ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 43 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 841 - 860 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
841 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2562 | นร63 | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๒ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในเรื่องสำคัญ ๆ ได้แก่ (๑) โครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) (๒) สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (๓) ค่าเช่าและค่าบริการในการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (๔) การปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (๕) การเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการเรื่องกองทุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (๖) การจัดทำรายงานงบการเงินของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และ (๗) แผนการทำงานของเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่ สกพอ. เสนอ และให้ สกพอ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็นเกี่ยวกับการขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการเรื่องกองทุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การจัดทำรายงานงบการเงินของ สกพอ. ที่จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง และการเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานด้านดิจิทัล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ สกพอ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับและเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้ สกพอ. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด) พิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับในกรณีที่การดำเนินโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัลไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการที่กำหนดไว้ ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่ง (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
842 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร | กษ | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เพื่อชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ระยะเวลา ๑ ปี (๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒) ภายในกรอบวงเงิน ๑,๒๓๒,๕๙๕,๖๔๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งรัดปรับปรุงข้อมูลมูลหนี้รายสัญญาให้เป็นปัจจุบันยิ่งขึ้น เนื่องจากการลดลงของจำนวนมูลหนี้ที่เสนอในการพิจารณาครั้งนี้ยังไม่สอดคล้องกับจำนวนสมาชิกที่ลดลง และดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบความถูกต้องของมูลหนี้รวมกับระยะเวลาสัญญาเงินกู้ วัตถุประสงค์ของการกู้ยืมเพื่อการเกษตรและความซ้ำซ้อนกับโครงการของภาครัฐที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และมีความจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณากลุ่มเป้าหมาย และประโยชน์ที่ได้รับอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การกำกับดูแลการดำเนินตามโครงการฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และผลประโยชน์ตกถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ การกำหนดวิธีการจัดลำดับความสำคัญของเกษตรกรสมาชิก สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไว้คู่มือการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วน และสอดคล้องกับกรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการคลังมากเกินความจำเป็น รวมทั้งการติดตามประเมินผลโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
843 | โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 17/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ ๓ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) วงเงินลงทุนรวม ๒๑,๗๙๕.๙๔๑ ล้านบาท โดยเป็นการก่อสร้างทางวิ่งทางฝั่งตะวันตก (ฝั่งเดียวกับอาคารคลังสินค้าและทางวิ่งฝั่งตะวันตก ความยาว ๓,๗๐๐ เมตร) มีความกว้าง ๖๐ เมตร และความยาว ๔,๐๐๐ เมตร ขนานไปกับทางวิ่งฝั่งตะวันตก โดยโครงการฯ จะรวมถึงการจัดหาระบบเครื่องช่วยเดินอากาศยาน การก่อสร้างระบบระบายน้ำ และสถานีกู้ภัยและดับเพลิง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโครงการฯ จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตและรองรับการปิดทางวิ่งเพื่อซ่อมบำรุงหรือในกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งยังอำนวยความสะดวกให้แก่เที่ยวบินขนสินค้าด้วย ทั้งนี้ ทอท. จะสามารถลงนามผูกพันในสัญญาก่อสร้างโครงการฯ ได้ เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (Environmental Health Impact Assessment : EHIA) ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น ควรเร่งดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ควรใช้มาตรการการก่อสร้างที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ควรจัดทำแผนการซ่อมแซมใหญ่ทางวิ่งเส้นที่ ๑ และทางวิ่งเส้นที่ ๒ ให้สอดคล้องกับการเปิดใช้งานทางวิ่งเส้นที่ ๓ ควรวางแผนการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ ๔ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มปริมาณการจราจรทางอากาศในอนาคต ควรบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว และควรกำกับติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
844 | รายงานผลการดำเนินการโครงการ "1 อปท. 1 ถนนท้องถิ่นใส่ใจสิ่งแวดล้อม" | มท | 09/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงกร “๑ อปท. ๑ ถนนท้องถิ่นใส่ใจสิ่งแวดล้อม” โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดทำโครงการดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ที่รับทราบการจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ มีแนวทางการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ (๑) การคัดเลือกถนนที่มีความยาวระยะทางไม่น้อยกว่า ๕๐๐ เมตร กว้าง ๓-๖ เมตร ๑ สายทาง และเป็นถนนซึ่งเป็นที่รู้จัก หรือเป็นสถานที่สำคัญ และอยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (๒) การจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อพัฒนา ปรับปรุง ดูแล และรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยบริเวณถนน ภายใต้การมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน และประชาชน และ (๓) ผลการดำเนินโครงการฯ ข้อมูล ณ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยมีเป้าหมายดำเนินการ ๗,๘๕๑ สายทาง (อปท. ละ ๑ สายทาง) ดำเนินการแล้ว ๕,๔๔๘ สายทาง และอยู่ระหว่างดำเนินการ ๒,๔๐๓ สายทาง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
845 | ขออนุมัติการปรับผังบริเวณโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดนนทบุรี (บางใหญ่ - วัดพระเงิน) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน | พม | 09/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับผังบริเวณโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดนนทบุรี (บางใหญ่-วัดพระเงิน) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน สรุปได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐) อนุมัติการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๙ ซึ่งมีโครงการเคหะชุมชนฯ รวมอยู่ด้วย และต่อมากรมทางหลวงชนบทมีโครงการที่จะตัดถนนใหม่ (โครงการถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์-ศาลายา) ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ซึ่งโครงการถนนฯ มีผลให้ขนาดที่ดินของโครงการเคหะชุมชนฯ ลดลงจาก ๑๐.๐๙ ไร่ เป็น ๙.๙๕ ไร่ และส่งผลกระทบต่อตัวอาคารที่จะพัฒนา รวมถึงถนน พื้นที่ว่าง สาธารณูปโภค และสาธารณูปการบางส่วน จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดได้ และจำเป็นต้องปรับบริเวณโครงการใหม่ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญตามที่เคยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งยังคงรูปแบบของอาคารชุด ๕ ชั้น จำนวน ๑๒ อาคาร รวม ๕๒๖ หน่วย ขนาด ๓๒ ตารางเมตร ตามเดิม และสามารถดำเนินการได้ภายในกรอบวงเงินงบประมาณเดิม รวมทั้งการใช้ประโยชน์ที่ดินก็ยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเช่นเดิม ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติเสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามขั้นตอนการพิจารณารายงาน EIA ก่อนการดำเนินโครงการฯ ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้สามารถดำเนินโครงการเคหะชุมชนฯ ได้เมื่อรายงาน EIA ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เช่น ควรกำกับดูแลและบริหารโครงการเคหะชุมชนฯ ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการเคหะชุมชนฯ โดยเน้นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความล่าช้าของโครงการเคหะชุมชนฯ รวมทั้งการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ และควรเร่งดำเนินโครงการเคหะชุมชนฯ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ อย่างรอบคอบด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
846 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด | นร01 | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ด้านการตลาด ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตรวจติดตามการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ด้านการตลาด ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (ยกเว้นภาคใต้) ประกอบด้วย ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร และ (๓) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ๒. สรุปผลการดำเนินโครงการฯ เกษตรกรมีความพึงพอใจในนโยบายของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นทางเลือกให้เกษตรกรในการเก็บรักษาข้าวไว้ขายในช่วงที่กลไกตลาดมีความต้องการให้ข้าวเข้าสู่ตลาดเพื่อให้ได้รับราคาขายที่สูงขึ้น และมีความต้องการให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนกระบวนการผลิตในการลดความชื้นของข้าว เพื่อให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพและราคาขายสูงขึ้น รวมทั้งต้องการให้สนับสนุนการสร้างลานตากข้าว เครื่องอบความชื้นที่มีขนาดใหญ่ให้กับสถาบันเกษตรกร (มีราคาสูงเกินกำลังการจัดซื้อของสถาบันเกษตรกรในพื้นที่) และต้องการให้ชลประทานจังหวัดมีการดำเนินการระบบชลประทานให้เข้าถึงการทำการเกษตรที่มีพื้นที่ห่างไกลจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มผลผลิตข้าวและลดความเสียหายจากภัยแล้งให้แก่เกษตรกร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
847 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2562 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๒ (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ในวงเงิน ๒๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของสำนักงาน ป.ป.ส. แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณเหลือจ่ายที่บรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานบูรณาการเดียวกัน รวม ๓ รายการ จำนวน ๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย โครงการปราบปรามยาเสพติด งบรายจ่ายอื่น รายการโครงการแก้ไขปัญหาฝิ่น ยาเสพติดและความมั่นคงพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑,๔๑๕,๐๐๐ บาท งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน จำนวน ๒,๔๗๔,๖๗๔ บาท โครงการป้องกันยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๙๐๔,๓๒๖ บาท รวมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรม ภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ๑.๒ สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ ส่วนการขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ในส่วนของการดำเนินการปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เพื่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๒๑๕ เป็นกรณีพิเศษ นั้น ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) ดำเนินการขอยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวต่อคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐตามนัยมาตรา ๒๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การดำเนินโครงการในระยะต่อไป ควรพิจารณาแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเสี่ยงบริเวณชายแดนที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และควรให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการของโครงการฯ ที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างเป็นธรรม เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
848 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาบรรพชาอุปสมบท โครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ โดยเตรียมการจนถึงวันลาสิกขา ระหว่างวันที่ ๒-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๒ รวมเป็นเวลา ๑๕ วัน ๑.๒ การใช้สิทธิการลาตามข้อ ๑ ดังกล่าว ให้สิทธิแก่ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เคยลาบรรพชาอุปสมบทระหว่างรับราชการแล้ว สามารถจะลาบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก ๑.๓ ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่เคยลาบรรพชาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาบรรพชาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาบรรพชาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่รับราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาบรรพชาอุปสมบทและยังคงสิทธิในการรับเงินเดือนระหว่างลาไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๔ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ผู้ลาบรรพชาอุปสมบทจะต้องเข้าร่วมบรรพชาอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นในโครงการอย่างชัดเจนและมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากบรรพชาอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิในการลาตามมติคณะรัฐมนตรี ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของราชการหรือหน่วยงานที่จัดโครงการ และจากการร่วมบริจาคสมทบของพุทธศาสนิกชน และผู้ร่วมบรรพชาอุปสมบท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
849 | โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 - 2570 (ดำเนินการเฉพาะในระยะที่ 1 พ.ศ. 2561 - 2564) | ศธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินงานโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ (ดำเนินการเฉพาะในระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) และอนุมัติให้ดำเนินการ รวมทั้งเห็นชอบให้จัดสรรงบประมาณ โดยขอเบิกจ่ายในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายเป็นงบดำเนินการผลิตบัณฑิตและงบลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในสถาบันฝ่ายผลิตแพทย์ รวมจำนวนทั้งสิ้น ๓๔,๘๓๘.๔ ล้านบาท แบ่งเป็น (๑) งบดำเนินการผลิตบัณฑิตในอัตรา ๓๐๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี หรือ ๑.๘ ล้านบาท/คน/หลักสูตร รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑๖,๕๐๒.๔ ล้านบาท และ (๒) งบลงทุนเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนด้านการแพทย์ในอัตรา ๒ ล้านบาท/คน/หลักสูตร รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑๘,๓๓๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อม ความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้
๑. พิจารณาทบทวนการเป็นนักศึกษาคู่สัญญาของนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๒ และมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยไม่ให้นำเหตุแห่งการบรรจุแพทย์เข้ารับราชการเพื่อชดใช้ทุนมาใช้ในการขออัตรากำลังแพทย์เพิ่มขึ้นอีก ๒. ในการดำเนินโครงการฯ ให้พิจารณาดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเรื่อง การกระจายกำลังคนไปยังพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งการธำรงรักษาแพทย์ไว้ในระบบราชการด้วย ๓. พิจารณากำหนดแนวทางการร่วมมือกับภาคเอกชนในการผลิตบุคลากรสาขาแพทย์และสาขาอาชีพอื่นที่ยังขาดแคลน ให้สอดคล้องกับความต้องการในภาพรวมทั้งระบบ รวมทั้งสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
850 | แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย | สธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗) เป็นแผนที่เกี่ยวข้องกับการนำข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์มาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข และมีเป้าหมายที่จะบูรณาการการใช้ข้อมูลพันธุกรรมในด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชน และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทำคำของบประมาณและจัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนแผนภายใต้งบบูรณาการ รวม ๔,๕๗๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๕ ปี และอนุมัติให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยงานกลาง และมีโครงสร้างองค์กรเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก รวมทั้งอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรวบรวมความต้องการพัฒนาจีโนมิกส์ประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนที่เหมาะสม ให้มีอุตสาหกรรมการแพทย์ เกิดการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดยมีถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสูง และมีการเพิ่มตำแหน่งงานสำหรับคนไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ให้กระทรวงสาธารณสุข สวรส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า และประโยขน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข สวรส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น ควรพิจารณาเพิ่มรายชื่อ “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ศลช.)” ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานด้านอุตสาหกรรมทางการแพทย์โดยตรงตามภารกิจเข้าร่วมในรายชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ควรกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนผลลัพธ์ของการยกระดับสุขภาพของประชาชนที่ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีการแพทย์แบบจีโนมิกส์ และการเกิดอุตสาหกรรมการแพทย์สมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การกำหนดกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานวิจัย/สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพจากต่างประเทศ และการปรับโครงสร้างองค์กรของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยการจัดตั้งองค์กรเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ควรดำเนินการเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
851 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกา (กรณีต้นกล้ายางชำถุง) | กษ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๓,๐๗๐,๒๘๑.๗๑ บาท เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกา (กรณีต้นกล้ายางชำถุง) ให้ครบถ้วนโดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อสอบสวนหาผู้รับผิดกรณีเกิดความเสียหายแก่ทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว และเพื่อให้การดำเนินโครงการด้านการเกษตรในระยะต่อไปเป็นไปด้วยความรอบคอบและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรพิจารณาความจำเป็นในการกำหนดความเสี่ยงและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการส่งเสริมด้านการเกษตรตั้งแต่ในขั้นตอนการจัดเตรียมโครงการ โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และการกระจายหน้าที่ความรับผิดชอบในการจัดหาปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะหากต้องจัดหาในจำนวนมาก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้ยึดประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
852 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 | กษ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี ๒๕๖๑/๖๒ ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังฤดูกาลทำนา (พืชไร่ และพืชผัก) จำนวน ๔.๘๗ ล้านไร่ ช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ ๖๐๐ บาท ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๕ ไร่ โดยใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒,๙๒๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตไร่ละ ๖๐๐ บาท ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๕ ไร่ เป็นการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางในลักษณะงบดำเนินงาน ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบความเหมาะสมของอัตราค่าใช้จ่ายจากกระทรวงการคลังก่อน ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าธรรมเนียมโอนเงิน ในกรอบวงเงิน ๒,๒๗๒,๙๐๐ บาท เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริงหรือให้เป็นตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ สำหรับค่าใช้จ่ายบริหารโครงการฯ ได้แก่ ค่าประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายในการยืนยันสิทธิ์และออกใบรับรอง และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ/รับรองพื้นที่ให้ผลผลิต เป็นต้น ในกรอบวงเงิน ๘,๑๕๔,๖๐๐ บาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จากผลผลิต/โครงการ/กิจกรรมหรือรายการ ที่คาดว่ามีงบประมาณเหลือจ่าย หรือจากรายการที่มีผลการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารโครงการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ได้แก่ การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การพิจารณาถึงหลักการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรโดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งการปรับโครงสร้างการผลิตให้มีความสมดุลของผลผลิตและความต้องการที่จะนำไปสู่การสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร ทั้งในด้านรายได้และคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน การติดตามตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรอย่างละเอียด โดยต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชจริงตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น การดำเนินการศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นให้ครบถ้วนรอบด้าน การสำรวจปริมาณความต้องการของเกษตรกรก่อนดำเนินโครงการฯ และการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกับโครงการพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร กิจกรรมส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง หรือโครงการอื่นของภาครัฐที่มีวัตถุประสงค์ใกล้เคียงกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. การดำเนินโครงการด้านการเกษตรในระยะต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการจัดการด้านเกษตรกรรมให้สอดคล้องกับการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area Based) และแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) โดยส่งเสริมให้เกษตรกรร่วมกันดำเนินการในลักษณะกลุ่มพื้นที่เฉพาะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
853 | การนำที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี | มท | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ครั้งที่ ๔๗-๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ให้นำที่ดินขององค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล หรือตามกฎหมายเฉพาะ (พื้นที่การประปาส่วนภูมิภาค ในบริเวณสถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว) มาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนโครงการสาย ข๗ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมกับจัดระเบียบแปลงที่ดินใหม่ โดยมีพื้นที่ดำเนินโครงการรวม ๙๖ ไร่ ๑ งาน ๖๑.๘๐ ตารางวา เจ้าของที่ดิน ๑๒ ราย รวมถึงที่ดินขององค์การของรัฐบาลซึ่งเป็นที่ตั้งของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) (สถานีจ่ายน้ำวัดภูเขาแก้ว) อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ประมาณ ๒๙ ไร่ ๒ งาน ๘๒ ตารางวา และภายหลังการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินฯ แล้ว ที่ดินของรัฐในความดูแลของ กปภ.จะมีขนาดพื้นที่เท่าเดิม ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๕๖ มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ (สำหรับพื้นที่สาธารณะและพื้นที่จัดหาประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐๖ และ ๐.๕๘ ตามลำดับ และพื้นที่เอกชนลดลงร้อยละ ๗.๕๔)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
854 | การดำเนินโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) | ยธ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไปเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยมีแผนดำเนินโครงการฯ เช่น จัดทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ๑๕๐ สถานี ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน ๒๕๖๒ และจัดทนายความอาสาตอบปัญหากฎหมายทางเว็บไซต์ที่ทำการสภาทนายความ เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ที่ต้องดำเนินการในปี ๒๕๖๒ ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ดำเนินการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็นเร่งด่วนภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม และประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควร (๑) จัดให้มีการฝึกอบรมหรือมีกระบวนการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการให้แก่ทนายอาสาก่อนที่จะเริ่มทำหน้าที่ตามโครงการดังกล่าว รวมทั้งมีมาตรการป้องกันและมาตรการในการกำกับดูแลและลงโทษ หากปรากฏกรณีทนายความอาสาที่ทำหน้าที่บริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายดังกล่าวมีการเรียกรับผลประโยชน์หรือค่าบริการให้คำปรึกษาหรือค่าว่าความ หรือไปรับทำหน้าที่เป็นทนายความว่าต่าง แก้ต่างคดีในคดีที่ให้คำปรึกษาดังกล่าวเสียเอง (๒) โครงการดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัดหรือรายละเอียดเกี่ยวกับการประเมินผลความสำเร็จ (Evaluation) ของโครงการว่าจะวัดผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการอย่างไร หรือการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการใช้จ่ายที่คุ้มค่ากับงบประมาณหรือไม่ (๓) กำหนดแนวทางปฏิบัติหรือระเบียบที่จะให้ถือเอาบันทึกข้อเท็จจริง บันทีกปากคำ พยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุ และรายละเอียดแห่งคดีที่ขอรับคำปรึกษา ที่ทนายความอาสาได้จัดทำขึ้นเป็นส่วนหนี่งของจำนวนการสอบสวนด้วย และ (๔) จัดให้มีการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ ผู้ได้รับผลกระทบ ผู้มีส่วนได้เสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
855 | มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 - 2565) | นร10 | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยมาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๒ มาตรการหลัก ได้แก่ (๑) มาตรการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การบริหารจัดการกำลังคนเพื่อรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ กลยุทธ์การพัฒนาระบบการวางแผนและติดตามประเมินผลการใช้กำลังคน และกลยุทธ์การพัฒนาข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคน และ (๒) มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ ประกอบด้วย การจัดสรรอัตราข้าราชการที่ว่างจากผลการเกษียณอายุ การขอจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และการบริหารอัตราข้าราชการระหว่างปีงบประมาณ ๑.๒ รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ ซึ่งเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการ การดำเนินการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น และการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำ (๒) ผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ สรุปผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการวางแผนและบริหารกำลังคนของส่วนราชการ (๓) สรุปความคิดเห็นของส่วนราชการ และ (๔) ข้อเสนอแนะสำหรับการกำหนดทิศทางนโยบายการบริหารกำลังคนภาครัฐในระยะต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการทบทวนกรอบอัตรากำลังคนภาครัฐของแต่ละกระทรวงให้เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับมาตรการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์ ในส่วนของกลยุทธ์การพัฒนาข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคน ควรกำหนดตัวชี้วัดให้ครอบคลุมประเด็นความครบถ้วน และถูกต้องด้วย เพื่อให้ส่วนราชการสามารถมีระบบข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคนที่ถูกต้องเหมาะสม ทันสมัย และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังรองรับข้าราชการรุ่นใหม่ โดยมุ่งเน้นการบรรจุข้าราชการที่จบการศึกษาในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการกำหนดค่าตอบแทนพิเศษเพื่อดึงดูดข้าราชการรุ่นใหม่ดังกล่าวให้เข้ามาสู่ระบบราชการเพิ่มมากขึ้นด้วย ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการบริหารจัดการกำลังคนให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ประเด็นปฏิรูปที่ ๔ ที่กำหนดให้กำลังคนภาครัฐต้องมีขนาดที่เหมาะสมและมีสมรรถนะสูง พร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
856 | การประเมินผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน | มท | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประเมินผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยกระทรวงมหาดไทย ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ได้บูรณาการร่วมกับทุกส่วนราชการในการขับเคลื่อนงาน/โครงการ และได้จัดทำโครงการประเมินผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งมีผลการประเมินใน ๘ เรื่อง ได้แก่ (๑) การบูรณาการการขับเคลื่อนงาน/โครงการต่าง ๆ (๒) การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานตามโครงการฯ ของประชาชน (๓) ระดับความรู้ ความเข้าใจของประชาชนในหลักการหรือแนวคิดของโครงการฯ ใน ๑๐ เรื่อง และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ (๔) ความสำเร็จของการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการฯ (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) (๕) ความสำเร็จของโครงการอื่น ๆ ภายใต้โครงการฯ (๖) ความสำเร็จของนโยบาย (Policy Success) (๗) การถอดบทเรียน และแบบอย่างในการปฏิบัติที่ดี (Good/Best Practices) ของทีมขับเคลื่อนฯ และ (๘) ข้อเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาประเทศตามโครงการฯ ของทีมขับเคลื่อนฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
857 | รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดำเนินการตามมาตรการการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีกล่าวอ้างว่าการก่อสร้างคลังก๊าซแหลมใหญ่และท่าเทียบเรือของคลังก๊าซมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประกอบอาชีพของชุมชนคลองน้อย จังหวัดสมุทรสงคราม) | สม | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดำเนินการตามมาตรการการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีกล่าวอ้างว่าการก่อสร้างคลังก๊าซแหลมใหญ่และท่าเทียบเรือของคลังก๊าซมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประกอบอาชีพของชุมชนคลองน้อย จังหวัดสมุทรสงคราม) จำนวน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) ประเด็นการดำเนินโครงการขาดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่รับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๗ มาตรา ๖๖ และมาตรา ๖๗ ซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔ (๒) การที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรสงครามพิจารณาให้บริษัท เอ็นเอสแก๊ส แอลพีจี จำกัด แก้ไขโครงสร้างท่าเทียบเรือ รวมถึงการขุดลอกร่องน้ำใหม่เป็นการใช้ดุลยพินิจไม่รอบด้าน และ (๓) การออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างท่าเทียบเรือ ขนาดไม่เกิน ๕๐๐ ตันกรอส ของบริษัท เอ็นเอสแก๊ส แอลพีจี จำกัด ขัดต่อการประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ หรือไม่ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
858 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... | คค | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ตามโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปดำเนินการสำรวจที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรให้กรมการขนส่งทางบกประสานการรถไฟแห่งประเทศไทยในส่วนของการกำหนดแผนดำเนินโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงบ้านไผ่-นครพนม ให้มีความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งทางถนนสู่ระบบรางได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ รวมทั้งก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ทั้งในด้านการลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าได้ตามเป้าหมายที่ประมาณการไว้ นอกจากนี้ การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้จะต้องเป็นการเวนคืนเพื่อประโยชน์ในการสร้างศูนย์การขนส่งชายแดน ตามโครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จังหวัดนครพนม อันเป็นการดำเนินการเพื่อกิจการสาธารณูปโภคหรือเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น ทั้งนี้ ตามมาตรา ๓๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยไม่อาจดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
859 | ขอความเห็นชอบโครงการช่วยเหลือด้านหนี้สินสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก | กษ | 12/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านหนี้สินสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก เพื่อชดเชยดอกเบี้ยให้กับสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่มีสัญญาเงินกู้เพื่อการผลิตทางการเกษตร ปี ๒๕๖๑ ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ประสบภัยตามประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในพื้นที่นั้น ๆ และได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติจากพายุโซนร้อนปาบึก ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ระยะเวลา ๖ เดือน (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๒) กลุ่มเป้าหมายเป็นสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร จำนวน ๖,๘๖๘ ราย ในพื้นที่ ๙ จังหวัดในภาคใต้และภาคตะวันออก ภายในกรอบวงเงิน ๑๔,๖๒๒,๐๐๐ บาท โดยให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ แผนงานยุทธศาสตร์สร้างความมั่นคงและลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โครงการช่วยเหลือด้านหนี้สินสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร งบเงินอุดหนุนทั่วไป รายการเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยดอกเบี้ยให้แก่สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ยืนยันว่าดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่าย จำนวน ๓๖,๒๖๖,๑๓๘.๔๒ บาท โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ตรวจสอบคุณสมบัติของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ร่วมโครงการฯ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ รวมทั้งมิให้เกิดความซ้ำซ้อนของการช่วยเหลือจากภาครัฐ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรระดับครัวเรือนที่มีพื้นที่ทำกินอยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินจากพายุโซนร้อนปาบึกอย่างแท้จริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบคุณสมบัติและสัญญาเงินกู้ของผู้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างครบถ้วน รวมถึงติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ ด้วย และนอกจากการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว ควรสนับสนุนให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับศักยภาพของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และสอดคล้องกับสถานการณ์ความเสียหายและความต้องการในพื้นที่ เช่น การพักชำระหนี้เงินต้นให้กับสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร การลดต้นทุนในการดำรงชีพโดยการจัดหาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นมาจำหน่ายให้กับสมาชิกในราคาต่ำกว่าท้องตลาด และการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายภายหลังประสบภัยธรรมชาติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
860 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ การอนุญาต การกำหนดอัตราค่าตอบแทน ระยะเวลาและเงื่อนไขการลงทุนจัดให้มีหรือเข้าบริหารจัดการท่าเรือ เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ที่พักริมทาง หรือสิ่งก่อสร้างอื่นใดในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษและทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. .... | คค | 12/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ การอนุญาต การกำหนดอัตราค่าตอบแทน ระยะเวลาและเงื่อนไขการลงทุนจัดให้มีหรือเข้าบริหารจัดการท่าเรือ เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ที่พักริมทาง หรือสิ่งก่อสร้างอื่นใดในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษและทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาต การกำหนดอัตราค่าตอบแทน ระยะเวลาและเงื่อนไขการลงทุนจัดให้มีหรือบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษ ทางหลวงสัมปทาน เพื่อให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) สามารถดำเนินการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการจัดให้มีหรือเข้าบริหารจัดการท่าเรือ เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ที่พักริมทาง หรือสิ่งก่อสร้างอื่นใดในเขตทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงพิเศษ และทางหลวงสัมปทาน ตามกฎหมายว่าด้วยเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้ อันจะเป็นการรองรับการดำเนินโครงการพัฒนาที่พักริมทางบนทางหลวงสายต่าง ๆ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการร่วมทุนระหว่างกรมทางหลวงกับเอกชน หากเป็นกิจการที่กรมทางหลวงมีอำนาจหน้าที่ต้องทำตามกฎหมาย ตามนิยาม “โครงการ” แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งมีการร่วมลงทุนกับเอกชนไม่ว่าโดยวิธีใดหรือมอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียวโดยวิธีการอนุญาตหรือให้สัมปทาน หรือให้สิทธิไม่ว่าในลักษณะใดตามนิยาม “ร่วมลงทุน” แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ และเป็นกิจการตามที่กำหนดในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ แล้ว ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....