ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 48 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 941 - 960 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
941 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมโครงการอุปสมบทเพื่อถวายพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่ถือเป็นวันลา | นร01 | 13/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมโครงการอุปสมบทเพื่อถวายพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งนี้ กำหนดการดำเนินโครงการอุปสมทบฯ ประกอบด้วย พิธีบรรพชาอุปสมบทและจาริกแสวงบุญสังเวชนียสถาน ณ สาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และลาสิกขาในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
942 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อปรับปรุงมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนหรือไม่เอื้อต่อการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตพื้นที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในร่างประกาศฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด เนื่องจากองค์ประกอบคณะกรรมการฯ มีเพียงผู้แทนของส่วนราชการประจำจังหวัดพังงาเท่านั้น ทำให้ผู้แทนของสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นส่วนราชการในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลโบราณสถานในเขตพื้นที่จังหวัดพังงาไม่สามารถเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการฯ ได้ และควรพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของภาคเอกชน เช่น การเพิ่มประเภทโรงงานในบัญชี ๑ ท้ายประกาศฯ โดยรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
943 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ มีผู้ใช้สิทธิเฉลี่ยเดือนละ ๑,๒๕๕,๗๑๗ คน จำนวนธุรกรรมรวมทั้งสิ้น ๑๓,๕๖๘,๒๖๙ รายการ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๑,๘๙๒ ล้านบาท ส่วนการตรวจสอบผู้มีสิทธิที่มีพฤติกรรมการใช้สิทธิไม่เหมาะสม (Fraud Detection) ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ พบว่า ผู้ใช้สิทธิเข้าเงื่อนไขพฤติกรรมเสี่ยง จำนวนทั้งสิ้น ๑,๔๘๑ ราย (ไม่นับคนซ้ำที่เข้าแต่ละเงื่อนไข) คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๙๕,๑๗๓,๙๖๔.๒๗ บาท สำหรับปัญหาอุปสรรค จากการติดตามการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ได้แก่ (๑) การใช้งานเครื่องรับรายการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) สัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่เสถียร ส่งผลให้การประมวลผลเกิดความล่าช้า (๒) เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกรรมผ่านเครื่อง EDC และการใช้งาน KTB Corporate Online ตลอดจนยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับแนวทางการบันทึกและจัดส่งข้อมูลค่ารักษาพยาบาลผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว และ (๓) ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังไม่พกบัตรประจำตัวประชาชนในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลกับผู้มารับบริการ ๒. สั่งการให้ส่วนราชการให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบพฤติกรรมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลที่กรมบัญชีกลางจัดส่งให้เป็นประจำทุกเดือน และหากพบว่าผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวมีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทุจริตในการใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ขอให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการทุจริต ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
944 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำ RCEP ครั้งที่ 2 ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และขออนุมัติเป็นหลักการให้จ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RCEP | พณ | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Joint Leaders’ Statement on the Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ครั้งที่ ๒ รวมทั้งเอกสารประกอบที่แนบหรือที่อ้างอิง ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของ RCEP ว่าเป็นความตกลงที่ทันสมัยเพื่ออำนวยความสะดวก สร้างสภาวะแวดล้อมทางการค้าและการลงทุน และเร่งสรุปผลการเจรจา RCEP ให้แล้วเสร็จโดยเร็วในประเด็นต่าง ๆ เช่น การค้าสินค้า พิธีการศุลกากร มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบการเข้าร่วมการแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในการประชุมผู้นำ RCEP ครั้งที่ ๒ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ๑.๓ อนุมัติให้จ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RECP (RCEP Secured Online Platform) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบออนไลน์ในการสนับสนุนด้านความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวกับการเจรจา RCEP โดยจะดำเนินการช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ๒๕๖๒ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RCEP งวดแรก จำนวน ๑,๖๒๕ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๕๓,๖๒๕ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๓ บาท) เห็นควรให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่วนงวดถัดไป (ทุก ๒ ปี) จำนวน ๒๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๘,๒๕๐ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๓ บาท) เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาระบบ เห็นควรให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
945 | ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา [ถูกยกเลิกโดย 15207/68 (มติ ครม. 17/06/68)] | นร63 | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาไม่เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการฯ เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๖,๓๓๓ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ หากกองทัพเรือมีความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น ให้กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และการท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมกันพิจารณาดำเนินการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่โครงการฯ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมาย การคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมและจำเป็นสำหรับการดำเนินกิจการเพื่อลดผลกระทบต่อต้นทุนโครงการฯ การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทั้งในเชิงนโยบายและคุณภาพให้สามารถรองรับการดำเนินงานของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานและกิจกรรมการบินที่เกี่ยวเนื่องได้ทันทีเมื่อเปิดให้บริการ การกำหนดส่วนแบ่งรายได้ของโครงการฯ การกำหนดแนวทางการดำเนินการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในระยะต่อไป โดยเปิดโอกาสในการคัดเลือกเอกชนรายอื่น ๆ ที่มีศักยภาพเข้าร่วมด้วย การพิจารณารูปแบบการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) ที่จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกควรประสานกระทรวงอุตสาหกรรมในการกำหนดแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้มีขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
946 | ขออนุมัติการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2560 (โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดลำปาง) | พม | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๖๐ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารเช่าจังหวัดลำปาง รวม ๒๒๙ หน่วย วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑๑๑.๖๕๒ ล้านบาท แหล่งที่มาของเงินลงทุนเป็นเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) จำนวน ๑๒.๐๓๗ ล้านบาท และเงินอุดหนุนจากรัฐ จำนวน ๙๙.๖๑๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ กคช. ดำเนินโครงการฯ ได้ต่อเมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว สำหรับการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ กคช. ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ กคช. เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และหรือเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีไปดำเนินการ โดยควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างให้เป็นไปอย่างประหยัดและอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ส่วนที่เหลือให้ กคช. จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ กคช. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กคช. จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงการดำเนินงานเกี่ยวกับต้นทุนค่าก่อสร้าง และอัตราค่าเช่าให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติของลูกค้าที่ประสงค์จะเช่าอยู่ในโครงการฯ และให้ กคช. เร่งรัดก่อสร้าง การขายหน่วยก่อสร้าง และการเช่าให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ตลอดจนจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ และการเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับระยะเวลาการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีของภาครัฐ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเงินอุดหนุนจากรัฐให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับความเป็นจริงในแต่ละพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
947 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2561 และ ครั้งที่ 4/2561 | นร63 | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแผนรวม ๕ แผน ได้แก่ (ร่าง) แผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ร่าง) แผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในภาพรวม (ร่าง) แผนการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรที่สะดวกและรวดเร็วในพื้นที่ EEC (One Stop Service : EEC-OSS) (ร่าง) แผนการดำเนินงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อรองรับ EEC ๑.๒ มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกบรรจุในยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี เพื่อให้มีการดำเนินการต่อเนื่อง สามารถบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาประเทศได้อย่างเป็นระบบ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในภาพรวม แผนการดำเนินงาน และแผนการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไปดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไปและเป็นไปตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายของแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แผนการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร และแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณอันสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยการดำเนินโครงการจะต้องคำนึงถึงการนำรายได้ของหน่วยงานมาสมทบ ความประหยัด ความคุ้มค่า และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยกำหนดเป้าหมายของแผนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงกำหนดแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ ทั้งเงินงบประมาณ เงินกู้ เอกชนร่วมลงทุน งบรัฐวิสาหกิจ ที่สามารถดำเนินการและวัดผลสำเร็จได้ชัดเจน เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และเป็นข้อมูลในส่วนของภาระงบประมาณที่ภาครัฐต้องใช้จ่ายในการลงทุน ตลอดจนดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างถูกต้องครบถ้วน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
948 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค-บริโภค ของราษฎรโดยเฉพาะเทศบาลหนองบัวแดง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ และพื้นที่ใกล้เคียง และเพื่อกักเก็บน้ำหลากส่วนเกินในช่วงฤดูฝนไว้ใช้เพื่อการเพาะปลูกในช่วงเวลาฝนทิ้งช่วงและฤดูแล้ง ใน ๓ ตำบลของอำเภอหนองบัวแดง ได้แก่ ตำบลหนองแวง ตำบลหนองบัวแดง และตำบลนางแดด ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่กรมชลประทานเสนออย่างเคร่งครัด รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานของโครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
949 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก | นร63 | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้รับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘ บัญญัติให้การดำเนินโครงการหรือกิจการใดภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชนตามที่มีกฎหมายกำหนด ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการหรือกิจการนั้น โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานที่ถูกต้องและมีข้อมูลครบถ้วน และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๙ วรรคสี่ บัญญัติให้ในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินกระบวนการหรือขั้นตอนเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนที่จะเป็นผู้รับงานนั้นไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้นั้นไม่ได้ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๗,๗๖๘ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น การพิจารณาประมาณการจำนวนผู้โดยสารจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านและรอบคอบ การเร่งจัดทำแผนแม่บทสนามบินอู่ตะเภาให้แล้วเสร็จโดยเร็วก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในภาพรวมของการพัฒนาสนามบิน รวมถึงตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างในโครงการฯ การกำหนดขอบเขตกิจกรรมและสิทธิต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการฯ ในการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนอย่างรอบคอบ การกำหนดโครงสร้างการบริหารโครงการฯ ทั้งระหว่างการก่อสร้างและดำเนินโครงการฯ โดยอาจพิจารณาหน่วยงานหรือนำบุคลากรที่มีศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทั้งทางด้านเทคนิคและการบริหารสนามบินพาณิชย์ขนาดใหญ่มาช่วยในการบริหารจัดการโครงการฯ การกำหนดเงื่อนไขการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีความสอดคล้องกับปริมาณการขนส่ง การใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณภาพการให้บริการ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตลอดจนดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการจัดเตรียมแผนงานและมาตรการรองรับในกรณีหากมีการร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบจากการดำนเนินงานสนามบินให้มีความชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินการโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กองทัพเรือดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๕.๑ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อบูรณาการการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน ให้สอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๕.๒ เร่งรัดการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
950 | รายงานผลการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน | กษ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ เพื่อป้องกันกำจัดหนอนหัวดำมะพร้าวได้อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ ๒๙ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อ่างทอง ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ ชลบุรี ระนอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา อุดรธานี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สงขลา สตูล นราธิวาส นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ระนอง ชุมพร และปัตตานี พื้นที่ ๑๐๙,๔๐๙ ไร่ (๓,๘๗๗,๑๓๔ ต้น) ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๖๐-เดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ โดยใช้มาตรการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม มาตรการการจัดการศัตรูพืชโดยใช้วิธีผสมผสาน มาตรการทางกฎหมาย มาตรการการสำรวจเฝ้าระวัง และการติดตามประเมินผลโครงการ ๒. ผลการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗๙,๔๒๕,๙๒๑.๘๕ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๑๑ ของงบประมาณที่ได้รับ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๑) ๓. ผลสำเร็จของโครงการ ส่งผลให้พื้นที่การระบาดของหนอนหัวดำลดลงจาก ๑๐๙,๔๐๙ ไร่ เหลือ ๖,๐๙๙ ไร่ (ลดลง ๑๐๓,๓๑๐ ไร่) คิดเป็นร้อยละ ๙๔.๔ และไม่พบสารเคมีตกค้างในเนื้อและน้ำมะพร้าวหลังการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น ทั้งนี้ ช่วยลดโอกาสความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่า ๕๙๙.๓๘ ล้านบาท ๔. ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรและชุมชน รายได้ในครัวเรือนของเกษตรกรเพิ่มขึ้น และศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
951 | ขออนุมัติการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1) | พม | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง ๑) จำนวน ๑ โครงการ รวม ๑๙๒ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๔๑๗.๑๓๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ภายในประเทศ ๓๓๕.๕๕๓ ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ ๘๑.๕๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ การจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้การเคหะแห่งชาติจัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การให้ความสำคัญกับการจัดสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ (การกำหนดพื้นที่ลานกิจกรรม สวนสาธารณะ หน่วยรักษาพยาบาล การจัดเตรียมยานพาหนะ) การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ การกำหนดคุณสมบัติ เงื่อนไข และวิธีการให้ผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการฯ การตรวจติดตามคุณภาพชีวิตและข้อคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
952 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 | ทส | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมรับทราบและพิจารณาผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ เช่น (๑) รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งได้ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน แบบอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะแปลงรวม โดยมิให้กรรมสิทธิ์เป็นรายบุคคล และได้ติดตามและประเมินผลโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ (๒) รับทราบการดำเนินงานแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของกลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และ (๓) เห็นชอบพื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน เช่น การที่ประชาชนบางส่วนไม่เข้าร่วมโครงการฯ เนื่องจากไม่มั่นใจในนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการให้เอกสารสิทธิ การห้ามเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตลุ่มน้ำชั้น ๑-๒ และการที่ประชาชนที่ได้รับสิทธิให้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินที่รัฐจัดสรรให้ใหม่แทนพื้นที่เดิมแต่ไม่เข้าไปทำกินหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัยในพื้นที่แห่งใหม่ดังกล่าว เนื่องจากมีสภาพพื้นที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีความพร้อมในการทำการเกษตร เป็นต้น เพื่อให้โครงการดังกล่าวบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับเจตนารมณ์ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจนและถูกต้องตรงกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
953 | ขออนุมัติปรับเปลี่ยนกิจกรรมโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐปีงบประมาณ 2560 (งบกลาง) | กษ | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมปศุสัตว์ดำเนินกิจกรรมเพิ่มศักยภาพอาสาปศุสัตว์ เพื่อเป็นฟาร์มต้นแบบการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ ๗,๑๙๖ ราย โดยสนับสนุนแผ่นยางปูพื้นรายละ ๔ แผ่น รวม ๒๘,๗๘๔ แผ่น ซึ่งกรมปศุสัตว์ดำเนินการจัดซื้อแผ่นยางปูพื้นไว้เรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) เร่งรัดติดตามการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปตามระยะเวลาและเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการชี้แจงการเข้าร่วมโครงการที่ชัดเจน และสำรวจจำนวนผู้ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการอย่างรอบคอบรัดกุม เพื่อให้การดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ครั้งต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และควรตรวจสอบรายชื่ออาสาปศุสัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด และจะต้องไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับอาสาปศุสัตว์ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการใช้ยางพาราปูพื้นคอกในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนก่อนหน้านี้แล้ว หรือโครงการอื่นของภาครัฐที่มีวัตถุประสงค์ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการศึกษาและประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของกิจกรรมการเพิ่มศักยภาพอาสาปศุสัตว์ เพื่อเป็นฟาร์มต้นแบบการใช้แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ อันจะก่อให้เกิดการยอมรับในการใช้ประโยชน์จากแผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์มากยิ่งขึ้น และส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศตามนโยบายรัฐบาลได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
954 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเพื่อใช้อยู่อาศัย สำหรับโครงการประชารัฐสวัสดิการของกรมบังคับคดี) | กค | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเพื่อใช้อยู่อาศัย สำหรับโครงการประชารัฐสวัสดิการของกรมบังคับคดี) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรแสตมป์ให้แก่ผู้ออกใบรับ สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์ กรณีการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเพื่อใช้อยู่อาศัย สำหรับโครงการประชารัฐสวัสดิการของกรมบังคับคดี เฉพาะการโอนให้แก่ผู้ซื้อทอดตลาดที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการตามร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรที่กระทรวงการคลังจะคำนึงถึงระยะเวลาการดำเนินโครงการที่เหมาะสม การสร้างความรับรู้ และความเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งมอบหมายให้กรมบังคับคดีซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการดังกล่าวได้จัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการที่ได้จัดทำไว้ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกสิ้นปีงบประมาณ จนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ ตามนัยมาตรา ๒๗ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
955 | ขออนุมัติดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ 2, 3 และ 4 ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) | พม | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ ๒, ๓ และ ๔ ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗) ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) โดยโครงการฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราชพัสดุของกระทรวงการคลัง โดย กคช. เป็นผู้ใช้ที่ดินเพื่อจัดทำโครงการฯ รวม ๔๐.๕๗ ไร่ โดยจะพัฒนาเป็นอาคารสูง ๒๖-๓๕ ชั้น จำนวน ๑๐ อาคาร รวมจำนวนหน่วยพักอาศัย ๖,๒๑๒ หน่วย โดยทุกระยะ มีขนาดห้องพัก ๓๓ ตารางเมตร สำหรับวงเงินลงทุนค่าก่อสร้าง (ให้กำหนดในวงเงิน ๙,๘๗๒.๑๑๙ ล้านบาท) การชดเชยดอกเบี้ยและการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย เห็นควรให้รัฐบาลสนับสนุนการชดเชยดอกเบี้ยตามต้นทุนการกู้เงินที่แท้จริงแต่ไม่เกินร้อยละ ๒.๑๕ ต่อปี สำหรับรายละเอียดของการสนับสนุนการชดเชยดอกเบี้ย เห็นควรให้ กคช. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ส่วนการจัดหาแหล่งเงินทุน เห็นควรให้ กคช. กู้เงินภายในประเทศเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการฯ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ วงเงิน ๙,๗๗๕.๐๖๒ ล้านบาท และให้ กคช. พิจารณาใช้เงินรายได้ของ กคช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่ดินและค่าจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม วงเงิน ๙๗.๐๕๕ ล้านบาท สำหรับการยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ การดำเนินโครงการฯ ในแต่ละระยะ ให้ กคช. ดำเนินการได้ต่อเมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. เห็นชอบในหลักการเพิ่มหมวดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่ดิน โดยปรับเกลี่ยจากกรอบงบประมาณ ๓๕,๗๕๔.๒๕ ล้านบาท ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗) และหลักการบริหารจัดการคนเข้าอยู่อาศัยในโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ระยะที่ ๑-๔ ในกรณีที่มีหน่วยงานพักอาศัยคงเหลือจากการบรรจุผู้อยู่อาศัยเดิมในแต่ละระยะของโครงการฯ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. กำกับ ติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำหนดมาตรการในการบริหารโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพ เช่น การหาข้อยุติการกำหนดอัตราค่าเช่ากับกรมธนารักษ์ การจองสิทธิเช่าอาคารของผู้พักอาศัย การควบคุมระยะเวลาดำเนินโครงการ การเตรียมความพร้อมเรื่องการบำบัดน้ำเสียและการกำจัดขยะอย่างเป็นระบบ รวมถึงระบบคมนาคมที่จะแออัดและคับคั่ง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
956 | โครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต | อก | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต โดยจ่ายเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อนำไปจัดหาปัจจัยการผลิตที่จำเป็น ซึ่งเป็นเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อยกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และเป็นคู่สัญญากับโรงงาน หรือมีการลงอ้อยผ่านหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย จำนวนประมาณ ๓๔๐,๐๐๐ ราย ในอัตราตันอ้อยละไม่เกิน ๕๐ บาท รายละไม่เกิน ๕,๐๐๐ ตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดรายละเอียดคำจำกัดความ หลักเกณฑ์ของผู้ผลิตที่มีรายได้ต่ำหรือมีทรัพยากรไม่สมบูรณ์ เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลกอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายขอรับจัดสรรงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และได้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนแล้ว ภายในวงเงินไม่เกิน ๖,๕๐๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณ เช่น ควรมีมาตรการหรือแนวทางรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนและไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต ควรเน้นการให้องค์ความรู้ ส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กระบวนการเพาะปลูกสมัยใหม่แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของชาวไร่อ้อยเป็นการด่วน และส่งเสริมให้มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าหรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งภายในอุตสาหกรรมและต่อยอดจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไปยังอุตสาหกรรมอื่น รวมทั้งควรควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ตามโครงการฯ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ เกิดความเป็นธรรม และดำเนินภารกิจอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งกลไกในการติดตามและกำกับดูแลการดำเนินนโยบายของหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการอุดหนุนสินค้าเกษตรให้เป็นตามพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงทำความเข้าใจกับประเทศบราซิลว่า การดำเนินนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยเป็นไปตามพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก และเป็นไปตามที่ไทยได้เคยแจ้งไว้กับประเทศบราซิล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
957 | การดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 | นร | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๑) เห็นชอบการทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ นั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดและกำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเอง หรือกรณีที่เกษตรกรไม่มียุ้งฉางเป็นของตนเองสามารถนำข้าวเปลือกไปให้สถาบันเกษตรกรเก็บรักษาข้าวเปลือกแทนได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
958 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามผละประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project จำนวน ๒๖ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๒ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๖ พันล้านบาท มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้จากโครงการทั้งหมดเท่ากับ ๑๒๙,๙๕๘ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วม จำนวน ๔ ครั้ง โดยที่ประชุมมีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานภายใต้กลไกเครดิตร่วม รับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๗ วิธี สำหรับโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้เครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูง การใช้เครื่องทำน้ำเย็นประสิทธิภาพสูงแบบอินเวอร์เตอร์ เครื่องทำน้ำเย็นประสิทธิภาพสูงแบบนันอินเวอร์เตอร์ เครื่องทอผ้าประสิทธิภาพสูงที่ลดการใช้ลมในการทอผ้า ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง และระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากความร้อนทิ้งของหม้อเผาปูนซีเมนต์ พร้อมทั้งรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการ จำนวน ๔ ราย ขึ้นทะเบียนโครงการ จำนวน ๔ โครงการ และรับรองคาร์บอนเครดิต ๓. การจัดงานอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๑๒ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๗๘๑ คน และมีการเข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ JCM จำนวน ๘ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการ จำนวน ๑๑ โครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
959 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ได้แก่ สนับสนุนภารกิจการฝึกอบรมโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “หลักสูตรหลักประจำ” รุ่นที่ ๑/๖๑ “เป็นเบ้า เป็น แม่พิมพ์” ร่วมกับข้าราชการและประชาชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ และเตรียมคัดเลือกบุคคลเข้ารับการอบรมจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรประจำ” รุ่นที่ ๒/๖๑ รวมทั้งมีหนังสือแจ้งส่วนราชการระดับกรมและจังหวัดในการใช้ป้ายกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานในโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ตามแนวทางที่ศูนย์อำนวยการใหญ่โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ (ศอญ.) กำหนด ๒. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้แก่ จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และในต่างประเทศ และมีการจัดนิทรรศการภาพกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ณ บริเวณท้องสนามหลวง โดยนำเสนอองค์ประกอบเกี่ยวกับงานจิตอาสา ได้แก่ ภาพกิจกรรมที่แสดงออกถึงความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนจิตอาสาจากภาคส่วนต่าง ๆ ในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมและชุมชนจากทั่วประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
960 | ขอความเห็นชอบการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์แนวทางการจ้างแรงงานสำหรับโครงการจ้างแรงงานชลประทานสร้างรายได้แก่เกษตรกร ภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์สำหรับโครงการจ้างแรงงานชลประทานสร้างรายได้แก่เกษตรกร ซี่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้สามารถจ้างแรงงานนอกเหนือจากผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ ตามลำดับ ดังนี้ (๑) เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ (๒) เกษตรกรในพื้นที่ (๓) สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำของกรมชลประทานในพื้นที่ดำเนินโครงการ (๔) เกษตรกรที่มีชื่ออยู่ในบัญชีครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร (๕) ประชาชน และผู้ใช้แรงงานทั่วไปในพื้นที่ และ (๖) หากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ ให้พิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ รวมทั้งขอให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้อย่างเคร่งครัด
|