ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 50 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 981 - 1000 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
981 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2561 | นร | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีความคืบหน้าการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๓ เรื่อง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ที่ได้รับ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการยาเพื่อประชาชน กขร. มีมติให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแบบสำรวจการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาในบัญชีนวัตกรรมไทยในโรงพยาบาลสังกัดของกระทรวงอื่นเพิ่มเติม และร่วมกับกรมบัญชีกลางพิจารณาแนวทางการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมตามความเหมาะสมต่อไป ๒. การปรับกฎหมายหรือระเบียบเพื่อจัดจ้างผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กขร. มีมติให้กระทรวงมหาดไทย โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบเพื่อให้รองรับการจ้างงานนักบริบาลชุมชน (Care Giver) ครอบคลุมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ๓. การจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว (National Single Emergency Number) กขร. มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณพิจารณางบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียวเพิ่มเติมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
982 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | กษ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (๒) โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และ (๓) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ จากสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ เป็นสิ้นสุดในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามให้การจ่ายเงินอุดหนุนเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเร่งรัดการจ่ายเงินให้เกษตรกรโดยเร่งด่วน และเร่งรัดดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือและกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และทันต่อสถานการณ์ โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ที่ได้รับตามที่กำหนดอย่างรอบคอบ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนประเมินผลการดำเนินการโครงการและรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในระยะต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการประเมินการดำเนินโครงการที่ผ่านมาเพื่อประกอบการปรับปรุงโครงการและกำหนดเงื่อนไขของโครงการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายของโครงการอย่างแท้จริงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
983 | การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตามความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ดำเนินโครงการพัฒนาฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง จำนวน ๓๑.๑ ล้านบาท ๑.๒ การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตามความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แก่มูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) จำนวน ๖๕๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้มีการติดตามและประเมินผลก่อนจะขอรับเงินสนับสนุนในแต่ละงวด เพื่อแสดงถึงความพร้อมและศักยภาพในการใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการฯ อย่างเหมาะสม และควรกำหนดบทบาทหน้าที่ให้มีความชัดเจนเพื่อลดความซ้ำซ้อนกับกลไกที่มีอยู่เดิม รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการและประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) และสำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ให้สถาบันการเงินอื่นที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในระยะต่อไปด้วย นอกจากนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สอดคล้องกับการเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานโครงการฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการของสถาบัน InFinIT บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
984 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาแนวทางการร่างและตรวจพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดบทลงโทษต่ำสุดและสูงสุดแก่ผู้ที่กระทำผิดกฎหมายทั้งที่เป็นโทษปรับและโทษทางอาญาให้เหมาะสมกับบริบทของการกระทำผิด โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนในภาพรวม รวมทั้งการยอมรับของสังคมด้วย นอกจากนี้ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ก็ควรจะกำหนดให้ต้องรับโทษสูงกว่าประชาชนโดยทั่วไปด้วย ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง เป็นต้น ศึกษาข้อมูลและพิจารณากำหนดแนวทางการชดเชยค่าที่ดินและทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนอันเนื่องมาจากการดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของรัฐให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ถือกรรมสิทธิ์นอกเหนือจากการจ่ายเป็นเงิน เพื่อลดภาระงบประมาณเพื่อการนี้ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก และให้รายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ด้านสังคม มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ในทุกหมู่บ้านทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นประสิทธิภาพของสัญญาณอินเทอร์เน็ต การเข้าใช้งาน จำนวนผู้ใช้งาน ปัญหา/อุปสรรคที่เกิดขึ้น และความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้นและมีความยั่งยืนในการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมข้อมูลและรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
985 | โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 | กค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ส่งเสริมการพัฒนาตนเองและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างภาครัฐกับประชาชน โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่แก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านกลไกการดำเนินโครงการที่กระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน กสทช. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดทำแผนการดำเนินโครงการดังกล่าวในรายละเอียด เช่น แนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการฯ ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ รูปแบบชุดข้อมูลแนวทางการประชาสัมพันธ์โครงการฯ เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำประเด็นต่อไปนี้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๑ ให้นำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้จัดทำไว้เป็นรายบุคคลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงความต้องการของผู้เข้าร่วมโครงการฯ แต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้ในการออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ แบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ ๑.๒ ให้ประสานงานกับสำนักงาน กสทช. เพื่อขอความร่วมมือให้หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) ควรสนับสนุนให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดสรรการให้บริการที่เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อยและภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และ (๒) ให้ระมัดระวังความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นของการให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ ที่กระทรวงการคลังเสนอมาในครั้งนี้กับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. เช่น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐมาวิเคราะห์เพื่อใช้ออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และควรประชาสัมพันธ์การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และให้สำนักงาน กสทช. หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อนายกรัฐมนตรีทราบในลักษณะข้อมูลออนไลน์ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี และให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการฯ ในภาพรวม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการสวัสดิการแห่งรัฐในภาพรวม เพื่อให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ได้อย่างชัดเจน และนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการจัดสวัสดิการของภาครัฐในระยะต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
986 | การดำเนินโครงการ Country Programme | กต | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการ Country Programme (CP) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทย ตามความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการปรับถ้อยคำให้เป็นปัจจุบันในบางส่วน เช่น การปรับปรุงรูปแบบข้อความเกี่ยวกับสถานที่ วันที่ ภาษา เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศของไทย และการปรับเปลี่ยนชื่อโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับความต้องการของฝ่ายไทยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การปรับถ้อยคำดังกล่าวไม่ใช่ส่วนที่เป็นสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
987 | การเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด รายเดือน (๒๐๐/๑๐๐ บาท/คน/เดือน) สำหรับระยะเวลาคงเหลืออีก ๔ เดือน (กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑) เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมกับที่เคยได้รับ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีสิทธิสามารถนำไปใช้จ่ายตามความต้องการ อันจะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาแนวทาง รูปแบบ วิธีการ และการบูรณาการกลไกสนับสนุนมาตรการทางการคลังต่าง ๆ อย่างครอบคลุมและเป็นองค์รวม ตลอดจนพึงเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีสิทธิใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมและเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชนโดยรวม รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับการใช้งานกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการ ทั้งความพร้อมด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการให้ทราบถึงช่องทางและวิธีการใช้บัตร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ทราบถึงการเติมเงินสงเคราะห์เข้ากระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม (กรณีที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๑๐๐ บาท และกรณีที่มีรายได้เกินกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๕๐ บาท) รวมทั้งรณรงค์เพื่อเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หลักของการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
988 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ 2) | สธ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ ๒) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” โดยการเพิ่มรายการในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ จำนวน ๑,๖๔๙ รายการ ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มรายการใน ๔ หมวด จากทั้งสิ้น ๑๒ หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ ๒ ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค จำนวน ๒๒๖ รายการ หมวดที่ ๓ ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด จำนวน ๑,๐๒๙ รายการ หมวดที่ ๕ ค่าเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา จำนวน ๓๖ รายการ และหมวดที่ ๗ ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ จำนวน ๓๕๘ รายการ ทั้งนี้ รายการยา เวชภัณฑ์ และค่าบริการอื่น ๆ ที่ขอเพิ่มในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ เป็นรายการที่ผู้ป่วยสามารถเบิกได้ตามสิทธิรักษาพยาบาล เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินการแก่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต และประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับเป็นสำคัญ ตลอดจนแนวทาง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ทุกภาคส่วนจะต้องนำไปปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนด นอกจากนี้ ให้มีการกำกับราคาจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลในโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ให้เหมาะสม และเฝ้าระวังผลกระทบต่องบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกอบกับควรเริ่มมีการตรวจสอบการจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
989 | ขออนุมัติการลงนามในเอกสารโครงการ Supporting the Application of the Ecosystem Approach to Fisheries Management considering Climate and Pollution Impacts (EAF-Nansen Programme) | กษ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในเอกสารโครงการ Supporting the Application of the Ecosystem Approach to Fisheries Management considering Climate and Pollution Impacts (EAF-Nansen Programme) ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) เพื่อดำเนินงานวิจัยและการสำรวจทรัพยากรประมงและทะเลของประเทศไทย และอนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยเอกสารโครงการฯ เป็นความตกลงระหว่างรัฐบาลนอร์เวย์ผ่านองค์กรนอร์เวย์เพื่อการพัฒนาความร่วมมือ (Norad) สถาบันวิจัยทางทะเล (IMR) FAO และประเทศตามแนวชายฝั่งแอฟริกา โดยในการดำเนินการจะใช้เรือสำรวจทรัพยากรทางทะเล [Dr Fridtjof Nansen ขนาด ๓,๘๕๓ ตันกรอส สัญชาตินอร์เวย์และชักธงองค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN)] ทำการสำรวจทางนิเวศวิทยาและประเมินทรัพยากรทะเล เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในมหาสมุทรอินเดีย เริ่มจากแอฟริกาใต้ โมซัมบิก แทนซาเนีย มอริเชียส ศรีลังกา บังกลาเทศ เมียนมา และสิ้นสุดการสำรวจ ณ ทะเลอันดามัน ประเทศไทย โดยมีกำหนดเข้าน่านน้ำไทยช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ทั้งนี้ หากมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงดำเนินโครงการฯ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยในทุกมิติ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ โดยประสานงานกับ FAO อย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามการสำรวจทรัพยากรทางทะเลในน่านน้ำไทย และเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าถึงข้อมูลการรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อไม่ให้เกิดการนำข้อมูลสำคัญของประเทศไปใช้อย่างไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและกองทัพเรือ และข้อสังเกตของสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรให้ผู้แทนกองทัพเรือ อาทิ กรมอุทกศาสตร์ เข้ามามีส่วนร่วมในการสำรวจและเก็บข้อมูลทางสมุทรศาสตร์เพื่อเป็นการป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และพื้นที่สำรวจควรสำรวจเฉพาะในบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย และขอให้งดทำการสำรวจพื้นที่ซึ่งอยู่ใกล้ทางเข้าฐานทัพเรือทหารในรัศมี ๒๗ ไมล์ทะเล นอกจากนี้ ต้องพิจารณารายงานและการประเมินผลอย่างละเอียด เพราะอาจมีเนื้อหารายงานที่ส่งผลเชิงลบต่อประเทศไทยและอาจทำให้กลุ่มที่ไม่ประสงค์ดีนำไปแสวงประโยชน์โดยอ้างอิงเนื้อหาในโครงการฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงบูรณาการการปฏิบัติงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ ไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลในภาพรวมของประเทศ และสามารถนำไปต่อยอดเพื่อการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมประมงของไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป โดยให้กรมประมงติดตามและประเมินผลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ เป็นระยะ ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
990 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน | มท | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ และการแก้ไขเพิ่มเติมหลักการในคู่มือการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้รอบคอบ ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดตามนัยความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในขั้นการดำเนินงาน ควรให้กลไกในระดับพื้นที่ของกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่ กำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและใกล้ชิด เพื่อสามารถเร่งรัดให้การดำเนินโครงการฯ แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
991 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด ใช้การประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเป็นกลไกหลักในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ในการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและการพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัด ให้เป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความแออัดของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง รวมทั้งเป็นการเตรียมการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล จึงให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ โอนท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของกรมท่าอากาศยาน ได้แก่ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานสกลนคร ท่าอากาศยานตาก และท่าอากาศยานชุมพร ไปให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการโอนให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของกรมท่าอากาศยานที่เหลืออยู่อีก ๒๔ แห่ง ให้กรมท่าอากาศยานเร่งจัดทำแผนการบริหารจัดการท่าอากาศยานแต่ละแห่งให้เหมาะสมและชัดเจนด้วย ๒.๑.๒ เร่งหาข้อสรุปจากผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานแห่งต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น ท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ ๒ ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ ๒ เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้เดินทางและการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต เพื่อให้มีการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวออกไปยังท่าอากาศยานต่าง ๆ ในภูมิภาคและลดการกระจุกตัวของจำนวนผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง โดยในการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ดังกล่าวให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ ให้ชัดเจน ครบถ้วนด้วย เช่น รูปแบบการลงทุน ผู้ลงทุน บทบาทของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และบทบาทของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ ให้รายงานข้อสรุปจากผลการศึกษาดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๒.๒ เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลและรัฐบาลดิจิทัลตามนโยบาย ๔.๐ เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจร่วมกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลใน ๒ เรื่องหลักที่สำคัญ คือ (๑) สังคมไร้กระดาษ (paperless) และ (๒) สังคมไร้เงินสด (cashless) ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนผ่านเลขประจำตัวประชาชน โดยมีระบบรองรับให้หน่วยงานอื่นสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลได้ เมื่อได้รับความยินยอม (consent) จากเจ้าของข้อมูล และในกรณีที่ต้องการยืนยันตัวตนก็ให้สามารถทำได้ โดยอาศัยข้อมูลทางชีวมิติ (biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา เป็นต้น ๒.๒.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการจูงใจ เช่น มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียม เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ประกอบการซื้อขายสินค้า ชำระเงิน หรือทำธุรกรรมอื่น ๆ ผ่านระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) มากยิ่งขึ้น ๒.๓ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการต่าง ๆ ภายใต้กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ถูกร้องเรียนและยังไม่สามารถชี้แจงเหตุผลหรือความจำเป็นที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและไม่เกิดการบิดเบือนข้อมูล โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.๔ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐที่มีข้อร้องเรียนเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และการเข้าถึงการใช้งานด้วย และรายงานให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๑ เดือน ๒.๕ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ให้ทุกหน่วยงานภาครัฐสำรวจการนำดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในภารกิจของหน่วยงานและภารกิจเพื่อการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์ Big Data ของทุกหน่วยงานจัดทำเป็นภาพรวมและแผนการขับเคลื่อนและการใช้ประโยชน์ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)] และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ดำเนินการสำรวจและรวบรวมข้อมูลด้านการเกษตรและการปศุสัตว์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตรแปลงใหญ่ การทำเกษตรแบบผสมผสาน การเพาะปลูกพืชหลัก ๖ ประเภท (ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา อ้อย และข้าวโพด) โดยข้อมูลเกี่ยวกับพืชหลักดังกล่าวจะต้องมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนด้วย เช่น พื้นที่เพาะปลูก ปริมาณการเพาะปลูก ผลผลิต ปริมาณการบริโภค และรายได้ เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ ประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดนโยบายด้านการเกษตร การบริหารจัดการงบประมาณระหว่างหน่วยงาน การแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน และรายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการประกาศกำหนดให้ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ เพื่อยกระดับความสำคัญของสถานที่ดังกล่าวที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของสถานที่ดังกล่าวต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบเพื่อสานต่อการดำเนินโครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี ๒๕๖๐ โดยให้ดำเนินการภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
992 | การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินการตามโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน | นร01 | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองทัพบกเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน จากกรอบวงเงินเดิม จำนวน ๔,๗๔๖,๘๔๙,๑๕๘.๙๖ บาท เป็นกรอบวงเงิน จำนวน ๖,๒๘๔,๓๐๑,๖๐๐ บาท เพิ่มขึ้น จำนวน ๑,๕๓๗,๔๕๒,๔๔๑.๐๔ บาท ตามวงเงินผูกพันตามสัญญาค่างานที่จะดำเนินการ และค่างานในส่วนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งอนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามนัยของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยการดำเนินโครงการดังกล่าว สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับ รวมทั้งปฏิบัติตามนัยพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ภายในกรอบวงเงินดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐจนได้ข้อยุติถูกต้องครบถ้วนแล้ว เห็นควรให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยกองทัพบก จัดทำรายละเอียดให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
993 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... | กต | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชียเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติในระดับภูมิภาค สอดรับกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ต้องการส่งเสริมบทบาทความเป็นประเทศแกนนำด้านการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย และการที่ไทยเป็นศูนย์กลางขององค์การระหว่างประเทศและการประชุมระหว่างประเทศย่อมส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การที่ศูนย์ฯ มีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศจะช่วยให้ศูนย์ฯ มีความสามารถในการระดมทุน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์กับไทยทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น รวมทั้งในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
994 | ขอขยายเวลาการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561 และโครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561 | กษ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ จากสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ เป็นสิ้นสุดในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินการจ่ายเงินอุดหนุนแก่เกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ที่จะได้รับตามที่กำหนดอย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานเพื่อรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้ความช่วยเหลือหรือส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นในระยะต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการและประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินโครงการแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และเท่าทันต่อสถานการณ์หรือสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
995 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่) | กษ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๒๒๙ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
996 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) | กษ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๔๙ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตาม ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมทั้งคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
997 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา) | กษ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๑,๓๘๐ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
998 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อก่อสร้างโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวม 4 โครงการ (ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี) | กษ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๘๕-๒-๐๖.๔ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองขลุง จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
999 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทางรวมประมาณ ๓๒๓ กิโลเมตร วงเงินลงทุนรวม ๘๕,๓๔๕ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอและตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ให้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการฯ มีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล ๑.๒ ปรับกรอบระยะเวลาในการเปิดให้บริการรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จากเดิมที่แจ้งว่า จะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็น เปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน ๑.๓ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. ต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจนก่อนดำเนินโครงการฯ นี้ ใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) การจัดทำแนวทางพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่ที่ชัดเจน (๒) การจัดทำแผนบูรณาการเส้นทางการคมนาคมของประเทศ (๓) การจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวที่ได้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ และ (๔) การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงคมนาคม รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด การสร้างความเข้าใจและชี้แจงความจำเป็นของการดำเนินโครงการกับประชาชนในพื้นที่หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ และการเร่งจัดหาขบวนรถไฟและตู้สินค้าให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคำนึงถึงเป้าหมายและประเด็นในการพัฒนาจังหวัดตามแนวเส้นทางของโครงการฯ และจังหวัดใกล้เคียงตามแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์แผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวให้ทราบโดยทั่วกันควบคู่ไปกับการส่งเสริมทางการตลาดและการพัฒนาคุณภาพของการให้บริการด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เช่น พิจารณาทบทวนออกแบบสถานีของโครงการฯ ให้มีขนาดและรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารและสินค้าที่ได้ประมาณการไว้ เพื่อให้การใช้เงินลงทุนโครงการฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. สร้างการรับรู้และชี้แจงเหตุผลความจำเป็นของการดำเนินโครงการฯ กับประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้องและทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาการร้องเรียน/คัดค้านต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการฯ ๖. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ค่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเวนคืน และค่าจ้างที่ปรึกษาในการประกวดราคา วงเงินรวม ๑๐,๘๒๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กับ รฟท. ส่วนค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง วงเงินรวม ๗๔,๕๒๕ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ รฟท. กู้ต่อ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. ๗. ในส่วนของการประกวดราคาจ้างก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อพิจารณาวิธีการประกวดราคาโครงการฯ ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๘. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๙. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ ระยะที่ ๒ โดยให้จัดลำดับความสำคัญของการลงทุนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณ ความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศ และศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งนำไปสู่เป้าหมายการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางและขนส่งสินค้าจากการพึ่งพาถนนเป็นหลักไปใช้การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่าต่อไป ๑๐. ในการจัดหาขบวนรถไฟสำหรับโครงการฯ นี้ (และโครงการอื่น ๆ ด้วย) ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดหา โดยให้ผู้ประกอบการในประเทศที่มีศักยภาพเป็นผู้ดำเนินการแทนการจัดหาจากต่างประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสม คุ้มค่า ประโยชน์ที่ได้รับ และการลดภาระงบประมาณด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1000 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริประจำเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2561 | นร01 | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริประจำเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนเมษายน ๒๕๖๑ การดำเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยโครงการจิตอาสาได้เข้าไปดำเนินการขุดลอกคูคลอง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ขวางทางน้ำ และสร้างความร่วมมือภายในชุมชนและสถานประกอบการตามลำน้ำในการรักษาน้ำในคลองแม่ข่า ๒. การดำเนินโครงการฯ ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ๒.๑ การประชุมกำหนดแผนการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนคลองเปรมประชากร กรุงเทพมหานคร โดยการจัดทำแบบสำรวจผู้รุกล้ำลำคลอง ซึ่งมีชุดปฏิบัติงานจากกรุงเทพมหานคร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมชลประทาน กรมธนารักษ์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ การประชุมกำหนดแผนการดำเนินงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยให้มีการจัดนิทรรศการภาพกิจกรรมจิตอาสา โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ บริเวณท้องสนามหลวง ๒.๓ พิธีพระราชทานป้ายกิจกรรมจิตอาสาในโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” แบบใหม่ (ต้นแบบ) ประจำหน่วยพระราชทานจิตอาสา
|