ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 42 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 821 - 840 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
821 | (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) | นร | 18/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน รวมถึงแผนปฏิบัติการ และจัดทำรายละเอียดเป้าหมายรายลุ่มน้ำให้สอดคล้องกับแผนแม่บทฯ รวมทั้งจัดทำการติดตามและประเมินผล เพื่อตอบผลสัมฤทธิ์ของ (ร่าง) แผนแม่บทฯ โดยสาระสำคัญของ (ร่าง) แผนแม่บทฯ เป็นการปรับปรุงประเด็นหลักและรายละเอียดสำคัญของแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) ให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ภายใต้ยุทธศาสตร์ ด้านที่ ๕ การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นที่ ๑๙ การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำ ๓ แผนย่อย ได้แก่ (๑) การพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ (๒) การเพิ่มผลิตภาพของน้ำทั้งระบบในการใช้น้ำอย่างประหยัด รู้คุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้น้ำให้ทัดเทียมกับระดับสากล และ (๓) การอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยคำนึงถึงวงเงินของประเทศที่จะดำเนินการตามแผนให้ประสบผลสำเร็จ ประโยชน์ที่ได้รับ และประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนเป้าหมายในทุกระยะ ๕ ปี และควรพิจารณากำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด กลยุทธ์และมาตรการที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนระดับที่ ๑ และระดับที่ ๒ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติ ได้แก่ ควรเพิ่มเป้าหมายโรงงานที่จะลดการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมภายใน ๒๐ ปี ที่ตั้งไว้จำนวนเพียง ๒๐๐ โรงงาน และเป้าหมายการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และที่อยู่อาศัย ตลอดจนการจัดลำดับความสำคัญของแผนงานโครงการ โดยให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการจัดการน้ำเพื่อชุมชนชนบทที่เหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาเชิงบูรณาการ (Area Based) จำนวน ๖๖ พื้นที่ทั่วประเทศ เป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
822 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 4 โครงการ จากวันที่ 8 มิถุนายน 2562 ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2563 | นร | 18/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร (๒) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน (๓) โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน และ (๔) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ จากวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ต่อเนื่องถึงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่ บจธ. เสนอ และให้ บจธ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป บจธ. ควรคำนึงถึงประเด็นข้อจำกัดด้านระยะเวลาอย่างเคร่งครัดและเร่งดำเนินโครงการให้สัมฤทธิ์ผล รวมถึงควรมีแผนการรองรับในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้สำเร็จทันตามกำหนดเวลาเพื่อให้การดำเนินงานสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายซี่งเป็นเกษตรกรและผู้ยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกินที่กำลังจะได้รับความช่วยเหลือจาก บจธ. รวมทั้งควรเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นรูปธรรม ตลอดจนควรมีแผนการดำเนินการที่ชัดเจนในรายละเอียดสำหรับช่วงเวลาที่ขอขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการและกำหนดกิจกรรมที่มีความเป็นไปได้ตามข้อเท็จจริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ บจธ. เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและบรรลุเป้าหมายภายในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๓ และให้รายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อทราบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ [เรื่อง การดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)] ด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนติดตามการดำเนินงานของ บจธ. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอในการประเมินผลการดำเนินการของ บจธ. ว่า เกิดผลสัมฤทธิ์หรือมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงบประมาณและสมควรยุบเลิกหรือไม่ ประการใด ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๕ ของพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
823 | โครงการจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาษาอังกฤษ (Tipitaka English Version) | วธ | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาษาอังกฤษ (Tipitaka English Version) ในนามรัฐบาล โดยการบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อถวายพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวิชรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่พระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย และประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก และเพื่อเป็นการเผยแผ่และสืบทอดพระพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กรมการศาสนาพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้กรมการศาสนาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรี (๒๗ มกราคม ๒๕๕๘) เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
824 | ขออนุมัติแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก และแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ | นร | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ ๑.๑ เห็นชอบแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก รวม ๔ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๙) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑,๔๕๖.๙๘ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๑๑ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๗๕๔.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ รวม ๖ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๒) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๕,๗๐๑.๕ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๙ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๑,๕๑๓.๕ ล้านบาท ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันทีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการสนับสนุนตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๔ มอบหมายให้ สทนช. อำนวยการและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนหลักที่วางไว้ทั้ง ๒ แผน รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัด ดังนี้ ๑.๔.๑ การฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก (๑) ให้หน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเร่งด่วน จำนวน ๑๑ โครงการ โดยให้ดำเนินการเตรียมความพร้อมให้ชัดเจน พร้อมทั้งวางแผนเยียวยาในเรื่องการจัดหาที่อยู่ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อไปด้วย และ (๒) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ กนช. ทราบเป็นระยะต่อไป ๑.๔.๒ การฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ (๑) ต้องสร้างความเข้าใจและการรับรู้ให้กับประชาชน (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเตรียมความพร้อมและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแผนที่กำหนด และ (๓) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ สนทช. ทราบเป็นระระต่อไป ๒. ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของแผน และการบริหารจัดการแผน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้เพื่อขับเคลื่อนแผนหลักดังกล่าว เห็นควรให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมและจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้จัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามแผนให้ถูกต้อง ทั่วถึงโดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับของส่วนรวม พร้อมทั้งให้จัดเตรียมมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
825 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนมีนาคม - เมษายน 2562 (เมษายน 2562) | นร | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๖๒ และมอบหมายให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวและชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการประกันภัยข้าวนาปี และการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ (เพิ่มเติม) ๒. ภัยแล้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๖๒ ๓. โครงการระบบรถไฟชานเมือง เน้นการประชาสัมพันธ์ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดง (ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา) และสายสีแดงเข้ม (ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) และโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดงอ่อน (ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๔. ประเพณีสงกรานต์ เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นแนวทางการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๒ (สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ำคุ้มค่า ชีวาปลอดภัย) ๕. การเลือกตั้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๖. ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
826 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 | ทส | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งที่ประชุม คทช. ได้รับทราบและพิจารณาผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) รับทราบผลการดำเนินงานตามมติ คทช. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ คทช. และผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ (๒) รับทราบความคืบหน้าการเสนอร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๓) รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ เรื่อง รายงานผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) (๔) รับทราบการดำเนินงานในการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คทช. (๕) เห็นชอบการดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔ โครงการ และ (๖) เห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย และคำสั่งคณะอนุกรรมการฯ เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย จำนวน ๔ คณะ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
827 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนมีนาคม - เมษายน 2562 (มีนาคม 2562) | นร | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๖๒ และมอบหมายให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวและชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการประกันภัยข้าวนาปี และการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ (เพิ่มเติม) ๒. ภัยแล้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๖๒ ๓. โครงการระบบรถไฟชานเมือง เน้นการประชาสัมพันธ์ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดง (ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา) และสายสีแดงเข้ม (ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) และโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดงอ่อน (ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๔. ประเพณีสงกรานต์ เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นแนวทางการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๒ (สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ำคุ้มค่า ชีวาปลอดภัย) ๕. การเลือกตั้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๖. ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
828 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม | คค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ในวงเงิน ๖๖,๘๔๘.๓๓ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๘ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๖๘) โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือที่ประกาศใช้ล่าสุด และเพื่อความคล่องตัวในการบริหารงบประมาณของ รฟท. ให้ รฟท. มีอำนาจในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณค่าก่อสร้าง ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าเวนคืนที่ดิน และรายละเอียดอื่น ๆ ที่สำคัญภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ นั้น กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีให้กับ รฟท. เป็นค่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเวนคืน ค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ และค่าจ้างที่ปรึกษาประกวดราคา วงเงินรวม ๑๐,๒๕๕.๓๓ ล้านบาท สำหรับค่าก่อสร้าง จำนวน ๕๕,๔๖๒.๐๐ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๑,๑๓๑ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๕๖,๕๔๓.๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้จากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ รฟท. กู้ต่อ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินโดยตรง ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ๒. อนุญาตให้ รฟท. กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อดำเนินโครงการฯ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น (๑) ให้ รฟท. กำกับดูแลการเบิกจ่ายงบลงทุนของโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ตลอดจนดำเนินการแยกทรัพย์สินในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐเป็นผู้รับภาระการลงทุนออกจากบัญชีของ รฟท. ให้ชัดเจน (๒) ให้ รฟท. วางแผนบริหารจัดการการดำเนินงาน และเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง และเมื่อโครงการฯ แล้วเสร็จ กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ควรมีแนวทางการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายอื่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการขนส่งทางรางอย่างเป็นรูปธรรม (Open Access) เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ (๓) ให้ รฟท. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการโครงการในภาพรวมให้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดรูปแบบและแนวทางการบริหารจัดการย่านลานกองเก็บตู้สินค้าที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าจากทางถนนสู่ทางราง และลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ และ (๔) ให้ รฟท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาจัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางและบริเวณสถานีรถไฟ (Transit-Oriented Development : TOD) รวมทั้งจัดทำแผนการพัฒนาและเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะระบบต่าง ๆ ควบคู่กับการพัฒนาโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
829 | รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2562 | มท | 21/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทย เพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการ “คืนคลองสวยทั่วไทย สุขใจเที่ยวท้องถิ่น” ได้ดำเนินการตามเป้าหมายแล้ว จำนวน ๗๖ จังหวัด มีคูคลองที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นคลองต้นแบบระดับจังหวัด จำนวน ๑๐๔ แห่ง เช่น คลองบางกล่ำ จังหวัดสงขลา คลองแม่มอก จังหวัดสุโขทัย และคลองรังสิตประยูรศักดิ์ จังหวัดปทุมธานี เป็นต้น ๒. โครงการ “ห้องน้ำท้องถิ่นสะอาดและปลอดภัย” ได้ดำเนินการตามเป้าหมายแล้ว จำนวน ๗๖ จังหวัด มีห้องน้ำสาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่พัฒนา/ปรับปรุงแล้ว จำนวน ๓๓,๒๗๖ แห่ง จากจำนวน ๔๐,๙๙๑ แห่ง เช่น ห้องน้ำศูนย์บริการร่วมแบบเบ็ดเสร็จเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ห้องน้ำสวนสาธารณะเกาะลำพู จังหวัดสุราษฎร์ธานี และห้องน้ำภายในสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลวังโมกข์ จังหวัดพิจิตร เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
830 | ขอปรับปรุงหลักการของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 | นร63 | 21/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักการของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ ๓ ช่วงที่ ๑ โดยเปลี่ยนแปลงการชำระเงินร่วมลงทุนกับเอกชนสุทธิจากไม่เกิน ๕๑๖.๓๖ ล้านบาทต่อปี เป็นไม่เกิน ๗๒๐ ล้านบาทต่อปี ระยะเวลา ๓๐ ปี (เพิ่มขึ้นจากเดิม ๒๐๓.๖๔ ล้านบาทต่อปี หรือ ๖,๑๐๙.๒ ล้านบาท ตลอดระยะเวลา ๓๐ ปี) และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนของโครงการฯ เร่งดำเนินการเจรจาต่อรองกับผู้ยื่นข้อเสนออีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ กนอ. ใช้กลไกการเจรจาต่อรองกับผู้ยื่นข้อเสนอโดยคณะกรรมการคัดเลือกอย่างถึงที่สุด และในกรณีที่คณะกรรมการคัดเลือกไม่สามารถดำเนินการเจรจาต่อรองให้บรรลุเป้าหมายได้ เห็นควรให้พิจารณาแนวทางเลือกอื่น ๆ ที่จะช่วยลดภาระค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ กนอ. ในภาพรวม อาทิ การระดมทุนจากการออกพันธบัตร เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ กนอ. ได้รับผลตอบแทนทางการเงินจากการดำเนินโครงการฯ ตามที่ประมาณการไว้ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินของ กนอ. ในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการ ก่อนเสนอผลการเจรจาต่อรองกับผู้ยื่นข้อเสนอของโครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้ กนอ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควร (๑) ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติตามนัยมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่กำหนดให้การก่อหนี้ที่ผูกพันการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือเงินอื่นของหน่วยงานของรัฐ ต้องพิจารณาภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นและข้อผูกพันในการชำระเงินตามสัญญาและประโยชน์ที่รัฐจะได้รับด้วย อย่างเคร่งครัด (๒) พิจารณาปรับปรุงแผนการดำเนินงานโครงการฯ แผนทางการเงินให้สอดคล้องกับสถานะการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ กนอ. จะต้องรับภาระในการร่วมลงทุนกับเอกชนในงานส่วนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น และแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่การดำเนินงานด้านการเงินไม่เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ และ (๓) เร่งรัด กำกับ และติดตามการดำเนินงานโครงการฯ ด้วยความรอบคอบ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และกรอบระยะเวลา ขั้นตอน ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
831 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) | กค | 14/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิในการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ เฉพาะส่วนที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตไม่ว่าจะกระทำในประเทศหรือนอกประเทศเป็นเวลาสามรอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน โดยผู้ดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจจะต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการยกเว้นภาษีเงินได้ของกำไรสุทธิที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตเฉพาะส่วนที่จะกระทำในประเทศเท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับการได้มาซึ่งกำไรจากการใช้ทรัพยากรภายในประเทศมาดำเนินงาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรหารือเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้ รวมถึงสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก นอกจากนี้ ควรจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
832 | โครงการพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ (Bangkok Fish Market) | กษ | 14/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการศึกษาความเหมาะสม ความจำเป็น และความเป็นไปได้ในการพัฒนาสะพานปลา รวมถึงการย้ายหรือพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จากการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ พบว่ามีความคุ้มค่าและเหมาะสมในการลงทุน [ผลตอบแทนการลงทุน (FIRR) ร้อยละ ๑๙.๓๕] ๑.๒ ปัจจุบันสะพานปลาสมุทรปราการไม่เหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ เนื่องจากบริเวณรอบข้างของสะพานปลาสมุทรปราการเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กและเคมีจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปนเปื้อนสินค้าสัตว์น้ำและไม่สอดคล้องกับนโยบายด้านอาหารปลอดภัย ๑.๓ พื้นที่ที่กรมธนารักษ์ให้องค์การสะพานปลาคัดเลือกนั้น ไม่มีพื้นที่เหมาะสมในการดำเนินการจัดตั้งตลาดสะพานปลากรุงเทพแห่งใหม่ ๑.๔ ผลการสำรวจพบว่าประชาชนเห็นด้วยที่ให้องค์การสะพานปลาคงอยู่ที่ปัจจุบัน (เขตสาทร) ร้อยละ ๙๗.๗๕ (สำรวจความคิดเห็น ระหว่างวันที่ ๒๗ กันยายน-๙ ตุลาคม ๒๕๖๐) ๑.๕ ไม่มีเอกชนรายใดให้ความสนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการ Fish Market Complex ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การสะพานปลารับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ ด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ รวมทั้งควรเร่งประสานกรมธนารักษ์เพื่อพิจารณาทำสัญญาเช่าพื้นที่ในระยะยาว เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามขั้นตอน และในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ การออกแบบสิ่งก่อสร้าง และการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ควรให้ความสำคัญกับรูปแบบและกระบวนการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งรองรับการดำเนินธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยวด้านการประมงที่ไม่ส่งผลกระทบต่อทัศนียภาพและสภาพแวดล้อมริมแม่น้ำเจ้าพระยา และการบริหารโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างคุ้มค่าและสร้างผลตอบแทนสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
833 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณรายจ่าย รายการเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RCEP | พณ | 14/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณรายจ่าย รายการเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) (RCEP Secured Online Platform) สำหรับ ๒ ปีแรก (๒๕๖๒-๒๕๖๓) จากเดิมจำนวน ๑,๖๒๕ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๕๓,๖๒๕ บาท) เป็นจำนวน ๒,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๖๖,๐๐๐ บาท) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นลำดับแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
834 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | มท | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดยการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการดำเนินงานในลักษณะของรายการปีเดียว และไม่มีผลเป็นการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ อันจะเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต โดยขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะรายงานผลการดำเนินงานต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในโอกาสแรก และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศน์โดยรวมเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการดำเนินโครงการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานของรัฐ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการกำหนดรูปแบบของฝายชะลอน้ำตามโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพื่อให้มีการจ้างแรงงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล โครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
835 | โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) | กค | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อรองรับ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ ๓ โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับปริญญาตรี และ (๒) โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นโครงการที่มีเงื่อนไขพิเศษผ่อนปรนกว่าการดำเนินการให้กู้ยืมตามเงื่อนไขปกติของ กยศ. เพื่อสนับสนุนให้มีนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสาขาที่เป็นความต้องการในอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น และหากในอนาคต กยศ. มีความจำเป็นต้องขอรับงบประมาณ ขอให้ กยศ. ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนโดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน และคำนึงถึงการสูญเสียรายได้ของ กยศ. โดยไม่กระทบต่อภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลเพื่อใช้ประกอบในการบริหารจัดการกำลังแรงงานของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรให้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้มีส่วนร่วมในการพิจารณากำหนดสาขาวิชาให้ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง และควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
836 | การดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) | ดศ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐนำมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสารสนเทศเพื่อการประมวลผลข้อมูล (Infrastructure Architecture) และกรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) ไปใช้เป็นมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นผู้ให้คำแนะนำ ติดตาม และประเมินผลต่อไป ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) และให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการคลาวด์กลางภาครัฐ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น ให้ครบถ้วน โดยให้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกี่ยวกับประเด็นการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงิน ๔,๕๕๔.๒ ล้านบาท เพื่อการจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐว่า การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่เข้าข่ายการดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในอนาคต ซึ่งตามมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการนั้น จะต้องจัดทำข้อมูลรายละเอียดตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในการจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐจะต้องมีการบูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ และไม่ซ้ำซ้อนกับการจัดหาคลาวด์ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้หน่วยงานภาครัฐร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในการจัดทำรายการข้อมูลภาครัฐ (Government Data Catalog) และระบบนามานุกรม (Directory Services) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๕. ในส่วนของการจัดตั้ง “สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data Institute : GBD)” เป็นหน่วยงานภายในภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรองรับการให้บริการด้านการพัฒนาบุคลากรและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ของภาครัฐ นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ในการจัดตั้งสถาบันจะต้องดำเนินการภายใต้ขอบเขตวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลตามมาตรา ๓๕ ของพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่กระทบต่อภารกิจของหน่วยงานตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ใช้จ่ายจากรายได้ของหน่วยงานเป็นหลัก และความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินการพัฒนาบุคลากร เห็นควรให้นำภารกิจงานที่หน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินการมาเป็นแบบฝึกหัดหรือเป็นกรณีศึกษาในการฝึกอบรม และกำหนดเป็นเป้าหมายหรือตัวชี้วัดความสำเร็จการดำเนินงานของสถาบัน รวมถึงเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ารับการฝึกอบรมด้วย เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาบุคลากรสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสถาบันได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
837 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) | ทส | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project รวม ๒๖ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๒ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๖ พันล้านบาท มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้ ๑๒๙,๙๕๘ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วม จำนวน ๔ ครั้ง โดยที่ประชุมได้มีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานภายใต้กลไกเครดิตร่วม การรับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก ๗ วิธี ขึ้นทะเบียนโครงการ ๔ โครงการ และการรับรองคาร์บอนเครดิต ๑ โครงการ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วมได้มีมติเห็นชอบการขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจประเมินโครงการทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มอีก ๑ ราย ๓. การจัดงานอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น รวม ๑๓ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๙๙๓ คน และมีการเข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนโครงการ JCM จำนวน ๑๕ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว จำนวน ๑๖ โครงการ ๔. แผนการดำเนินการในระยะต่อไป ได้แก่ (๑) การเสนอคณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วมพิจารณาคำขอทางอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย การรับรองร่างระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจก ๓ วิธี และการขึ้นทะเบียนโครงการ ๑ โครงการ คือ Introduction of 3.4 MW Rooftop Solar Power System to Air-conditioning Parts Factories (๒) การให้ความเห็นร่างระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก ๓ วิธี และ (๓) การให้ความเห็นเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนโครงการ ๖ โครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
838 | การขออนุมัติโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ โครงการที่ 5 (ปีงบประมาณ 2563 - 2574) | กต | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ โครงการที่ ๕ เป็นระยะเวลา ๑๒ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๔) รวมจำนวน ๕๐ ทุน เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี-ปริญญาโท ในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น ภูมิภาคศึกษา กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เป็นต้น โดยจำแนกเป็น (๑) ทุนสำหรับบุคคลทั่วไป (ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี-ปริญญาโท ประมาณ ๘ ปี) จำนวน ๒๕ ทุน เพื่อสรรหาบุคลากรที่มีศักยภาพ ความรู้ความสามารถสูงให้เข้าสู่ระบบราชการ และ (๒) ทุนสำหรับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ (ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ประมาณ ๓ ปี) จำนวน ๒๕ ทุน เพื่อรองรับบุคลากรของกระทรวงการต่างประเทศ (ข้าราชการสายงานการทูต) ที่จะเกษียณอายุนอกเหนือจากการสรรหานักการทูตโดยวิธีการสอบแข่งขัน และเพื่อพัฒนาศักยภาพของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดสรรทุนฯ ประมาณ ๑๕.๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๕๒๓.๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการจัดสรรทุนฯ ให้ครอบคลุมถึงทุนในสาขาวิชาการแปลและการล่ามด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดสรรทุนฯ เห็นควรสนับสนุนโครงการจัดสรรทุนฯ ในส่วนการจัดสรรทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวนรวม ๑๐ ทุน และผูกพันการใช้งบประมาณสำหรับผู้รับทุนตามโครงการจัดสรรทุนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ส่วนการจัดสรรทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามแนวทางดังต่อไปนี้ (๑) ขอรับการจัดสรรทุนดังกล่าวจากสำนักงาน ก.พ. ในส่วนของงบประมาณการจัดสรรทุนของรัฐบาล ในรูปแบบทุน ก.พ. ตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่ ก.พ. กำหนด (๒) จัดทำข้อเสนอ แนวทาง รายละเอียด กลุ่มเป้าหมาย ประเภทในการจัดสรรทุนฯ ประจำปีงบประมาณไปให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาให้ความเห็นชอบภายในระยะเวลาที่กำหนด (๓) การสรรหาและเลือกสรรบุคคลเพื่อรับทุนและการดูแลจัดการการศึกษาผู้รับทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนด และ (๔) ให้กระทรวงการต่างประเทศในฐานะส่วนราชการต้นสังกัดดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำสัญญารับทุน การติดตามการใช้ศักยภาพผู้รับทุน ตลอดจนการดำเนินการกรณีผู้รับทุนผิดสัญญาการรับทุนด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรให้มีการประเมินผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมา รวมทั้งควรมีการติดตามและจัดทำฐานข้อมูลนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถเฉพาะด้านในมิติต่าง ๆ อาทิ สาขาวิชา ความเชี่ยวชาญ ผลงานวิจัย รวมถึงติดตามการใช้ศักยภาพของนักเรียนทุนรัฐบาลภายหลังสำเร็จการศึกษา ตลอดจนความก้าวหน้าในอาชีพของนักเรียนทุนรัฐบาลตามแนวทางที่กระทรวงการต่างประเทศได้กำหนดไว้ เพื่อเป็นคลังข้อมูลผู้มีศักยภาพหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
839 | การทบทวนมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2557 เรื่อง ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า | นร01 | 30/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนหน่วยงานรับผิดชอบการเสนอขอตั้งงบประมาณการดำเนินโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินและหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติ ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. งบประมาณโครงการจัดสร้างหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กรอบวงเงินจำนวน ๔,๒๐๖,๐๖๔,๑๕๖.๐๗ บาท เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการเสนอขอตั้งงบประมาณจำนวนดังกล่าวต่อไปจนครบวงเงินหรือการก่อสร้างแล้วเสร็จ และมอบหมายให้กองทัพบกซี่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดูแลและใช้ประโยชน์หอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติฯ เป็นหน่วยงานในการเสนอขอตั้งงบประมาณในการบริหารจัดการและบำรุงรักษารายปีต่อไป ๒. งบประมาณโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กรอบวงเงินจำนวน ๒,๐๗๘,๒๓๗,๔๔๓.๙๓ บาท ประกอบด้วย งบประมาณการก่อสร้างระยะที่ ๑ กรอบวงเงินจำนวน ๑,๒๗๗,๓๑๓,๐๓๘.๖๙ บาท เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการเสนอขอตั้งงบประมาณจำนวนดังกล่าวต่อไปจนกว่าการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ระยะที่ ๑ แล้วเสร็จ งบประมาณการก่อสร้างระยะที่ ๒ กรอบวงเงินจำนวน ๖๙๒,๑๐๔,๘๙๐.๒๘ บาท เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการเสนอขอตั้งงบประมาณ และงบประมาณการบริหารจัดการดูแลพิพิธภัณฑ์ฯ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดูแลพิพิธภัณฑ์ฯ เสนอขอตั้งงบประมาณรายปีต่อไปภายหลังที่การก่อสร้างแล้วเสร็จ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
840 | ขออนุมัติงบกลางปี 2562 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำและเพิ่มน้ำต้นทุน เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งและรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝน พ.ศ. 2562 | นร | 30/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ภายในวงเงิน ๑,๒๒๖,๐๕๐,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำและเพิ่มน้ำต้นทุน จำนวน ๑๔๔ โครงการ เพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้ว รวมทั้งเป็นการเตรียมการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บกักน้ำรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับโครงการเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที เป็นลำดับแรก สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการขุดลอกและเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งกักเก็บน้ำ ให้คำนึงถึงระยะเวลาการดำเนินโครงการที่คาบเกี่ยวกับฤดูฝน ซึ่งอาจทำให้ผลประโยชน์ของโครงการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่แรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงบประมาณ รวบรวมแผนงาน/โครงการเกี่ยวกับการก่อสร้างฝายกักเก็บน้ำที่มีความพร้อมในการดำเนินการได้ทันที และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนเพื่อจะได้ดำเนินการเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งต่อไป รวมทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....