ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 44 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 861 - 880 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
861 | โครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา 2561 - 2565) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ 1 (ปีการศึกษา 2561 - 2562) | ศธ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ ๑ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๒) โดยมีเป้าหมายผลิตพยาบาลเพิ่มจากการรับนักศึกษาพยาบาลปกติ จำนวน ๒ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๒) จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕,๒๖๘ คน และอนุมัติให้ดำเนินการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับวงเงินงบประมาณจนสิ้นสุดโครงการ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖) จำนวน ๑,๗๕๙,๔๘๔,๙๘๔ บาท เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนการดำเนินโครงการที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของข้อเท็จจริง พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายเกี่ยวกับการกระจายอัตรากำลังของพยาบาลวิชาชีพเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วให้มีการกระจายอัตรากำลังครอบคลุมประชากรทุกพื้นที่และสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่น ควรมีกระบวนการในการจัดการเรียนการสอนวิชาพยาบาลศาสตร์ที่สามารถรองรับการดำเนินงานภายใต้ระบบสุขภาพปฐมภูมิโดยทีมหมอครอบครัว และมีความสามารถในการทำงานร่วมระหว่างวิชาชีพ (Interprofessional Practice) รวมทั้งควรเพิ่มสัดส่วนการรับนักศึกษาจากพื้นที่ (Local Recruitment) ตามระดับความขาดแคลน เพื่อให้พยาบาลมีสมรรถนะที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการรับบริการสุขภาพของประชาชนในแต่ละพื้นที่ และควรพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการในการกำหนดอัตรากำลัง รูปแบบการจ้างงาน ตลอดจนภาระหน้าที่ของพยาบาลที่ช่วยดึงดูดให้พยาบาลคงอยู่ในระบบมากยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. หากกระทรวงศึกษาธิการมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ ๒ (ปีการศึกษา ๒๕๖๓-๒๕๖๕) ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
862 | ขอความเห็นชอบเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 (เพิ่มเติม) | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินในการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ จำนวน ๕,๐๖๘.๗๓ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) เงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวฯ จำนวน ๔,๙๕๙.๔๗ ล้านบาท และ (๒) ค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๑๐๙.๒๖ ล้านบาท ได้แก่ ค่าชดเชยต้นทุนเงิน จำนวน ๑๐๗.๘๗ ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ จำนวน ๑.๓๙ ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๕๗,๗๒๒.๖๒ ล้านบาท รวมเป็นกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๖๒,๗๙๑.๓๕ ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ ธ.ก.ส. จะต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ แยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป โดยแยกเป็นบัญชีโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และควรมีการติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสำเร็จของโครงการในการบริหารจัดการสินค้าข้าวทั้งหมดอย่างเป็นระบบในภาพรวม เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในปีต่อ ๆ ไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
863 | งบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๕๖,๒๐๒,๖๙๘.๓๕ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดเก็บเอกสารหลักฐานการรับและจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยโครงการฯ ให้ครบถ้วน เพื่อความถูกต้อง โปร่งใส และสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
864 | ทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ โดยให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบภายใต้สังกัดผู้บ่มอิสระ และผู้บ่มอิสระซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยา มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการฯ ในสัดส่วนตามต้นทุนดำเนินการระหว่างผู้บ่มอิสระกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสด ๗๐ : ๓๐ ของเงินช่วยเหลือสำหรับใบยาเวอร์ยิเนีย ๑๗.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม โดยผู้บ่มอิสระได้รับเงินช่วยเหลือ ๑๒.๒๕ บาทต่อกิโลกรัม และเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสดได้รับเงินช่วยเหลือ ๕.๒๕ บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งการจัดสรรค่าธรรมเนียมการบริการโอนเงินแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายละ ๕ บาท โดยเจียดจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณของโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยการยาสูบแห่งประเทศไทย และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การยาสูบแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด และในระยะต่อไป หากมีการดำเนินโครงการในลักษณะให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่าน ธ.ก.ส. ควรให้ ธ.ก.ส. ส่งเสริมการใช้บริการพร้อมเพย์ (PromptPay) ให้สามารถดำเนินการในโครงการของรัฐได้ เพื่อลดภาระงบประมาณในการจัดสรรค่าธรรมเนียมและบริการโอนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
865 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex บางละมุง) | พม | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex บางละมุง) ภายใต้กลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินโครงการฯ เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๑ กรมธนารักษ์มีหนังสืออนุญาตให้กรมกิจการผู้สูงอายุใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชบ.๒๑๙ (บางส่วน) ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๔๘-๑-๔๒ ไร่ เพื่อดำเนินโครงการฯ และเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๒ กรมกิจการผู้สูงอายุได้ลงนามในบันทึกรับทราบแนวเขตที่ราชพัสดุ และยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้ที่ราชพัสดุ ๒. พื้นที่ที่จะดำเนินโครงการฯ เป็นที่ดินราชพัสดุ ชบ.๒๑๙ ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นประเภทสถาบันราชการการสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ (พื้นที่สีน้ำเงิน) ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินการเสนอเรื่องเพื่อขอแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ในที่ดินบริเวณดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. งบประมาณในการดำเนินโครงการฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ เพื่อวิเคราะห์โครงการฯ ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ใช้ระยะเวลาในการศึกษา ๕ เดือน (ตุลาคม ๒๕๖๑-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบความสนใจของนักลงทุนภาคเอกชน (Market Sounding) ร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตโครงการ และร่างสัญญาตามมาตรา ๓๓ ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
866 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 8/2561 | นร04 | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๘/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการจัดทำโครงการกำหนดเขตป่าชายเลนและอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าชายเลน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบแนวคิดการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์รวบรวมพันธุ์และจัดแสดงกล้วยไม้บริเวณพระธาตุดอยกองมู จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน โดยให้ดำเนินตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ที่ประชุมรับทราบแนวคิดการดำเนินโครงการโชห่วยออนไลน์ และเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรรับความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ และเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) เร่งรัดนำ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ เสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ เดือน ๕. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มจัดหางาน (Job Demand Open Platform) และเห็นควรให้กระทรวงแรงงานพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน และดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๖. ที่ประชุมรับทราบหลักการของโครงการเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานส่งเสริมวิสาหกิจขุมชน และเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า รับความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณให้กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๗. ที่ประชุมรับทราบหลักการของโครงการนักบริหารชุมชน และเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย รับความเห็นและข้อสังเกตที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม และเร่งรัดนำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายใน ๒ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
867 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 24 - 26 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๒๔-๒๖ ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ โดยผลการประชุมที่สำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ ๒ ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย การเชื่อมต่อทางรถไฟช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านรถไฟความเร็วสูง และความร่วมมือด้านการเงิน ตามที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
868 | โครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา | ศธ | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เป็นการพัฒนาโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เพื่อเป็นต้นแบบโรงเรียนที่มีคุณภาพ มีความพร้อมให้บริการการศึกษาทั้งทางด้านคุณธรรม จริยธรรม งานอาชีพ และสุขภาพอนามัย โดยมีเป้าหมายโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทย อำเภอละ ๑-๒ โรงเรียน เข้ารับการพัฒนาเป็นโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา ๒. การดำเนินการที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา ๓. แนวทางการดำเนินโครงการฯ แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ๓.๑ ระยะที่ ๑ ตรวจสอบและเปิดรับ เพื่อพิจารณาสภาพปัจจุบันของโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา อย่างรอบด้านจากผลการประเมินตนเองของโรงเรียน (Self-Assessment Report : SAR) และเชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษา ๓.๒ ระยะที่ ๒ เสริมความรู้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสนับสนุนองค์ความรู้เท่าที่จำเป็น ทักษะที่สำคัญที่จะเอื้อต่อการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา ๓.๓ ระยะที่ ๓ พัฒนาสู่ “โรงเรียนของชุมชน” เป็นการดำเนินการสร้างทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ เพื่อสร้างความยั่งยืนของการเป็น “โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา” เช่น การติดตามผลการดำเนินโครงการฯ และการถอดบทเรียนการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ระดับมัธยมศึกษา เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
869 | ขออนุมัติดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ในกรอบวงเงิน ๖,๖๔๕.๐๓ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) (ปรับลดวงเงินค่าก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงใหม่เพื่อทดแทนโรงซ่อมบำรุงที่สถานีรถไฟธนบุรี วงเงินประมาณ ๘๒๔.๔ ล้านบาท) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้รัฐบาลรับภาระการลงทุนค่างานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และ รฟท. รับภาระการลงทุนค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลและงานจัดหาตู้รถไฟฟ้า ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ รฟท. ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุญาตให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อดำเนินโครงการฯ และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พิจารณากำหนดชื่อสถานีที่เชื่อมต่อกันของโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ให้เป็นชื่อเดียวกัน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใช้บริการเกิดความสับสนในการเดินทาง ๔. ให้กระทรวงคมนาคม รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการ เช่น (๑) กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรื้อย้ายชุมชนที่บุกรุกและการย้ายผู้เช่าที่ในเขตทางรถไฟ โดยดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด (๒) กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจนรองรับกรณีการซ้อนทับกันระหว่างแนวเส้นทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ตลิ่งชัน กับโครงการนี้ ควรกำหนดโครงสร้างราคาค่าโดยสารให้สอดคล้องกับระบบตั๋วร่วม ควรศึกษาโครงสร้างต้นทุนในการใช้ทางร่วมกัน (Share Track) ในการเดินรถในช่วงสถานีศาลายาไปถึงสถานีธนบุรี-ศิริราช เพื่อใช้ประกอบการกำหนดค่าใช้ทางของผู้ให้บริการเดินรถทั้ง ๒ เส้นทางดังกล่าว (Access Charge) ควรกำหนดค่าโดยสารที่เหมาะสม ควรจัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางและบริเวณสถานีรถไฟ (Transit-Oriented Development : TOD) และจัดทำแผนการเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะระบบต่าง ๆ และ (๓) กระทรวงคมนาคม โรงพยาบาลศิริราช รฟท. และ รฟม. ควรร่วมกันออกแบบโครงสร้างอาคารผู้ป่วยในของโรงพยาบาลศิริราช สถานีธนบุรี-ศิริราช ของโครงการฯ และสถานีศิริราช ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างกลมกลืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
870 | การพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยในช่วงระยะเวลาต่อไป | ศธ | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินงานโครงการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว และผลการดำเนินโครงการของกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยในช่วง พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๑ พบว่า ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการเตรียมความพร้อมกำลังคนระดับสูงทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และนโยบาย Thailand 4.0 สำหรับการดำเนินงานในช่วงระยะเวลาต่อไปคือ ให้การดำเนินงานของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาที่มีการบริหารและการจัดการในสังกัดสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีศูนย์พัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์เป็นหน่วยประสานงานภายใน ซึ่งต่อไปจะจัดตั้งหน่วยงานในสังกัด สพฐ. เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของโรงเรียนเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรมีการติดตามนักเรียนและจัดทำฐานข้อมูลนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เนื่องจากเป็นผู้ได้รับการเตรียมความพร้อมทางด้าน STEM และเป็นผู้มีศักยภาพในการรับทุนต่าง ๆ ในระดับที่สูงขึ้น เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ รวมทั้งการประกอบอาชีพ ความก้าวหน้าในอาชีพ และการใช้ศักยภาพของนักเรียนดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
871 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ | ศธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๕๗,๖๖๖,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สำหรับอุตสาหกรรม New Growth Engine ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก ได้แก่ (๑) ควรพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๑ ที่เห็นชอบโครงการดังกล่าว และให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เสนอความเห็น เช่น ควรทบทวนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการอยู่แล้วในภาพรวมทั้งหมดเพื่อประกอบการพิจารณาปรับปรุง ยกเลิก เพิ่มเติม หรือขยายขนาดโครงการที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามบริบทที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และพิจารณาการร่วมสมทบค่าใช้จ่ายจากภาคเอกชนหรือผู้เข้ารับการอบรม ตลอดจนการจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานรายกิจกรรม ความเชื่อมโยงกับกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ แผนขับเคลื่อนและติดตามผล และแผนรองรับผู้สำเร็จการศึกษา เป็นต้น (๒) ควรมีกลไกในการวางแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ตั้งแต่การรับสมัคร การจัดทำแผนการรองรับการทำงานของผู้สำเร็จการศึกษาไปจนถึงการติดตามประเมินผลเชิงผลลัพธ์ โดยกำหนดตัวชี้วัดร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อให้การขับเคลื่อนมีความเป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และ (๓) การผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสูงดังกล่าว ควรพิจารณาให้ครอบคลุม ๑๒ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และสอดคล้องกับความต้องการบุคลากรในพื้นที่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมทั้งให้ความสำคัญกับสถาบันการศึกษา และสถานประกอบการ ที่อยู่ในพื้นที่ EEC และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นอันดับต้น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
872 | ขออนุมัติดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีพระราม 6 สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี ได้แก่ สถานีพระราม ๖ สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี ในกรอบวงเงิน ๑๐,๒๐๒.๓๘ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. ขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ รฟท. ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุญาตให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อดำเนินโครงการฯ และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น (๑) ให้ รฟท. จัดทำแผนธุรกิจ จัดทำแผนบริหารความเสี่ยง จัดทำแนวทาง open access ให้ผู้ประกอบการรายอื่นใช้ทางรถไฟได้ กำหนดรูปแบบการจัดการเดินรถให้มีประสิทธิภาพ จัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางและสถานีรถไฟ จัดทำแผนเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคม จัดระบบการบริหารจัดการการจราจรและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จอดแล้วจร (๒) ให้ รฟท. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เพื่อพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีและสนับสนุนการใช้บริการของโครงการฯ แทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล (๓) ให้ รฟท. เร่งรัดดำเนินโครงการฯ ในช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ (๔) ให้ รฟท. ดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟโดยไม่กีดขวางทางไหลของน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
873 | การปรับเพิ่มเงินลงทุนและเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 - 7 | พน | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการเปลี่ยนแปลงกำลังผลิตไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ ๔-๗ จากเดิม ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง ๖๐๐ เมกะวัตต์ เป็น ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง ๖๕๕ เมกะวัตต์ และให้ กฟผ. ปรับเงินลงทุนโครงการฯ จากเดิมที่ได้รับอนุมัติเงินลงทุน ๓๖,๘๑๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑,๑๕๐ ล้านบาท สรุปวงเงินลงทุนรวมเป็นจำนวนเงิน ๓๗,๙๖๑ ล้านบาท เพื่อให้การเบิกจ่ายของ กฟผ. ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จะต้องไม่นำวงเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาคำนวณผลตอบแทนการลงทุนในโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการใด ๆ กฟผ. ควรพิจารณาดำเนินโครงการอย่างรอบคอบ และหากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการ จะต้องตรวจสอบขั้นตอนดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด รวมทั้งในการดำเนินโครงการลงทุนในอนาคต กฟผ. ควรกำกับดูแลการลงทุนให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด โดยหาก กฟผ. จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการที่เป็นสาระสำคัญ กฟผ. ต้องเร่งนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแล กฟผ. ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
874 | ขออนุมัติดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในกรอบวงเงิน ๖,๕๗๐.๔๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. ขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ รฟท. ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุญาตให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อดำเนินโครงการฯ และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น (๑) ให้ รฟท. จัดทำแผนธุรกิจ จัดทำแผนบริหารความเสี่ยง จัดทำแนวทาง open access ให้ผู้ประกอบการรายอื่นใช้ทางรถไฟได้ กำหนดรูปแบบการจัดการเดินรถให้มีประสิทธิภาพ จัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางและสถานีรถไฟ จัดทำแผนเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคม จัดระบบการบริหารจัดการการจราจรและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จอดแล้วจร (๒) ให้ รฟท. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เพื่อพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีและสนับสนุนการใช้บริการของโครงการฯ แทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล (๓) ให้ รฟท. เร่งรัดดำเนินโครงการฯ ในช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ (๔) ให้ รฟท. ดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟโดยไม่กีดขวางทางไหลของน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก ตำบลบางพูด ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี และตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก ตำบลบางพูด ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี และตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อสร้างทางเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท อย.๕๐๔๒ กับสถานีรถไฟ ทางรถไฟ และย่านสถานีรถไฟ ตามโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
875 | มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต | กค | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต เรื่อง “การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน)” โดยเห็นควรให้มีการประเมินผลโครงการออกเป็น ๓ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นวางแผนก่อนดำเนินโครงการ ขั้นการดำเนินโครงการ และขั้นสรุปผลหลังการดำเนินโครงการ โดยประเมินผลกระทบและผลสำเร็จของงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายการป้องกันการทุจริตหรือไม่ กรณีนี้ได้มีพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ แล้ว โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีมาตรการกีดกันหรือปราบปรามการทุจริตของโครงการภาครัฐ เช่น มาตรา ๑๑ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และประกาศเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและหน่วยงานของรัฐ และให้ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐนั้น และมาตรา ๖๖ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือผู้ได้รับการคัดเลือกและเหตุผลสนับสนุน เป็นต้น ๒. มาตรการป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) โดยเห็นควรยกเว้นมิให้นำการจัดจ้างด้วยวิธีการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ มาใช้ในงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่างานก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะของงานซับซ้อนหรือมีเทคนิคเฉพาะหรือไม่ก็ตาม โดยที่ระเบียบดังกล่าวได้ถูกยกเลิกตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว โดยกรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกขั้นตอนต้องดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐให้มีความทันสมัย ทัดเทียมมาตรฐานสากล เพิ่มความโปร่งใส ลดโอกาสในการสมยอมราคากันในการเสนอราคาของผู้ค้า และก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง ๓. ข้อเสนอแนะจากงานศึกษาวิจัย เรื่อง โครงการศึกษาประเด็นทางกฎหมายที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตที่มีผลกระทบในภาพรวม โดยเฉพาะของเอกชน เช่น ควรกำหนดมาตรการเสริมเพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง และควรมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัยและรองรับต่อการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ เป็นต้น โดยกรมบัญชีกลางได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวมาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
876 | ผลการดำเนินงานและการขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ และการเบิกจ่ายเงินกู้ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการใดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ เห็นควรให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานเจ้าของโครงการหรือจากแหล่งอื่น เพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ของกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทางหลวง กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วงเงินรวมทั้งสิ้น ๖๗๙.๐๗ ล้านบาท โดยในการยกเลิกสัญญาขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการ และดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ยกเลิกโครงการต้องคืนเงินที่ได้เบิกไปแล้ว ขอให้เร่งดำเนินการและแจ้งผลการคืนเงินดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทราบด้วย สำหรับโครงการที่ขอยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทุกเดือน ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป และกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ ความคุ้มค่าทั้งในมิติสังคมและเศรษฐกิจ และผลสัมฤทธิ์ รวมถึงปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดทำมาตรการเชิงนโยบายของรัฐบาลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้กรมทางหลวงตรวจสอบโครงการประเภทต่าง ๆ ว่า เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ หรือไม่ และควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้เกิดการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่หรือลดข้อขัดแย้งจากการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. เห็นชอบเป็นหลักการว่า ในการดำเนินโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ เมื่อหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ และมีเงินคงเหลือจากการดำเนินงาน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ นำเงินที่เหลือในบัญชีดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
877 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑,๗๔๐.๖๐ ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ จำนวน ๑๖๔.๒๕ ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจำนวน ๑,๕๗๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม ๑,๕๗๖.๓๕ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ และส่วนที่ ๒ (Tier 1 และ Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๙-๒๕๖๑ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ รวมทั้งการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง ตลอดจนการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัย และการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
878 | โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562 | กค | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล จำนวน ๑๒๑.๘๐ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ (Tier 1) และส่วนที่ ๒ (Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการประกันภัยข้าวนาปีและให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๒ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการในอนาคต โดยส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากการประกันภัยของเกษตรกรร่วมจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้เกษตรกรที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น โดยทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันด้วย และในระยะต่อไปหากระบบการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราค่าเบี้ยประกันภัยมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยเองในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณในการชดเชยค่าเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ตลอดจนการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง และการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัยและการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
879 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (๒) การพัฒนาคูคลองในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ปทุมธานีและนนทบุรี) และ (๓) กิจกรรมพัฒนาคลองเปรมประชากรและคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริให้ถูกต้องทั่วถึง รวมทั้งให้เชิญชวนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ เอกชน และประชาชนในทุกภาคส่วน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการจิตอาสาฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง เช่น การจัดหาเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และปัจจัยการผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในแต่ละพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
880 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | พม | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ดำเนินการโดยกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๘๗ โครงการ รวม ๓,๑๙๐ หน่วย ภายในวงเงินงบประมาณ ๓,๐๒๒.๔๓๘ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงยุติธรรมทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (๒) ให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด เป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละระดับสอดคล้องกับร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ โดยเคร่งครัด และจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นเร่งด่วน แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ (๓) ควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเข้าพักอาศัยในโครงการให้มีความชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มข้าราชการผู้มีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก และจัดทำแนวทางการบริหารจัดการเกี่ยวกับที่พักอาศัย เช่น การจัดระเบียบการพักอาศัย การเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับใช้ในการบำรุงรักษาอาคารและสภาพแวดล้อมทั่วไปเพื่อลดภาระเงินงบประมาณในอนาคต และการกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาในการพักอาศัยของโครงการ เช่น เมื่อผู้พักอาศัยมีระดับรายได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดต้องออกจากโครงการและไปใช้สิทธิอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|