ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 49 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 961 - 980 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
961 | ร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น | กต | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๘ เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างยุทธศาสตร์ฯ ในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๐ ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยร่างยุทธศาสตร์ฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมสาขาความร่วมมือระหว่างกัน (๖ ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม และญี่ปุ่น) แบ่งออกเป็น ๓ เสาหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาความเชื่อมโยงที่ดีและมีประสิทธิภาพที่หลายรูปแบบทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ (๒) การสร้างสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางผ่านความเชื่อมโยงระดับประชาชนและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ (๓) การสร้างความเป็นรูปธรรมและความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสีเขียว โดยการดำเนินการความร่วมมือในสาขาดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้ความร่วมมือที่เกี่ยวข้องที่ผ่านมาที่ครอบคลุมใน ๓ ประเด็น ได้แก่ การดำเนินการตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ระยะ ๕ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๓) ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างยุทธศาสตร์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ภายใต้เสาหลักที่ ๑ การพัฒนาความเชื่อมโยงที่ดีและมีประสิทธิภาพ ในส่วนของความเชื่อมโยงด้านอุตสาหกรรม ควรมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ Internet of Things (IoT) และอุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ไทยและญี่ปุ่นควรมุ่งเน้นความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่มีศักยภาพ อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่มูลค่าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) แนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามหลักการ Thailand Plus One ซึ่งจะก่อให้เกิดการขยายตัวของมูลค่าการค้าและการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ฯ ให้บรรลุเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
962 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (ครั้งที่ 2) | นร12 | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒) และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒) รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอแนะตามบันทึกความเห็นของ ค.ต.ป. และแจ้งให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และจังหวัด ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไขได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ ค.ต.ป. ดังกล่าว พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และกรรมการและเลขานุการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ควรเพิ่มการกำหนดตัวชี้วัด ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบให้ชัดเจนทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการ และควรเพิ่มรูปแบบการถ่ายทอดยุทธศาสตร์ระดับชาติลงสู่ระดับต่าง ๆ ที่สามารถสร้างความเข้าใจที่ตรงกันของผู้ปฏิบัติ รวมถึงรูปแบบการเชื่อมโยงผลผลิตและผลลัพธ์ตามเป้าประสงค์ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้มีวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ในองค์รวม (๒) รายงานผลการติดตามฯ ควรอธิบายถึงการกำหนดตัวชี้วัด กรอบ/แนวทางการประเมินในแต่ละสาขา รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโครงการที่จะติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถพิจารณาความเหมาะสมและความสอดคล้องของผลการดำเนินการที่ได้รายงานมากับเป้าหมายการพัฒนาประเทศได้ และ (๓) การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลลัพธ์หรือผลกระทบจากการดำเนินการของหลายโครงการที่มีความเกี่ยวโยงกัน เพื่อให้สามารถได้ผลการประเมินที่สะท้อนภาพรวมของการพัฒนาประเทศ และสามารถนำผลการประเมินมาใช้วางแผนและการกำหนดแนวทางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับประเด็นการพัฒนาประเทศได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
963 | ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง | กษ | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมง แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง และอนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจ รวมถึงการดำเนินโครงการร่วม และการส่งเสริมการค้าในสาขาประมงด้านต่าง ๆ ระหว่างคู่ภาคี และมีขอบเขตความร่วมมือ เช่น การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการประมง การส่งเสริมการลงทุนและการค้าสัตว์น้ำ และการขยายตลาดโดยคำนึงถึงประโยชน์ร่วมกันในบริบทของภูมิภาค เป็นต้น รวมทั้งระบุให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านประมง (Joint Fisheries Working Group : JFWG) เพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีการจัดประชุมทุกปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง คำนึงถึงประเด็นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไม่ทำลายระบบนิเวศบนบกและนิเวศชายฝั่ง ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ ๑๔ (ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อคงไว้ซึ่งระบบนิเวศและนำมาสู่ความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายด้วย และควรใช้รูปแบบความร่วมมือด้านต่าง ๆ เป็นช่องทางในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้กับสำนักงานการประมงของกัมพูชา เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน และการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
964 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้างจากอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 10 จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 4 จังหวัดราชบุรี | สกช | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สภากาชาดไทยเปลี่ยนแปลงรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้าง จากเดิม ค่าก่อสร้างอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๑๐ จังหวัดเชียงใหม่ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ๑ หลัง ในวงเงิน ๑๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท มาเป็น ค่าก่อสร้างกลุ่มอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๔ จังหวัดราชบุรี ตำบลพงสวาย อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โดยมีระยะเวลาดำเนินการและอยู่ภายในวงเงินตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ รายการดังกล่าวได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ พ.ศ. ๒๕๖๒ รองรับไว้แล้ว สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ตามกรอบวงเงินดังกล่าว ได้รับการบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว จึงเห็นควรให้สภากาชาดไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ส่วนรูปแบบอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติในส่วนของหอพัก เห็นควรให้สภากาชาดไทยหารือกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สภากาชาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการ/แผนงานของสภากาชาดไทยในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สภากาชาดไทยถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. กรณีโครงการก่อสร้างอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๑๐ จังหวัดเชียงใหม่ที่ขอยกเลิกในครั้งนี้ หากสภากาชาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการในพื้นที่ดังกล่าวในโอกาสต่อไป ให้สำนักงบประมาณพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า และความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการในพื้นที่ดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
965 | การขอขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ | ดศ | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในส่วนของกิจกรรมที่ ๑ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ระหว่างดำเนินกิจกรรม/โครงการเพิ่มเติม ส่วนกิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ซึ่งประกอบด้วย ๓ กิจกรรมย่อย โดยกิจกรรมย่อยที่มีความคืบหน้ามากที่สุด คือ กิจกรรมย่อย ๒ (การขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศของระบบที่มีอยู่ 1,770 Gbps) ซึ่งบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำฯ แล้ว จำนวน 980 Gbps นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้โอนงบประมาณในลักษณะเบิกจ่ายแทนกันให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืนตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง รวมทั้งควรเร่งรัดและติดตามการดำเนินการในแต่ละกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวได้อย่างเต็มศักยภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานภายในประเทศได้เพียงพอต่อความต้องการ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. รับทราบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (แผน USO) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งประสานไปยังสำนักงาน กสทช. เพื่อหารือในรายละเอียดของแนวทางการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมให้สอดคล้องกับแผน USO และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจาก กสทช. ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถขอรับการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวได้ทันตามแผนที่กำหนดไว้ ๓. กรณีการขอขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม กิจกรรมที่ ๑ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) จำนวน ๑,๐๗๒.๑๙๕๕ ล้านบาท และกิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. กรณีการขอความเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐมาดำเนินการ (๑) จัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม (๒) ต่อยอดการสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ดำเนินการ (๓) ประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ติดตั้งแล้วเสร็จอย่างคุ้มค่า และ (๔) ให้มีการดูแลและบำรุงรักษาโครงข่าย นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ และ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ให้ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
966 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562 | กค | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ วงเงินรวม ๑,๖๖๓,๐๐๑.๙๘ ล้านบาท ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๗๔๓,๙๐๑.๓๑ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๙๑๙,๑๐๐.๖๗ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๖๕,๑๑๗.๒๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผน ฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนฯ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๕ รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้คงค้างขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ๑.๖ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้รัฐบาลรับภาระหนี้ของ ขสมก. เฉพาะในส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อ ขสมก. จะได้รับขอจัดสรรงบประมาณในการชำระดอกเบี้ยตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๐ (๓) การตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะที่กระทรวงการคลังค้ำประกันทั้งต้นเงินกู้และดอกเบี้ยอย่างพอเพียง และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ (๓) สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงินของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระ ต้องตั้งตามภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณนั้น ๑.๗ รับทราบประมาณการหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๒-๒๕๗๑ และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะให้สอดคล้องกับความต้องการเบิกจ่ายเงินในแต่ละช่วงเวลาได้ภายใต้ความร่วมมือและการประสานงานอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการติดตามและเร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐสามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินได้สอดคล้องกับแผนการกู้เงิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) เร่งรัดดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้ของ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
967 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2562 | นร11 | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๒,๐๕๘,๑๙๖ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๘,๙๔๓ ล้านบาท และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๑.๓ มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๑.๔ ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๑๑๗,๑๑๐ ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๑๒,๗๑๑ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๓๓,๙๐๙ ล้านบาท ๑.๖ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดกลุ่มรัฐวิสาหกิจตามประเภทการดำเนินกิจการ โดยอาจนำแนวทางการปรับสถานะและความจำเป็นในการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้ความเห็นชอบไว้แล้วในปี ๒๕๕๘ มาประกอบการพิจารณา ๑.๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีบทบาทในกระบวนการพิจารณาการลงทุนของรัฐวิสาหกิจร่วมกัน ๑.๘ ให้กำหนดเงื่อนไขและกรอบระยะเวลาให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพื่อกำหนดทิศทางการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในระยะยาวให้ชัดเจน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจด้านคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ โดยให้เสนอขออนุมัติโครงการตามขั้นตอนที่สอดคล้องกับแผนการลงทุนดังกล่าว และในการเสนอของบลงทุนให้มีรายละเอียดเรื่องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รัฐมนตรี/กระทรวงเจ้าสังกัด/คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ/และรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงพลังงาน เช่น ควรให้ความสำคัญในการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการวัดผลสัมฤทธิ์จากการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายกรณีที่มีความล่าช้า เพื่อให้การใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบลงทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ควรพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานและการเปลี่ยนแปลงให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
968 | ข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร11 | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรอบงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนสำหรับดำเนินการตามข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ ในช่วงระยะครึ่งหลังของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท รวมถึงการดำเนินการจัดตั้งสถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา (Institute of Public Policy and Development) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในรูปแบบสถาบันภายใต้มูลนิธิพระยาสุริยานุวัตร โดยโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ มีแผนงาน/โครงการที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น แผนงานการสร้างฐานสำหรับการวิเคราะห์วิจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมเชิงลึก โครงการพัฒนาเครื่องมือและระบบการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาระบบเตือนภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่รองรับพลวัตรที่รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง แผนงานการวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มอนาคตและผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โครงการวิเคราะห์ภาพอนาคต (Scenario) ของการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาล แผนงานการออกแบบและการพัฒนานโยบายสาธารณะ (Policy Design and Development) โครงการพัฒนานโยบายสร้างพื้นที่เติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ โครงการออกแบบนโยบายพัฒนาสาขาการผลิตและบริการที่จะเป็นเครื่องจักรการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ ควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของงบประมาณหรือแหล่งเงินนอกงบประมาณให้ครบถ้วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการสถาบันฯ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการสรรหาบุคลากรและการสร้างกลไกความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อน การกำหนดบทบาทและขอบเขตการทำงานที่แตกต่างและเสริมกันอย่างชัดเจนระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสถาบันฯ การสรรหาผู้อำนวยการสถาบันฯ ด้วยกระบวนการและวิธีการที่มีมาตรฐานสูง การสร้างกลไกในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการวิจัยร่วมกับหน่วยงานภายนอกทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน และการพิจารณารับดำเนินการโครงการวิจัยให้กับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
969 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 | นร12 | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย เพื่อให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย และสามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์กลางที่กำหนดไว้ โดยหลักเกณฑ์กลางดังกล่าวมีสาระสำคัญครอบคลุม ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ลักษณะขององค์การมหาชนที่จะถือว่าเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย เช่น กฎหมายจัดตั้งองค์การมหาชนกำหนดให้มีภารกิจ “ดำเนินการวิจัย” เป็นหลัก มีงบประมาณเพื่อดำเนินการวิจัยเป็นหลัก มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรวิจัยเป็นหลัก และจำนวนบุคลากรวิจัยมากกว่าบุคลากรสายงานอื่น และ (๒) แนวทางการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย ได้แก่ การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนที่ยังคงหลักการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ แนวทางการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ผู้อำนวยการองค์การมหาชน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนที่กำหนดว่าหากเกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของแผนการใช้จ่ายเงิน ก็ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณายกเว้นให้เป็นรายกรณี การประเมินผลการปฏิบัติงาน และแนวทางการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดตัวชี้วัดด้านการวิจัยที่สามารถวัดผลการปฏิบัติงานด้านการวิจัยที่มีประสิทธิภาพและแสดงถึงความคุ้มค่า รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดระดับของการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (ที่กำหนดให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าจำเป็น และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ/และนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อพิจารณาเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนด้านการวิจัยด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงระบบค่าตอบแทนของบุคลากรภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้สามารถดึงดูด รักษา จูงใจผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพสอดคล้องตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และองค์การมหาชนด้านการวิจัย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมประสานงานและบูรณาการการดำเนินโครงการ/แผนงานด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมในเรื่องต่าง ๆ ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และตอบสนองต่อเป้าหมายในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
970 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 กับกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 | คค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค และด่านการค้าชายแดน (Land-link Economic Corridor) ได้พัฒนาโครสร้างพื้นฐานทางถนนและทางรางให้เชื่อมระหว่าง ๒ ภูมิภาคในเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) ตลอดจนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นโครงข่าย Land Link โดยมีการดำเนินโครงการสำคัญ เช่น โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒ เริ่มตั้งแต่ อ.แม่สอด จ.ตาก-จ.มุกดาหาร มีระยะทางในประเทศไทย ๗๗๗ กิโลเมตร (ตั้งแต่สะพานมิตรภาพฯ อ.แม่สอด-สะพานมิตรภาพฯ จ.มุกดาหาร) โครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน โครงการถนนเชื่อมโยงพื้นที่เมืองหลัก เมืองรอง โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง ๒๘๕ กิโลเมตร และพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร และโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ระยะที่ ๒ ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง ๓๕๐ กิโลเมตร เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ (Air-link Economic Corridor) ได้มีแผนพัฒนาท่าอากาศยานให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก ปลอดภัย และสามารถเชื่อมโยงกับท่าอากาศยานหลัก โดยท่าอากาศยานที่อยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ จำนวน ๔ แห่ง (ท่าอากาศยานพิษณุโลก แม่สอด เพชรบูรณ์ ตาก) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ จำนวน ๒ แห่ง (ท่าอากาศยานอุดรธานี เลย) ๓. ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว (Tourism Economic Corridor) ได้พัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวให้ครอบคลุมและต่อเนื่องไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้หลากหลายมากขึ้น มีความปลอดภัยและสอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยมีโครงการสำคัญ เช่น ถนนเลียบโขง Romantic Road เป็นทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ ตอน ห้วยเชียงดา-ปากชม-เชียงคาน จ.เลย ระยะทาง ๗๒.๓๖ กิโลเมตร ถนนสายแยก ทล.๒๑๒-บ.ฝายแตก อ.เมือง จ.หนองคาย ระยะทาง ๕.๖๖๐ กิโลเมตร และถนนสายแยก ทล.๒๐๖๗-แก่งหินถ้ำเต่า อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ ระยะทาง ๑.๙๓๕ กิโลเมตร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
971 | มาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ | กค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระจากราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากร้านธงฟ้าประชารัฐผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) ที่มีการเชื่อมต่อระบบเครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) ซึ่งผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเงินชดเชยจากข้อมูลตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑-๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ เท่านั้น และให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ทั้งสิ้นจำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนและการจัดการกับความเสี่ยงในการดำเนินการจัดหาเครื่อง EDC อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และการพัฒนาระบบการชำระเงิน POS เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงความเป็นไปได้และแรงจูงใจเพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งความพร้อมของระบบงานในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มและระบบงานที่รองรับการใช้เงินชดเชยที่ได้รับ และการประชาสัมพันธ์ให้ร้านค้าที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานระบบงานได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการฯ ให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่มีเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ จำนวน ๖๐,๐๖๗,๒๐๐ บาท สำหรับส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๔,๔๓๒,๘๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ POS ให้กับร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ รูปแบบ และขั้นตอนการดำเนินมาตรการฯ ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ให้ชัดเจนและถูกต้อง ตรงกัน เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการฯ ได้อย่างบรรลุผลและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กำกับ ติดตามการดำเนินการตามมาตรการฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการบิดเบือนและแสวงหาประโยชน์จากการดำเนินมาตรการฯ ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตรวจสอบและติดตามการดำเนินการจำหน่ายสินค้าของร้านธงฟ้าประชารัฐในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีการนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพมาจัดจำหน่ายให้สอดคล้องและเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
972 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข็มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ครั้งที่ 5 | นร07 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงิน ๓๗๑,๐๖๘,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๓๐ โครงการ และสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯ ให้กับ ๘ หน่วยงานตามขั้นตอนต่อไป สำหรับวงเงินที่คงเหลืออยู่อีก จำนวน ๑,๒๙๓,๐๑๐,๕๐๐ บาท สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการในการขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะได้พิจารณาอนุมัติต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อขอขยายระยะเวลากันเงินเบิกเหลื่อมปีงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับวงเงินที่ได้อนุมัติในคราวนี้ และวงเงินที่เหลืออยู่อีก จำนวน ๑,๒๙๓,๐๑๐,๕๐๐ บาท ต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
973 | รายงานประจำปี 2560 ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ | วท | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๐ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศไทย ในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล จากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสถาบันการศึกษา และภาคประชาชน ซี่งเห็นความสำคัญในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์และมูลค่าทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบที่เข้มแข็งและมีการบูรณาการมากขึ้น โดยการทำวิจัยและนวัตกรรมจะมุ่งเน้นตามอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ มีการทำงานในลักษณะเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศโดยผู้มีบทบาทสำคัญตื่นตัวและมีความตระหนักมากขึ้น ๒. ผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑) การขับเคลื่อนการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม ได้แก่ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระดับประเทศ การกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณบูรณาการด้านการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ และการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (๒) การขับเคลื่อนข้อริเริ่มสำคัญของรัฐบาล ได้แก่ การดำเนินโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร การศึกษาและจัดทำร่างพระราชบัญญัติพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นและนวัตกรรมเชิงนโยบาย และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๓) โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมเกิดใหม่ และ (๔) การบริหารจัดการบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๓. รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของ สวทน. สิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของ สวทน. แล้วเห็นว่า งบการเงินของ สวทน. มีความถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
974 | รายงานผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นรายไตรมาส | มท | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นรายไตรมาส ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุ จากผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน มีข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึง ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒๓,๕๓๒ ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ (Admit) ๑๙,๘๗๙ คน และมีผู้เสียชีวิต ๖,๖๖๐ ราย เปรียบเทียบกับข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึง ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐) พบว่าการเกิดอุบัติเหตุลดลง ๔,๘๔๖ ครั้ง จำนวนผู้บาดเจ็บลดลง ๔,๖๘๓ คน และจำนวนผู้เสียชีวิตลดลง ๑,๘๒๑ ราย ๑.๒ การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การดำเนินการบริหารจัดการการใช้ความเร็วในพื้นที่ชุมชน เพื่อกำหนดแนวทางและวิธีปฏิบัติให้มีการใช้ความเร็วที่เหมาะสม (๒) การดำเนินโครงการพัฒนาระบบและมาตรฐานการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน โดยการเสริมสร้างความรู้และศักยภาพในการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยทางถนน และ (๓) การดำเนินการว่าจ้างมหาวิทยาลัยนเรศวรจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นแผนหลักในการบูรณาการการดำเนินการด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำเทคโนโลยีดิจิทัลและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา/ปรับปรุงวัสดุอุปกรณ์ด้านจราจรต่าง ๆ มาใช้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาจราจรด้วย เช่น ระบบสัญญาณไฟจราจร เครื่องตรวจจับความเร็ว ไฟส่องสว่าง เป็นต้น ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
975 | ขออนุมัติโครงการเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ 60 พรรษา | รจภ. | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการศูนย์การเรียนรู้และวิจัยเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ [โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์และการจัดการเรียนการสอนระดับปรีคลินิกของนักศึกษาแพทย์ พยาบาลวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพและบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗)] ที่เสนอในครั้งนี้ ไม่ปรากฏว่ามีการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลเพิ่มเติมหรือมีจำนวนเตียงผู้ป่วยไว้ค้างคืนที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ ๑ จึงไม่เข้าข่ายที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่ประการใด ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ภายในกรอบวงเงิน ๑๐,๒๓๒.๗๓๑๐ ล้านบาท ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔ ประกอบด้วย (๑) โครงการศูนย์การเรียนรู้และวิจัยเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) วงเงิน ๕,๓๐๐.๒๗๓๘ ล้านบาท (๒) โครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔) วงเงิน ๓,๕๘๖.๗๐๐๐ บาท (๓) โครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๑) วงเงิน ๘๑๐.๐๙๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ระยะที่ ๑) (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) วงเงิน ๕๓๕.๖๖๗๒ ล้านบาท ตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะต้องคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และประโยชน์ที่ประชาชนและราชการจะได้รับ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมกำลังคนด้านการวิจัยและวิชาการของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมถึงโครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติ และโครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ [เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (ตำแหน่งนายแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร)] ๔. ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เช่น การพิจารณาจัดทำแผนอัตรากำลังคนเพื่อรองรับผู้ที่ได้รับการสนับสนุนทุนภายหลังสำเร็จการศึกษา การพิจารณาถึงความเหมาะสมของกรอบอัตรากำลังคนและงบประมาณ เนื่องจากจะมีผลผูกพันด้านงบประมาณของประเทศในระยะยาวต่อไป และการพิจารณาถึงสัดส่วนการจัดสรรทุนที่สอดคล้องกับแผนอัตรากำลังคนภาครัฐที่ต้องการสำหรับการให้บริการสุขภาพของประชาชนในแต่ละสาขา รวมถึงการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการโครงการที่มุ่งเน้นให้เกิดการกระจายและการธำรงรักษาบุคลากรทางการแพทย์ดังกล่าวให้คงอยู่ในระบบ โดยเฉพาะพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อเป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
976 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 42 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 31 พฤษภาคม 2561) และครั้งที่ 43 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 มิถุนายน 2561) [สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 43 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 มิถุนายน 2561)] | นร | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๓ ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล โดยดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ส่งเสริมความสามัคคีสมานฉันท์ในพื้นที่ โดยการจัดงานประเพณี จัดกิจกรรมทางศาสนา และจัดกิจกรรมพัฒนา การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ การจัดกิจกรรมในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยคณะกรรมการหมู่บ้าน การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดองโดยอาสาสมัครต้นแบบประชาธิปไตย การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่อง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและการเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี ๒๕๖๑ (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดงาน “Technology Investment Conference 2018” และการจัดงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค” ประจำปี ๒๕๖๑ (National Science and Technology Fair 2018, Regional) (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การเร่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในภูมิภาคอาเซียนและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย และการจัดทำแผนการพัฒนาฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนในระยะต่อไป และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การดำเนินโครงการพัฒนานักยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปประเทศเชิงบูรณาการ (Strategist Development Program) การลงนามบันทึกข้อตกลงการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ และโครงการยกเลิกสำเนาเอกสารราชการ (No Copy)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
977 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการและลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) | อก | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ดำเนินโครงการส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจจากโรงงานหลอมโลหะผ่านการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของเศษโลหะให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Greening the Scrap Metal Value Chain through Promotion of BAT/BEP to Reduce U-POPs Releases from Recycling Facilities) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility : GEF) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจ เช่น ไดออกซินและฟิวแรนจากโรงงานหลอมโลหะ โดยกำหนดเป้าหมายการลดการปลดปล่อยต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ภายในระยะเวลา ๕ ปี ๑.๒ ร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ กับ UNIDO ๑.๓ ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากโครงการฯ ทั้งระหว่างดำเนินการและเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ เพื่อนำมาพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการขยายผลการดำเนินโครงการในระยะต่อไปหลังสิ้นสุดโครงการไปยังกลุ่มเป้าหมายในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจ (U-POPs) อื่น โดยส่งเสริมการดำเนินการร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และควรพิจารณากำหนดงบประมาณแบบบูรณาการในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายไทยต้องร่วมสนับสนุนในการดำเนินการผ่านหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว โดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นลำดับแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
978 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น อันเป็นการเพิ่มรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองและขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานในภูมิภาค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ควรกำหนดแผนบริหารความเสี่ยงหากเกิดกรณีที่ผลการดำเนินงานด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ ควรพิจารณารูปแบบการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ และควรพิจารณาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ การกำหนดโครงสร้างการบริหารกิจการระบบขนส่งทางรางภายหลังที่มีการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และการกำหนดรูปแบบของหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองในส่วนภูมิภาค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
979 | การทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 | พณ | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสัดส่วนการแบ่งค่ารักษาข้าวเปลือก และรับทราบการปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกรในการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ให้ปรับปรุงให้ค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกตันละ ๑,๕๐๐ บาท จากมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เดิมให้สหกรณ์ตันละ ๑,๐๐๐ บาท และเกษตรกรได้รับตันละ ๕๐๐ บาท ปรับเป็น “ให้เกษตรกรได้รับตันละ ๑,๐๐๐ บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ ๕๐๐ บาท” ๑.๒ เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น ๑.๓ ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูง หรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศเพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพ ตลอดระยะเวลาโครงการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการเพื่อรองรับให้เกษตรกรในภาคกลางมีพื้นที่ในการเก็บข้าวด้วย เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และควรมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้มีการทบทวนใหม่อย่างทั่วถึงและก่อนการดำเนินโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
980 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายการดำเนินการของตลาดประชารัฐและได้จัดตั้งตลาดกลางเพื่อเป็นศูนย์กลางการขายส่งสินค้าเกษตรครอบคลุมถึงการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าเกษตร สินค้าประมง และสินค้าปศุสัตว์ รวมทั้งจัดให้มีระบบการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนที่มียานพาหนะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น โดยให้เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระบบการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ และให้รายงานผลการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ด้านสังคม มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เช่น การกำหนดสถานที่ให้บริการรับจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เพียงพอและทั่วถึง เพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามาติดต่อขอรับบริการขึ้นทะเบียนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และคล่องตัว เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าวอย่างเคร่งครัดด้วย เช่น ปัญหาเจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์จากแรงงานต่างด้าว ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว เป็นต้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดส่งเอกสารหรือสื่อต่าง ๆ ที่จัดทำขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ/กิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อทำความเข้าใจและนำไปถ่ายทอดหรือเผยแพร่ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง โดยให้พิจารณาใช้ช่องทางการเผยแพร่ที่หลากหลายและเหมาะสมตามแต่กรณี นั้น ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยให้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในเรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก การบริหารงบประมาณและการเงินการคลังภาครัฐ การกระจายอำนาจ หลักธรรมาภิบาลภาครัฐ การพัฒนาด้านการเกษตร การจัดการขยะ และความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เป็นต้น ให้แก่กระทรวงมหาดไทยเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในระดับชุมชนและท้องถิ่นผ่านช่องทางต่าง ๆ ต่อไป เช่น การจัดเวทีประชาคม การประกาศผ่านหอกระจายเสียง การจัดประชุมสัมมนา เป็นต้น
|
.....