ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 45 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 881 - 900 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
881 | ขออนุมัติโครงการและงบประมาณดำเนินงานโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 | กษ | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๒๗๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ รวมค่าขนส่ง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน วงเงิน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ วงเงิน ๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท โดยกรมการข้าวดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้แก่กรมการข้าว จำนวน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทดแทนทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชที่ถูกใช้ไป ๑.๓ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง พิจารณายกเว้นโดยไม่นำเอาต้นทุนการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ใช้สำหรับสนับสนุนเกษตรกรในโครงการฯ มารวมคำนวณในตัวชี้วัดของทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช ประจำปีบัญชี ๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ ได้แก่ (๑) กรณีที่เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชมีเหตุปัจจัยที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานและไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การดำเนินโครงการฯ ทุนหมุนเวียนสามารถชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งจัดส่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้กระทรวงการคลังใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับค่าเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานหรือยกเว้นตัวชี้วัดดังกล่าวได้ (๒) การช่วยเหลือตามโครงการฯ จะต้องตรวจสอบพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงให้ชัดเจน โดยไม่ซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติของภาครัฐ และกำกับดูแลจัดการเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูกของเกษตรกร โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์-อุปทาน และราคาจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่จะสูงขึ้น (๓) ควรพิจารณาถึงความพร้อมและความสามารถในการดำเนินการที่จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง และนำผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ผ่านมา เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ทั้งกระบวนการ ขั้นตอน ระยะเวลา วิธีการดำเนินงาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่กำหนดไว้ (๔) พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านกระบวนการที่ต้องชัดเจนตรงกับบุคคลเป้าหมาย วิธีการบริหารจัดการสมดุลกับอุปสงค์-อุปทานของเมล็ดพันธุ์ข้าว พื้นที่เป้าหมายต้องสอดคล้องกับพื้นที่เสียหายจากฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง และการช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวต้องพิจารณาความซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอื่นด้วย และ (๕) ควรกำหนดกลไกการติดตามผลการดำเนินงานและผลสำเร็จของโครงการฯ วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขให้กับสถานการณ์ และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
882 | การดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) | อื่นๆ | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) นำเงินงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีที่คงเหลือ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ จำนวน ๔๐๐,๔๒๗,๐๓๗ บาท เพื่อดำเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร วงเงิน ๒๓๓,๒๕๓,๕๓๕ บาท (๒) โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน วงเงิน ๔๔,๗๘๕,๕๐๑ บาท (๓) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน วงเงิน ๘๖,๐๓๒,๖๘๗ บาท และ (๔) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ จำนวน ๓๖,๓๕๕,๓๑๔ บาท โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑-๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่ บจธ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ บจธ. เร่งดำเนินโครงการทั้ง ๔ โครงการ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมและบรรลุวัตถุประสงค์ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และรายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อทราบ รวมทั้งให้ บจธ. ประสานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อนำผลการดำเนินโครงการไปบรรจุไว้ในผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้วย ๒. ให้ บจธ. ประสานงานกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินโครงการ เช่น กลุ่มเป้าหมาย ความต้องการรับความช่วยเหลือ พื้นที่ดำเนินการ เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศมากเกินไป ๓. ให้ บจธ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณ เช่น ผู้เข้าร่วมโครงการอาจมีสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าที่ดินที่มีลักษณะเป็นสัญญาระยะยาว ดังนั้น ในการดำเนินโครงการ บจธ. ควรคำนึงถึงประเด็นที่จะต้องมีการยุบเลิกหน่วยงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงควรมีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถจัดตั้งองค์กรใหม่ได้ทันตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ บจธ. ควรมีการกำหนดรายละเอียดวิธีการดำเนินโครงการให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และควรมีแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดจากการดำเนินโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
883 | โครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอน การประปาส่วนภูมิภาคสาขากันตัง (ควนกุน) | มท | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนงานโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอนการประปาส่วนภูมิภาค สาขากันตัง (ควนกุน) (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุน ๒๙,๕๗๙,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้จัดสรรงบประมาณให้แล้ว จำนวน ๕,๕๑๓,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๖,๖๗๑,๒๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่ได้รับอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปน.) รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเข้มงวด (๒) ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. คำนึงถึงศักยภาพของแหล่งน้ำดิบในพื้นที่ให้เพียงพอต่อการใช้น้ำในอนาคต และ (๓) กปภ. ควรกำกับดูแลและบริหารโครงการฯ ให้สอดคล้องกับแผนงานที่กำหนดไว้ และควรศึกษารูปแบบและแนวทางจัดหาแหล่งเงินทุนอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เป็นกรณีเฉพาะราย ทั้งนี้ ในส่วนของการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามนัยระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
884 | โครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) | มท | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟภ.) ยกเลิกการดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๐ และอนุมัติให้ กฟภ. ดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) วงเงินลงทุน ๒๒๑ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑๖๕ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๕๖ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๑๖๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ. รวมถึงผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เกี่ยวกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศในกรอบวงเงิน ๑๖๕ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว และพิจารณาปรับสัดส่วนแหล่งเงินลงทุนของโครงการฯ โดยให้ใช้เงินรายได้ของ กฟภ. เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมของสถานะทางการเงินของ กฟภ. พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ปฏิบัติตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนตามระเบียบดังกล่าว ให้ กฟภ. ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ กฟภ. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กฟภ. ในคราวต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
885 | การดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ และโครงการ ASEAN Digital Hub | นร | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า ได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับโครงการเน็ตประชารัฐ และโครงการ ASEAN Digital Hub ร่วมกับผู้แทนจากกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ในการดำเนินโครงการดังกล่าวทั้ง ๒ โครงการ ยังมีประเด็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งพิจารณาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน เช่น ประเด็นเกี่ยวกับการชำระภาษี การจัดซื้อจัดจ้าง และการร่วมลงทุนของภาคเอกชน เป็นต้น ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มีหนังสือขอหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) และคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐแล้ว และเรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นควรให้มีการเร่งรัดการพิจารณาประเด็นข้อหารือดังกล่าวของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนโดยเร็ว ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปประสานและเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง และให้แจ้งผลการพิจารณาไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
886 | โครงการติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (Advanced Metering Infrastructure : AMI) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ | มท | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (Advanced Metering Infrastructure : AMI) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ วงเงินลงทุนรวม ๑,๘๑๐ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑,๓๕๗ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๕) และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๔๕๓ ล้านบาท (ร้อยละ ๒๕) และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๑,๓๕๗ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนของโครงการฯ โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในส่วนของการกู้เงินในประเทศ เห็นควรให้ กฟภ. จัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการฯ ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของ กฟภ. เพื่อบรรจุโครงการเงินกู้ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง และความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เช่น (๑) เมื่อ กฟภ. มีการลงทุนโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงาน กฟภ. ควรสนับสนุนหรือแสดงให้เห็นถึงการลดต้นทุนการดำเนินงาน และลดกระบวนการเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจภาพรวม (๒) กฟภ. ควรเร่งติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในการดำเนินมาตรการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าของกระทรวงพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๓) กฟภ. ควรพิจารณาแนวทางและขั้นตอนสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่ได้ติดตั้งมิเตอร์อ่านหน่วยไฟฟ้าอัตโนมัติ (Automatic Meter Reading : AMR) ไปแล้ว แต่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นทางเลือกในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ด้วย (๔) กฟภ. ควรกำหนดมาตรการการดำเนินงานและควบคุมการบริหารจัดการด้วยความรอบคอบ เพื่อให้โครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ ตลอดจนรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากหนี้สาธารณะ และ (๕) กฟภ. ควรมีการจัดการบริหารความเสี่ยงของโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการเติบโตของผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
887 | โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) | กค | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ ผลการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) ซึ่งพบว่าในส่วนของโครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ. ๒๖๐ และพบ. ๒๖๑ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นจองสิทธิ์เพียง ๘๙ ราย อีกทั้งกระทรวงการคลังได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมภายหลังว่า ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการบนที่ดินราชพัสดุเฉพาะบนแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ.๒๖๑ เพียงแปลงเดียวเท่านั้น จำนวน ๔๓ ราย เนื่องจากแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ.๒๖๐ อยู่ระหว่างปรับสภาพพื้นที่จึงยังไม่สามารถสรุปยอดจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่แน่นอนได้ ซึ่งจากการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนจองสิทธิเข้าร่วมโครงการพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีหรือเคยมีกรรมสิทธิ์บ้านมาแล้ว ซึ่งไม่เป็นไปตามคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน จึงส่งผลให้โครงการดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมโครงการไม่เต็มจำนวนตามที่กำหนดไว้ ๑.๒ การปรับเงื่อนไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ในส่วนของโครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) จากเดิม เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ปัจจุบันไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย เป็น (๑) ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (๒) ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๕,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (Gross Income) (๓) ประชาชนทั่วไป โดยให้พิจารณาสิทธิผู้เข้าร่วมโครงการแก่ผู้ที่มีคุณสมบัติตามลำดับก่อนหลัง ทั้งนี้ ไม่บังคับใช้กับผู้ที่ขอเข้าร่วมโครงการก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะเห็นชอบตามที่เสนอในครั้งนี้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินโครงการโดยคำนึงการเข้าถึงของประชาชนผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นสำคัญ และความเสี่ยงหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย นอกจากนี้ ควรนำปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐไปใช้ประโยชน์ประกอบการพิจารณากำหนดโครงการอื่น ๆ ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
888 | โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนการจ่ายไฟของสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๓๓ เควี ที่มีอายุการใช้งานครบ ๓๐ ปี ในปี ๒๕๖๐ และสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๑๑๖ เควี ชนิด Oil Filled ที่ชำรุด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า และเพื่อลดความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ ระยะเวลาดำเนินการ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓) วงเงินลงทุนรวม ๒,๑๓๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑,๕๙๗ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๕๓๓ ล้านบาท ตลอดจนขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ) ที่มีมาตรการห้ามขุดร่องน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ท้องทะเลในระยะ ๑ กิโลเมตร จากแนวปะการัง ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เสนอ สำหรับการกู้เงินในประเทศในกรอบวงเงิน ๑.๕๙๗ ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนของโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้ กฟภ. จัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้โครงการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำและพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการผลิตไฟฟ้าจากระบบพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ในพื้นที่ห่างไกลหรือเกาะต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น ระบบไฟฟ้าพลังงานน้ำ ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เช่น ให้ กฟภ. ดำเนินโครงการภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตาม ตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และ กฟภ. ควรกำหนดมาตรการการดำเนินงานการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงฯ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และการกระจายภาระการชำระหนี้อย่างเหมาะสม รวมทั้งให้ดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
889 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๑ ของ กปภ. จำนวน ๒ โครงการ วงเงินรวม ๑,๗๔๙.๑๖๙ ล้านบาท ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพนมสารคาม-บางคล้า-(แปลงยาว)-(คลองนา)-(เทพราช) (รองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) และ (๒) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเวียงเชียงของ อำเภอเวียงเชียงของ จังหวัดเชียงราย (รองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ) ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกระทรวงการคลังเห็นชอบให้ใช้แหล่งเงินทุนของทั้ง ๒ โครงการ จากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๓๑๑.๘๗๗ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๕) และเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๔๓๗.๒๙๒ ล้านบาท (ร้อยละ ๒๕) โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ทั้ง ๒ โครงการ รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑,๗๔๙.๑๖๙ ล้านบาท และทั้ง ๒ โครงการ ได้บรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ แล้ว ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้ เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป สำหรับสำนักงบประมาณแจ้งว่าทั้ง ๒ โครงการ เป็นโครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ รองรับไว้แล้ว ประกอบด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๙๙.๒๐๒ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๓๒๑.๐๐๑ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กปภ. ควรมีแผนงานเพื่อกำกับดูแลบริหารโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการ โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความล่าช้าของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ กปภ. เร่งดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย รวมทั้งพิจารณาหาแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาและปรับแผนการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
890 | ขอความเห็นชอบการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพในโรงพยาบาล ช่วงที่ 3 ระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2566) | ศธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ช่วงที่ ๓ ระยะ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) และอนุมัติกรอบแผนการขยายศูนย์การเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพในโรงพยาบาล และกรอบอัตรากำลังการจ้างครูอัตราจ้าง ๙๙ ศูนย์ ๗๗ จังหวัด ๒๙๗ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอขอปรับเปลี่ยนชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล” เป็น “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล” เพื่อให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ๒. สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒๙๑,๑๔๘,๔๘๐ บาท เพื่อเป็นค่าจ้างครูอัตราจ้าง ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายลงทุนสำหรับศูนย์การเรียนฯ เดิม และศูนย์การเรียนฯ ที่มีแผนจะจัดตั้งใหม่ นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๒๘,๐๓๑,๕๐๐ บาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดำเนินการภายใต้มาตรการด้านงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ในโอกาสแรกด้วย ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีแผนการขยายศูนย์การเรียนฯ ในแต่ละปีงบประมาณ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็น ความพร้อม และศักยภาพการดำเนินการของโรงพยาบาลที่ประสงค์จะจัดตั้ง รวมทั้งการจ้างครูอัตราจ้างตามกรอบอัตราที่ขออนุมัติ จำนวน ๓ คน ต่อ ๑ ศูนย์ ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับจำนวนนักเรียนของศูนย์การเรียนแต่ละแห่ง โดยในกรณีที่ศูนย์การเรียนบางแห่งมีผู้เรียนจำนวนมาก อาจพิจารณาให้โรงพยาบาลใช้งบประมาณเพื่อจ้างครูเพิ่มเติม และควรมีการติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานโครงการในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของศูนย์การเรียนดังกล่าวในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคุ้มค่ายิ่งขึ้น รวมถึงจำนวนเด็กที่รับบริการและเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และผลที่ได้รับ เพื่อพัฒนาโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
891 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 | ดศ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๗
พฤษภาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑
เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติแล้ว
ประกอบด้วยเรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๖ เรื่อง และเรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
เช่น แนวทางการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาดาวเทียม THEIA
การดำเนินการเพื่อจัดตั้งสำนักงานประสานงานภูมิภาค (Regional Liaison
Office : RLO) ของสำนักงานกิจการอวกาศส่วนนอกแห่งสหประชาชาติที่ประเทศไทย
และความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติได้มีมติรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการ
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ
ตามขั้นตอนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการบริหารจัดการดาวเทียมหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศด้วยความรอบคอบ
เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
ตามแนวนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๖๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่เห็นว่า (ร่าง)
แนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศจะต้องไม่มีลักษณะเป็นการให้สัมปทานหรือให้สิทธิในการประกอบกิจการโทรคมนาคมต่อไปอีกหลังสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลง
และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๔๘ ด้วย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๓.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ในฐานะคู่สัญญาตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนเพื่อต่ออายุดาวเทียมไทยคม
๕ ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ
ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
892 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 ครั้งที่ 4/2561 | ดศ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและได้พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) (ร่า) และพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... ๒. มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณา (ร่าง) พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
893 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2561 | ดศ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖
กันยายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๑
เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติแล้ว ประกอบด้วยเรื่องเพื่อทราบ
จำนวน ๖ เรื่อง และเรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
เช่น แนวทางการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาดาวเทียม THEIA
การดำเนินการเพื่อจัดตั้งสำนักงานประสานงานภูมิภาค (Regional Liaison
Office : RLO) ของสำนักงานกิจการอวกาศส่วนนอกแห่งสหประชาชาติที่ประเทศไทย
และความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติได้มีมติรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการ
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ
ตามขั้นตอนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
894 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน) | กค | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนมีสิทธินำเงินบริจาคมาหักเป็นรายจ่ายได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ ๒ ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ การบริจาคตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้โดยให้ครอบคลุมพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าในเมือง และพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ที่ต้องการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่ป่า ตามข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนที่ผ่านมา เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ นอกจากนี้ ควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ภาคเอกชนและภาคประชาชนเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เพื่อกระตุ้นให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนชุมชนที่ดูแลรักษาป่าชุมชนให้มากขึ้น รวมทั้งควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีข้อมูลประกอบการพิจารณาหากมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
895 | สถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2561/62 | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๑/๖๒ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๑/๖๒ วงเงินงบประมาณ ๔๕ ล้านบาท โดยการสนับสนุนสินเชื่อให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อจำหน่ายออกสู่ตลาด ในวงเงินสินเชื่อ ๑,๕๐๐ ล้านบาท โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีของวงเงินสินเชื่อให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และคิดจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๑๒ เดือน ระยะเวลาโครงการ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ (ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และกำหนดชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน ๑๒ เดือน นับแต่วันที่รับเงินกู้) โดยภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการคลังต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เพื่อทำการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และใช้กลไกในการบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินโครงการเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อและสามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และควรมีการติดตามสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดตลอดปีอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
896 | การศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชุมพร - ระนอง และพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี - นครศรีธรรมราช | นร11 | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชุมพร-ระนอง และพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช (การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน หรือ Southern Economic Corridor : SEC) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกอบด้วยโครงการจำนวนรวม ๑๑๖ โครงการ กรอบวงเงินปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ รวม ๑๐๖,๗๙๐.๑๓ ล้านบาท และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนเป็นลำดับแรกให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ช่วงชุมพร-ระนอง และโครงการศึกษาแนวทางการรวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรของสถาบันเกษตรด้วยโซ่ความเย็น (Cold Chain) เป็นต้น ๒. ในส่วนของโครงการจำเป็นเร่งด่วนที่ส่งผลสำคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืนและมีความพร้อมดำเนินการได้ทันทีในปี ๒๕๖๒ (Quick-win) จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๔๔๘.๖๙๗๓ ล้านบาท ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท) ในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ เช่น ควรนำผลการศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการพิจารณาในพื้นที่ดังกล่าวในแต่ละด้านเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน (Project Feasibility Study) และควรตรวจสอบรายละเอียดแผนงาน/โครงการ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและร่างแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งแสดงรูปแบบการเชื่อมโยงหรือบูรณาการการดำเนินการ เป้าหมาย ตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นถึงแนวทางการดำเนินการไปสู่เป้าหมาย และในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ควรพิจารณาถึงประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
897 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่องการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการเน็ตประชารัฐ | ดศ | 15/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่องการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการเน็ตประชารัฐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การหารือแนวทางการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานและการเพิ่มประสิทธิภาพโครงการเน็ตประชารัฐ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ พบว่า ประเด็นการร้องเรียนส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตของโครงการเน็ตประชารัฐไม่ชัดเจน และบางส่วนต้องการจุดติดตั้งอินเทอร์เน็ตเพิ่มซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของโครงการหรืออยู่นอกพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติจัดทำวีดิทัศน์และสื่อนำเสนอเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน และได้แต่งตั้งคณะทำงานร่วมติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการเน็ตประชารัฐ ๑.๒ การประชุมคณะทำงานร่วมติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการเน็ตประชารัฐ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ได้มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นร้องเรียนจากประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการแนะนำการใช้งาน การขอติดตั้งเน็ตประชารัฐในหมู่บ้านที่อยู่นอกโครงการ การขอย้ายจุดติดตั้ง และการขอเพิ่มจำนวนจุดติดตั้งมากกว่า ๑ จุด รวมทั้งแนวทางการดำเนินการของคณะทำงานฯ ๑.๓ การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ ครั้งที่ ๑ (ภาคเหนือ) ณ จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เมื่อวันที่ ๒๕-๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ พร้อมทั้งประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจต่อโครงการเน็ตประชารัฐและบริการ Wi-Fi โดยใช้ประโยชน์ในการค้าขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นออนไลน์ การกระจายข่าวสารและติดต่อสื่อสาร รวมทั้งใช้ในการค้นคว้าข้อมูล อย่างไรก็ตาม ประชาชนบางส่วนมีความเข้าใจไม่ชัดเจนเกี่ยวกับขอบเขตการให้บริการเน็ตประชารัฐ จึงควรมีการทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่องโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการโครงการเน็ตประชารัฐและศูนย์ดิจิทัลชุมชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เช่น การขยายจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตของโครงการเน็ตประชารัฐ การสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน และการกำหนดผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
898 | ขออนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อนำไปใช้จ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่พักกองร้อยปราบจลาจลหญิง พร้อมส่วนประกอบ 1 หลัง | ตช | 15/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อนำไปใช้จ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยกองร้อยปราบจลาจลหญิง พร้อมส่วนประกอบ จำนวน ๑ หลัง ในสัญญาครั้งที่ ๒ วงเงิน ๓๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย สำหรับงบประมาณที่จะใช้จ่ายให้ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท) ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการดำเนินโครงการก่อสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในคราวต่อไป ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบความพร้อมของโครงการในด้านต่าง ๆ ให้ละเอียดรอบคอบก่อนดำเนินการ รวมทั้งดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ทั่งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานที่และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
899 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการฐานข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศประเทศไทย กรณีเร่งด่วน | กห | 15/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองบัญชาการกองทัพไทยดำเนินโครงการฐานข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศประเทศไทย ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘๘๓,๐๐๕,๗๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นกรณีเฉพาะราย และยกเว้นการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ กรณีที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้กองบัญชาการกองทัพไทยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน จำนวน ๑๑๒,๓๗๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๗๗๐,๖๓๕,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป การดำเนินโครงการดังกล่าวให้กองบัญชาการกองทัพไทยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่ระบบกลางของประเทศ (NGIS) และความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ด้านข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศและการนำไปประยุกต์ใช้ทุกสาขา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
900 | ขออนุมัติดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล - บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | กษ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค์เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำ โดยการขุดคลองระบายน้ำหลากสายใหม่เพื่อผันน้ำเลี่ยงเมืองพระนครศรีอยุธยาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่อำเภอบางบาลถึงอำเภอบางไทร รวมความยาวประมาณ ๒๒.๕๐ กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถระบายน้ำได้สูงสุด ๑,๒๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที กำหนดแผนงานโครงการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒๑,๐๐๐ ล้านบาท และมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาจัดหาแหล่งเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ในเบื้องต้นแล้ว จำนวน ๒๕๐ ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๖๓-๒๕๖๖ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานพิจารณากำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้กรมชลประทานหารือกับกระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินอื่นที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ เป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณตามแผน ก็เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสม จำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรเร่งดำเนินการจัดหาที่ดินและเตรียมการเบื้องต้นต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ ตามแผนที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|