ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 52 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1021 - 1040 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1021 | ขอให้เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการฟ้องร้องคดี | นร | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ของรัฐและเป็นการป้องกันความเสียหายใด ๆ อันอาจเกิดขึ้นจากการที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการฟ้องร้องคดีต่าง ๆ จึงมีมติให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้
๑. ในส่วนของคดีเกี่ยวกับการดำเนินโครงการจำนำข้าวเปลือก ซึ่งมีทั้งคดีความอาญาและคดีความแพ่งซึ่งใกล้จะหมดอายุความและอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อฟ้องร้องคดี นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร) และกระทรวงพาณิชย์ (องค์การคลังสินค้า) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จทุกคดีโดยเร็ว แล้วส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดอย่างช้าสุดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อดำเนินการฟ้องร้องคดีให้ทันภายในกำหนดอายุความ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีคดีใดที่ส่วนราชการเจ้าของเรื่องมีประเด็นที่เห็นควรจะประนีประนอม ยอมความ ไกล่เกลี่ย หรือตกลงให้เป็นไปตามคำร้องขอของคู่ความ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะดำเนินการเช่นนั้นได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายก่อน แล้วแต่กรณี ๒. ในส่วนของคดีความอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ ๑ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่เป็นเจ้าของเรื่องตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินการฟ้องร้องคดีทันภายกำหนดอายุความของคดีนั้น ๆ ทั้งนี้ หากส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐใดปล่อยปละละเลยจนคดีขาดอายุความ จะถือเป็นความบกพร่องของหัวหน้าส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐนั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1022 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 | นร | 12/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยผลการประชุมฯ มีเรื่องสำคัญ ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) ปรับปรุงกระบวนการจัดทำแผนงาน โครงการ และงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ (๒) แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕ (๓) โครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดหนองบัวลำภู (๔) การปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๕๐ และ (๕) การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ด้านนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ ต่อไป โดยรายละเอียดของงบประมาณในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามแผนงานเร่งด่วน ให้หน่วยงานพิจารณาดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนเป็นลำดับแรก สำหรับโครงการตามแผนงานโครงการขนาดใหญ่ และโครงการสำคัญ ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕ โครงการที่มีความพร้อม สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รองรับไว้แล้วบางส่วน ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการสำรวจ ออกแบบ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ โดยพิจารณาถึงความจำเป็น เหมาะสม ประโยชน์ที่จะได้รับ และเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามแผนที่กำหนดไว้ในแต่ละปีตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิบัติตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ระยะที่ ๒ เห็นควรให้ดำเนินการตามแนวทางการขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร ๑๒๐๐/ว๑๓ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ไปดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ในกรณีเรื่องใดที่เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัด/ขับเคลื่อนการดำเนินงานและโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โครงการตามพระราชดำริที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และโครงการตามแผนงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่มีความพร้อมและได้รับอนุมัติงบประมาณแล้ว ให้แล้วเสร็จโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1023 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ
๑. ด้านสังคม ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ และ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน โดยให้รายงานความคืบหน้าดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เช่น ๑.๑.๑ ลดการบ้านนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถมีเวลาอยู่กับผู้ปกครองมากขึ้น และส่งเสริมให้มีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศหรือดิจิทัล มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ปกครอง เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์และสามารถเตรียมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการอภิปรายในชั้นเรียนต่อไป ๑.๑.๒ เน้นการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล กล้าพูด กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม รวมทั้งปลูกฝังให้เกิดความรักชาติ ยึดมั่นในศาสนา และเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย และมีจิตอาสา ๑.๑.๓ มีแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และคุณธรรมเป็นการเฉพาะ ๑.๑.๔ ปรับปรุงหนังสือแบบเรียนให้แยกส่วนของแบบฝึกหัดออกจากหนังสือแบบเรียน เพื่อให้นักเรียนรุ่นหลังสามารถใช้หนังสือแบบเรียนต่อจากรุ่นก่อนได้ ๑.๑.๕ ทบทวนแนวทางการออกข้อสอบวัดผลการศึกษาในวิชาต่าง ๆ ให้เป็นข้อสอบในเชิงอัตนัยที่เน้นการคิดวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น โดยอาจใช้วิธีการสอบเก็บคะแนนเป็นระยะ ๆ ร่วมด้วย เช่น สอบเก็บคะแนนภายหลังสิ้นสุดคาบเรียน สอบเก็บคะแนนประจำสัปดาห์ หรือประจำเดือน เพื่อลดภาระนักเรียนในการสอบปลายภาคการศึกษา เป็นต้น ๑.๑.๖ ทบทวนระบบการสอบวัดผลและการสอบคัดเลือกในทุกระดับชั้นให้เหมาะสม เช่น ความเหมาะสมของการจัดให้มีการสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในชั้นอนุบาล และแนวทางการดำเนินการคัดเลือกนักศึกษาเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน เป็นต้น ๑.๒ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับครู เช่น ๑.๒.๑ พัฒนาครูโดยการจัดสรรวงเงินต่อหัวในการพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ของครู (คูปองครู) ให้เหมาะสม ๑.๒.๒ ปรับปรุงแนวทางการประเมินครู โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งกำหนดให้ครูต้องปฏิบัติงานในด้านการเรียนการสอน หรือปฏิบัติงานให้แก่โรงเรียน และสถาบันการศึกษาเป็นหลัก ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดค่าตอบแทนให้แก่ครูอย่างเหมาะสม ๑.๓ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ เช่น ๑.๓.๑ ระมัดระวังไม่ให้เกิดการทุจริตในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์และอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอนต่าง ๆ การดำเนินโครงการอาหารกลางวัน เป็นต้น ทั้งนี้ ควรส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรชุมชนเพื่อนำผลผลิตมาบริโภคเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนเสริมจากงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ด้วย ๑.๓.๒ เน้นการทำโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้จริงหรือพัฒนาต่อยอดไปได้ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่กำหนดไว้ ๑.๓.๓ ปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานภายในของกระทรวงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านการบริหาราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการปฏิรูปตำรวจจากการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ในแต่ละครั้ง เพื่อจะได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานความคืบหน้าการดำเนินการปฏิรูปตำรวจ โดยเฉพาะประเด็นที่อยู่ในความสนใจและเป็นความต้องการของประชาชนไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทุก ๆ ๓ เดือน เพื่อเสนอคณะกรรมการปฏิรูปประเทศพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการปฏิรูปตำรวจดังกล่าว โดยในระยะแรกควรพิจารณาแนวทางการปฏิรูปให้ครอบคลุมถึงการสร้างความสมดุลในการปฏิบัติภารกิจและใช้อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งในส่วนของศาล อัยการ และตำรวจ กระบวนการพิสูจน์หลักฐาน การทำสำนวนสืบสวนสอบสวน รวมทั้งกระบวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภายในของตำรวจ เช่น การบริหารงานจราจรที่กองบังคับการตำรวจจราจรต้องรับผิดชอบแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ร่วมกับสถานีตำรวจในพื้นที่ เป็นต้น ๒.๒ ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของตำรวจ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นต้น ควรให้มีการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างการปฏิบัติงานให้เหมาะสม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษควรรับดำเนินการเฉพาะคดีพิเศษ ซึ่งเป็นไปตามกรอบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งหน่วยงานเท่านั้น รวมทั้งควรพิจารณากำหนดสัดส่วนให้มีจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปปฏิบัติงานในหน่วยงานนี้อย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น และมีบุคลากรอื่นที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น งานตุลาการ กฎหมายระหว่างประเทศ การประสานงานกับต่างประเทศ/องค์กรระหว่างประเทศ เป็นต้น มาร่วมปฏิบัติงานในกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1024 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... | สว | 12/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า ในการจัดทำ Host Country Agreement เพื่อกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันของรัฐบาลไทยแก่ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center : ADPC) ควรต้องอยู่บนพื้นฐานหรือหลักของความจำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ ADPC และการได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันต้องสอดคล้องกับองค์กรในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจเทียบเคียงได้กับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานหรือ IOM ซึ่งเป็นองค์กรที่ได้มีการดำเนินงานในลักษณะเฉพาะด้าน โดยไทยจะได้รับประโยชน์จาก ADPC ในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งจะช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบริหารจัดการภัยพิบัติในภูมิภาค และยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์กับไทยและประเทศในภูมิภาค โดยชุมชนและประชาชนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์ในด้านการเตรียมพร้อมรับมือและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1025 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 40 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560-31 มีนาคม 2561) | นร | 05/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การดำเนินโครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. มีมติเห็นชอบการเพิ่มประสิทธิภาพของสถานีตำรวจ เช่น การจัดให้มีเกณฑ์การวิเคราะห์โครงสร้างขนาดของสถานีตำรวจในมาตรฐานเดียวกัน การปรับปรุงการทำงานของแต่ละสถานีตำรวจให้มีความเป็นมาตรฐาน และให้วางระบบการประเมินผลงานตามพันธสัญญาการให้บริการประชาชน ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การประกาศวาระแห่งชาติ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ๔ กลุ่มอุตสาหกรรม ๑๖ สาขาอาชีพ (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การดำเนินโครงการ Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา การจัดทำระบบจดทะเบียนให้กับนักลงทุน (Angel Investor) (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดทำโครงการส่งเสริมความสามารถทางนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ การเปิดตัวสถาบันวิทยาการนวัตกรรม (NIA Academy) (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การหารือทวิภาคีระหว่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางการค้าการลงทุน และการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ [Greater Mekong Subregion (GMS) Summit] ครั้งที่ ๖ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การบริหารจัดการน้ำตามแผนการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การพัฒนาบุคลากรภาครัฐเพื่อรองรับ Thailand 4.0 การสร้างการรับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้แก่ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1026 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 23 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 | คค | 05/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๒๓ ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๗-๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยและรองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนเป็นประธานร่วม รวมทั้งความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้คณะทำงานด้านเทคนิคกระชับการเจรจาสัญญา ๒.๓ เพื่อส่งเสริมการปรึกษาหารือและการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ๒. ฝ่ายไทยตกลงที่จะไม่จัดตั้งศูนย์ควบคุมการเดินรถ (ผังการเดินรถ) สำรองสำหรับโครงการระยะแรก (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เตรียมการเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์หลัก (เซิร์ฟเวอร์) ของระบบควบคุมการเดินรถจากศูนย์กลางสำรองไว้ใช้งาน ณ เชียงรากน้อย ในโครงการระยะที่สอง (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ๓. ฝ่ายไทยจะดำเนินการให้มีการหารือร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในประเด็นการจ่ายไฟจากแหล่งไฟฟ้าภายนอกสำหรับโครงการ โดยฝ่ายจีนจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนด้านเทคนิคอย่างเต็มที่ ๔. ฝ่ายไทยรับทราบรายงานความเห็นต่อผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการระยะที่สอง (นครราชสีมา-หนองคาย) ที่ฝ่ายจีนได้นำส่งให้ฝ่ายไทยแล้ว โดยฝ่ายจีนจะประมาณการราคาระบบไฟฟ้าและเครื่องกลรถไฟของโครงการระยะที่สองตามมาตรฐานรถไฟจีนต่อไป ๕. ฝ่ายจีนอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นสำหรับช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ และโดยที่โครงการในช่วงเส้นทางดังกล่าวเกี่ยวข้องกับไทย-ลาว-จีน จึงเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกการหารือสามฝ่ายระหว่างไทย-ลาว-จีน เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันในประเด็นด้านเทคนิคและพิธีการศุลกากร ๖. ฝ่ายจีนเห็นชอบที่จะจัดเตรียมและนำส่งหลักสูตรการฝึกอบรมวิศวกรไทยด้านเทคโนโลยีการออกแบบรถไฟความเร็วสูงให้ฝ่ายไทย และเห็นว่าการฝึกอบรมอาจจะสามารถจัดขึ้นในประเทศไทยได้ ๗. โดยที่ไทยอยู่ระหว่างการจัดตั้งองค์กรใหม่เพื่อรับผิดชอบการบริหารจัดการเดินรถไฟความเร็วสูง ฝ่ายไทยจึงขอให้ฝ่ายจีนถ่ายทอดประสบการณ์ในการจัดตั้งองค์กรและส่วนที่เกี่ยวดังกล่าวต่อไป ๘. ฝ่ายจีนยินดีที่จะให้การสนับสนุนฝ่ายไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบราง ๙. ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการส่งเสริมขีดความสามารถการทดสอบการก่อสร้าง การติดตั้ง การตรวจสอบ และการซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย ๑๐. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๒๔ ณ วันที่ ๑๘-๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1027 | โครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 | พน | 05/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ ๓ ในวงเงินลงทุนรวม ๗,๒๕๐ ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงโครงการโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ ๓ เข้ากับระบบไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่ง กฟผ. ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนไว้แล้ว (ปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้ารวม ๕,๐๐๐ เมกะวัตต์) และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๖๑ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕๓.๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ การจัดทำแผนรองรับความเสี่ยงในการดำเนินโครงการฯ และการควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้าในภาพรวม ที่สอดคล้องกับหลักการในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ โดยให้ดำเนินการจัดทำแผนดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนการริเริ่มลงทุนโครงการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าในระยะต่อไป ๓. สำหรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคต หรือการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในระยะต่อไป ให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำปัจจัยด้านความสามารถของระบบส่งไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐาน หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของ กฟผ. ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ และต้นทุนในการพัฒนาหรือก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าใหม่ที่จะมารองรับหรือเชื่อมต่อโครงการโรงไฟฟ้ามาประกอบการพิจารณาริเริ่มโครงการลงทุนหรือประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหม่ด้วย เพื่อป้องกันมิให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1028 | การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) | มท | 05/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ประกอบด้วย ๑๒ โครงการ ๒ แผนงาน วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๙๙,๙๔๓.๖๘ ล้านบาท และโครงการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินร่วมลงทุน ๗,๗๕๒.๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในส่วนของบริษัท พีอีเอฯ ในวงเงิน ๗๗๙.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยงและควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ การพิจารณาความเป็นไปได้ในการบริหารและใช้ประโยชน์สินทรัพย์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ การเร่งรัดการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าฯ (ปรับแผนการลงทุน) การคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงการลงทุนดังกล่าว และการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนการดำเนินงานและการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการจัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าของ กฟภ. ในระยะต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานบูรณาการรวมแผนระบบไฟฟ้าดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนพลังงานในภาพรวมของประเทศ (ประกอบด้วย ๕ แผนหลัก) และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาในคราวเดียวกัน เพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมและเกิดความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินและทบทวนแผนพลังงานในภาพรวมทั้ง ๕ แผนหลักอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อให้สามารถปรับปรุงแผนพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. ดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาระบบไฟฟ้าที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนนำโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. เร่งพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตลอดจนติดตาม ประเมินผล แล้วรายงานผลการดำเนินงานต่อกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1029 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 | ดศ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยการประชุมฯ ประกอบด้วย ๑.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ การแต่งตั้งประธานกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐ และการขอขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๑.๒ เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ การดำเนินงานของคณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และการดำเนินงานอื่น ๆ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการขยายโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) รวมทั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเปิดให้ประชาชนในพื้นที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1030 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และแนวโน้มไตรมาสที่ 2 ปี 2561 | อก | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และแนวโน้มไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๔.๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม น้ำมันพืช และ Hard Disk Drive ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๓๙๕.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๙๐๒.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๗.๖ (YoY) สำหรับสถานสภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๒๗๘ โรงงาน ลดลงร้อยละ ๑๘.๒๔ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๓,๗๘๓ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๙.๙๑ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๙๖ ราย ลดลงร้อยละ ๓๐.๔๓ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๙๐๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๗๕.๔๔ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย ไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวเป็นบวกในช่วงร้อยละ ๓.๕-๔.๐ (YoY) ขยายตัวมากกว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๐ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๘ (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่คาดว่าจะขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แรงขับเคลื่อนในการลงทุนภาครัฐ และการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1031 | รายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 2 | มท | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ ๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การลงพื้นที่ ครั้งที่ ๒ (วันที่ ๒๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๙๘๑,๑๔๕ คน และครั้งที่ ๓ (วันที่ ๑๑ เมษายน-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๖๒๐,๕๐๑ คน และขณะนี้ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบลอยู่ระหว่างลงพื้นที่ ครั้งที่ ๔ (วันที่ ๑๖ พฤษภาคม-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑) โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงพื้นที่ที่เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกับประชาชนแทนการบรรยายเพียงอย่างเดียว และเพิ่มประเด็นในการลงพื้นที่ ๒ เรื่อง คือ (๑) ให้ข้อมูลแก่เกษตรกรเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการปลูกข้าวให้มีมูลค่าสูงขึ้น และมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต และ (๒) ให้ตอบแบบสอบถามความเข้มแข็งและศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน ๑.๒ การวิเคราะห์แผนงาน/โครงการที่คาดว่าหมู่บ้าน/ชุมชนจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ณ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ มีโครงการที่คาดว่าจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณฯ รวม ๘๘,๔๐๐ โครงการ จาก ๗๘,๖๒๕ หมู่บ้าน/ชุมชน (คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๐๒ ของหมู่บ้าน/ชุมชนทั้งหมด) จำแนกได้ ๖ ประเภทโครงการ คือ (๑) สร้างอาชีพ สร้างรายได้ จำนวน ๑๒,๕๓๓ โครงการ (๒) แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน ๔,๘๑๑ โครงการ (๓) สาธารณูปโภค จำนวน ๖๙,๒๒๔ โครงการ (๔) สาธารณสุข จำนวน ๑๑ โครงการ (๕) สิ่งแวดล้อม จำนวน ๖๕๓ โครงการ และ (๖) อื่น ๆ จำนวน ๑,๑๖๘ โครงการ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่หมู่บ้าน/ชุมชนเสนอขอภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมของหมู่บ้าน/ชุมชนแต่ละแห่งเป็นสำคัญ เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตนอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1032 | ขออนุมัติจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล | มท | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยมีปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน ๑๒ เมกะวัตต์ ตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย โดยขอให้เร่งรัดการเข้าร่วมกิจการโดยชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการฯ และพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการเข้าร่วมกิจการดังกล่าวในระยะต่อไปตามความเหมาะสม ๒. อนุมัติให้บริษัท พีอีเอฯ จัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือ จำนวน ๓ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัท ประชารัฐชีวมวล นราธิวาส จำกัด (จังหวัดนราธิวาส) (๒) บริษัท ประชารัฐชีวมวล แม่ลาน จำกัด (จังหวัดปัตตานี) และ (๓) บริษัท ประชารัฐชีวมวล บันนังสตา จำกัด (จังหวัดยะลา) เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐสำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยให้บริษัท พีอีเอฯ ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ ๔๐ ของส่วนทุน และภาคเอกชน/วิสาหกิจชุมชน ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ ๖๐ ของส่วนทุน (วิสาหกิจชุมชนสามารถเข้ามาถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในขั้นตอนการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยบริษัท พีอีเอฯ ประสานงานกับกระทรวงพลังงานเพื่อดำเนินการเชิญชวนและสรรหาชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ โดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ทั้งนี้ การร่วมลงทุนของชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนเมื่อเริ่มต้นโครงการฯ ให้เป็นไปตามความพร้อมและความสามารถของชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ และให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในระยะต่อไปได้ตามความเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมุ่งดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนรอบโรงไฟฟ้าจากการรับซื้อวัตถุดิบเชื้อเพลิงในพื้นที่ และสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมถือหุ้น รวมทั้งควรมีการจัดการน้ำเสียและกลิ่นรบกวนจากลานกองเชื้อเพลิง การจัดการน้ำหล่อเย็นและฝุ่นละอองจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้า เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และควรพิจารณาทบทวนสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท พีอีเอฯ เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินงานได้สอดคล้องกับทิศทางและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกำกับให้บริษัท พีอีเอฯ เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนและชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ วิธีการบริหารจัดการ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่จะได้รับ รวมทั้งแนวทางการป้องกันมลพิษด้านต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1033 | ผลการดำเนินงานและการขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานะการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ ๒ การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และเหตุผลความจำเป็นของหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ยังดำเนินโครงการไม่แล้วเสร็จ โดยพบว่า โครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ส่วนใหญ่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ แต่ยังคงมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ เช่น ปัญหาการเข้าใช้พื้นที่ และปัญหาอุทกภัย ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความประสงค์จะดำเนินการต่ออีก ๑๑ หน่วยงาน รวม ๑๒๖ โครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินกู้และแผนการดำเนินงานของแต่ละโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการและจะดำเนินการต่อ โดยมีแผนการใช้จ่ายเงินกู้ในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการในภาพรวมภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ และให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโครงการเงินกู้ฯ ให้เสร็จสิ้น ตามแผนงานของแต่ละหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้กำหนดไว้ โดยไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๖๒ พร้อมทั้งให้จัดทำรายงานผลการดำเนินโครงการส่งให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทุกเดือน ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป และกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการใดไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ให้ใช้เงินจากแหล่งอื่นเพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความประสงค์จะยกเลิกโครงการ ดำเนินการเสนอขอความเห็นชอบยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ไปยังกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) เพื่อให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) รวบรวมโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการที่แล้วเสร็จเข้าบัญชี “เงินฝากเงินกู้สำหรับโครงการเงินกู้ฯ” ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอโดยเร็วต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการติดตามและเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดตามแผน และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบเป็นระยะ รวมทั้งควรมีการจัดทำรายงานการประเมินผลโครงการเงินกู้ฯ หลังจากโครงการเงินกู้ฯ ได้เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำมาตรการเชิงนโยบายของรัฐบาลในอนาคตต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1034 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง ความก้าวหน้าผลการดำเนินการของคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลทั้ง 4 คณะ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | ดศ | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง ความก้าวหน้าผลการดำเนินการของคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลทั้ง ๔ คณะ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลด้านความมั่นคง ได้แก่ การดำเนินโครงการบูรณาการจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการถ่ายภาพถ่ายทางอากาศพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดตั้งศูนย์บริหารข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติ ๑.๒ คณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ ดำเนินการเรื่อง Big Data เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ แบ่งการดำเนินการเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ ระบบคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ ระยะที่ ๒ ThaiWater Big Data Platform และระยะที่ ๓ ระบบอัจฉริยะสนับสนุนการตัดสินใจด้านบริหารจัดการน้ำ ๑.๓ คณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินการให้สำเร็จตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และการขับเคลื่อนและติดตามให้ส่วนราชการจัดทำฐานข้อมูลเอกสารราชการที่ต้องใช้ในการให้บริการประชาชนให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี (ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑) ๑.๔ คณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลด้านทรัพยากรและบริหารโครงสร้างภาครัฐ ได้แก่ การดำเนินการด้านข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลโครงสร้างภาครัฐ และด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาระบบสารสนเทศให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ ๒. ในการรายงานความก้าวหน้าของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในคราวต่อไป ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรายงานผลการดำเนินการในเรื่อง Big Data และการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรวบรวมและบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น และรายงานผลการดำเนินการมาในคราวเดียวกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1035 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ สามารถยกระดับและพัฒนาไปเป็นผู้ประกอบการได้อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น เช่น การให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการผลิต การทำการตลาด และการแนะนำอาชีพใหม่เพื่อต่อยอดผลผลิตของตน เป็นต้น ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและประเมินผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นระยะ ๆ นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการกู้เงินนอกระบบของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ โดยใช้การเจรจาประนอมหนี้หรือลดหนี้ เปลี่ยนหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ และให้มีมาตรการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดหนี้นอกระบบขึ้นอีกในระยะยาว รวมทั้งให้เร่งแก้ไขปัญหาและปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยเฉพาะนายทุนที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ ติดตามการดำเนินการจัดอาหารให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนโดยคำนึงถึงหลักสุขอนามัยและคุณค่าทางโภชนาการอย่างเหมาะสมควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจให้กับชุมชนที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนแต่ละแห่ง เช่น การส่งเสริมการทำการเกษตรอินทรีย์ภายในชุมชนและนำผลผลิตมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารของนักเรียน การจัดซื้อจัดจ้างผลผลิตในชุมชน การให้ชุมชนมีส่วนร่วมด้านการจัดการศึกษาของโรงเรียนเพื่อให้เกิดเครือข่ายเชื่อมโยงกับชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณานำแนวทางการจัดอาหารให้แก่เด็กนักเรียนของโรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์เป็นต้นแบบในการดำเนินการ และให้เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในทุกเขตพื้นที่การศึกษาภายในปีการศึกษา ๒๕๖๑ นี้ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง เทคโนโลยีการจัดการผักตบชวา) ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อนำการศึกษาวิจัย เรื่อง เทคโนโลยีการจัดการผักตบชวาไปเผยแพร่ให้แก่ภาคเอกชน องค์กรระดับชุมชน และประชาชน เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติเป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งติดตามความคืบหน้าและประเมินผลสำเร็จในการจัดการผักตบชวาในภาพรวม และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อลดปริมาณผักตบชวาในบริเวณแหล่งน้ำและคูคลอง ดังนี้ ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการกำจัดผักตบชวาให้เหลือน้อยลงโดยเร็ว และให้กำกับติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผักตบชวาไม่เพิ่มจำนวนขึ้นอีกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักตบชวาในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำลำคลองอื่น ๆ ที่เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญ ตลอดจนบริเวณหน้าเขื่อนต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำและการสัญจรของประชาชน ทั้งนี้ ให้เร่งรัดนำผลการศึกษาวิจัย เทคโนโลยี และวิทยาการใหม่ ๆ มาใช้ในการกำจัดผักตบชวาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมควบคู่กันไปด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์จากผักตบชวา เช่น แผ่นกระเบื้องปูหลังคา เพื่อให้เกิดการนำผักตบชวาไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ๔. ด้านอื่น ๆ ในการดำเนินโครงการใด ๆ รวมทั้งการออกกฎหมายและระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีผลให้ประชาชนต้องโยกย้าย เปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย หรือที่ทำกินไปจากเดิม หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบอื่นใดต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องและที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในการดำเนินการป้องกัน แก้ไข และให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชการ ให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการสร้างการรับรู้และชี้แจงแก่ประชาชนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1036 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 17 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ดศ | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMIN) ครั้งที่ ๑๗ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ รัฐมนตรีอาเซียนได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีในภูมิภาค โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หยิบยกประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง คือ (๑) การกำหนดทิศทางด้านดิจิทัลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน (๒) เสนอจัดตั้งเวทีเพื่อหารือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๓) การยกระดับการประสานงานประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประชุมอาเซียนสาขาอื่น โดยเฉพาะประเด็นความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และเสนอให้มีการจัดทำแผนแม่บทด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการพัฒนาการด้านไอซีทีของอาเซียนในภาพรวมตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน (ASEAN ICT Masterplan 2020) และผลการดำเนินโครงการที่สำคัญในปี ๒๕๖๐ เช่น การรับรองกรอบความร่วมมืออาเซียน เรื่องค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างประเทศเพื่อสร้างความโปร่งใสและสนับสนุนการเข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามแดนอัตโนมัติในภูมิภาคอาเซียน การรับรองแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมืออาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เป็นต้น รวมทั้งรับรองปฏิญญาเสียมราฐ (Siem Reap Declaration) ว่าด้วยการเชื่อมโยงและความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อนำไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่และการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรวมตัวของประชาคมดิจิทัล ๒. การประชุมหารือระหว่างอาเซียนกับคู่เจรา ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โดยในส่วนของการหารือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ที่ประชุมเห็นชอบให้ดำเนินโครงการ ASEAN-Japan Cybersecurity Cooperation Hub ระยะที่ ๒ โดยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของอาเซียน โดยญี่ปุ่นจะสนับสนุนงบประมาณในระยะเวลา ๔ ปี ๓. การมอบรางวัล ASEAN ICT Awards 2017 โดยในปีนี้ประเทศไทยได้รับทั้งหมด ๗ รางวัล ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ จำนวน ๑ รางวัล รองชนะเลิศอันดับ ๑ จำนวน ๒ รางวัล และรองชนะเลิศอันดับ ๒ จำนวน ๔ รางวัล ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีความเห็นว่าควรให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้ผลงานเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมทั้งต่อยอดโดยส่งผลงานเข้าประกวดในเวทีการแข่งขันอื่นต่อไป ๔. การหารือทวิภาคี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หารือทวิภาคีกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (United States-ASEAN Business Council : USABC) โดย USABC พร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ และแผนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้เชิญชวนให้ USABC เข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยในโครงการ Digital Park ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1037 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อดำเนินการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ) | กห | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๓๓๘,๖๒๖,๑๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกเพื่อดำเนินการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ตามนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การเตรียมการเพื่อดำเนินนโยบายสำคัญของทางราชการ) โดยจัดซื้อวัตถุดิบจากน้ำยางพาราจากการยางแห่งประเทศไทย หรือสถาบันเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง และวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการรับรองจากการยางแห่งประเทศไทยเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาต่อยอดงานวิจัยที่ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราในรูปแบบที่หลากหลาย และสามารถใช้ปริมาณน้ำยางได้เป็นจำนวนมาก เพื่อให้สามารถสนับสนุนการแก้ไขปัญหายางพาราของรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม สำหรับการดำเนินโครงการปรับปรุงผิวจราจรลูกรังเป็นผิวจราจร Para Rubber Polymer Soil Cement ให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรฐานงานทาง (ทล.-ม.) ข้อกำหนดพิเศษ สว.พิเศษ ๑/๒๕๖๐ ดินซีเมนต์ปรับปรุงคุณภาพด้วยยางธรรมชาติ (Para Soil Cement) ซึ่งจะช่วยให้การปรับปรุงผิวจราจรมีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานของกรมทางหลวง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1038 | การปรับกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการไทยนิยม ยั่งยืน | มท | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. ปรับกรอบระยะเวลาในการลงพื้นที่ของทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตำบล/ระดับชุมชน ครั้งที่ ๓ จากวันที่ ๑๑-๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ เป็น ๑๑ เมษายน-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๔ จากวันที่ ๑-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เป็น ๑๖ พฤษภาคม-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ๒. ปรับกรอบระยะเวลาดำเนินการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท) จากเดิม “เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลบังคับใช้ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑” เป็น “ภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลบังคับใช้” รวมทั้งแก้ไขคู่มือการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่ขอเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1039 | สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2561 | คค | 17/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ประกอบด้วยเรื่องสืบเนื่องเพื่อทราบ ๖ เรื่อง เรื่องทราบ ๒ เรื่อง และเรื่องพิจารณา ๓ เรื่อง คือ (๑) การดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ในเมืองภูมิภาค (จังหวัดเชียงใหม่และเขตเมืองนครราชสีมา) ที่ประชุมมีมติมอบการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินโครงการโดยให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ รฟม. ควรดำเนินการก่อสร้างครั้งละ ๑ เส้นทาง ตามลำดับความสำคัญ (๒) โครงการศึกษาจัดทำระบบจอดแล้วจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ประชุมมีมติเห็นชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนแม่บทดังกล่าวไปเป็นแนวทางในการจัดทำจุดจอดแล้วจรและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป และ (๓) โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๓ สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรูปแบบการพัฒนาโครงการเพื่อใช้ประโยชน์เสาตอม่อโครงการฯ บนแนวกึ่งกลางถนนประเสริฐมนูกิจที่ก่อสร้างไว้แล้วให้เกิดประโยชน์ด้วยการพัฒนาทั้งระบบทางด่วน และให้เชื่อมโยงสอดคล้องกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมทั้งมอบการทางพิเศษแห่งประเทศไทยพัฒนาโครงข่ายระบบทางด่วนทดแทนตอน N1 ไปพร้อมกับการพัฒนาโครงการฯ และ E-W Corridor เพื่อลดผลกระทบการจราจรบริเวณแยกเกษตร โดยการระดมทุนผ่าน Thailand Future Fund ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1040 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน | กษ | 17/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยมีประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง การบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน] การจัดทำฐานข้อมูลในการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน การให้ความสำคัญและเข้มงวดในขั้นตอนการส่งมอบและรับมอบนมโรงเรียน การปรับเปลี่ยนฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม และการประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าของโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ผ่านทางเว็บไซต์ เป็นต้น รวมทั้งประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับไปดำเนินการ เช่น การทบทวนระยะเวลาในการจัดทำบันทึกข้อตกลงการซื้อขายน้ำนมดิบ (MOU) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการพิจารณาจัดสรรสิทธิและการจำหน่ายนมโรงเรียน การมอบหมายหน่วยงานหลักในการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการ การศึกษารายละเอียดการจัดซื้อจัดจ้างอย่างรอบคอบและครอบคลุมทุกประเด็น และการจัดทำแผนการปฏิบัติงานการบูรณาการ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการพิจารณาดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....