ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 47 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 921 - 940 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
921 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ | คค | 18/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับการผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๖ เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้ รฟท. ดำเนินการตามมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เช่น (๑) ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงาน EIA (๒) การดำเนินการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ขอให้ รฟท. คำนึงถึงทิศทางการไหลของน้ำโดยธรรมชาติ โดยการก่อสร้างรถไฟทางคู่ดังกล่าวต้องไม่กีดขวางทิศทางการไหลของน้ำที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และ (๒) การดำเนินโครงการฯ หากมีจุดที่กีดขวางทางน้ำ ขอให้ รฟท. ออกแบบให้มีช่องทางระบายน้ำ โดยกำหนดตำแหน่งและขนาดของช่องระบายน้ำที่เหมาะสม เพียงพอต่อการระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
922 | แผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปีพุทธศักราช 2562) ให้แก่ประชาชน | กห | 13/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒) ให้แก่ประชาชน ภายใต้การดำเนินโครงการ “เติมความสุข ให้คนไทย จากใจทหาร” ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑-๒ มกราคม ๒๕๖๒ โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่มงานหลัก ได้แก่ งานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน งานการช่วยเหลือประชาชน และงานให้บริการและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
923 | ร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... | นร09 | 13/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อให้มีการกำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนและแน่นอนในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยมุ่งเน้นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน และมีมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนอย่างเหมาะสม โดยกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการจัดทำโครงการร่วมลงทุนที่กระชับ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และสามารถสร้างแรงจูงใจให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา โดยให้นำความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการเพิ่มข้อกำหนดภายหลังการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในเรื่องการดำรงตำแหน่งและสัดส่วนการเข้าถือหุ้นในกิจการของเอกชนที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ การปรับปรุงถ้อยคำในมาตรา ๒๙ ๓๐ และ ๓๖ เป็น “คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการร่วมลงทุน” แทน “คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการของโครงการร่วมลงทุน” และการนำแนวทางตามบทบัญญัติในมาตรา ๒๕ มาใช้บังคับแก่หน่วยงานเจ้าของโครงการและคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อให้การปรับเปลี่ยนรูปแบบการคัดเลือกเอกชนมีความรอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมีข้อมูลที่ครบถ้วน รวมทั้งการให้คณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในฐานะคณะกรรมการที่มีอำนาจและหน้าที่ในการกำกับดูแลการร่วมลงทุนของรัฐพิจารณาให้ความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชน ร่างสัญญาร่วมลงทุน และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน ไปประกอบการพิจารณาด้วย ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่จัดทำโดยกระทรวงการคลัง ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับเพิ่มบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนให้สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ (Check and Balance) และการกำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และกรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติงานบนหลักการของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ตามเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายที่เสนอในครั้งนี้ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
924 | ขออนุมัติงบประมาณตามโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการของบประมาณเพิ่มเติมให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๗,๐๒๑.๙๖๘๐ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงภายในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย) เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรเร่งพิจารณาสำรวจและตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรรายย่อยอื่นที่เป็นหนี้สถาบันเกษตรกรและไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ตามมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกับเกษตรกรรายย่อยที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. และให้กระทรวงการคลังประเมินผลกระทบโครงการลดดอกเบี้ยจากโครงการก่อนหน้าและติดตามความสำเร็จของโครงการปัจจุบัน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. มีระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างเพียงพอ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
925 | ขออนุมัติดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ 1) | กษ | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ ๑) เพื่อแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยการผันน้ำหลากส่วนเกินไม่ให้ท่วมเมืองชัยภูมิ และผันน้ำจากลำปะทาวผ่านคลองผันน้ำส่งช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกบริเวณโครงการฯ ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๓,๔๔๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีการดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนและการบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างสอดคล้องและเชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเห็นควรให้กรมชลประทานพิจารณาจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานเตรียมความพร้อม ตลอดจนบูรณาการร่วมกับกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อให้การกำหนดพื้นที่ดำเนินการตามแผนการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมในแผนฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณเหนือพื้นที่โครงการฯ สอดคล้องกับเป้าหมายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการประตูระบายน้ำกุดสวง จำนวน ๖๐ ล้านบาท และรายการประตูระบายน้ำห้วยเสียว จำนวน ๖๐ ล้านบาท ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัดเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างของโครงการฯ และพื้นที่บริเวณโดยรอบเกี่ยวกับประโยชน์ของการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
926 | โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค | ศธ | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น (Thai KOSEN) จำนวน ๒ วิทยาเขต ได้แก่ สถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KOSEN KMITL) และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KOSEN KMUTT) และพัฒนาหลักสูตรที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการผลิต วิศวกรนักปฏิบัติ นักเทคโนโลยีและนวัตกรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญสูงในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม และสามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีของประเทศ สนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมและการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จัดทำหลักสูตรด้านวิศวกรรมศาสตร์ และจัดให้มีทุนการศึกษาวิจัยและพัฒนา ฝึกอบรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์แก่นักศึกษาในหลักสูตรโคเซ็น ๔ ประเภท ระยะเวลาดำเนินการ ๑๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔) งบประมาณที่ใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ ทั้งสิ้น ๓,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ในระยะยาว โดยร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในภาคอุสาหกรรมของประเทศ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีผู้แทนของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นองค์ประกอบคณะกรรมการดังกล่าว ไปพิจารณาทบทวนองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวให้เหมาะสม ส่วนการจัดตั้งสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่เดิมรองรับการจัดตั้งสถาบันดังกล่าวก่อน ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM) สำหรับทุกระดับการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ดียิ่งขึ้นโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
927 | โครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบประเภทเวอร์ยิเนีย เบอร์เลย์ และเตอร์กิช ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ ยสท. และกรมสรรพาสามิตแล้ว จำนวน ๑๓,๕๕๗ ราย และที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของ ยสท. เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ซึ่งจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบ และเห็นควรมอบหมายให้ ยสท. ร่วมกับกรมสรรพสามิตในฐานะที่เป็นผู้รับขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือ พร้อมทั้งตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่จะได้รับความช่วยเหลือก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะกรณีประเภทเวอร์ยิเนียที่ต้องรวมเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบบ่มเองที่ได้รับโควตา และเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบภายใต้ผู้บ่มอิสระที่ได้รับโควตา เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ยสท. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกยาสูบ หรือสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่มีความพร้อมปรับเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นที่เหมาะสม โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเริ่มฤดูการผลิตในปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เพื่อให้เกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบมีเวลาเพียงพอในการปรับแผนการผลิต รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ยสท. ประสานความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพัฒนาอาชีพการทำการเกษตรที่ทดแทนการปลูกยาสูบ เพื่อให้มีรายได้ทดแทนจากการจำหน่ายใบยาสูบที่ลดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
928 | โครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร | กษ | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร และเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากสินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔ ต่อปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ระยะเวลาจ่ายเงินกู้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒ กำหนดชำระคืนไม่เกิน ๑๒ เดือน นับจากวันกู้ โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ในกรอบวงเงิน ๑๕๐ ล้านบาท และสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี ในลักษณะเช่นเดียวกับการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้รวบรวมยาง (วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) และให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ ภาระที่รัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าบริหารจัดการในการรวบรวมยางพารา ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดแล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
929 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลระยะเร่งด่วน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | สธ | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ระยะเร่งด่วน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๗๖๓,๕๓๘,๕๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานที่สะท้อนผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้นของประชาชน และผลสัมฤทธิ์ของโครงการในการช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
930 | "โครงการความร่วมมือระหว่างกองทัพบก และ วช. : พอเพียงเพิ่มพลังชุมชน มั่นคงด้วยวิจัยและนวัตกรรม" บรรจุในแผนกิจกรรมเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปี พ.ศ. 2562) | นร04 | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ “โครงการความร่วมมือระหว่างกองทัพบก และ วช. : พอเพียงเพิ่มพลังชุมชน มั่นคงด้วยวิจัยและนวัตกรรม” บรรจุในแผนกิจกรรมเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ (ปี พ.ศ. ๒๕๖๒) โดยการดำเนินโครงการดังกล่าว กองทัพบกและสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจะร่วมกันในการขยายผลองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม สู่ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยการคัดกรององค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีความพร้อมและเหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ชุมชน และนำสู่การขยายผลองค์ความรู้เหล่านั้นไปยังศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและชุมชนโดยรอบในความดูแลของศูนย์ฯ ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการร่วมกันได้ทันที โดยขยายผลไปยังศูนย์การเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า ๒๐ ศูนย์ ใน ๔ ภูมิภาคทั่วประเทศ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ชุมชน รวมถึงกำลังพล จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คน อันจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนและชุมชนฐานรากของประเทศได้อย่างยั่งยืนด้วยวิจัยและนวัตกรรม ส่งผลให้ประชาชน กำลังพล และชุมชนที่ได้รับประโยชน์จากองค์ความรู้การวิจัยและนวัตกรรมในศูนย์การเรียนรู้ฯ มีอาชีพ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในบริบทการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
931 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) โดยดำเนินโครงการฯ บนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.๐๔๙๓ (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๙ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ ๘๑-๒-๕๙ ไร่ (๑๓๐,๖๓๕ ตารางเมตร) กรอบวงเงินลงทุนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับกรอบวงเงินลงทุนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแหล่งเงินทุนและวิธีการระดมทุนที่เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงต้นทุนทางการเงิน ความเหมาะสม คุ้มค่า ภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ และ ธพส.รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานศาลปกครอง เช่น (๑) เห็นควรให้ ธพส. ประสานหน่วยงานการจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับภารกิจและการปฏิบัติราชการ และดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย (๒) เห็นควรมีแผนการรองรับผลกระทบหากการพัฒนาพื้นที่โซน C ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นในศูนย์ราชการฯ โดยเฉพาะปัญหาการจราจรและปัญหาน้ำท่วมขังในภาวะฝนตกหนักบริเวณถนนแจ้งวัฒนะ และ (๓) เห็นควรให้ ธพส. จัดสรรพื้นที่ให้แก่สำนักงานศาลปกครอง โดยคำนึงถึงแบบก่อสร้างที่สำนักงานศาลปกครองได้ดำเนินการออกแบบไว้แล้ว เนื่องจาก ธพส. จัดสรรพื้นที่ให้แก่สำนักงานศาลปกครองตามหลักเกณฑ์การจัดสรรของสำนักงบประมาณ ซึ่งน้อยกว่าที่สำนักงานศาลปกครองเสนอขอไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ และ ธพส. พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนในแต่ละขั้นตอนโดยคำนึงถึงความเสี่ยงทางด้านรายได้ในกรณีที่ไม่มีผู้เช่าพื้นที่ตามที่ประมาณการไว้ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาและรายละเอียดของโครงการฯ ตามมติของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ต่อไป รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถของโครงการฯ ให้เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในโครงการฯ และให้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการบริหารจัดการการจราจรในบริเวณพื้นที่โดยรอบและที่เชื่อมโยงกับถนนแจ้งวัฒนะให้เหมาะสมและมีความคล่องตัว เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่งทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
932 | ขอความเห็นชอบการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยให้กรุงเทพมหานคร | คค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร) รายงานว่า การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะส่งผลให้การบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางมีประสิทธิภาพ และประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเดินรถแบบต่อเนื่อง (Through Operation) อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วเห็นควรให้ รฟม. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินโครงการอาคารจอดแล้วจร (Park & Ride) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เนื่องจาก (๑) ปัจจุบัน รฟม. รับผิดชอบดำเนินโครงการอาคารจอดแล้วจรของโครงการรถไฟฟ้าอื่น ๆ อยู่แล้วหลายอาคาร ดังนั้น การให้ รฟม. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบบริหารจัดการอาคารจอดแล้วจรของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะทำให้การให้บริการที่จอดรถเป็นไปในมาตรฐานเดียวกันและประชาชนจะได้รับความสะดวกในการใช้บริการ และ (๒) กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินโครงการพัฒนาที่ดินของ รฟม. ที่ได้จากการเวนคืนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยบริเวณแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดย รฟม. มีแผนจะดำเนินโครงการนำร่องในการใช้พื้นที่บริเวณอาคารจอดแล้วจรของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาการนำโครงการที่ดินที่ได้จากการเวนคืนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อพิจารณาอนุมัติการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้ รฟม. ดำเนินการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเชียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต (ไม่รวมอาคารจอดแล้วจร) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๕ (๕) ซึ่งใช้ข้อมูลทางการเงินของโครงการฯ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ และข้อมูลประมาณการทางการเงิน ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒ เป็นข้อมูลอ้างอิง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เพื่อให้กระทรวงมหาดไทย โดย กทม. รับโอนกรรมสิทธิ์และการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของ รฟม. ต่อไป ๓. รับทราบร่างบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจำหน่ายทรัพย์สินและโอนภาระทางการเงินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของ รฟม. ให้ กทม. ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ กทม. บูรณาการการเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าต่าง ๆ รวมทั้งการกำหนดอัตราค่าแรกเข้าและอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรม และไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการมากเกินไป และให้เร่งรัดดำเนินการเรื่องระบบตั๋วร่วมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ กทม. พิจารณากำหนดอัตราค่าแรกเข้าและการใช้ระบบตั๋วร่วมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ตามความเห็นของกระทรวงการคลังด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม (๑) เร่งกำหนดมาตรฐานในการให้บริการระบบขนส่งทางราง ทั้งในด้านความปลอดภัย การอำนวยความสะดวก และด้านอื่น ๆ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการบูรณาการการให้บริการระบบขนส่งทางรางร่วมกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งเอกชนคู่สัญญาที่ให้บริการขนส่งสาธารณะต่อไป (๒) รับไปหารือร่วมกับ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติโดยเร็วเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงคูคต-วงแหวนตะวันออก (ลำลูกกา) และช่วงสมุทรปราการ-บางปู และ (๓) เร่งเสนอโครงการพัฒนาที่ดินของ รฟม. ที่ได้จากการเวนคืนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่บริเวณอาคารจอดแล้วจรของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต่อคณะกรรมการพิจารณาการนำที่ดินที่ได้จากการเวนคืนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๖. ให้ กทม.พิจารณาดำเนินการ (๑) บริหารจัดการเงินรายได้และตั้งงบประมาณของ กทม. ให้เพียงพอต่อการชำระหนี้ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งพิจารณากำหนดค่าโดยสารให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับค่าครองชีพของผู้ใช้บริการด้วย และ (๒) บริหารจัดการสัญญาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้มีระยะสิ้นสุดพร้อมกันทุกช่วง เพื่อให้ กทม. สามารถเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมแข่งขันประมูลการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวได้ทั้งสาย อันจะเป็นการจูงใจให้มีเอกชนรายใหม่เข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อภาครัฐและผู้ใช้บริการระบบขนส่งมวลชนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
933 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สิน และหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ | มท | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สิน และหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้กรุงเทพมหานครดำเนินการตามภาระผูกพันที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ตกลงไว้กับหน่วยงานหรือบุคคลอื่นในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวมทั้งภาระผูกพันอื่น ๆ ที่อาจมีขึ้นเพิ่มเติมในอนาคตอย่างเคร่งครัด และให้กรุงเทพมหานครพิจารณาดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับค่าแรกเข้าระบบและระบบตั๋วร่วมด้วย (๒) ให้กระทรวงการคลังบรรจุวงเงินกู้ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ในแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป (๓) ให้กรุงเทพมหานครเร่งเสนอเรื่องการขยายกรอบวงเงินตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครฯ ให้สอดคล้องกับภาระทางการเงินที่ได้ตกลงกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยปัจจุบัน และ (๔) ให้กรุงเทพมหานครเร่งเสนอรูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการเดินรถตามขั้นตอนพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้กรุงเทพมหานครสามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ภายใต้การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
934 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีการดำเนินกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยการพัฒนาคลอง คู และลำรางในเขตต่าง ๆ ๒๒ คู คลอง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นมลพิษ รวมทั้งทำความสะอาดสถานที่สำคัญที่อยู่ริมคลอง และได้นำแนวทางการพัฒนาดังกล่าวไปปรับใช้ในพื้นที่ส่วนภูมิภาคด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินกิจกรรมไปแล้ว จำนวน ๑๓,๓๖๒ กิจกรรม มีจิตอาสารวมทั้งสิ้น ๔,๕๒๕,๒๒๖ คน ๒. การปรับปรุงร่างคู่มือการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ๒.๑ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับศูนย์อำนวยการใหญ่โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ (ศอญ.) ได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำร่างคู่มือการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ และได้ปรับปรุงหัวข้อและเนื้อหาในร่างคู่มือการดำเนินโครงการฯ ๒.๒ ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ) และผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายพศิน โกมลวิชญ์) ในฐานะผู้แทนของรัฐบาลได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ร่วมกับส่วนราชการ ภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ เช่น การพัฒนาและปรับปรุงคลองเปรมประชากร การก่อสร้างท่อลอดบนถนนวิภาวดีรังสิตของกรมทางหลวง และให้กำลังใจจิตอาสาที่จัดกิจกรรมเก็บผักตบชวาและทำความสะอาดคลอง ๑ บริเวณวัดคุณหญิงส้มจีน อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
935 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน-๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองมะละกา รัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการติดตามผลการดำเนินงานของ IMT-GT ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีผลสำเร็จสำคัญ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจของอนุภูมิภาค IMT-GT การเปิดใช้รถไฟฟ้ารางเบาในเมืองปาเล็มบัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และความก้าวหน้าในการก่อสร้างด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัม ประเทศมาเลเซีย และด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ประเทศไทย เป็นต้น และกำหนดแนวทางความร่วมมือแผนงาน IMT-GT ในระยะต่อไป เช่น การทบทวนการดำเนินงานระยะกึ่งกลางแผนการดำเนินการระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ การขับเคลื่อนแนวระเบียงเศรษฐกิจที่ ๖ และการเร่งรัดพัฒนาเมืองสีเขียวตามกรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนเพื่อช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ต่อไป เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ แผนงาน IMT-GT ซึ่งได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เนื้อหามีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น แต่คงไว้ซึ่งเนื้อหาและสาระสำคัญตามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ และมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส และการจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างกันในด้านความร่วมมือด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจโรคพืชและสัตว์ ต้องคำนึงถึงมิติความมั่นคงและผลผูกพันต่อการดำเนินการของไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
936 | ขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณคลองบางนาง แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1-2) โดยอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับป่าชายเลน | พน | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้ กฟผ. ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) เนื้อที่ประมาณ ๒,๓๐๕ ตารางเมตร ทั้งนี้ ให้ กฟผ. เร่งรัดดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงพลังงานกำชับให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในการขุดลอกดินเพื่อคลองชักน้ำและก่อสร้างทำนบกั้นชั่วคราวระหว่างก่อสร้างบ่อพักน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ กฟผ. ใช้เงินรายได้ของ กฟผ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลน เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
937 | โครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม | มท | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม (ฉบับปรับปรุง) จากเดิมก่อสร้างในที่ดินบริเวณโคกภูกระแต เป็นก่อสร้างในที่ดินของ กปภ. สาขานครพนม วงเงินเต็มโครงการ ๗๖.๙๘๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่ขัดต่อมาตรการที่ใช้ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ แต่ต้องคำนึงถึงการกัดเซาะพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งหากมีการนำน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินการผลิตน้ำประปา เพราะในระยะยาวการปล่อยให้พื้นที่ริมตลิ่งถูกกัดเซาะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของกระแสน้ำ ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวของดินและการสูญเสียแผ่นดินในบริเวณริมตลิ่งเพิ่มมากขึ้น และเห็นควรให้ กปภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เช่น ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต การบริหารจัดการ และลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนด้านการจราจรในช่วงระหว่างก่อสร้างโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กปภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กปภ. ในคราวต่อ ๆ ไป อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
938 | ขอรายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 | กษ | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี ๒๕๖๑ โดยส่วนราชการ ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินกิจกรรม ได้แก่ ฝายยาง สระน้ำ บล็อกยางปูพื้น ภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) ถนนงานยางพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต และถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพารา วงเงินงบประมาณ ๒๔,๗๖๐.๕๒ ล้านบาท ปริมาณน้ำยางสดที่ใช้ ๙๗,๙๒๐.๖๑ ตัน ดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้ว ๑๑,๘๔๙.๕๙ ล้านบาท ใช้น้ำยางสด ๒๒,๒๖๒.๓๗ ตัน คงเหลือที่อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการฯ อีกจำนวน ๑๒,๙๑๐.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย (๑) งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามนัยของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๕๗ ในกรณีที่มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประเภทงบกลาง ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ (๒) เงินรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (งบสะสม อปท.) ซึ่งมีลักษณะเป็นเงินนอกงบประมาณ เห็นควรให้ อปท. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และ (๓) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเพื่อพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ และพิจารณาจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีถัดไป ให้มีความสอดคล้องต่อเจตนารมณ์และไม่ขัดกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นควรสนับสนุนให้หน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานคร พิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ยางให้เหมาะสมกับภารกิจให้มากขึ้น เช่น บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) บล็อกยางปูพื้นสนามฟุตซอล ผลิตภัณฑ์เครื่องนอน เป็นต้น โดยจัดทำเป็นโครงการที่สามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน และเอื้อต่อการส่งเสริมการใช้ยางพาราอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้และเพิ่มมูลค่ายางพาราที่สามารถส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมภายในประเทศให้ได้รับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
939 | โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง | กษ | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีดยาง โดยช่วยเหลือค่าครองชีพของเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทยที่มีสวนยางเปิดกรีด จำนวน ๙๙๙,๐๖๕ ราย และคนกรีดยาง จำนวน ๓๐๔,๒๖๖ ราย คิดเป็นพื้นที่เปิดกรีดแล้วรวม ๑๐,๐๓๙,๖๗๒.๒๙ ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดจริง ไร่ละ ๑,๘๐๐ บาท ไม่เกินรายละ ๑๕ ไร่ แบ่งเป็นเจ้าของสวนยาง ๑,๑๐๐ บาท และคนกรีดยาง ๗๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ เดือน (ธันวาคม ๒๕๖๑-กันยายน ๒๕๖๒) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ๑๘,๖๐๔,๙๕๐,๒๐๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งเสนอโครงการให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาราคายางในสถานการณ์ปัจจุบันก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป รวมทั้งควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับเป็นสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางในการดำเนินงานโครงการของคณะกรรมการระดับต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีความชัดเจนและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และพื้นที่สวนยางที่เข้าร่วมโครงการจะต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ตลอดจนกำหนดให้มีกลไกในการติดตามและตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณโครงการ เพื่อให้โครงการเกิดความโปร่งใส คุ้มค่า และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
940 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้เองในปี ๒๕๖๐ ในกรอบวงเงิน ๑๘๖,๒๙๙,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) ค่าใช้จ่ายในการผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน ๓,๘๐๒,๓๐๙ ใบ จำนวนเงิน ๑๖๒,๖๘๗,๒๐๐ บาท (๒) ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน ๓,๘๐๒,๓๐๙ ใบ จำนวนเงิน ๗๙๘,๔๕๐ บาท และ (๓) ค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการรายปี รวมค่าบริหารจัดการโครงการ ค่าควบคุมงาน และบริหารระบบต่าง ๆ รวมถึงการบริหารฐานข้อมูลและจัดทำ Dashboard & Data Analytics จำนวนเงิน ๒๒,๘๑๓,๘๕๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....