ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1101 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ 2 ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) | กษ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ ๒ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) ทั้ง ๓ โครงการ กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๑,๖๘๗.๑๕๕๗ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในวงเงิน ๔๔.๐๐๕๗ ล้านบาท โดยส่วนที่เหลืออนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ แล้ว ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๖๔๓.๑๕๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้เพื่อให้เกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๓.๑ ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการฯ ให้เกษตรกรรับทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานโครงการฯ ด้วย ๓.๒ กำหนดให้พื้นที่สำหรับการดำเนินโครงการฯ ในครั้งนี้ต้องไม่ใช่พื้นที่เดียวกับโครงการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวรอบที่ ๒ ปี ๒๕๖๐/๖๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ [เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ รวมทั้งจะต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปประกอบกิจกรรมอื่นเป็นการถาวรไปแล้ว ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม)] โครงการโคบาลบูรพา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา) และโครงการปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนนาข้าว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต)] ๓.๓ ประสานงานกับโรงงานอาหารสัตว์ที่เป็นผู้รับซื้อเมล็ดข้าวโพดตามโครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ โดยให้ภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามเงื่อนไขในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ด กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า ๘ บาท ในมาตรฐานคุณภาพข้าวโพดของสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ข้าวโพดเบอร์ ๒ ความชื้นไม่เกินร้อยละ ๑๔.๕ ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลดทอนตามชั้นคุณภาพ และระยะทางอย่างเป็นธรรมแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวกับเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) : การปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๙/๖๐ รอบที่ ๒ (มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) : การปรับเปลี่ยนปลูกพืชหมุนเวียน)] ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์การผลิตและการค้าอาหารสัตว์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งบริหารจัดการการนำเข้าอาหารสัตว์ทั้งในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าเกษตรอื่นที่ใช้ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เช่น ข้าวสาลี และกากข้าวโพดเอทานอล (Distillers Dried Grains with Solubles : DDGS) อย่างรัดกุม ๕. ในการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องดำเนินการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ ๒ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดพื้นที่ในการดำเนินโครงการฯ ไม่ให้ทับซ้อนกัน การตรวจสอบเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน การเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้เกษตรกรได้รับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง การพิจารณาระยะเวลาดำเนินการให้มีความเหมาะสมและสามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาที่กำหนด การติดตามการดำเนินโครงการฯ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน และการประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปปลูกพืชอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1102 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ) | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนโครงการสานพลังประชารัฐ หรือเพื่อดำเนินการภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1103 | การสมทบเงินกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม | กต | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้เบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน ๓๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบเงินอุดหนุนของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสมทบเงินอุดหนุนเข้ากองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามเพิ่มเติม เพื่อใช้สำหรับส่งเสริมความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสามต่อไป ๑.๒ อนุมัติการให้เงินสมทบเข้ากองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อมีการเรียกเก็บ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือคำนวณอัตราเงินสมทบกองทุนฯ ใหม่ จากที่ระบุไว้ในเอกสารข้อกำหนด (Terms of Reference) ของกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในระยะที่ผ่านมา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรายละเอียดของหลักเกณฑ์การจัดทำและการพิจารณาข้อเสนอโครงการตามมาตรฐานอาเซียนให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ทั่วถึง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาประเทศในสาขาต่าง ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1104 | ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการตลาดประชารัฐ | มท | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการตลาดประชารัฐ ประกอบด้วย (๑) การเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการตลาดประชารัฐทั่วประเทศ (๒) การประชาสัมพันธ์โครงการตลาดประชารัฐ (๓) การลงทะเบียนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ (๔) การเชื่อมโยงผู้ประกอบการเพื่อจัดสรรพื้นที่ในตลาดประชารัฐ (๕) การอบรมผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ (๖) การเปิดตลาดประชารัฐ และ (๗) การเข้าร่วมภาคีเครือข่ายของส่วนราชการเพิ่มเติมตามโครงการตลาดประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (การเคหะแห่งชาติ) เป็นผู้ร่วมดำเนินโครงการตลาดประชารัฐเพิ่มเติมด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการสินค้าที่นำมาจำหน่ายในตลาดประชารัฐให้มีความหลากหลายเพื่อเพิ่มช่องทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค รวมทั้งกำกับดูแลไม่ให้ผู้ได้รับสิทธิ์ในการนำสินค้ามาจำหน่ายในตลาดประชารัฐนำพื้นที่จำหน่ายสินค้าไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วงต่อ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพหรือเป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพในตลาดประชารัฐประเภทต่าง ๆ ให้สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าออกไปสู่ตลาดขนาดกลางหรือตลาดที่มีขนาดใหญ่ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป เช่น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1105 | โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ | ศธ | 28/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ ระยะที่ ๓ เป็นการต่อยอดให้นักเรียนซึ่งได้รับทุนการศึกษาในโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ ระยะที่ ๑ และ ๒ ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-กีฬา และแผนการเรียนศิลป์ภาษา-กีฬา ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน ๑๒ โรงเรียน นักเรียนจำนวน ๒,๕๑๙ คน ให้ได้รับทุนการศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ของสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) แผนการดำเนินงานใน ๕ ปีการศึกษา (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕) โดยเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๙ งบประมาณดำเนินโครงการฯ ๕๕๑,๖๗๗,๕๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้ สกอ. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นทุนการศึกษา จำนวน ๖๔ ทุน วงเงิน ๑,๗๖๐,๐๐๐ บาท และ สอศ. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นทุนการศึกษา จำนวน ๒๗ ทุน วงเงิน ๗๔๒,๕๐๐ บาท รวมจำนวน ๙๑ ทุน วงเงินทั้งสิ้น ๒,๕๐๒,๕๐๐ บาท ส่วนทุนการศึกษาที่เหลืออยู่อีก จำนวน ๒,๔๒๘ ทุน ให้ทั้งสองหน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ จำนวน ๑๙,๒๑๓,๐๐๐ บาท จะพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการรับนักเรียนใน ๑๒ โรงเรียน ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕ ของ สพฐ. ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานตามโครงการฯ และกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกเป้าหมายนักเรียนที่จะได้รับทุนต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล โครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และควรเตรียมมาตรการรองรับกรณีผู้สำเร็จการศึกษาไม่สามารถสอบผ่านการคัดเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาตรี การลาออกกลางคัน และควรคำนึงถึงการให้ผู้รับทุนการศึกษากลับไปพัฒนาภูมิลำเนาของตนเอง รวมทั้งมีการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ นอกจากนี้ ควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐ โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างการรับรู้และขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และควรจัดระบบติดตามประเมินผลและรายงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้ารับการศึกษาในสายสามัญหรือสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและแนวทางการปฏิรูปประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1106 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2560 | นร11 | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยผลการประชุมฯ เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น การใช้เทคโนโลยีในการช่วยยกระดับการบริการของภาครัฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาครัฐสู่การใช้ดิจิทัล และการที่ประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานหลักของกลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ (Public Sector Governance : PSG) จะช่วยส่งเสริมบทบาทและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องการปฏิรูปเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปคใน ๓ ด้านหลัก คือ (๑) การดำเนินงานด้านการปฏิรูปโครงสร้างภายใต้ Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR (๒) การดำเนินงานต่าง ๆ ภายใต้กลุ่มเพื่อนประธาน และ (๓) การดำเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค และการจัดทำรายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปคปี ๒๕๖๑ โดยมีหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการดังกล่าว เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานรับผิดชอบของงานนโยบายการแข่งขันและกฎหมาย จากกรมการค้าภายในเป็นสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จึงขอแก้ไขชื่อหน่วยงาน จากกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) เป็นสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1107 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 2 | พม | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๕๙ ระยะที่ ๒ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารเช่าฯ สมุทรสาคร (กระทุ่มแบน ๓) ระยะที่ ๑ โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดเชียงใหม่ (หนองหอย) และโครงการอาคารเช่าฯ นครสวรรค์ ๒ ระยะที่ ๒ รวม ๔๙๔ หน่วย วงเงินงบประมาณรวม ๒๔๘.๗๔๘ ล้านบาท แหล่งที่มาของเงินลงทุนประกอบด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๑๙๗.๐๕๔ ล้านบาท และเงินกู้ภายในประเทศ ๕๑.๖๙๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ในส่วนที่เป็นเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับเงินกู้ภายในประเทศ ให้ กคช. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ กคช. เริ่มดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ กคช. ดำเนินการต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้เช่า ให้ กคช. นำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นลำดับแรก และในการกำหนดหลักเกณฑ์การเช่า การบริหารโครงการ และการทำสัญญาเช่า ให้ กคช. ดำเนินการด้วยความรอบคอบเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ ๒.๒ ให้ คกช. คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น ขนาด รูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม รวมทั้งความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้จัดทำลำดับความสำคัญและดำเนินการในส่วนที่มีความพร้อมก่อน และให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ กคช. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารโครงการอาคารเช่าฯ โดยเฉพาะการกำกับสัญญาและการเช่าที่ชัดเจน การปรับอัตราค่าเช่าโดยกำหนดแนวทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และพิจารณาเพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ การศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของโครงการอาคารเช่าฯ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1108 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสมภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) | กษ | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (กรมส่งเสริมการเกษตร) และ (๒) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (กรมพัฒนาที่ดิน) ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว กรอบวงเงิน ๔๘๘.๑๕ ล้านบาท แยกเป็น (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๑๘๘.๑๕ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ส่งเสริมความรู้ทางวิชาการด้านการเกษตรผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เครือข่ายหมอดินอาสา ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร กำหนดให้มีคู่มือ หลักเกณฑ์ ขั้นตอนในการขอรับการจัดสรรงบประมาณและเบิกจ่ายเงิน มีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ ให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตได้อย่างแท้จริง และดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ และส่งเสริมองค์ความรู้เพื่อจูงใจให้เกษตรกรหันมาปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ให้บรรลุตามเป้าหมายภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณความต้องการของตลาด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1109 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการภายใต้แผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560 - 2564) | มท | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๑.๑ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๔๔๔,๘๔๑,๑๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเมืองในพื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดชลบุรี ภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) จำนวน ๔ โครงการ โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ดังนี้ ๑.๑.๑ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง จังหวัดระยอง จำนวน ๓ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๔๔๐,๓๖๑,๑๐๐ บาท ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างระบบหมักก๊าซชีวภาพ วงเงิน ๒๕๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท (๒) โครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยตกค้างสะสมจังหวัดระยอง แบบบูรณาการ วงเงิน ๙๔,๓๖๑,๑๐๐ บาท และ (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะเกาะเสม็ด วงเงิน ๙๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒ เทศบาลนครแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดซื้อกังหันน้ำชัยพัฒนาเพื่อบำบัดน้ำเสียในสวนเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา วงเงิน ๔,๔๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1110 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยอาจสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใช้งานศูนย์บริการต่าง ๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้ว นั้น ในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นการปฏิรูป ให้ทุกส่วนราชการประสานงานกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะดำเนินการต่อไป เพื่อให้การดำเนินการของส่วนราชการมีความสอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการให้ประสานหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนที่จะดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลและสถิติที่สำคัญของแต่ละหน่วยงานให้เป็นระบบ ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจ (มูลค่าการค้าการลงทุน มูลค่าการส่งออก ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ) ข้อมูลแรงงาน (กำลังแรงงานภาคเกษตรกรรม/อุตสาหกรรม ความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมแต่ละภาค) โดยพิจารณาจัดทำข้อมูลดังกล่าว เป็น ๒ ประเภท คือ (๑) ข้อมูลเพื่อการบริหารราชการสำหรับให้ส่วนราชการต่าง ๆ นำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ (๒) ข้อมูลสำหรับให้บริการประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้รับทราบถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการระบายน้ำที่สำคัญ เช่น การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยอาจพิจารณาจัดทำในลักษณะต่อยอดหรือขยายผลจากแนวทางที่ดำเนินการอยู่ เช่น แก้มลิงพวง โดยทำเส้นทางระบายน้ำที่มีระยะทางสั้น ๆ เพื่อระบายน้ำไปยังพื้นที่กักเก็บน้ำจุดต่าง ๆ ๒.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการจราจรในบริเวณต่าง ๆ ที่มักประสบปัญหาการจราจรติดขัดอยู่เป็นประจำ โดยให้พิจารณารูปแบบในการดำเนินการให้เหมาะสมและมีทัศนียภาพที่ดี เช่น การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอด ทางยกระดับ เพื่อให้สามารถระบายความหนาแน่นของการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดปริมาณรถติดสะสม ทั้งนี้ ให้เร่งรัดจัดทำแผนดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๕ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ออกแบบการจัดวางผังเมืองในพื้นที่ชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอกของพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้เหมาะสมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงการจัดวางผังเมืองของประเทศในระยะต่อไป ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๖ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ โดยให้นำยางพารามาใช้ในการสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชน และให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม (กรมการทหารช่าง) เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการดังกล่าว โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน นั้น ๒.๖.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้เริ่มดำเนินการกับถนนในท้องถิ่นที่มีสภาพการใช้งานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักบรรทุกมากเป็นลำดับแรก ๒.๖.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณากำหนดมาตรฐานการใช้ยางพาราในการสร้างถนนในสัดส่วนที่มากกว่าที่กำหนดอยู่ในปัจจุบัน (มากกว่าร้อยละ ๕) เพื่อส่งเสริมให้มีการนำยางพารามาใช้ให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1111 | การชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่ขาดหายไปเนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ไม่สามารถใช้บังคับได้ | นร01 | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ เกี่ยวกับเรื่องการชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ขาดหายไปเนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ไม่สามารถใช้บังคับได้ ตามที่ประธาน กกถ. เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. กรณีความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นมีจำนวนจำกัดและต้องสำรองไว้เพื่อใช้จ่ายในภารกิจที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ประกอบกับสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้แก่ อปท. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามโครงการ Matching Fund จำนวน ๙,๘๙๘.๕๐ ล้านบาท จึงไม่สามารถจัดสรรให้แก่ อปท. ได้อีก นั้น เนื่องจากประมาณการรายได้ในส่วนของรายได้ อปท. จัดเก็บเองในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลใช้บังคับ ซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริง ดังนั้น จึงควรพิจารณาจากรายได้ที่ อปท. จัดเก็บเองตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ๒. กรณีความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ให้ กกถ. ร่วมกับ อปท. ส่งเสริมการดำเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นเพื่อเพิ่มรายได้ของ อปท. และกำหนดวิธีการบริหารจัดการการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการดำเนินโครงการต่อยอดการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น นั้น เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. .... และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๓) ด้านการเงิน การคลังและงบประมาณ ที่จะมีผลบังคับใช้ จะได้ดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1112 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 3 โครงการ | กษ | 14/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน ๓ โครงการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ จากระยะเวลาเดิม ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๑) เป็นระยะเวลา ๑๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๖) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๐,๕๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ จากระยะเวลาเดิม ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๑) เป็นระยะเวลา ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๔) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๔,๘๐๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ จากระยะเวลาเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) เป็นระยะเวลา ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมติไว้เดิม จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ทั้ง ๓ โครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1113 | ขออนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินและขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | กษ | 07/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี จากเดิม ๘,๓๐๐ ล้านบาท เป็น ๙,๐๗๘ ล้านบาท และขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการฯ จากเดิม ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๑) เป็น ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๕๓-๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับวงเงินที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๗๗๘ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องตามแผนการดำเนินงานของโครงการที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป และในการดำเนินโครงการ ให้กรมชลประทานปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เป็นไปตามกรอบเวลาและวงเงินที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1114 | รายงานผลโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปี 2559 | พม | 07/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปี ๒๕๕๙ ซึ่งผลการติดตามและประเมินผล มีผลสำรวจที่ยืนยันว่าการดำเนินโครงการฯ เป็นการลงทุนกับเด็กที่คุ้มค่าเนื่องจากทำให้แม่และเด็กได้เข้าสู่บริการสาธารณสุข ส่วนผลกระทบของเงินอุดหนุนต่อการเลี้ยงดูเด็กและพัฒนาการของเด็กไม่อาจวัดผลได้ในระยะสั้น และเห็นชอบกรณีการยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดว่า ผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดต้องไม่เป็นผู้อยู่ในระบบประกันสังคม และเริ่มดำเนินการปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สำหรับภาระงบประมาณจากการให้สิทธิ์เด็กในระบบประกันสังคมที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ให้จัดทำรายละเอียดพร้อมแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลสถานะของผู้ขอรับสิทธิ์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างแท้จริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายและผู้ทำหน้าที่คัดกรองสิทธิ์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงสิทธิ์ และผู้คัดกรองสิทธิ์มีความเข้าใจในหลักเกณฑ์ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และควรมีการประเมินจำนวนครัวเรือนยากจนที่อยู่ในระบบประกันสังคมที่คาดว่าจะมีสิทธิ์ขอรับเงินอุดหนุนฯ และงบประมาณที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาและการจัดสรรงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์บูรณาการการดำเนินโครงการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน (สำนักงานประกันสังคม) กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมของการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยทั้งระบบ รวมทั้งให้เร่งประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้สามารถนำผลการประเมินดังกล่าวไปปรับปรุงการดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริงต่อไป ๔. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๔.๑ พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงข้อมูลจากฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังและฐานข้อมูลรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งปรับปรุงระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ได้บรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๔.๒ ปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและรับรองสิทธิ์จากเดิมที่เป็นการใช้กลไกในพื้นที่โดยใช้ดุลยพินิจของผู้รับรอง เพื่อให้เกิดการเข้าถึงผู้มีสิทธิ์อย่างแท้จริง ตามข้อสังเกตจากรายงานการติดตามประเมินผลโครงการฯ ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1115 | แนวทางการดำเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ | กค | 07/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการภายใต้ชื่อ โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ โดยให้เริ่มดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้จ้างกรมธนารักษ์จัดทำเหรียญเชิดชูเกียรติ และจัดส่งให้แก่ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามโครงการฯ ต่อไป สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นเหมาะสมและสอดคล้องกับกำหนดเวลาที่จะมอบเหรียญเชิดชูเกียรติให้แก่ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปพิจารณาทบทวนข้อความที่จะใช้สลักบนเหรียญเชิดชูเกียรติให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่งด้วย ๒. ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสม คุ้มค่า และเป็นไปตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุแบบบูรณาการ) รวมทั้งให้พิจารณากำหนดระยะเวลาในกรณีที่ผู้บริจาคประสงค์จะยกเลิกการบริจาคในภายหลังให้มีความชัดเจนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1116 | ขอความเห็นชอบโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2559/60 เพิ่มเติม | กค | 31/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้เพิ่มจำนวนเกษตรกรเป้าหมายของโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ เพิ่มเติม จากเดิม (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) จำนวน ๒๑๒,๘๕๐ ราย เป็น จำนวน ๒๖๐,๓๘๙ ราย และเพิ่มงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๘๕๙.๕๐ ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจาก จำนวน ๑,๙๖๕.๕๐ ล้านบาทต่อปี รวมระยะเวลา ๒ ปี จำนวน ๓,๙๓๑ ล้านบาท เป็น จำนวน ๒,๓๙๕.๒๕ ล้านบาทต่อปี รวมระยะเวลา ๒ ปี จำนวน ๔,๗๙๐.๕๐ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ที่เพิ่มขึ้น ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ถูกต้องเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และเป้าหมายของโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการต่าง ๆ ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐในลักษณะเดียวกันด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการในการปรับปรุงและฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อที่เกษตรกรจะได้นำวงเงินค่าใช้จ่ายในส่วนที่ยังไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยไปดำเนินการปรับปรุงและฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบูรณาการให้ความช่วยเหลือในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1117 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนสิงหาคม 2560 | นร02 | 31/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญ ดังนี้
๑. ผลงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ (๑) เดือนที่ผ่านมา (สิงหาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การบรรเทาสาธารณภัย การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การดำเนินงานแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว และการประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านสุขภาพ การแพทย์และสาธารณสุข และ (๒) เดือนต่อไป (ตุลาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และความคืบหน้าการดำเนินโครงการ Gov Channel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน ๒. ผลงานตามประเด็นการปฏิรูป (๑) เดือนที่ผ่านมา (สิงหาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและเมือง การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเยาวชนและแรงงานไทย และการพัฒนาตลาดอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ SMEs และ (๒) เดือนต่อไป (ตุลาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาสมรรถนะทางเศรษฐกิจ และความคืบหน้าการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ ๓. ผลงานการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน (๑) เดือนที่ผ่านมา (สิงหาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ ความคืบหน้าการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้างต่างด้าว การอำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย และการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ (๒) เดือนต่อไป (ตุลาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การรายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน การสร้างความมั่นคงและการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ๔. ผลงานสำคัญอื่น ๆ (๑) เดือนที่ผ่านมา (สิงหาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และ (๒) เดือนต่อไป (ตุลาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1118 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 34 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 กรกฎาคม 2560) | นร | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๔ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามการขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องพระบรมเดชานุภาพ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU) ไทย-ลาว การดำเนินโครงการประชารัฐสุขใจ การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบจากการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การจัดการศึกษาปฐมวัย ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ การดำเนินโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเครดิตเพื่อส่งเสริมการใช้บัตรเดบิต การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย การส่งเสริมการค้าภายในประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสู่ประเทศไทย ๔.๐ การส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศและประชาคมโลก การเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นและทัศนคติที่ดีต่อไทย ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1119 | ขอขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2 | กค | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ จากเดิม สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ เป็น สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลัง [บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)] ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เพื่อให้การขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยได้มากขึ้นและปิดโครงการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งมีกลไกในการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นรูปธรรม ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ เร่งประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของโครงการฯ เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยมาเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น ๒.๒ จัดทำรายงานผลการดำเนินโครงการฯ และผลสัมฤทธิ์ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ เพื่อช่วยเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1120 | การปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ | กค | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยมีกิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการ จำนวน ๒๒ กิจการ ประกอบด้วย กลุ่มที่ ๑ กิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-out) จำนวน ๔ กิจการ และกลุ่มที่ ๒ กิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-in) จำนวน ๑๘ กิจการ ๑.๒ รับทราบรายการโครงการในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (Project Pipeline) จำนวน ๕๕ โครงการ โดยมีประมาณการมูลค่าการลงทุนรวม ๑.๖๒ ล้านล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะกรรมการนโยบายฯ กำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงเจ้าสังกัดติดตามการดำเนินโครงการในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อย่างใกล้ชิด และควรกำหนดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วน รวมทั้งจัดลำดับการดำเนินกิจการต่าง ๆ โดยพิจารณาขีดความสามารถในการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาความเหมาะสมในการปรับเพิ่มกิจการที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานไว้ในร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนของภาครัฐและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเอกชนในการลงทุนด้านพลังงานของประเทศ ทั้งนี้ หากคณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาแล้วเห็นควรปรับเพิ่มกิจการดังกล่าว ก็ให้ดำเนินการปรับปรุงร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๔. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานของโครงการเร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน เพื่อเสนอโครงการภายใต้กิจการที่จะให้เอกชนร่วมลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ รวมทั้งแจ้งความคืบหน้าของโครงการที่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของเงินลงทุนให้คณะกรรมการนโยบายฯ ทราบต่อไป ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายฯ ดำเนินการให้มีการยกเลิกประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้บังคับแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีความชัดเจนต่อไป
|
.....