ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 55 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1081 - 1100 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1081 | ขออนุมัติโครงการศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และงบประมาณสนับสนุน | อื่นๆ | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สภากาชาดไทยดำเนินโครงการศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกส่วนขยาย (อาคารศูนย์บูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข) ขนาดความสูง ๑๓ ชั้น ชั้นใต้ดิน ๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๔๐,๒๙๐ ตารางเมตร ระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ โดยอาคารดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มพื้นที่และเชื่อมโยงการให้บริการผู้ป่วยนอกกับอาคารผู้ป่วยนอกเดิม (อาคาร ภปร.) ที่ไม่สามารถรองรับการให้บริการประชาชนได้เพียงพอในปัจจุบัน สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว วงเงิน ๒,๔๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าควบคุมงาน จำนวน ๑๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๙๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๔๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในสัดส่วนเงินงบประมาณ : เงินนอกงบประมาณ เท่ากับ ๘๐ : ๒๐ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สภากาชาดไทยเตรียมการดำเนินการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้างศูนย์บูรณาการดังกล่าว เช่น ปัญหาการจราจร ความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้าง ปัญหาการอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้ป่วย เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1082 | โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมา | ยธ | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา ในห้วง ๕ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ซึ่งเกิดผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ ได้แก่ การพัฒนาด้านสาธารณสุข การพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงทางอาหาร ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ และการพัฒนาการศึกษาและศักยภาพของคนในพื้นที่ ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากงบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบ้าน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับโครงการฯ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๑) ในกรอบงบประมาณจำนวน ๖,๖๒๒,๒๐๐ บาท เพื่อนำไปดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองตี รัฐฉานตอนใต้ และพื้นที่ทางตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก จังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๑.๓ รับทราบการใช้งบประมาณเหลือจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงาน ป.ป.ส. โดยการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ภายใต้แผนงานบูรณาการการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบาน สำหรับโครงการฯ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๑) เป็นงบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศไทย กรอบวงเงินจำนวน ๒๓,๑๑๓,๘๐๐ บาท เพื่อนำไปดำเนินโครงการร้อยใจรักษ์ในพื้นที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา ในพื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองยี รัฐฉานตอนใต้ และพื้นที่ทางตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก จังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และโครงการร้อยใจรักษ์ในพื้นที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กรอบวงเงินจำนวน ๒๙,๗๓๖,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โครงการปราบปรามยาเสพติด รายการเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เหลือจ่ายจากการดำเนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายโครงการแล้ว โดยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๔๙ และขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า พื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการฯ ในเมียนมาส่วนใหญ่อยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มผู้ผลิตและค้ายาเสพติด จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานและส่งผลต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ฝ่ายไทยและเมียนมาจึงควรได้หารือเพื่อกำหนดมาตรการหรือแนวทางที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย และฝ่ายเมียนมาควรเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการฯ รวมถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1083 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 2/2560 | นร11 | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กนพ. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ลงทุนและการปรับปรุงเงื่อนไขเสนอการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย มอบหมายให้กรมธนารักษ์ปรับปรุงรายละเอียดการสรรหาและคัดเลือกผู้ลงทุน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ๑.๒ มาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย เป็นเวลา ๒ ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุนในปีที่ ๑ และยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๑ ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุนในปีที่ ๒ ของรอบปีที่สัญญาเช่า เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ภายในปี ๒๕๖๓ ๑.๓ การบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุที่ได้ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๗/๒๕๕๘ และที่ ๓๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (๑) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุกับที่ดินเอกชน เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการเช่าที่ดินราชพัสดุ ชดใช้เงินแทนการแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุ และเห็นชอบให้กรมศุลกากรใช้ที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ประมาณ ๑๒๐ ไร่ เพื่อก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ จังหวัดตาก และ (๒) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เห็นชอบให้กันที่ดินราชพัสดุ แปลงที่ ๑ บางส่วน เพื่อคงไว้ตามสภาพเดิม และมอบหมายให้กรมธนารักษ์ดำเนินการเปิดประมูลให้เอกชนเช่าต่อไป ๑.๔ การพิจารณาจัดซื้อที่ดินเอกชนเพื่อจัดตั้งโครงการนิยมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส โดยมอบหมายการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าในการลงทุน ทั้งด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ และมอบหมายคณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว ๑.๕ แผนงานด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนดจุดเน้นการพัฒนาของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน เพื่อนำไปใช้ประกอบการจัดทำแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่อไป ๑.๖ แนวทางการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กำหนดพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน พิจารณากำหนดมาตรการและสิทธิประโยชน์ เพื่อส่งเสริมการลงทุนตามจุดเน้นการพัฒนาในพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูงในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก สงขลา สระแก้ว และมุกดาหาร รวมทั้งการสนับสนุนการลงทุนของ SMEs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงเร่งรัดการดำเนินโครงการและมาตรการสำคัญใน ๑๐ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงบประมาณ เช่น การเตรียมความพร้อมตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงเร่งดำเนินการโครงการ/รายการต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนดำเนินการในกิจการที่พักอาศัยของแรงงานที่จะเข้าไปทำงานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และให้กระทรวงการคลังรายงานความก้าวหน้าในเรื่องนี้ให้ กนพ. ทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1084 | รายงานผลการติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60 | นร01 | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ๒๕๖๐ (ยกเว้นภาคใต้ดำเนินการตรวจสอบช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๖๐) ประกอบด้วย การประชาสัมพันธ์โครงการ การป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การยื่นขอสินเชื่อและการอนุมัติสินเชื่อของโครงการ การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและการปรับปรุงคุณภาพข้าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร). กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น การช่วยเหลือให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าร่วมโครงการได้เพิ่มขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการตรวจสอบคุณภาพข้าว และการเร่งรัดโอนเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกร รวมทั้งความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเฉพาะในส่วนของการประชาสัมพันธ์โครงการให้เกษตรกรทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง การดำเนินโครงการจัดหาสถานที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เพียงพอ เช่น ลานตากข้าว ยุ้งฉาง และเครื่องอบลดความชื้น เป็นต้น เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดียิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1085 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 17 ณ เมืองเดอร์บัน | กต | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๗ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน การอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุน ความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเล และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล การยกระดับสถานภาพและบทบาทของสตรี เศรษฐกิจภาคทะเล รวมถึงการค้าและการลงทุนระหว่างกันภายในภูมิภาค เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวถ้อยแถลงเน้นย้ำความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ และความจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือความท้าท้ายต่าง ๆ รวมถึงผลักดัน ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ความเชื่อมโยงของกรอบความร่วมมือต่าง ๆ (๒) ความยั่งยืนและการเติบโตอย่างทั่วถึง และ (๓) การประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมทั้งได้ร่วมรับรองแถลงการณ์เดอร์บันด้วย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและประเด็นที่ประสงค์จะให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเพื่อจะได้ให้ความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และประเทศสมาชิก Indian Ocean Rim Association (PORA) ควรให้ความสำคัญต่อการจัดทำมาตรการหรือแนวทางการจัดการผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลอันเนื่องมาจากการดำเนินโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อปกป้องการสูญเสียและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาค สำหรับการมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเด็นผลการประชุมฯ ตามแถลงการณ์เดอร์บัน ควรแก้ไขจาก “คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็น “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1086 | มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแต่ละโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ๑.๒ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) และคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำจังหวัด (คอจ.) รวมทั้งเห็นชอบในหลักการของการแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ (ทีม ปรจ.) ๑.๓ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้พัฒนาตนเอง โดยจะได้รับวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติม โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๙ จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๒๐๐ บาท/คน/เดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๙ จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๑๐๐ บาท/คน/เดือน ๑.๔ เห็นชอบในหลักการของมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรจะได้เสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งประสานธนาคารกรุงไทย เพื่อดำเนินการรับชำระค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไป ๑.๕ เห็นชอบให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม ๖ มาตรการ ๑๘ โครงการ และให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ๑.๖ อนุมัติงบประมาณเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๓๕,๖๗๙,๐๙๐,๗๙๑ บาท ซึ่งประกอบด้วยรายการ ดังนี้ ๑.๖.๑ งบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายของคณะกรรมการและคณะทำงาน เช่น ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น และค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เพื่อปฏิบัติงานในโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน ๒,๙๙๙,๑๖๗,๗๒๓ บาท ๑.๖.๒ งบประมาณสำหรับโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เป็นวงเงินไม่เกิน ๖,๗๗๔,๔๐๙,๘๖๗ บาท และงบประมาณสำหรับธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ในการดำเนินงานเป็นวงเงินไม่เกิน ๑๒,๐๓๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินไม่เกิน ๑๘, ๘๐๗,๔๐๙,๘๖๘ บาท ๑.๖.๓ งบประมาณสำหรับค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เป็นวงเงินไม่เกิน ๑๓,๘๗๒,๕๐๓,๒๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายภายใต้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้ งบประมาณตามข้อ ๑.๖.๑-๑.๖.๓ ให้แต่ละหน่วยงานทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มารองรับกลุ่มเป้าหมายตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นลำดับแรกก่อน โดยควรชะลอการดำเนินการสำหรับกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รองรับไว้ หากไม่เพียงพอ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนพร้อมรายละเอียดประกอบให้ชัดเจน เพื่อขอทำความตกลงแหล่งเงินกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนและกระบวนการงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคฯ ให้ใช้จ่ายจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การดำเนินโครงการภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ควรให้ความสำคัญในเรื่องความพร้อมของโครงการ ระยะเวลาดำเนินโครงการ ความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การติดตามและประเมินผล การสร้างความรับรู้และความเข้าใจของทุกภาคส่วนต่อการดำเนินมาตรการฯ และผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับทั้ง ๔ มิติของการดำเนินการ (มิติที่ ๑ การมีงานทำ มิติที่ ๒ การฝึกอบรมและการศึกษา มิติที่ ๓ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และมิติที่ ๔ การเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน) เพื่อลดความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น และความซ้ำซ้อนของการดำเนินการในแต่ละโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประสานการทำงานกับคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค และร่วมกันพิจารณากำหนดนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อยในภาพรวมให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการซักซ้อมความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจของคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ หรือ ทีม ปรจ. รวมถึงผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer : AO) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวได้ถูกต้อง ชัดเจน ทั้งนี้ ในการพิจารณาคัดกรองผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทีม ปรจ. จะต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ และจะต้องจัดสรรเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอสำหรับการดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปริมาณที่เหมาะสมด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังเร่งเสนอร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๖. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1087 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายขอบเขตการดำเนินมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เช่น การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยให้นำผลการดำเนินการที่ผ่านมามาพิจารณาทบทวนเพื่อให้การดำเนินการในระยะต่อไปมีความเหมาะสมและรัดกุมมากยิ่งขึ้น ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนการกำหนดเส้นความยากจน (Poverty Line) ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในปัจจุบัน เพื่อนำมากำหนดเป้าหมายในการลดความยากจนและปรับปรุงโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑.๓ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการจดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรให้ชัดเจน ถูกต้อง เช่น ในกรณีที่จะจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชจะต้องดำเนินการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ก่อน รวมทั้งพิจารณากำหนดแนวทางการแบ่งปันสิทธิประโยชน์ในลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรต่าง ๆ ให้แก่ผู้ค้นพบและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อส่งเสริมให้มีการนำลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น ๑.๔ ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากจะเน้นเรื่องการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น การส่งออกและการท่องเที่ยวเช่นที่ผ่านมาแล้ว ให้หน่วยงานดังกล่าวบูรณาการข้อมูลในการรายงานและสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้เข้าใจถึงการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจฐานรากด้วย ๑.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่มีผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อย รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้น้อย เช่น หมวกข้าราชการ เครื่องแบบข้าราชการทหาร ตำรวจ เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือข้าราชการชั้นผู้น้อย เช่น การจัดหาผ้าสำหรับตัดเย็บเครื่องแบบให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ เป็นต้น ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่การทำเกษตรแบบแปลงใหญ่ เช่น พิจารณากำหนดมาตรการให้ภาคเอกชนส่งเสริมการเพาะปลูกพืชและรับซื้อผลผลิตจากพืชนั้นโดยมีการประกันราคาขั้นต่ำ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการกำหนดแนวทางดังกล่าวควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ภาคเอกชนและเกษตรกรจะได้รับอย่างเหมาะสม เป็นธรรม และดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส ๑.๗ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน การพักผ่อนแบบโฮมสเตย์ (Homestay) การปรับปรุงพัฒนาเส้นทางการคมนาคมและเส้นทางการท่องเที่ยวให้มีความสะดวกและปลอดภัย ๑.๘ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมให้นักลงทุนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) ที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก เช่น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่อยู่อาศัย ธุรกิจการค้าและบริการ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ โดยอาจพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้วิธีเปิดประมูลนานาชาติ (International Bidding) ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้เร่งรัดการดำเนินโครงการสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการด้านคมนาคมขนส่ง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนาท่าเรือ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ ด้วย ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สัญชาติ จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล และจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการนำลูกจ้างไปจดทะเบียนให้เป็นไปตามกรอบเวลาตามที่กฎหมายกำหนด และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบการศึกษาในภาพรวมของประเทศให้มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยให้คำนึงถึงทิศทางการพัฒนาประเทศ แนวโน้มของสถานการณ์ด้านต่าง ๆ รวมทั้งความต้องการของตลาดแรงงานในระยะต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อประชาชน ได้แก่ ๒.๒.๑ การพัฒนานักเรียนนักศึกษา เช่น ลดชั่วโมงเรียนด้านวิชาการ ลดปริมาณการบ้าน ลดการเรียนพิเศษเสริมจากการเรียนในห้องเรียนปกติ ประเมินผลคุณภาพการศึกษาที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ๒.๒.๒ การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา เช่น พัฒนาด้านภาษาต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านวิทยาการสมัยใหม่ การประเมินคุณภาพครูผู้สอน การนำผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศมาจัดการเรียนการสอน ๒.๒.๓ การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาในแต่ละระดับให้มีความเหมาะสม ได้แก่ (๑) การศึกษาระดับอาชีวศึกษา ส่งเสริมให้มีการศึกษาในสายวิชาชีพนี้เพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการด้านแรงงานของประเทศในระยะต่อไป เช่น ร่วมดำเนินการกับภาคเอกชนในการกำหนดหลักสูตรการศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน กำหนดมาตรการจูงใจให้นักเรียนนักศึกษาเลือกศึกษาต่อในสาขาที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ (๒) การศึกษาระดับอุดมศึกษา พิจารณาทบทวนสาขาที่มีผู้ให้ความสนใจเข้าศึกษาน้อย หรือจบการศึกษาแล้วมีโอกาสว่างงานสูง หรืออาจมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ๒.๒.๔ การกำหนดมาตรการในการผลิตแรงงานเพื่อกลับไปทำงานในภูมิลำเนาของตนเอง เพื่อให้คนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เป็น Smart Farmer ในภาคการเกษตร ๒.๒.๕ การติดตามและประเมินผลการดำเนินการด้านการศึกษาที่ผ่านมา เช่น ผลการลดชั่วโมงเรียนด้านวิชาการ การประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ๒.๒.๖ การจัดทำฐานข้อมูลด้านการศึกษา โดยให้สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งจัดเก็บข้อมูลการมีงานทำและรายได้ของนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาและข้อมูลการจ้างงานนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานประกอบการ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับยาพาราควอด (Paraquat) และผลกระทบจากการใช้ยาดังกล่าว ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกษตรกรนิยมนำมาใช้ในการกำจัดวัชพืชให้ชัดเจนและมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ โดยให้นำโครงการที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการและจัดทำเป็นแผนการดำเนินการที่มีระยะเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุด ระบุเป้าหมาย/ผลที่คาดว่าจะได้รับให้ชัดเจน เพื่อรองรับและป้องกันการเกิดอุทกภัยและภัยแล้งให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้สร้างการรับรู้ถึงความคืบหน้าของการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำต่าง ๆ ดังกล่าวให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1088 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่นลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทถวายพระกุศลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 4 กรกฎาคม 2560 โดยไม่ถือเป็นวันลา | นร01 | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทถวายพระกุศลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ลาอุปสมบทได้ไม่เกิน ๑๕ วัน โดยนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ ๑๓-๒๑ มกราคม ๒๕๖๑ โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๑.๒ ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการหน่วยงานรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อถวายพระกุศลฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการให้สิทธิลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มรับราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบท และยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาอุปสมบทจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการ หากอุปสมบทเป็นเอกเทศ โดยไม่เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิในการลา ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๕,๗๙๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1089 | โครงการบ้านฅนไทย | กค | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการดำเนินโครงการบ้านฅนไทย ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ ประเภทที่อยู่อาศัย กลุ่มเป้าหมาย กรอบวงเงินโครงการ และรูปแบบ : โครงการการผ่อนชำระสู่การเช่าระยะยาว ๑.๒ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน แยกบัญชีโครงการบ้านฅนไทย เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) โดยไม่ขอรับการชดเชยจากรัฐบาลและขอนำผลกระทบรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบ้านฅนไทยมาปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และขอไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NOLs) ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของ ธอส. และธนาคารออมสิน (กรณี % NPLs ที่เกิดขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย NPLs ของธนาคารในภาพรวม) และขอนำผลกระทบต่อรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงาน ๒. ให้เปลี่ยนชื่อโครงการจากเดิม “โครงการบ้านฅนไทย” เป็น “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” และให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของการดำเนินการ มาตรฐานของที่อยู่อาศัยที่จะพัฒนาขึ้น และการตรวจสอบคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความชัดเจน รวมทั้งควรคำนึงถึงการกระจายพื้นที่โครงการให้ครอบคลุมทั้ง ๖ ภาค การมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย และภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของวัตถุประสงค์การดำเนินโครงการฯ ตลอดจนความรับผิดชอบ และประโยชน์ที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และระยะเวลาการพิจารณาการจัดสรรที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ กรณีที่มีอุปทาน (supply) เหลือจากกลุ่มเป้าหมายที่ ๑ (ประชาชนที่อยู่ในทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกับกระทรวงการคลัง) เพื่อพิจารณาให้กลุ่มเป้าหมายที่ ๒ (ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๕,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน) และกลุ่มเป้าหมายที่ ๓ (ประชาชนทั่วไป) ให้เหมาะสม ชัดเจน และประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้รับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ดังกล่าวสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้อย่างถูกต้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1090 | ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม | คค | 26/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย (๑) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางบก (๒) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางราง (๓) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ และ (๔) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมเน้นการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งให้สอดคล้องกับการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาค และให้เป็นการจัดทำโครงการที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปี ๒๕๖๑ เป็นลำดับแรก ๒.๒ ในการจัดทำโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมให้ครอบคลุมมิติด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วน รวมถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณ เช่น กรณีการจะจัดทำโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ ๒ ให้พิจารณาว่าการปรับปรุงท่าอากาศยานเดิมหรือการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่จะมีความเหมาะสม คุ้มค่ามากกว่ากัน ๒.๓ ในขั้นตอนการริเริ่มการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการและผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ถูกต้อง ทั่วถึง รวมทั้งให้ส่วนราชการพิจารณามาตรการในการเยียวยาประชาชนตามความจำเป็นเหมาะสมด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนบทบาทหน้าที่ของกรมท่าอากาศยาน และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้เกิดความชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนทางด้านพันธกิจ และเป็นประโยชน์ต่อการลดภาระงบลงทุนภาครัฐด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1091 | รายงานความสำเร็จการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ 1 การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) | ดศ | 26/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความสำเร็จการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ ๑ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) (โครงข่ายเน็ตประชารัฐ) และจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ หมู่บ้านละ ๑ จุดให้บริการ ที่ระดับความเร็วไม่ต่ำกวา 30 Mbps/10 Mbps (Download/Upload) ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายสำเร็จครบจำนวน ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้านแล้ว เป็นไปตามแผนการดำเนินงานการติดตั้งที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐผ่านจุดให้บริการ Wi-Fi ทั้งหมด ๑.๖๕ ล้านคน ๒. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อต่อยอดสร้างประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐทั้ง ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้าน โดยการฝึกอบรมพัฒนาวิทยากรแกนนำสร้างการรับรู้การใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐภายใต้แนวคิด “เข้าถึง เข้าใจ นำไปใช้ประโยชน์ เกิดผลผลิต” และการส่งเสริมโอกาสในด้านต่าง ๆ ให้ประชาชนและผู้ด้อยโอกาส ได้แก่ การค้าขายสินค้าออนไลน์ การเข้าถึงความรู้และบริการที่เป็นประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านการเกษตร และด้านบริการของภาครัฐ ๓. การดำเนินการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในส่วนพื้นที่หมู่บ้านที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์และไม่มีบริการและยากต่อการเข้าถึง (หมู่บ้านชายขอบ Zone C+) จำนวน ๓,๙๒๐ หมู่บ้าน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ และหมู่บ้านส่วนที่เหลือเพิ่มเติมในพื้นที่ Zone C จำนวน ๑๕,๗๓๒ หมู่บ้าน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1092 | โครงการของขวัญปีใหม่ปี 2561 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 26/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๑ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนปี ๒๕๖๑ ซึ่งประกอบด้วย (๑) โครงการเพื่อส่งเสริมวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชน โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ (๒) โครงการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดย ธอส. ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากขึ้น รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และ ธอส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงาน เห็นควรให้มีการดำเนินการตามกฎเกณฑ์และขั้นตอนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และให้ ธอส. จัดเตรียมแนวทางรองรับ NPLs ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต กรณีประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามกลุ่มเป้าหมายของโครงการเกิดข้อจำกัดในการชำระหนี้ รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. ประชาสัมพันธ์โครงการชำระดีมีคืนอย่างทั่วถึงแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามเงื่อนไขโครงการ โดยการปลูกฝังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการชำระหนี้ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1093 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 7 | กต | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๗ (7th Mekong-ROK Foreign Ministers’ Meeting) ระหว่างวันที่ ๓๑ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้รับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ซึ่งระบุรายการกิจกรรมและโครงการที่จะมีการดำเนินการต่อไปในช่วง ๓ ปีข้างหน้า โดยครอบคลุมความร่วมมือ ๖ สาขา ได้แก่ (๑) โครงสร้างพื้นฐาน (๒) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๔) การพัฒนาทรัพยากรน้ำ (๕) การเกษตรและพัฒนาชนบท และ (๖) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งระบุข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพของกองทุนและโครงการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK Cooperation Fund : MRCF) และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ๒. ที่ประชุมฯ ได้รับรองถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๗ ซึ่งกล่าวถึงความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงและสาธารณรัฐเกาหลี และรับรองโครงการที่ประเทศสมาชิกเสนอเพื่อรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี เช่น แนวทางและการรับรองอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Buidings) ในกัมพูชา เสนอโดยกัมพูชา และการส่งเสริมการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างปลอดภัยสำหรับแรงงานข้ามชาติที่ย้ายถิ่นชั่วคราวมายังประเทศไทย เสนอโดยไทย เป็นต้น ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมฯ โดยเน้นย้ำความต่อเนื่องของไทยในฐานะประเทศผู้นำในสาขาการเกษตรและการพัฒนาชนบทที่ได้สนับสนุนการดำเนินโครงการ “Comprehensive Training to Increase Efficiency of Rice Production in the Mekong Sub-region” และการแสดงความพร้อมของไทยที่จะส่งเสริมบทบาทอนุภูมิภาคในเวทีโลกในฐานะประธานการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ ACMECS ASEAN และ APEC
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1094 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 | กค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๓๖๙,๓๓๑.๓๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๓๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๙๕๙,๑๖๔.๔๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๗๐,๒๑๖.๓๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๒๖,๓๒๑.๐๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๓,๖๒๙.๕๕ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๒ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๓๙,๐๐๗.๔๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๕,๘๖๕.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๕๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การเคหะแห่งชาติ และการประปาส่วนภูมิภาค พบว่ามีโครงการที่มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน จำนวน ๘ โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ๕ สายทาง โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1095 | รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ครั้งที่ 1 | คค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ครั้งที่ ๑ และเห็นชอบการดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนเสนอ โดยไม่ต้องนำเรื่องนี้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ ตามความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การดำเนินการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนและอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ การกำหนดเงื่อนไขในการดำเนินงาน กรอบวงเงิน และระยะเวลาการก่อสร้างให้ชัดเจนในบันทึกความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้งการให้ความสำคัญการจัดลำดับแผนการก่อสร้างโครงการฯ ที่มีความเหมาะสม สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการภายในประเทศสามารถเข้าร่วมประกวดราคา ในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะเบิกเงินกู้ให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟระยะแรก (ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง ๓.๕ กิโลเมตร) ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวงดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน กำกับและเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในส่วนที่เหลือ ตลอดจนเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1096 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 2/2560 | กษ | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ในการอนุมัติแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี และเห็นชอบการเจรจาเพื่อตกลงเรื่องค่าเสียหายตามสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ยาง ระหว่างการยางแห่งประเทศไทยและบริษัท China Hainan Rubber Industry Group Co.Ltd. และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ที่ให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามการดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาการปลูกยางพาราในพื้นที่ป่าไม้ พร้อมทั้งหาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ดังกล่าว โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ตามที่่เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เฉพาะโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง และโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา) โดยในส่วนของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. เห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ [เฉพาะโครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ โครงการควบคุมปริมาณผลผลิต และการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง] และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยให้นำความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ไปประกอบการหารือด้วย และดำเนินการต่อไปได้ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้ในช่วงต้นปี ๒๕๖๑ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่มีการขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีความต้องการใช้ยางพาราตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐสามารถใช้ยางพาราที่การยางแห่งประเทศไทยได้รวบรวมจากเกษตรกรปลูกยางพารา โดยต้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1097 | มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 | อก | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค ๔.๐ ด้านการส่งเสริมพัฒนาและด้านการเงินและโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การช่วยหลือ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีศักยภาพและมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนมาตรการฯ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแนวทางยกระดับความสามารถของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) เพื่อให้บริการและส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ชุมชน โดยหากจะเสนอขอรับการเพิ่มทุนต่อการรองรับสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและการดำรงสถานะเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ให้ ธพว. เสนอขอจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นลำดับแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. เห็นชอบให้ธนาคารออมสินแยกบัญชีการดำเนินการโครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) และให้ ธพว. แยกบัญชีการดำเนินโครงการยกระดับความสามารถของ ธพว. โครงการที่ร่วมดำเนินการกับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ออกจากการดำเนินการตามปกติ เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) รวมทั้งสามารถนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกิดขึ้นจริงและค่าบริหารโครงการฯ บวกกลับเพื่อการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้ และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๔. อนุมัติงบประมาณชดเชยอัตราดอกเบี้ยจากรัฐบาล ภายในกรอบวงเงิน ๖,๓๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี เพื่อดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และโครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการทางการเงินดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง และเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ ควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้ความสำคัญมากขึ้นกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของประกอบการ SMEs ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๖. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1098 | แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาเพื่อสังคมของส่วนราชการ | นร | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญกับการใช้กลไกประชารัฐ ซึ่งมีผลทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมได้ตระหนักถึงความร่วมมือกันในการขับเคลื่อนประเทศไปแล้วระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การส่งเสริมการมีส่วนร่วมเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น และปัจจุบันมีประชาชนจิตอาสาตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พร้อมร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์และทำความดี ดังนั้น ในการดำเนินการต่าง ๆ ของส่วนราชการที่เป็นการพัฒนาเพื่อสังคม จึงสมควรที่ส่วนราชการจะเชิญชวนให้ประชาชนจิตอาสาตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าร่วมในการดำเนินการกับภาครัฐด้วย ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้คำนึงถึงประโยชน์ในการสร้างการเรียนรู้ตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1099 | การเตรียมการมาตรการแก้ไขปัญหายางพารา | นร | 12/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า การยางแห่งประเทศไทยได้จัดทำโครงการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง รวม ๓ โครงการ ดังนี้ ๑.๑ โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า มีความต้องการใช้ยางในปี ๒๕๖๑ แบ่งออกเป็น น้ำยางข้น จำนวนประมาณ ๑๐๗,๔๓๑.๕๘ ตัน และยางแห้ง จำนวนประมาณ ๖๔,๔๘๔.๑๔ ตัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยางพารา (ยางแห้ง) เพื่อดำเนินการดูดซับยางพาราออกจากระบบนำมาเก็บสต็อก ๑.๓ โครงการควบคุมปริมาณผลผลิต โดยการปรับลดจำนวนพื้นที่การเพาะปลูกยางพาราและส่งเสริมให้ปลูกไม้ยืนต้นชนิดอื่นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจแทน ทั้งนี้ เมื่อโครงการดังกล่าวผ่านการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) ดำเนินการสำรวจความต้องการใช้ยางของหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐให้ถูกต้อง ครบถ้วน ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการของหน่วยงานภาครัฐดังกล่าว ให้ใช้ยางพาราที่เป็นผลผลิตใหม่ที่ออกสู่ตลาดเท่านั้น (ห้ามนำยางพาราที่เก็บในสต็อกมาใช้) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปริมาณความต้องการใช้ยางพาราที่มีอยู่ในตลาดภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ยางพาราให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้รวบรวมข้อมูลผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากยางพาราชนิดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐใช้ประโยชน์ในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1100 | ขออนุมัติดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริและขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนปากพยา - ปากนคร แปลงที่ 1 | กษ | 12/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริและขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนปากพยา-ปากนคร แปลงที่ ๑ กรอบวงเงินงบประมาณโครงการทั้งสิ้น ๙,๕๘๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รอบรับไว้แล้ว จำนวน ๒๖๕,๒๙๗,๖๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่จะใช้ดำเนินงานในปีงบประมาณต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๓ ปี โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และแนวทางปฏิบัติสำหรับการดำเนินการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายเลนที่เกี่ยวข้อง การก่อสร้างทางระบายน้ำใหม่ควรมีการศึกษาผลกระทบด้านประวัติศาสตร์ การรักษาระดับน้ำใต้ดินในหน้าแล้ง โดยดำเนินการลักษณะฝายมีชีวิต/ฝายน้ำล้น และการนำผลการรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาเสนอเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการขอตั้งงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าหรือบำรุงป่าชายเลนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่า ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและการทำนุบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด และยื่นเรื่องขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการสร้างความเข้าใจและการยอมรับจากราษฎรที่ได้รับผลกระทบและผลประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้
|
.....