การประชุมหารือทวิภาคีกับรองผู้อำนวยการอันดับที่หนึ่งของ IMF ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความเห็นและมุมมองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย และ (๒) การประชุมหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยฝ่ายฟินแลนด์แสดงความสนใจต่อการดำเนินโครงการ National E-Payment ของไทย และเชิญชวนให้ไทยศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลและระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่ประสบความสำเร็จของฟินแลนด์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1017 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการบริหารสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก | อื่นๆ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓๘๕,๒๔๔,๙๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ตามที่ สกพอ. เสนอ และให้ สกพอ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ และบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ สกพอ. เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและพื้นที่โดยรอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน เกี่ยวกับการดำเนินงานของ สกพอ. และการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้ สกพอ. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1018 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ติดตามการดำเนินโครงการติดตั้งเครื่องตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จและใช้ปฏิบัติงานได้โดยเร็ว เพื่อให้การตรวจสอบบุคคลที่ผ่านเข้า-ออกประเทศไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒. ด้านสังคม ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น โดยให้ข่าวสารทั้งในด้านสถานการณ์ ภาวะการระบาดของโรค และความรู้เกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรค รวมทั้งเฝ้าระวังและกำจัดพาหะนำโรคด้วย นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ให้แก่นักเรียนให้ทั่วถึงอีกทางหนึ่งเพื่อสื่อสารไปยังผู้ปกครองและครอบครัวของนักเรียนต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาใช้ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่มีความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินการด้วย เช่น ใช้ระบบ QR code เป็นต้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เร่งรัดและติดตามการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาการนำเข้าขยะที่เป็นพิษและก่อให้เกิดมลภาวาะภายในประเทศสูง เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขยะปนเปื้อนกัมมันตรังสี เป็นต้น และให้พิจารณากำหนดมาตรการควบคุม ดูแล ตรวจสอบการนำเข้าขยะเหล่านี้ รวมทั้งการขนส่งขยะดังกล่าวไปยังโรงงานกำจัดขยะ และการกำจัดขยะให้ถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น พิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ เช่น คลองที่เชื่อมโยงกับสถานที่สำคัญหรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม เช่น ตลาดน้ำ เป็นต้น และให้เร่งรัดการพัฒนาคูคลองและพื้นที่บริเวณริมคลองดังกล่าวให้มีภูมิทัศน์ที่สะอาดและสวยงาม โดยการปลูกไม้ดอกและ/หรือไม้ประดับที่มีสีสันสวยงามตามสภาพพื้นที่ รวมทั้งให้มีการจัดกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นให้ยึดหลักการที่ให้ประชาชนและชุมชนในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการให้มากที่สุดด้วย ๓.๓ ให้ทุกส่วนราชการนำหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” มาเป็นแนวทางในการดำเนินการเผยแพร่องค์ความรู้และใช้เป็นแหล่งกระจายข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีความสำคัญ เช่น โครงการไทยนิยม ยั่งยืน กลไกประชารัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ การเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวให้มุ่งเน้นความถูกต้องและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับและติดตามการดำเนินงานของกรุงเทพมหานครในการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของการเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อให้สามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเชิงป้องกันและเยียวยาแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1019 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การประชุมคณะกรรมการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริของส่วนราชการในพระองค์ร่วมกับคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ เพื่อติดตามผลการดำเนินการจัดทำโครงสร้างและแนวทางการดำเนินการของโครงการจิตอาสาพระราชทาน (๒) จิตอาสาได้ปฏิบัติหน้าที่ในงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ระหว่างวันที่ ๘ กุมภาพันธ์-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า และ (๓) จัดกิจกรรม “จิตอาสาพาทัวร์” ในพื้นที่ปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง จำนวน ๘ จังหวัด เพื่อให้คนชรา คนพิการ และเด็กกำพร้าที่เป็นผู้ด้อยโอกาสได้มีโอกาสเข้าร่วมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ๒. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) จัดกิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง ประชามีสุข เพื่อพัฒนาคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา จังหวัดเชียงใหม่ (๒) จัดกิจกรรม Kick off โครงการขุดลอก ลำห้วย คูคลอง และปรับภูมิทัศน์รอบหนองหารถึงเกาะดอนสวรรค์ สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จังหวัดสกลนคร และ (๓) จัดกิจกรรมปรับภูมิทัศน์และขุดลอกวัชพืชบริเวณคลองส่งน้ำ คลองเจริญ เขตเทศบาลนครอุดรธานี เชื่อมต่อกับเขตเทศบาลหนองสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1020 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 | กค | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๔๕๔,๑๖๘.๘๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๕,๑๔๕,๐๒๘.๙๘ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๑๘,๘๙๘.๑๖ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๓๘๑,๐๔๖.๙๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๙,๑๙๔.๘๑ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ซึ่งได้มีการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๖๐,๑๔๗.๐๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๕๐,๑๒๑.๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๖๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจพบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน
|
.....