ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 41 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 801 - 820 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
801 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม) | มท | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๑ ของ กปภ. (เพิ่มเติม) จำนวน ๖ โครงการ [โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. (๑) สาขาบ้านฉาง (๒) สาขาพังงา-ภูเก็ต (๓) สาขาอุดรธานี-หนองคาย-หนองบัวลำภู (๔) สาขาแม่สาย-(ห้วยไคร้)-(แม่จัน)-(เชียงแสน) (๕) สาขานครศรีธรรมราช และ (๖) สาขากันตัง-(ลิเภา-ปากเมง)] วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑,๐๒๖.๙๕๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในส่วนของเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และในส่วนของเงินกู้ในประเทศให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรกำกับและติดตามแผนการดำเนินโครงการลงทุนอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายและแล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ เพื่อไม่ให้โครงการล่าช้าจนอาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ควรกำหนดแนวทางและมาตรการในการบริหารจัดการน้ำสูญเสียให้มีประสิทธิภาพ โดยลดอัตราน้ำสูญเสียให้เหลือร้อยละ ๒๐ ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อลดต้นทุนการบริหารงานในระยะยาว ควรศึกษารูปแบบและแนวทางจัดหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่เหมาะสม เนื่องจากในปัจจุบันมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการที่หลากหลาย ควรทำความเข้าใจกับภาคประชาชนในพื้นที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์การสูบน้ำร่วมกัน เพื่อป้องกันความขัดแย้งด้านน้ำ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน และควรจัดหาแหล่งน้ำเก็บกักน้ำเพิ่มเติมในพื้นที่เพื่อรองรับการใช้น้ำในอนาคต ควรพิจารณาถึงความเป็นธรรมในการบริหารจัดการการใช้น้ำประปาให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และครอบคลุมในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
802 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง | กษ | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังไม่ให้แพร่ระบาดไปยังพื้นที่แห่งใหม่ และเพื่อชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๒ ให้ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้ครบถ้วน ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ จะต้องตรวจสอบพื้นที่และจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบให้ถูกต้อง โดยคำนึงถึงภารกิจของหน่วยงาน ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ส่วนแหล่งเงินและอัตราค่าใช้จ่าย เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน และ/หรือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วแต่กรณี และเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการฯ ควบคู่กับมาตรการอื่น ๆ อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสใบด่างไปยังพื้นที่อื่น อาทิ การควบคุมการนำเข้าหัวมันสด การจัดเตรียมและการใช้ท่อนพันธุ์ปลอดเชื้อโรค การป้องกันและกำจัดแมลงหวี่ขาวซึ่งเป็นพาหะนำโรค ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรในเรื่องโรคระบาด เพื่อประโยชน์ในการดูแลเฝ้าระวังในพื้นที่ของตนเอง และควรสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ภาคเอกชนหรือสมาคมที่เกี่ยวข้องในการป้องกันโรคใบด่างมันสำปะหลัง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะกรณีการขอใช้งบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
803 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2562 | นร11 | 10/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๒ เกี่ยวกับกรอบแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนเพื่อชักจูงและรองรับการลงทุนจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมาประเทศไทย (Thailand Plus Package) และการแก้ไขปัญหาโรคไวรัสใบด่างในมันสำปะหลัง ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๑.๑ กรณีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากกรอบแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนเพื่อชักจูงและรองรับการลงทุนจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมาประเทศไทย (Thailand Plus Package) เห็นควรที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสม และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ความประหยัดและความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ รวมถึงการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ๑.๒ สำหรับการแก้ไขปัญหาโรคไวรัสใบด่างในมันสำปะหลัง เห็นควรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องตรวจสอบพื้นที่และจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงภารกิจของหน่วยงาน ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ส่วนแหล่งเงินและอัตราค่าใช้จ่าย เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณใสโอกาสแรกก่อน พร้อมปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วแต่กรณี และขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
804 | ขออนุมัติงบกลางปี 2562 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ | นร | 10/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๖๑,๕๓๓,๒๐๐ บาท สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการแก้ไขป้องกันอุทกภัยอย่างยั่งยืน ความคุ้มค่าในการดำเนินงานและประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ และเมื่อดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินโครงการต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในโอกาสแรก เพื่อรายงานถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอเรื่องต่อรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเห็นชอบสั่งการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑๐ (๓) ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเฉพาะโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเสียหายของสิ่งก่อสร้างภาครัฐจากอุทกภัย ซึ่งหากไม่ดำเนินการจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและทางราชการ ได้แก่ การปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๓. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุและการดูแลช่วยเหลือประชาชน) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการระบายน้ำและกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและสามารถเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้ง โดยให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินการก่อน นั้น ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดพื้นที่ของประชาชนที่เป็นบริเวณท่วมซ้ำซากที่เหมาะสมเป็นพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) และกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งให้เหมาะสมและชัดเจนโดยเร็ว โดยหากมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ของประชาชน ก็ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น การจ่ายเงินชดเชย การเช่าใช้พื้นที่ เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแหล่งเงินและอัตราค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
805 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ | กค | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ ที่ราชพัสดุ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และใช้ที่ราชพัสดุ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ จัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และแบบเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุนอกราชอาณาจักร ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ยกเว้นการประมูลสำหรับกรณีการให้เช่าที่ราชพัสดุตามนโยบายหรือโครงการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนั้น เป็นการกำหนดเงื่อนไขไว้ค่อนข้างกว้าง อาจจะทำให้รัฐบาลเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์ในที่ดินราชพัสดุ จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดเฉพาะกรณีที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้ใช้ที่ราชพัสดุในการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
806 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เช่น การจัดจิตอาสาเฉพาะกิจพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในส่วนภูมิภาคของกองกำลังจิตอาสา ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ๙๐๔ วปร. และการจัดกิจกรรม “จิตอาสาพัฒนา คู คลอง” ๒. การดำเนินโครงการจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เช่น การพัฒนาลำน้ำ ลำคลอง และคุณภาพชีวิตของชุมชนริมน้ำ การผลิตแผงโซล่าเซลล์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและสำหรับสำรองไฟฉุกเฉินให้แก่ประชาชน การผลิตเครื่องกำจัดมลพิษทางอากาศ PM2.5 และ PM10 และการรับรองมาตรฐานสิ่งประดิษฐ์ภายใต้โครงการลดและคัดแยกขยะของชุมชน เป็นต้น ๓. การดำเนินโครงกร “จิตอาสาพิทักษ์โบราณสถาน” โดยการเสริมสร้างความปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอัคคีภัยจากระบบไฟฟ้าอาคารและสิ่งก่อสร้าง เพื่อป้องกันความสูญเสียด้านชีวิตและทรัพย์สินของพระอารามหลวง มัสยิด โบสถ์คริสต์ที่สำคัญในพื้นที่ต่าง ๆ การให้ความรู้แก่บุคลากรด้านการบำรุงรักษาป้องกันและระงับเหตุอัคคีภัย ๔. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ ประกอบด้วย หลักสูตรหลักประจำ รุ่นที่ ๓/๖๒ รุ่น “เป็นเบ้า เป็น แม่พิมพ์” เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของวิทยากรจิตอาสา ๙๐๔ ในการจัดบรรยายให้ความรู้แก่ข้าราชการบุคลากรของหน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนจิตอาสาในจังหวัด และหลักสูตรพื้นฐาน ประจำปี ๒๕๖๒ รุ่นที่ ๑ (วันที่ ๒๕ พฤษภาคม-๘ มิถุนายน ๒๕๖๒) จำนวน ๔๙๓ ราย และรุ่นที่ ๒ (วันที่ ๑๕-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒) จำนวน ๔๙๖ ราย โดยมุ่งเน้นการฝึกเพื่อทำหน้าที่เป็นวิทยากรและผู้นำจิตอาสาในการฝึกอบรมและขยายผลให้ข้าราชการและประชาชนมีทัศนคติที่ดีต่อสถาบัน มีความเสียสละ มีอุดมการณ์ และมีความสามัคคีสามารถทำงานเป็นทีมได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
807 | รายงานประจำปี 2561 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา | กสศ | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) (พฤษภาคม ๒๕๖๑-มีนาคม ๒๕๖๒) ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เช่น โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไขในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๑ โครงการพัฒนาสถาบันต้นแบบด้านการพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา และโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น (๒) รายงานคณะกรรมการตรวจสอบภายใน ซึ่งมีข้อเสนอแนะ เช่น กสศ. ต้องมอบหมายหน่วยงานหรือบุคลากรจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับการประเมินผลการดำเนินงานของ กสศ. ตามมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้สำนักงาน กสศ. จัดหาบุคลากรเพิ่มเติมแก่ฝ่ายตรวจสอบภายใน รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรมที่จำเป็นเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น และ (๓) รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน กสศ. ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้แล้ว ตามที่ กสศ. เสนอ และให้ กสศ. ติดตามผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาด้วย ๒. การจัดทำรายงานประจำปีต่อ ๆ ไป ขอให้ กสศ. เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
808 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (๑) ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ (๒) ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ ครั้งที่ ๑๖ (๓) ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๓ และ (๔) ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สหพันธรัฐมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย ระยะที่ ๒ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในความร่วมมือด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในกรอบอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) และประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในกรอบสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหพันธรัฐรัสเซีย สหรัฐอเมริกา) เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และการสร้างพลังงานที่ยั่งยืนในภูมิภาค โดยจะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้การรับรองในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ในส่วนของการดำเนินการตามร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สหพันธรัฐมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย ระยะที่ ๒ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย ระยะที่ ๑ ทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อประกอบการพิจารณาขยายเพดานปริมาณการซื้อไฟฟ้า ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
809 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 12 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The 12th IMT - GT Summit) | นร11 | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๒ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุมฯ โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ผลสำเร็จด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ในปี ๒๕๗๙ และความก้าวหน้าของแผน IMT-GT ในรอบปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT ด้านความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการ IMT-GT และหุ้นส่วนการพัฒนา รวมทั้งเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำครั้งที่ ๑๒ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการดำเนินแผนงาน IMT-GT ได้แก่ (๑) การศึกษาทบทวนระเบียงเศรษฐกิจ IMT-GT และจัดทำการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าข้ามแดนระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศ IMT-GT ในผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ อาทิ ยาง ปาล์มน้ำมัน อาหารฮาลาล (๒) การทบทวนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยพิจารณาปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในโลกและภูมิภาค (๓) การเร่งรัดโครงการที่เป็นผลประโยชน์อย่างสูงต่อไทย (๔) การปรับปรุงด้านตัวชี้วัดความก้าวหน้าและความสำเร็จในการขับเคลื่อนแผนงานที่ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง และ (๕) การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาเดิม ได้แก่ สำนักเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่ที่มีศักยภาพ ๑.๒ เห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยรับทราบผลการประชุมที่สำคัญ แผนดำเนินการระยะต่อไป และพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นด้านความมั่นคง เช่น การดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส โดยเน้นพื้นฐานบนผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมตามบริเวณชายแดน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
810 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 | พณ | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ ภายในกรอบวงเงิน ๒๑,๔๙๕.๗๔ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง [ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)] สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับค่าชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรมีการพิจารณาแนวทางการกำหนด ราคาต่อไร่ จำนวนไร่ต่อครัวเรือน การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินของ ธ.ก.ส. ให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ (๒) ควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร ผลผลิตต่อไร่ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการต่าง ๆ และ (๓) การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับการช่วยเหลือในมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจหรือมาตรการทางสังคม ให้ถือว่าโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความช่วยเหลือด้วย โดยเฉพาะการดำเนินการนโยบายมาตรการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมและรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการดำเนินงานและกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้รอบคอบ รัดกุม และโปร่งใส เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การควบคุมราคารับซื้อข้าวของโรงสี/ผู้ประกอบการให้เป็นไปตามราคาตลาด ไม่ให้มีการกดราคารับซื้อข้าวจนนำไปการผลักภาระส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาอ้างอิงให้เป็นภาระงบประมาณของรัฐ และการกำหนดมาตรการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เหมาะสมและรัดกุม เพื่อป้องกันการสวมสิทธิและการแจ้งข้อมูลเท็จ เช่น ข้อมูลจำนวนพื้นที่ปลูก ชนิดของข้าว รวมทั้งควรกำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
811 | ขออนุมัติดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562 - 2563 | พณ | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ภายในกรอบวงเงิน ๑๓,๓๗๘.๙๙ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับค่าชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการพิจารณาแนวทางกำหนดราคาประกันรายได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อมิให้มีส่วนต่างของต้นทุนการผลิตที่สูงเกินความเป็นจริง และควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน เช่น การลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร ผลผลิตต่อไร่ การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการและวางแผนการดำเนินให้รอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ เช่น การกำหนดมาตรการควบคุมราคารับซื้อปาล์มน้ำมันของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยไม่ให้เกิดกรณีการรวมกลุ่มของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อกดราคารับซื้อ จนนำไปสู่การผลักภาระส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคารับซื้อให้เป็นภาระงบประมาณของรัฐในอนาคต การกำหนดมาตรการการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิหรือแจ้งข้อมูลเท็จ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตที่ได้ รวมทั้งควรกำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการในด้านการสนับสนุนปัจจัยการผลิตและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
812 | โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 | กค | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ ภายในกรอบวงเงิน ๒๕,๔๘๒.๐๖ ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรมีความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินโครงการ (ราคาต่อไร่ จำนวนไร่) และค่าชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับการช่วยเหลือในมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจหรือมาตรการทางสังคม ให้ถือว่าโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความช่วยเหลือด้วย โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายมาตรการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมและรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และควรพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ทั้งในเรื่องของการจัดหาเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยการผลิต เครื่องมือเครื่องจักร และค่าเช่า เพื่อลดภาระงบประมาณในการช่วยเหลือเกษตรกรในระยะต่อไป พร้อมทั้งประมวลภาพรวมการใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อใช้ในการวางแผนการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าในปีงบประมาณถัดไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
813 | ขออนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2561 | กษ | 20/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี ๒๕๖๑ ของเกษตรกรกลุ่มที่ผ่านการประเมินระยะปรับเปลี่ยน (T2) และเกษตรกรกลุ่มที่ได้รับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ (T3) วงเงินทั้งสิ้น ๕๓๖.๔๓๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการควรมุ่งเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ของโครงการและความคุ้มค่าของเงินงบประมาณ โดยไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว รวมทั้งควรมีมาตรการเสริมในการสนับสนุนเกษตรกรให้มีความพร้อมในการดำเนินงานในปีที่ ๒ และปีที่ ๓ เช่น การใช้เครือข่ายความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และศูนย์ปราชญ์ชาวบ้านที่มีองค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์มาให้คำแนะนำและเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด รวมถึงสนับสนุนภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในการเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาด เพื่อสร้างความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตเข้าสู่มาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ และลดปัญหาเกษตรกรไม่ผ่านการตรวจประเมิน ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ครบวงจร รวมทั้งสนับสนุนการซื้อข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ และวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาผลผลิตที่สอดคล้องกับราคาตลาดและคุณภาพของผลผลิต รวมถึงมีตลาดรองรับผลผลิตข้าวคุณภาพที่จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
814 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรณีรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย) | มท | 06/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๖,๖๕๑.๓๘๙๐ ล้านบาท โดยเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินงานเป็นที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน กท. ๑๙๘๙ (บางส่วน) เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ ๑๘-๐-๑๗ ไร่ และวงเงินงบประมาณต่างไปจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ ในวงเงิน ๓,๗๓๕.๕๕๕๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงมหาดไทยเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนการการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการฯ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ รายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของครุภัณฑ์ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐาน รวมถึงดำเนินการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และจัดลำดับความสำคัญของโครงการฯ ให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน โดยคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และควรเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของผังแม่บทการพัฒนาศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งความเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
815 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ | กห | 09/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกดำเนินโครงการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ เป็นจำนวน ๖๗๐ เส้นทาง ระยะทางรวม ๑,๗๔๔.๑๓๘ กิโลเมตร ปริมาณการใช้ยางพารา จำนวน ๑๗,๔๓๕.๐๔๐ ตัน งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๒,๕๖๘,๗๘๓,๔๐๐ บาท และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑,๖๔๕,๒๑๖,๑๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
816 | การดำเนินโครงการปฏิรูปกฎหมายและบูรณาการแนวปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมายภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) | นร09 | 09/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานผลการดำเนินโครงการปฏิรูปกฎหมายและบูรณาการแนวปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมายภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ Implementing Regulatory Reform and Mainstreaming Good Regulatory Practice ได้จัดการสัมมนาภายใต้โครงการความร่วมมือกับ OECD ในหัวข้อเกี่ยวกับการพัฒนาข้อปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมาย ในระหว่างเดือนเมษายน-กรกฎาคม ๒๕๖๒ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกรณีศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ระหว่างวันที่ ๒-๔ เมษายน ๒๕๖๒ โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ OECD ได้นำเสนอข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการออกกฎระเบียบที่ดีของ OECD และผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียและเยอรมนีได้นำเสนอประสบการณ์ของแต่ละประเทศในการดำเนินการเพื่อนำไปสู่ระบบการออกกฎระเบียบที่ดี ซึ่งไทยสามารถนำมาประกอบการดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป ๒. การประชุม 5th Meeting of Southeast Asia Regional Policy Network on Good Regulatory Practices (ASEAN-GRPN) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑-๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยเป็นการประชุมเครือข่ายหน่วยงานในอาเซียนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการปรับตัวของภาครัฐในการตรากฎหมายเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือของหน่วยงานของรัฐในการกำกับดูแลด้านต่าง ๆ ๓. การประชุมวิชาการระหว่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์ด้านกฎระเบียบที่ดีของ OECD ในยุคเทคโนโลยีแห่งความเปลี่ยนแปลง : จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ (Better Regulation Principles in the Age of Disruptive Technology : From Theory to Practice) ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยได้มีการถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการปฏิรูปกระบวนการตรากฎหมายของต่างประเทศในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เพื่อเป็นองค์ความรู้ให้แก่หน่วยงานของรัฐในประเทศนำไปปรับใช้และพัฒนาการมีระบบการออกกฎระเบียบที่ดีต่อไป ๔. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกลไกการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยเป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่ดีต่อเนื่องจากข้อ ๑ เน้นการฝึกปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัญหาและทางเลือกในการดำเนินการก่อนที่จะเสนอให้มีการตรากฎหมาย โดยผู้เชี่ยวชาญจาก OECD
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
817 | รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนเรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) อีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การกำหนดนิยามของรัฐบาลประเทศเจ้าของโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement ให้หมายความรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เพื่อให้สามารถนำกรอบการเจรจาไปหารือกับประเทศสมาชิกภาคีให้ได้ข้อสรุปการดำเนินการตามข้อ ๑๔ ใน Basic Agreement ที่ชัดเจน และให้กระทรวงการคลังรายงานผลการหารือมารายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป (๒) หาก Contracting State ของแต่ละประเทศสมาชิกภาคี มีความเห็นว่าการถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลอาจไม่ครอบคลุมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เห็นควรให้หารือประเด็นในการปรับปรุงแก้ไขสัดส่วนการถือครองหุ้นในส่วนของรัฐบาลของประเทศเจ้าของโครงการ ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement และให้กระทรวงการคลังนำผลการหารือดังกล่าวมารายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป และ (๓) ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการหารือตามข้อ ๑๔ ใน Basic Agreement เพื่อกำหนดให้นิยามของรัฐบาลประเทศเจ้าของโครงการ ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement ให้หมายความรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เพื่อให้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและสนับสนุนการดำเนินโครงการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
818 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ | คค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๔ ฉบับ ระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับสิทธิในการดำเนินโครงการคลังสินค้า โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง และโครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (WRS-PG CARGO Co., Ltd. : WFSPG) บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด (Worldwide Flight Services Bangkok Air Ground Handling Co., Ltd. : BFS) บริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Air Catering Co., Ltd : BAC) และบริษัท แอลเอสจี สกายเซฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด [LSG Sky Chefs (Thailand) Ltd. : LSG] มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันนำไปสู่การปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน-ธันวาคม ๒๕๕๓ (ระยะเวลา ๙ เดือน) ตามมติคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดกลไกการบริหารสัญญาที่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะกำกับให้มูลค่าของกรอบวงเงินความช่วยเหลือตามมาตรการต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้กรอบมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และควรตรวจสอบมูลค่าความช่วยเหลือที่จำเป็นโดยรอบคอบและเหมาะสมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของ ทอท. และดำเนินการตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วนด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ในกรณีที่กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. เห็นควรให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนอื่นที่อาจกระทบต่อรายได้ของ ทอท. ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของชาติ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. นำเสนอแนวทาง/มาตรการเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
819 | การขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง | พม | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของการขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง จากเดิม ๘๐,๐๐๐ บาท/ครัวเรือน เป็น ๘๙,๘๐๐ บาท/ครัวเรือน โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งปรับแนวทางการอุดหนุนและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกิดประโยชน์โดยตรงต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นลำดับแรก ควบคู่กับการเร่งรัดผลักดันการกำหนดกลไกและมาตรการให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
820 | ขอความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ขสมก. ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงระบบการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการหารายได้และการบริหารจัดการหนี้สิน ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารองค์กรที่ยั่งยืนและลดภาระกับภาครัฐ สำหรับการดำเนินการตามกลยุทธ์และแนวทางต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการฯ ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. เร่งรัดจัดทำรายละเอียดและดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การดำเนินงานในแต่ละโครงการต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดหารถโดยสารใหม่ ขสมก. ควรปรับปรุงรายงานผลการศึกษา ความเหมาะสมการดำเนินโครงการ โดยศึกษาผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ตามข้อเสนอทบทวนการจัดหารถโดยสารให้ครบทุกประเภท และเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสม โดย ขสมก. อาจจะพิจารณาแบ่งการดำเนินการจัดหาเป็นระยะให้เหมาะสมกับเส้นทางที่มีความชัดเจนแล้วว่า จะได้รับการจัดสรรจากกรมการขนส่งทางบก และ (๒) กระทรวงคมนาคม ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการจัดทำแผนการบริหารหนี้ (ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑) เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการบริหารหนี้ของ ขสมก. ในระยะยาว และเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....