ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 58 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1141 - 1160 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1141 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | พม | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับชื่อยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมจากเดิม “ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙)” เป็น “แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙)” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ซึ่งมุ่งเน้นให้คนไทยทุกคนเข้าถึงสิทธิในที่อยู่อาศัย มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ โดยใช้เป็นกรอบในการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมในทุกมิติ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน (๒) การเสริมสร้างระบบการเงินและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (๓) การยกระดับการบูรณาการด้านบริหารจัดการที่อยู่อาศัย (๔) การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน และ (๕) การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนแม่บทฯ ไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป โดยให้ยึดหลักการการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการและให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินโครงการแต่ละโครงการควรคำนึงถึงความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต และพิจารณาอาคารที่ได้ก่อสร้างไว้แล้วแต่มีผู้เข้าพักอาศัยไม่เต็มโครงการด้วย การกำหนดแผนงาน โครงการ แหล่งเงินในการดำเนินโครงการให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายตามความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อม และศักยภาพในการดำเนินงานของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย การถ่ายทอดระดับจากยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ ๒๐ ปี สู่การจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา ๕ ปี โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีตัวชี้วัดที่สามารถติดตามประเมินผลได้ และมีการจัดลำดับความสำคัญของแผนงานโครงการที่ตอบสนองตามเป้าหมายและจุดเน้นในแต่ละช่วงเวลา โดยพิจารณาดำเนินการทบทวนข้อมูลจำนวนผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยทุก ๕ ปี และศึกษาแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับประเทศและจำแนกตามภูมิภาคให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมเป็นไปได้และเตรียมแผนงานรองรับด้วยการจัดให้มีการศึกษาข้อกฎหมายต่าง ๆ และวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติสำหรับแนวทางตามยุทธศาสตร์ที่เสนอให้นำพื้นที่ตาบอดออกสู่ตลาดที่ดิน และการจัดตั้งกองทุนที่อยู่อาศัย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ในการดำเนินการตามโครงการภายใต้แผนแม่บทฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความพร้อมและความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางการคมนาคม รวมทั้งพิจารณาความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงและทั่วถึง โดยอาจพิจารณาให้ภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาจัดทำแผนการหารายได้จากอาคารเช่าที่ยังว่างอยู่ด้วย ๕. ในการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการตามแผนแม่บทฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนฯ เป็นลำดับแรก เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในด้านที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง ๖. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในการดำเนินการตามประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย การจัดตั้งกองทุนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การหักรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาสนับสนุนกองทุนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การจัดตั้งองค์กรระดับกระทรวงเพื่อดูแลรับผิดชอบด้านที่อยู่อาศัยเป็นการเฉพาะ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานตามภารกิจหน้าที่และงบประมาณของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของร่างกฎหมายวินัยการเงินการคลังด้วย ๗. เมื่อมียุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) อีกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1142 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก | พน | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุกตามแผนยุทธศาสตร์พลังงานในการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดสัดส่วนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ และมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนในภาพรวมของประเทศให้ได้ร้อยละ ๒๐ ของปริมาณความต้องการพลังงานไฟฟ้ารวมสุทธิภายในปี ๒๕๗๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การลงทุนก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าควรคำนึงถึงมาตรฐานระบบไฟฟ้าของประเทศ ความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในภาพรวม ควบคู่กับการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน ส่วนการคัดเลือกผู้รับเหมาดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ควรครอบคลุมในทุกมิติ และให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมชลประทาน กฟผ. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคร่วมกันศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำ รวมทั้งให้กรมป่าไม้ กรมชลประทาน กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ต้นน้ำ นอกจากนี้ กฟผ. ควรพิจารณาทบทวนปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกและกระบวนการตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับเหมาของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทานในอนาคตให้มีความรอบคอบ รัดกุม ตลอดจนพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการดำเนินกิจกรรมของประชาชน การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในทุกมิติ และปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณลงทุนให้บรรลุตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รวมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารูปแบบการเชื่อมต่อระหว่างสถานีไฟฟ้าและสายส่งของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานเขื่อนผาจุก เพื่อให้ได้รูปแบบที่เหมาะสมที่สุด โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ต่อระบบไฟฟ้าของประเทศในภาพรวมและความคุ้มค่าในการลงทุนเป็นลำดับแรก ๔. ให้ กฟผ. เร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจง และสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนและชุมชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก เช่น ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการและมาตรการบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เพื่อให้เกิดการยอมรับและให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้ กฟผ. ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ด้วย ๕. ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าในภาพรวม โดยจำแนกตามแหล่งพลังงานที่ใช้ถึงต้นทุนการผลิต ประสิทธิภาพ และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของแหล่งพลังงานประเภทต่าง ๆ รวมถึงผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในอนาคต เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1143 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น [ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสำรองสำหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)] | กค | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมบัญชีกลางเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๘,๔๔๕,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสำรองสำหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1144 | มาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ | สธ | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และผลการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุจริตฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะเชิงระบบ เช่น ผลักดันให้มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use หรือ ROU) จัดให้มีศูนย์ประมวลข้อมูลสารสนเทศด้านสุขภาพและยาที่เชื่อมโยงข้อมูลการใช้ยากับสถานพยาบาลทุกสังกัดเพื่อตรวจสอบการใช้ยาอย่างเหมาะสม และเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางเพื่อตรวจสอบการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการได้ และกำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อยา รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงภารกิจ เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ผลักดันให้มีการปฏิบัติตามเกณฑ์จริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการขายยา และการสร้างมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมของภาคเอกชนเพื่อป้องกันการส่งเสริมการขายยาที่ไม่เหมาะสม ๑.๒ กระทรวงสาธารณสุขได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นชอบตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมีข้อสังเกตในบางประเด็น เช่น กรณีที่ให้มีศูนย์ประมวลข้อมูลสารสนเทศฯ เพื่อตรวจสอบการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการนั้น กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถรับรู้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ในทันทีซึ่งจะป้องกันผู้ใช้สิทธิทุจริตโดยการเวียนรับยาซ้ำตามโรงพยาบาลต่าง ๆ (ช็อปปิ้งยา) ได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการเพื่อป้องกันการทุจริตการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ใช้สิทธิข้าราชการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถเริ่มใช้งานได้ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1145 | การพัฒนาโรงงานต้นแบบและการพัฒนาเซลล์กักเก็บไฟฟ้าโดยใช้ถ่านชีวภาพและวัสดุชั้นสูง (Super Capacitor) แทนโครงการ FCV | นร | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) เสนอผลการหารือเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการพัฒนารถยนต์ต้นแบบที่ใช้พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Cell Vehicle : FCV) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พบว่า การพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต FCV เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีอุปกรณ์เก็บไฮโดรเจนในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่ใช่เทคโนโลยีหลักของ FCV จึงไม่เหมาะสมกับการผลักดันให้มีการพัฒนา FCV ต้นแบบขึ้นในระยะเวลานี้ อย่างไรก็ตาม มีโครงการที่น่าสนใจซี่งเกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน คือ การพัฒนาเซลล์กักเก็บไฟฟ้าโดยใช้ถ่านชีวภาพและวัสดุชั้นสูง (Super Capacitor) ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาระบบกักเก็บไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ โดยโครงการนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนการวิจัยจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ในการพัฒนาโรงงานต้นแบบที่ผลิตเซลล์กักเก็บพลังงานใช้สำหรับบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งโครงการมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการพลังงาน และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และทิศทางของกระทรวงพลังงาน ดังนั้น จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโรงงานต้นแบบและการพัฒนาเซลล์กักเก็บไฟฟ้าโดยใช้ถ่านชีวภาพและวัสดุชั้นสูง (Super Capacitor) แทนการดำเนินโครงการ FCV เนื่องจากมีความเป็นไปได้ในการดำเนินการ และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1146 | ขอความเห็นชอบขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงิน งบอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด | พม | 05/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๐๔,๗๐๕,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ให้แก่ผู้มีสิทธิ์ที่ต้องได้รับเงินต่อเนื่องและเด็กที่คาดว่าจะคลอดภายในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการบูรณาการการจ่ายเงินอุดหนุนตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลัง เพื่อให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลในภาพรวมมีความเป็นระบบและมีเอกภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1147 | สรุปผลการเดินทางเยือนรัฐอิสราเอลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 05/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางเยือนรัฐอิสราเอลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งผลการเยือนรัฐอิสราเอลในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทแห่งรัฐอิสราเอล และได้หารือทวิภาคีร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบใน ๓ ประเด็น คือ (๑) ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการเกษตรและประชุมหารือโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรที่ทั้งสองฝ่ายสนใจภายใต้ความตกลงดังกล่าว เช่น ด้านการเกษตร และการชลประทาน เป็นต้น (๒) อิสราเอลขอให้ไทยจัดส่งข้อเสนอโครงการ (Proposal) ที่ไทยสนใจในเรื่องการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรในระดับไร่นา และการเป็นพี่เลี้ยงให้กับบุคลากรฝ่ายไทยในการดำเนินโครงการสนับสนุนเทคโนโลยีด้านระบบชลประทาน และ (๓) การอำนวยความสะดวกการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกันมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตร ระบบชลประทาน และการบริหารจัดการน้ำกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของอิสราเอล รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านระบบสหกรณ์การเกษตรของอิสราเอล ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1148 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน | ทส | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน โดยเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ได้มีการเปิดโครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน มีจังหวัดดำเนินโครงการ จำนวน ๖๖ จังหวัด ซึ่งได้ปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้น ๓๒๖,๖๘๕ ต้น ในเนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๑,๖๕๒ ไร่ ในส่วนของกรุงเทพมหานครได้จัดกิจกรรมโครงการฯ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยปลูกต้นไม้ยืนต้น ได้แก่ รวงผึ้ง เสลา และทองอุไร จำนวน ๑,๑๕๘ ต้น บริเวณถนนตัดใหม่ เริ่มจากแยกจรัญสนิทวงศ์-ถนนกาญจนาภิเษก รวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น ๗ กิโลเมตร สำหรับจังหวัดอื่น ๆ จำนวน ๑๐ จังหวัด อยู่ระหว่างการเตรียมการดำเนินโครงการ ฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1149 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2559 ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย | ส.ส.ท | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๕๙ ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุม (๑) ผลงานเด่นขององค์การในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย ปี ๒๕๕๙ (๓) การดำเนินการด้านต่าง ๆ ในปี ๒๕๕๙ (๔) รายงานผลการดำเนินงานของสื่อสาธารณะ และ (๕) ทิศทางของสื่อสาธารณะ ปี ๒๕๖๐ ตามที่ ส.ส.ท. เสนอ ๒. ให้ ส.ส.ท. ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การสร้างความร่วมมือและความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการของรัฐที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในภาพรวมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1150 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และรัฐบาลไทย ว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในฐานะศูนย์ประเภทที่ 2 ภายใต้ยูเนสโก | วท | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และรัฐบาลไทย ว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในฐานะศูนย์ประเภทที่ ๒ ภายใต้ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในระดับนานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินการฝึกอบรมให้แก่นักวิจัยรุ่นใหม่ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการจัดการศึกษาและวิจัยทางด้านดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางดาราศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัยและวิชาการทางดาราศาสตร์ โดยจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในโอกาสการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ในวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโกที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๑๗,๗๕๘,๒๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1151 | ข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการสำคัญตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๑ โครงการ ภายในวงเงินรวม ๒,๒๒๕.๔๒ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๗๓๗.๓๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการด้านการพัฒนาการเกษตร ๘ โครงการ วงเงิน ๔๘๘.๑๒ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ เร่งรัดการขอรับจัดสรรงบประมาณกับสำนักงบประมาณและเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันในโอกาสแรก แล้วจึงขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างโปร่งใส คุ้มค่า รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เนื่องจากเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงเห็นควรให้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าวต่อไป และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามแผนงาน/โครงการของหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้อนุมัติไปแล้ว นอกจากนี้ บางโครงการยังขาดรายละเอียดของตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมาย โครงการ และแนวทางการติดตามประเมินผลโครงการ จึงควรปรับปรุงตัวชี้วัดให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการให้ชัดเจน ปรับปรุงบางโครงการให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น และมีการติดตามประเมินผลโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1152 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหินของจังหวัดสมุทรสงคราม | มท | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้จังหวัดสมุทรสงครามใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหิน เนื้อที่ ๒,๖๒๓ ไร่ ๒ งาน ๒๓.๒ ตารางวา ตั้งอยู่ที่บ้านต้นลำแพน ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอเรื่องการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามขั้นตอนต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนการดำเนินโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ และภายหลังดำเนินโครงการแล้วเสร็จ รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้พื้นที่ป่าชายเลนดังกล่าว รวมถึงประโยชน์โดยรวมสูงสุดที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ป่าชายเลนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อนำมาคำนวณพื้นที่ปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการขอตั้งงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณานำหลัก Strategic Environmental Assessment (SEA) มาใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1153 | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน ระยะที่ 2 | ทส | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน ระยะที่ ๒ (Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector of the ASEAN Region Phase II) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสภาพต่าง ๆ สำหรับการดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดการปล่อยมลพิษที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับชาติ ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยเฉพาะในข้อกำหนดที่เกี่ยวกับความพยายามของอาเซียนในการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนต้องรับมาดำเนินการให้เป็นไปได้ภายใต้กฎหมาย กฎ และระเบียบของประเทศไทยต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ ๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1154 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญา 2.2 ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญา ๒.๒ ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โดยให้ปรับกรอบวงเงินสัญญา ๒.๒ ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง จากเดิมจำนวน ๑,๖๔๙.๐๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๓,๕๐๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยวิธีการปรับเกลี่ยจากค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อวงเงินรวมของโครงการฯ จำนวน ๑๗๙,๔๑๒.๒๑ ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ การดำเนินการตามร่างสัญญาดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูง และเป็นโครงการความร่วมมือในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล จึงควรใช้ความละเอียดรอบคอบในระดับที่สูงที่สุดในการดำเนินการในทุกขั้นตอนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นให้ประชาชนทั่วไปรับทราบและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส เหมาะสม และคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับและบริหารการดำเนินโครงการฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้กรอบวงเงินรวมของโครงการอยู่ภายใต้กรอบวงเงินรวมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดตั้งองค์กรพิเศษและเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ๕. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1155 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับให้สถาบันอาชีวศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพและช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่ผู้ที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างเครือข่ายและต่อยอดการพัฒนาฝีมือในอนาคตต่อไปด้วย ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลิตแรงงานในสาขาที่ต่างประเทศมีความต้องการ เช่น แม่ครัว คนเลี้ยงเด็ก คนดูแลคนชรา นั้น ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการผลิตแรงงานมีฝีมือกลุ่มดังกล่าวเพื่อให้มีโอกาสไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะพ่อครัว แม่ครัว หรือลูกจ้างร้านอาหารไทยในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศสามารถประกอบอาหารที่มีคุณภาพและรสชาติที่มีความเป็นไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้รวมถึงอาชีพการนวดแผนไทยด้วย โดยประสานงานกับกลุ่มองค์กรไม่แสวงหากำไร (NGO) ที่เกี่ยวข้องมาร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๑.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เห็นชอบในหลักการแนวทางดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการดังกล่าวบรรลุผลและได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดีแล้ว นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาขยายผลการดำเนินการโครงการในระยะต่อไปโดยให้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่โครงการตลอดจนแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ รวมทั้งความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศในประเด็นต่าง ๆ เช่น รูปแบบการปฏิบัติงาน หน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อให้การขับเคลื่อนงานตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้มาเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการระบายน้ำที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม (๒) การผันน้ำระหว่างแม่น้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น การผันน้ำจากเขื่อนป่าสักไปยังอ่างเก็บน้ำลำตะคองซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อับฝน (๓) การสร้างหรือขยายเส้นทางระบายน้ำ เช่น โครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (จังหวัดชลบุรีและเมืองพัทยา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังนี้ ๔.๑ เร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงถนนสายหลักที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหรือระบายน้ำไม่ทันภายในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและพัทยาเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในขณะฝนตก รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาวางแผนการระบายน้ำที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ต่อไป ๔.๒ พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการสร้างถนนเลียบชายทะเลเพิ่มเติมให้เชื่อมต่อกับถนนเลียบชายทะเลที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นเส้นทางคมนาคมสายรองสำหรับการสัญจรของประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความแออัดของการจราจรบนถนนสายหลัก ๕. ตามที่ส่วนราชการได้มีการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับใช้ในการแถลงผลงานประจำปีของรัฐบาลนั้น ขอให้ส่วนราชการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้พร้อมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หากมีกำหนดการที่ชัดเจนและเหมาะสมแล้ว สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะได้ประสานแจ้งส่วนราชการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1156 | ขออนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ประชานิเวศน์ 3) | พม | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ประชานิเวศน์ ๓) จำนวน ๕๕๖ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๔๖๔.๔๐ ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๔๑๓.๘๒ ล้านบาท เงินรายได้ จำนวน ๕๐.๕๙ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาและเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๑๓.๘๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินโครงการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือกำหนดให้นิติบุคคลชุมชน กคช. จัดให้มีระบบขนส่งเพื่อขนส่งผู้อยู่อาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด และจัดเตรียมแผนการบริหารจัดการชุมชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาพลักษณ์ตราสินค้าของ กคช. ในการพัฒนาที่พักอาศัยลักษณะผสมผสานกลุ่มรายได้ในอนาคต รวมทั้งควรควบคุมการขายโครงการฯ และการโอนลูกหนี้ในระยะที่กำหนด รวมถึงควบคุมค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ อย่างรัดกุมเพื่อให้มีความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการคัดกรองลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ควรพิจารณาแนวทางการบริหารความเสี่ยงในกรณีไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และกำหนดเงื่อนไขการป้องกันการเก็งกำไรเพื่อให้โครงการฯ บรรลุเป้าหมายในการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยในการมีที่อยู่อาศัยใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในการดำเนินโครงการฯ ให้ กคช. คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบของที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม รวมทั้งความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานด้วย ๒.๒ ให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การซื้อ การบริหารโครงการ และการทำสัญญาซื้อขายให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างแท้จริงและป้องกันการนำกรรมสิทธิ์ไปขายต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ ๒.๓ ให้พิจารณาจัดสรรกำไรจากการดำเนินโครงการฯ อย่างน้อยร้อยละ ๓๐ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในโครงการอื่น ๆ ของ กคช. เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถมีที่อยู่อาศัยในเขตเมืองได้ในลักษณะเช่าหรือเช่าซื้อ และเพื่อเชื่อมโยงกับการดำเนินนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1157 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเมืองเพีย อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเมืองเพีย อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินและการนำที่สาธารณะไปจัดรูปที่ดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงและวางแผนการดำเนินงานในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1158 | การประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 | มท | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจัดทำบันทึกการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ ซึ่งกำหนดประเด็นการติดตามการดำเนินความร่วมมือ จำนวน ๑๕ ประเด็น โดยไม่กล่าวถึงประเด็นอ่อนไหวที่มีผลต่อความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่รัฐบาลทั้งสองยังมิได้เคยทำความตกลงกันไว้ รวมทั้งไม่มีการจัดทำความตกลงใด ๆ ในการประชุม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ลงนามในบันทึกการประชุมฯ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ในส่วนของการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสตึงเมนัม/สตึงเมตึก นั้น เนื่องจากเรื่องนี้ยังมีความจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการใช้น้ำ การขายและรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน จึงมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการตามขั้นตอนและข้อกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการข้อมูลในภาพรวมทั้งหมดเพื่อใช้ในการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการปรับแก้ไขถ้อยคำและเพิ่มข้อความบางประการในร่างบันทึกการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1159 | การเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐ (ขออนุมัติโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา ของกรมทางหลวง) | กค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) โดยเอกชนเป็นผู้ออกแบบและลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่เอกชนลงทุนก่อสร้าง รวมถึงรายได้ทั้งหมดจากค่าธรรมเนียมผ่านทาง และให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) โครงการทั้งหมดทั้งในส่วนของงานโยธาที่รัฐเป็นผู้ลงทุนและงานส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ตลอดจนเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง โดยเอกชนได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด และมีระยะเวลาร่วมลงทุนไม่เกิน ๓๐ ปี นับแต่เปิดให้บริการ ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงรับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับค่าตอบแทนที่เอกชนจะได้รับเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด ต้องไม่เกินจำนวน ๓๓,๒๕๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M6 (O&M) และจำนวน ๒๗,๘๒๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M81 (O&M) รวมถึงกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนให้มีความเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของเอกชน และกรณีการปรับลดค่าตอบแทนหากเอกชนปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือข้อตกลง ๑.๒ มอบหมายให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ของโครงการ M6 (O&M) และโครงการ M81 (O&M) รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางถนนและทางรางเพื่อให้โครงการมีความคุ้มค่าในด้านการเงินและด้านเศรษฐศาสตร์ การพิจารณารายละเอียดค่าตอบแทนให้กับเอกชน การกำหนดเงื่อนไขในขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ของงานระบบการบำรุงรักษาและเกณฑ์คุณภาพของการดำเนินงานและบำรุงรักษาที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนต้องรับผิดชอบดำเนินการที่ชัดเจน การพิจารณาแนวทางการประเมินข้อเสนอของเอกชนเพื่อให้รัฐได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเทคนิคและด้านการเงิน การกำหนดเงื่อนไขให้ภาคเอกชนจัดทำรายงานทางการเงินเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำต้นทุนการลงทุนระบบ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง การกำหนดกลไกการปรับอัตราค่าผ่านทางเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของโครงการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การบริหารจัดการบัญชีเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางให้มีความเพียงพอต่อการจ่ายค่าตอบแทนให้กับเอกชนตามกำหนดเวลา และการปรับปรุงกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการให้รวดเร็วขึ้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะต่อไป ควรพิจารณารูปแบบการลงทุนที่ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนทั้งระบบ และในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการเงินจากภาครัฐบางส่วนเพื่อให้โครงการมีผลตอบแทนทางการเงินอยู่ในระดับที่เอกชนมีความสนใจเข้าร่วมลงทุน ให้พิจารณาภายใต้ความสามารถในการลงทุนของเงินกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณไปใช้ในการบำรุงรักษาโครงข่ายถนนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ให้พิจารณากำหนดราคาค่าเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ให้ถูกต้อง ตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและราคาตลาดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1160 | แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี 2560/61 | พณ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ดำเนินการต่อเนื่องและสอดคล้องกับปีการผลิตที่ผ่านมา จำนวน ๓ โครงการ เห็นควรชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา FDR+1 เท่ากับการดำเนินโครงการในปีการผลิตที่ผ่านมา กรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม ๑๘๐.๒๒๕ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ (๓) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลัง สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยส่วนต่างจากอัตราร้อยละ ๓ เห็นควรให้ ธ.ก.ส. รับภาระ และเนื่องจากการดำเนินโครงการในปีที่ผ่านมามีเกษตรกรและสถาบันการเกษตรสนใจเข้าร่วมโครงการน้อย ธ.ก.ส. จึงควรประมวลปัญหาอุปสรรคเพื่อนำมาปรับปรุงรายละเอียดการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่เกษตรกรจะได้รับเป็นลำดับแรก และเมื่อสิ้นสุดโครงการควรประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าเพื่อประโยชน์ในการจัดทำโครงการในปีต่อไป ๑.๒ แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๐/๖๑ จำนวน ๘ โครงการ ให้ดำเนินการในกรอบวงเงิน ๓๗๑.๔๓๔ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง (๒) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่า (๓) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กให้วิสาหกิจชุมชน (๔) โครงการสนับสนุนเครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกให้ด่านที่มีการนำเข้ามันสำปะหลัง (๕) โครงการกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน (๖) โครงการแปรรูปมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (๗) โครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (มันเส้นสะอาด) และ (๘) โครงการขยายโอกาสทางการค้าและพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดของค่าใช้จ่าย เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ควรคำนึงถึงต้นทุนเงินและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้าและคำนึงถึงศักยภาพของลูกค้า ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรนำระบบการพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มจำนวนผลผลิตต่อไร่และลดพื้นที่เพาะปลูก โดยในระยะแรกอาจพิจารณาจัดทำแปลงเพาะปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่เกษตรกร และให้ประสานงานกับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพและคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสามารถเข้าร่วมโครงการของ ธ.ก.ส. ได้อย่างทั่วถึง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในการดำเนินโครงการให้ทั่วถึงเพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ตลอดจนติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการที่กำหนดไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังในปีต่อไป และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....