ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 105 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2081 - 2100 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2081 | โครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ของ กฟผ. | พน | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน ๒๒,๗๕๒.๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินตราต่างประเทศ จำนวน ๑๕,๑๒๖.๔๐ ล้านบาท และเงินบาท จำนวน ๗,๖๒๕.๗๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ มั่นคง และสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๗๓ (แผน PDP 2010) โดยสถานที่ตั้งโครงการจะอยู่ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี พื้นที่รวมประมาณ ๑๑๒ ไร่ ชนิดและขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมกังหันแก๊สแบบ Single Shaft Combined Cycle ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าฐาน ประกอบด้วย หน่วยการผลิตไฟฟ้า ๒ หน่วย หน่วยละ ๔๕๐ เมกะวัตต์ รวมขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าสุทธิประมาณ ๙๐๐ เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการปรับปรุงการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าฯ ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิตตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในขั้นตอนของการจัดทำแผนฯ ในอนาคต ประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้ กฟผ. และรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ พิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินทุนภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เนื่องจากระบบสถาบันการเงินในประเทศในปัจจุบันยังมีสภาพคล่องอยู่ในระบบค่อนข้างสูง จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศในส่วนของการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ ๑.๓ ให้ กฟผ. ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ได้ เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทำความเข้าใจด้านสังคมกับชุมชนในพื้นที่เพื่อให้มีทัศนคติและยอมรับการดำเนินงานของโครงการเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในระยะต่อไปและความปลอดภัยในการดำเนินงานอย่างเข้มงวด การพิจารณาหามาตรการป้องกันและรองรับความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา การให้ความสำคัญกับระบบตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้าฯ การดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ในพื้นที่โครงการอย่างต่อเนื่อง การถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมและการดำเนินงานชุมชนสัมพันธ์ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน การเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ ตลอดจนข้อดีข้อเสียของแต่ละแหล่งผลิตพลังงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนและชุมชน การเตรียมแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้าฯ ในระยะยาวและการพิจารณาทางเลือกของแหล่งเชื้อเพลิงที่เหมาะสมเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต รวมทั้งการกำหนดกลไกและเครื่องมือในการติดตามประเมินผลที่เชื่อมโยงกับการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการและป้องกันปัญหาการทุจริต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2082 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 2/2555 | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายการเบิกจ่ายเงิน กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐.๐๐ ของวงเงินตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด ๑.๒.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพิ่มบทบาทให้คลังจังหวัดดำเนินการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ของส่วนราชการในจังหวัดเพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย ๒. ส่วนการทบทวนมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการและแนวทางเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕) เห็นชอบให้ทบทวนมาตรการฯ ดังกล่าวเป็นว่า “ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในลักษณะงบลงทุนสำหรับโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณเร่งขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเห็นชอบการซื้อหรือจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ หากมีเหตุอันควรที่ไม่สามารถดำเนินการได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำเรื่องเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อพิจารณาผ่อนผันเป็นกรณี ๆ ไปตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้นำผลการพิจารณาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย” ทั้งนี้ ยกเว้นโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการให้ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) |
||||||||||||||||||||||||||||||
2083 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ปรับปรุงขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการโดยไม่ต้องเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเว้นแต่โครงการที่ กบอ. เห็นสมควรเสนอ กนอช. เห็นชอบในหลักการก่อน และกำหนดขั้นตอนการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการบริหารจัดการน้ำหรือป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบ หรือเป็นโครงการที่มีลักษณะหรือสภาพเฉพาะเป็นพิเศษ ๑.๑.๒ กำหนดให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุหรือคณะกรรมการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องเป็นผู้พิจารณาในกรณีที่ปรากฏปัญหาการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ๑.๒ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ กำหนดให้ กบอ. อาจมีมติให้ใช้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำหรือแนวทางการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยอื่นใดมีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับแผนปฏิบัติการ เพื่อให้ กบอ. สามารถกำกับโครงการของหน่วยงานของรัฐตามระเบียบนี้ได้ครบถ้วน ๑.๒.๒ กำหนดให้ กบอ. อาจจัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำหรือป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบหรือโครงการอื่นใดเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติได้ ๑.๒.๓ กำหนดให้ กบอ. มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามมติของ กบอ. ด้วย ๒. ให้ กบอ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาอนุมัติโครงการกรณีที่เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจกระทบกับเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ให้ กบอ. พิจารณาปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2084 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ในสัญญาที่ ๑ - ๓ โดยกิจการร่วมค้า STEC - UNIQ (SU) เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ๒. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต จำนวน ๗๔,๗๙๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท โดยปรับกรอบวงเงินในสัญญาที่ ๑ เพิ่มเติมจากจำนวน ๒๗,๑๓๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๒๙,๘๒๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท สำหรับสัญญาที่ ๒ และ ๓ ให้คงตามกรอบวงเงินลงทุนเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญาที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญาในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ กรอบวงเงินลงทุนรวมของทั้งโครงการจะต้องอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลและไม่สูงกว่าจุดคุ้มทุน ๓. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดของการปรับเพิ่มวงเงินในสัญญาที่ ๑ แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินให้ชัดเจน เพื่อจะได้พิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2085 | ขออนุมัติเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 5 และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 2 | กต | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ และร่างแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ โดยร่างแถลงการณ์ฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ เป็นเอกสารระบุโครงการที่ญี่ปุ่นกับประเทศลุ่มน้ำโขงจะดำเนินการร่วมกันใน ๓ เสาหลักของความร่วมมือที่ระบุในยุทธศาสตร์กรุงโตเกียวเพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ได้แก่ เสาหลักที่ ๑ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เสาหลักที่ ๒ การพัฒนาไปพร้อมกัน และเสาหลักที่ ๓ การสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงของมนุษย์และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ๒. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ ยืนยันเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกที่จะร่วมมือกันใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทรัพยากรน้ำ การเกษตรและการพัฒนาชนบท และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งไทยรับเป็นประเทศผู้ประสานงานสาขาการเกษตรและการพัฒนาชนบท ซึ่งจะมีการดำเนินโครงการนำร่องหลายโครงการที่ประเทศสมาชิกได้จัดทำข้อเสนอโครงการฯ เบื้องต้นแล้ว เช่น การตั้งสถาบันเกี่ยวกับการขนส่ง การทำโครงการร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับ Korea Water Resources Corporation เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดทำโครงการร่วมกับสถาบันลุ่มน้ำโขงเกี่ยวกับการเจรจาการค้าในบริบทของการบูรณาการอาเซียนและการสร้างศักยภาพด้านโลจิสติกส์ ๒.๒ ระบุถึงแนวทางความร่วมมือและการดำเนินการในระยะยาว เช่น การจัดเวทีหารือภาคธุรกิจลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK Business Forum) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การจัดทำแผนปฏิบัติการลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งมีกำหนดจะประกาศในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ การกำหนดปีแห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และการตั้งกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีแยกต่างหากจากการให้ความช่วยเหลือของสาธารณรัฐเกาหลีที่มีอยู่แล้ว ๒.๓ ระบุถึงการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นของภูมิภาคและของโลกที่เป็นปัญหาร่วมกัน เช่น ภัยธรรมชาติ และความมั่นคงทางอาหาร ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
||||||||||||||||||||||||||||||
2086 | เร่งรัดการดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเร่งรัดการดำเนินงานการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง (และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง) ที่มีโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงที่จะต้องดำเนินการในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะโครงการที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน (Flagship) ลงพื้นที่เพื่อเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการในความรับผิดชอบดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ รวมทั้งให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบติดตามการปฏิบัติราชการในแต่ละจังหวัดลงพื้นที่เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ประสานการดำเนินงานร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานและสายการบังคับบัญชาของศูนย์บัญชาการ (command center) ให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเชื่อมโยงกับการดำเนินงานของ กบอ. และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รวมทั้งกับข้อมูลการพยากรณ์อากาศของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปด้วย ๓. โดยที่นายกรัฐมนตรีจะจัดการประชุมเพื่อกำกับติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยทุกสัปดาห์ จึงขอให้รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ในกรณีที่ท่านใดไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ให้พิจารณามอบหมายผู้ที่สามารถตัดสินใจและชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้เป็นผู้เข้าร่วมประชุมแทน ๔. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง เร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำ) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) เร่งรัดการดำเนินการจัดทำประกาศเชิญชวนและขอบเขตงาน (TOR) ของการดำเนินโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการจัดการประชุมชี้แจงผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสถานทูตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญนำเสนอแผนงานโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศ เพื่อที่รัฐบาลจะได้พิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพดีที่สุดมาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2087 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๖๙๖.๘๕๗ ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๑๙.๗๙๔ ล้านบาท เนื่องจากได้ดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนในระบบ GFMIS จากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้แจ้งส่งคืนงบประมาณอย่างเป็นทางการ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๗,๙๗๔.๓๙๑ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๙,๖๓๓.๖๐๐ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๓๐๒.๗๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๔๒ ทั้งนี้ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๑,๔๐๙.๑๓๗ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๖.๑๖ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๔๐.๐๒๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๘๔ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๔,๙๔๗.๘๕๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๒.๔๖ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๒ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๕,๐๒๕.๘๔๑ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๔. การติดตามผลการปฏิบัติงานตามกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ๔.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๕ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๑๘.๔๓๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๑๘๗.๗๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๖๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๔.๑๘ ๔.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๕๓ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๒.๓๗๐ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๘๗๐.๙๗๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๘.๕๘ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๘.๗๐ ๔.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๕๐ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๒๓.๗๖๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๖,๔๒๐.๙๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๕๕ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๙.๓๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2088 | รายงานการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาเอเปค ครั้งที่ 5 | ศธ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาเอเปค ครั้งที่ ๕ (The 5th APEC Education Ministerial Meeting : AEEM) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองเคียงจู สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปผลการประชุมฯ ได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะ แบ่งออกเป็น ๓ หัวข้อ ได้แก่ ๑.๑ โลกาภิวัตน์ ในหัวข้อเรื่อง Globalization : Preparing students with the future skills required for college and career readiness in globalized, knowledge - base economy ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ หัวข้อย่อย ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมศึกษา โดยสหพันธรัฐรัสเซียและเปรูเป็นผู้นำเสนอผลงานวิจัยและคุณภาพของเทคนิคและการอาชีวศึกษาและฝึกอบรม และคุณภาพของการอุดมศึกษา โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้นำเสนอผลงานวิจัย ทั้งนี้ ประเทศไทยนำเสนอต่อที่ประชุมฯ ในหัวข้อนี้ว่า เพื่อให้นักเรียนไทยสามารถใช้ภาษาอื่นในการติดต่อสื่อสาร ประเทศไทยจึงได้ผลักดันการดำเนินโครงการอาสาสมัครภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อให้ร้อยละ ๘๐ ของนักเรียนไทยสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยอาสาสมัครช่วยสอนภาษาอังกฤษอย่างน้อย ๒,๐๐๐ คน ส่วนภาษาจีน เป็นภาษาหนึ่งที่ได้รับความนิยมในช่วงปีที่ผ่านมา และมีความสำคัญต่อความเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยมีนักเรียนเกือบ ๓๐๐,๐๐๐ คน จากโรงเรียน ๗๐๐ แห่ง กำลังศึกษาภาษาจีน โดยจะมีอาสาสมัคร จำนวน ๔,๐๐๐ คน เข้ามาช่วยในโครงการด้วย ๑.๒ นวัตกรรม ในหัวข้อเรื่อง The need to create instructional delivery system that help students address challenges in innovative way ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ หัวข้อย่อย ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศในแวดวงการศึกษา โดยสาธารณรัฐเกาหลีเป็นผู้นำเสนอผลงานวิจัย และคุณภาพครู โดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเสนอผลงานวิจัย ทั้งนี้ ประเทศไทยนำเสนอต่อที่ประชุมฯ ในหัวข้อนี้ว่า การนำ ICT มาใช้ในการจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เนื้อหาและภาษา หลักสูตรและวิธีการสอน ความพร้อมของสถาบัน ศักยภาพครูและการได้รับการสนับสนุนด้านการเงินระยะยาวเข้าด้วยกัน โดยประเทศไทยกำลังดำเนินการจัดหาคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแจกให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และขยายการมอบแท็บเล็ตให้แก่นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเห็นว่าคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตและอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการจัดการศึกษาเท่านั้น อีกทั้งยังตระหนักถึงคุณค่าของหนังสือต่าง ๆ ซึ่งจะแจกคูปองแทนเงินสดให้แก่นักเรียนเพื่อนำไปซื้อหนังสืออ่านด้วย ๑.๓ ความร่วมมือ ในหัวข้อเรื่อง Cooperation : Changes in the nature of work and instruction demand that education policy making, reform efforts, and program implementation should be more collaborative and gold โดยสาธารณรัฐเกาหลีนำเสนอผลงานเรื่อง People collaboration โดยเสนอการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อสนับสนุนความร่วมมือด้านการศึกษาในเอเปค และเห็นชอบโครงการใหม่ของเครือข่ายการศึกษา (EDNET) เพื่อการวางแผนและการดำเนินการจัดประชุมระดับภูมิภาคและการวิจัยเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือด้านการศึกษาในช่วงการริเริ่มความร่วมมืออีกด้วย ๒. ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้เครือข่ายการศึกษา (EDNET) รายงานเกี่ยวกับข้อสรุปจากการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาเอเปค ครั้งที่ ๕ ต่อที่ประชุมผู้นำเอเปค ซึ่งจะจัดที่กรุงวลาดิวาสต็อก สหพันธรัฐรัสเซีย ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยผ่านทางคณะทำงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRDWG) ของเอเปค
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2089 | บันทึกความเข้าใจโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทยระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น | วท | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของความร่วมมือทางวิชาการในโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทย ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับผู้แทนองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organization ; NEDO) ประเทศญี่ปุ่น และการให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามกับผู้แทนองค์การ NEDO ประเทศญี่ปุ่น และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีการขอยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งข้อ ๑๒ (๑) และ (๒) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ กำหนดให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุมีอำนาจหน้าที่ตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบ และพิจารณาอนุมัติยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ จึงเป็นการกำหนดให้มีองค์การเฉพาะเพื่อทำหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาหรือระงับข้อพิพาทที่ส่วนราชการทั้งหลายดำเนินการตามระเบียบไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และสามารถยกเว้นหรือผ่อนผันการดำเนินการบางเรื่องที่ส่วนราชการติดขัดหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องได้ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงไม่มีอำนาจยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ รวมทั้งให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำว่า “คู่สัญญา” ที่กำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ควรจะเป็นคู่สัญญาระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับ NEDO เท่านั้น ไม่ควรมีชื่อสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เข้ามาร่วมเกี่ยวข้องและปรากฏอยู่ในแต่ละข้อสัญญา และในการดำเนินโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ซึ่งมีศักยภาพ ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วให้นำร่างบันทึกความเข้าใจฯ เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๒. เรื่องการขอยกเว้นภาษีอากรทุกชนิดในการนำเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่ NEDO นำเข้ามาใช้ในโครงการและการขอรับยกเว้นภาษีอากรเมื่อโอนกรรมสิทธิ์ ให้บริษัท เอี่ยมบูรพา เอทานอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. เรื่องการขอให้ได้รับยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุที่จะพิจารณาอนุญาต จึงให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปขอยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์ดังกล่าวต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||
2090 | แนวทางการดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการจัดทำแผนบริหารจัดการและแผนธุรกิจของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ที่จะดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ต่อไปให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๒ เดือน ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดของแผนธุรกิจที่สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดและมีแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม การกำหนดกลยุทธ์ในการจัดหาสมาชิก เงื่อนไขสิทธิประโยชน์ และคุณสมบัติของสมาชิกที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) อย่างชัดเจน การกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามเป้าหมายสูงสุดที่กำหนด การพิจารณาผลสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ในห้วงเวลาที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่รัฐจะได้รับ การจัดทำแนวทางติดตามผลการดำเนินการของโครงการฯ อย่างเป็นระบบเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการโครงการฯ ในอนาคต การประเมินผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อประเทศเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง การวางแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ที่อาจกระทบต่อกฎหมายคนเข้าเมืองและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบผลประโยชน์และผลกระทบในกรณียุบเลิกโครงการฯ กับกรณีดำเนินโครงการฯ ต่อ ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีประกอบการพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง การจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card)] อีกครั้งหนึ่งต่อไป ๓. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอเพิ่มเติมว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) มาด้วย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะได้นำความเห็นดังกล่าวไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการฯ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2091 | เร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เร่งรัดการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ. ) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ และเรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕] เกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยแห่งชาติเสนอคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และคณะรัฐมนตรี เพื่อให้การพิจารณาอนุมัติแผนงาน/โครงการของ กบอ. มีทิศทางที่ชัดเจน สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และเป็นไปตามนโยบายที่ กนอช. กำหนด การดำเนินการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ การประสานและหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด เพื่อจัดทำแผนเผชิญเหตุและการกำหนดแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการอพยพ การจัดเตรียมพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในศูนย์พักพิง การแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่รับน้ำและทางระบายน้ำ และการป้องกันไม่ให้มีการรุกล้ำพื้นที่เพิ่มเติม และให้มีการซักซ้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นอย่างทั่วถึงกันเป็นการล่วงหน้าด้วย โดยให้ศูนย์บัญชาการ (Command Center) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ โดยให้ใช้ฐานข้อมูลและแผนที่ในการประกอบการดำเนินงานที่มีมาตรฐานเดียวกันเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพด้วย ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕] เกี่ยวกับการจัดทำประกาศเชิญชวนและขอบเขตงาน (TOR) ของการดำเนินโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ที่สนใจทั้งในและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญจัดทำแผนงานโครงการในการดำเนินการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยตามรายละเอียดที่รัฐบาลจะได้กำหนดไว้เพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพดีที่สุดมาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2092 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ โดยหลักการของโครงการฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย ๑๒๐ บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) อัตราเบี้ยประกันภัยสุทธิเท่ากับ ๑๒๙.๔๗ บาทต่อไร่ เท่ากับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา วงเงินความคุ้มครอง ๑,๑๑๑ บาทต่อไร่ ตลอดช่วงการเพาะปลูก สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด ๖ ภัย ได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย และขยายเพิ่มเติมความคุ้มครองรวมถึงภัยศัตรูพืชและโรคระบาด โดยมีวงเงินความคุ้มครอง ๕๕๕ บาทต่อไร่ ๑.๑.๒ กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยในประเทศ (ผู้รับประกันภัย) รับประกันภัยที่อัตราเบี้ยประกันภัย ๑๒๐ บาทต่อไร่ และไม่สามารถเอาประกันภัยต่อกับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้ ๑.๑.๓ เกษตรกรผู้เอาประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย (ใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่รัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน) เพิ่มเติมจากเดิมที่จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น ๑.๑.๔ กำหนดจำนวนไร่ที่เอาประกันภัยสูงสุดไม่เกิน ๘ ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมดของประเทศโดยเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๔ จำนวน ๕๗.๔๗ ล้านไร่ เป็นระดับพื้นที่เหมาะสม และอยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้ เนื่องจากการตัดสินใจทำประกันภัยหรือไม่เป็นความสมัครใจของเกษตรกร และกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติสามารถรองรับความเสียหายในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด (Worst case scenario) ได้ ๑.๑.๕ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้บริหารโครงการ โดยเป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยและบริษัทผู้รับประกันภัย เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา ๑.๒ อนุมัติวงเงินงบประมาณ จำนวน ๕๕๕,๗๖๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ ธ.ก.ส. ประกอบด้วย ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว และข้อมูลการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยของรัฐรายบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) แล้ว เพื่อความรวดเร็วในการจ่ายสินไหมทดแทน ๒. ยกเว้นหลักการที่กำหนดว่า “กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยในประเทศ (ผู้รับประกันภัย) รับประกันภัยที่อัตราเบี้ยประกัน ๑๒๐ บาทต่อไร่ และไม่สามารถเอาประกันภัยต่อกับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้” ให้ตัดออก และยกเว้นในส่วนของการเบิกเงินชดเชย ให้ ธกส. เบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา ของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) + 1 ในปีงบประมาณถัดไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2093 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ ในวงเงิน ๙๕.๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีขอบเขตการดำเนินโครงการ แหล่งเงินทุน และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งานปรับปรุงบึงหนองด้วงน้อยให้เป็นแก้มลิงย่อย งานปรับปรุงร่องระบายน้ำหนองด้วงน้อย (Drainage Channel) และงานก่อสร้างทางบริการ (Service Road) และระบบระบายน้ำชั่วคราว ๑.๒ แหล่งเงินทุน ใช้เงินทุนจากเงินสะสมของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ๑.๓ รายละเอียดเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ๑.๓.๑ วงเงินให้ความช่วยเหลือ ๙๕.๔๐ ล้านบาท (เงินกู้ทั้งจำนวน) ๑.๓.๒ อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๑.๓.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๑.๓.๔ ค่าบริหารจัดการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร้อยละ ๐.๑๕ ของวงเงินกู้ ๑.๓.๕ กำหนดชำระดอกเบี้ย ปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลตัวเลขหรือสถิติที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำฝน และศึกษาความสามารถในการระบายน้ำเพื่อวิเคราะห์ว่าโครงการสามารถช่วยลดปัญหาอุทกภัยบริเวณนครหลวงเวียงจันทน์และพื้นที่ใกล้เคียงได้มากน้อยเพียงใด โดยการเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2094 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๗๑๖.๖๕๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๕๓.๖๕๑ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๘,๐๒๙.๙๘๓ ล้านบาท ๑.๑ สถานการณ์เบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๑.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๗,๓๓๐.๘๐๗ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๕๓๖.๘๗๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๙๒ โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑,๕๓๖.๔๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๕๕ ๑.๑.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๓,๖๒๖.๒๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๙๒ ๑.๒ การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๒ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๕,๐๒๐.๐๖๔ ล้านบาท สำนักงบประมาณจะดำเนินการคืนเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๓. การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีดังนี้ ๓.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๕ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๑๘.๔๓๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๑๑๑.๐๐๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๘๗ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๙.๘๓ ๓.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๕๓ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๓.๓๖๖ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๗๐๐.๑๔๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๖๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๗.๗๘ ๓.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๕๘ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๓๘.๙๐๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๖,๐๘๐.๔๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๒๓ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๗.๙๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2095 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป. ลาว ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) รับเรื่อง โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไปพิจารณากลั่นกรองก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการลงทุน) ๒. ให้นำความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และมีกระบวนการรับฟังความเห็นของสาธารณชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการดำเนินโครงการฯ อย่างโปร่งใสและครอบคลุม การคำนึงถึงความเสี่ยงจากการลงทุน (economic risk) และการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ (opportunity cost) จากการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้า หากมีการก่อสร้างหรือการกระทำใดๆ ที่อาจกระทบต่อเส้นเขตแดนและท่าทีในการเจรจาที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารืออย่างใกล้ชิดกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ การติดตามการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) เกี่ยวกับการพิจารณาให้ความเห็นต่อโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี เพื่อให้สามารถวางแผนโครงการฯ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว การเตรียมแผนบริหารความเสี่ยงในการจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าจากแหล่งอื่นเข้ามาเสริมระบบแทนในกรณีที่ไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้ หรือการก่อสร้างมีความล่าช้าออกไป การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย และผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำในฝั่งไทย การติดตามเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนจากการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องทั้งในช่วงการก่อสร้างโครงการและภายหลังโครงการแล้วเสร็จ รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อดีข้อเสียของการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแต่ละแหล่งผลิต ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2096 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้มีการพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ ข้อเสนอมาตรการและกลไกเพื่อบูรณาการและเสริมสร้างความเข้มแข็งพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอมาตรการระยะสั้น ตามที่ กกร. เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการรับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดของเรือสินค้าที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งทางรางในเส้นทางสายตะวันออก เพื่อให้สามารถจูงใจให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากการขนส่งทางถนนสู่รางได้ตามเป้าหมายต่อไป ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณารูปแบบการจัดตั้งกลไกระดับชาติและระดับจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการความปลอดภัยและกำกับภาวะฉุกเฉินในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กองทัพเรือ และภาคเอกชน ศึกษาความเหมาะสมในการเปิดใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา - พัทยา ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของภาคตะวันออก สายกรุงเทพฯ - ระยอง เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเร่งรัดการจัดทำข้อกำหนดการดำเนินโครงการ (TOR) ให้สามารถประกวดราคาได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์ความเหมาะสมในการขยายเวลาการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว/ถาวร ด่านชายแดนไทย - กัมพูชา จังหวัดจันทบุรี ตราด และสระแก้ว ให้เป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อเสนอให้กับกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณารายละเอียดการแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งและเตรียมการรองรับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ๒.๑.๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานจังหวัดที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณารายละเอียดโครงการศึกษาแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (จังหวัดระยอง - ฉะเชิงเทรา - ชลบุรี - สมุทรปราการ) โดยเฉพาะความเชื่อมโยงและความซ้ำซ้อนของแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ๒.๑.๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนร่วมกันศึกษาความเหมาะสมและจัดทำข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการโครงการสร้างห้องแช่เยือกแข็งผลไม้เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและส่งออกผลไม้ของภาคตะวันออก ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒.๑.๓.๕ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนผลการศึกษาโครงการวางและจัดทำผังอนุภาคกลุ่มจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อประกอบการศึกษารายละเอียดในการพัฒนาเมืองศูนย์กลางกลุ่มจังหวัด “บูรพนา” (ชลบุรี - ระยอง - จันทบุรี - ตราด) เพื่อให้การจัดระเบียบ การกำหนดเขตการใช้ที่ดินและการจัดเตรียมระบบโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่เมืองศูนย์กลางธุรกิจของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกมีความสอดคล้องเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ๒.๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานพิจารณาในรายละเอียดของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อขอรับการสนับสนุนตามระเบียบและขั้นตอนให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป ๒.๑.๔.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในรายละเอียดของโครงการจัดสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการโครงการฯ รวมถึงการบูรณาการจัดทำฐานข้อมูลน้ำร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนกลางได้ ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล - โรงผลิตน้ำประปาระยอง โดยหารือกับกรมชลประทาน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๒.๑.๕.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงคมนาคมร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนรอบเกาะช้างในส่วนที่ยังขาดอยู่ช่วงบ้านบางเบ้า - บ้านสลักเพชร ให้แล้วเสร็จ โดยคำนึงถึงการประหยัดและงบประมาณด้วย ๒.๑.๕.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชนเพื่อร่วมกันวางแผนการพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในระยะ ๓ ปี ข้างหน้า ๒.๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฝึกอบรมทักษะด้านภาษาต่างประเทศแก่แรงงาน ๒.๑.๕.๔ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับท้องถิ่น โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริงและจำนวนสถานประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ รับทราบเรื่อง ผลักดันการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยการผ่อนปรนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒.๒.๒ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๒๒ (22nd Japan-Thailand Joint Trade and Economic Committee Meeting) และให้ กกร. จัดส่งรายละเอียดให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๒.๒.๓ รับทราบการสนับสนุนกลไกดำเนินการของสมาคมขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS-FRETA) และให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานประสานหลักในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับภาครัฐต่อไป ๒.๒.๔ รับทราบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ FATF) และให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเข้าร่วมในคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2097 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 (ครั้งที่ 142) | พน | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๒) เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๗๓ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ (PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓) ๑.๑.๑ เห็นชอบแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ และให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่โรงไฟฟ้าขนอมตามที่บริษัท EGCO เสนอ และพิจารณาวางกรอบการเจรจารับซื้อไฟฟ้า โดยคำนึงถึงระยะเวลาการดำเนินโครงการ ราคาค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมและเป็นธรรมจากที่สามารถประหยัดได้จากการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความพร้อมด้านมวลชนสัมพันธ์ และการยอมรับของประชาชนรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า และการพิจารณากรอบปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ SPP รอบใหม่ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับระยะเวลาตามแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ ๑.๑.๒ เห็นชอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานออกระเบียบและหลักเกณฑ์ในการจัดหาไฟฟ้าและออกประกาศเชิญชวนต่อไป รวมทั้งเสนอผลเจรจาและผลการคัดเลือกต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ยื่นข้อเสนอ ๑.๑.๓ เห็นชอบให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดทำร่างแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติให้สอดคล้องกับแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ และนำเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒ ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเซเปียน - เซน้ำน้อย ๑.๒.๑ เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเซเปียน - เซน้ำน้อย และให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฯ กับผู้พัฒนาโครงการต่อไป เมื่อร่างสัญญาได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestone) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนที่จะลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฯ เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในการกักเก็บน้ำและการทดสอบโรงไฟฟ้า รวมถึงการแก้ไขร่างสัญญาที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่างสัญญา และ/หรือเงื่อนไขสำคัญให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบจาก กพช. อีก ๑.๒.๒ เห็นชอบให้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเซเปียน - เซน้ำน้อย ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ๑.๓ แนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ๑.๓.๑ รับทราบเหตุ ความจำเป็นและแนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศในเบื้องต้น ๑.๓.๒ เห็นชอบในหลักการให้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ และให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดตั้งการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศต่อไป ๑.๔ หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility ๑.๔.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility ระยะที่ ๒ ๑.๔.๒ ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนลงทุน LPG Facility ตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานในแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ และดำเนินการทั้งภาคบังคับและสนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อให้การอนุรักษ์พลังงานเกิดผลสำเร็จ การวางแผนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สายส่ง การกักเก็บพลังงานไฟฟ้า กำลังไฟฟ้าสำรอง เป็นต้น ให้สอดคล้องกับแผน PDP การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการพัฒนาด้านพลังงานที่สอดคล้องกับแผน PDP การสร้างความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีพลังงานเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดบุคลากรและนักวิจัยในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานที่ยั่งยืน การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการจัดเตรียมแผนบริหารความเสี่ยงด้านการจัดหากำลังการผลิตไฟฟ้าในกรณีที่โรงไฟฟ้าประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเกิดเหตุสุดวิสัยจนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2098 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจำนำข้าวเปลือก | ปช | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรียืนยันว่า การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งเป็นการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรในชนบทตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาทุกประการ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยืนว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวมีมาตรการและกลไกในการควบคุมกำกับดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีระบบการตรวจสอบให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินโครงการทั้งในระดับพื้นที่และในระดับปฏิบัติการมีประสิทธิภาพและป้องกันการทุจริต จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) สั่งการให้หน่วยงานในกำกับ ดำเนินการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในระดับปฏิบัติ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ให้ความร่วมมือ หากตรวจสอบพบกรณีทุจริตให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2099 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดชลบุรี วันที่ 19 มิถุนายน 2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคตะวันออก รวม ๔ จังหวัด (จังหวัดชลบุรี ระยอง ตราด และจันทบุรี) จำนวน ๑๑๕ โครงการ วงเงินรวม ๑๗,๖๙๘.๔๘ ล้านบาท และรับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐในจังหวัดจันทบุรี โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๖.๙๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ ให้จังหวัดประสานกับหน่วยงานรับผิดชอบหลักในพื้นที่ (Function Base) เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้างและการให้บริการของหน่วยงานหลัก ดังนี้ ๒.๑ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก วงเงินรวม ๑๐๑.๘๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการวางท่อระบายน้ำถนนสุขุมวิทฝั่งตะวันออก (ช่วงสถานีตำรวจทางหลวง - สุขุมวิท ซอย ๑๑) งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อระบายน้ำถนนสุขุมวิท (ช่วงคลองน้ำเหม็น - ถนนบางแสนล่าง) งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตประปาบริเวณถนนบางแสนสาย ๔ เหนือ งบประมาณดำเนินการ ๔.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดสร้างปะการังเทียมเพื่อการป้องกันการทำประมงในเขตพื้นที่การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและเสริมสร้างแหล่งอาศัยสัตว์น้ำจังหวัดระยอง งบประมาณดำเนินการ ๗.๕๐ ล้านบาท โครงการติดตั้งป้ายบอกทางแหล่งท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาและส่งเสริมภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวชายหาดกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก งบประมาณดำเนินการ ๕.๐๐ ล้านบาท โครงการศึกษาออกแบบวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการแปรรูปผลผลิตเงาะเพื่อเพิ่มศักยภาพเชิงพาณิชย์ งบประมาณดำเนินการ ๙.๐๐ ล้านบาท โครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าชายเลนขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๒๙.๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาศักยภาพและเตรียมความพร้อมด้านการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๕.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ จังหวัดชลบุรี วงเงินรวม ๑๑๐.๙๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาอ่างเก็บน้ำมาบประชันเพื่อการอุปโภคบริโภค ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง งบประมาณดำเนินการ ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนน คสล. พร้อมวางท่อระบายน้ำ บริเวณซอยหนองยายรัก ๒ หมู่ที่ ๑๑, ๑๒ ตำบลนาป่า อำเภอเมืองชลบุรี งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๑๓ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนน คสล. ถนนสุขุมวิทสายเก่า บ้านศรีพโลทัย หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมือง งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำประปาในเขตเทศบาลตำบลห้วยกะปิ งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๙ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตน้ำประปาภูมิภาคในเขตเทศบาลเหมือง งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำประปาในเขต อบต. เกาะลอย งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๒ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมาบไผ่ งบประมาณดำเนินการ ๖.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงถนนบริเวณริมหาดนาจอมเทียน งบประมาณดำเนินการ ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๒.๓ จังหวัดจันทบุรี วงเงินรวม ๑๐๐.๖๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ด่านถาวรบ้านผักกาด เพื่อรองรับการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน และเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๔๕.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบศูนย์บริหารจัดการอัญมณีจังหวัดจันทบุรี และจัดซื้อครุภัณฑ์ งบประมาณดำเนินการ ๑๙.๒๔ ล้านบาท โครงการพัฒนาเส้นทางเข้าศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริฯ ตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๔๔ ล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว (บริเวณถนนเลียบชายฝั่งทะเล ปากน้ำแขมหนู ต.ตะกาดเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี) งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวอำเภอแหลมสิงห์ งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท ๒.๔ จังหวัดตราด วงเงินรวม ๑๐๓.๔๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขยายขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางขึ้น - ลงเครื่องบิน (Runway) สนามบิน ๒๐๗ จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๕.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำและทางเท้าถนนภายในโครงการพัฒนาพื้นที่สนามบิน ๒๐๗ จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๔.๙๐ ล้านบาท โครงการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนไม้ผลที่ประสบปัญหาด้านราคา งบประมาณดำเนินการ ๕.๖๐ ล้านบาท โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อรักษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว งบประมาณดำเนินการ ๒๔.๐๐ ล้านบาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำและระบายน้ำของแหล่งน้ำขนาดเล็กในพื้นที่จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๔๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างปรับปรุงสะพานทางเดินเท้า คสล. บริเวณภายในพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๖.๗๑ ล้านบาท และโครงการพัฒนาศักยภาพโรงเรียนกีฬาและสนามกีฬาจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๘.๐๐ ล้านบาท ๒.๕ จังหวัดระยอง วงเงินรวม ๑๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนปกรณ์สงเคราะห์ราษฎร์ (ช่วงที่ ๑) งบประมาณดำเนินการ ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำทับมา แบบบูรณาการ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง งบประมาณดำเนินการ ๖๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างถนนสายแหลมท่าตะเคียน - แหลมยาง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตอนที่ ๒ งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๓. สำหรับแผนงาน/โครงการที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก และ ๔ จังหวัด ในส่วนที่เหลือ ให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตตามผลการพิจารณาไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2100 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) ว่าด้วยการลดความยากจน ครั้งที่ 2 | มท | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi - Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ว่าด้วยการลดความยากจน ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยมีนายวัลลภ พริ้งพงษ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพร้อมคณะเดินทางเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยมีผลการประชุมในประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แผนปฏิบัติการลดความยากจน (Plan of Action on Poverty Alleviation : PPA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินการของประเทศสมาชิกภายใต้กรอบ BIMSTEC ว่าด้วยการลดความยากจนในลักษณะของความร่วมมือกว้าง ๆ โดยให้ประเทศสมาชิกนำยุทธศาสตร์และกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการลดความยากจนไปบรรจุไว้ในแผนและโครงการของแต่ละประเทศสมาชิกตามความเหมาะสม ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การลดความยากจนหลัก จำนวน ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การกระตุ้นเศรษฐกิจและการดูแลเอาใจใส่คนยากจนอย่างทั่วถึง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม ยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการที่มุ่งการลดความยากจน ยุทธศาสตร์การเพิ่มความคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมคนจนมากยิ่งขึ้น ยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และยุทธศาสตร์การสร้างธรรมาภิบาล ๑.๒ ถ้อยแถลงกาฐมาณฑุว่าด้วยการลดความยากจน (Kathmandu Statement on Poverty Alleviation) ประกอบด้วยเนื้อหาการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC ในการดำเนินงานเพื่อลดความยากจน โดยสาระสำคัญของถ้อยแถลงกาฐมาณฑุฯ เป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินการของประเทศสมาชิกในการลดความยากจนระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC ในลักษณะความร่วมมือกว้าง ๆ โดยไม่มีการลงนามในถ้อยแถลงกาฐมาณฑุฯ ๑.๓ ข้อเสนอของสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาที่เสนอขอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี BIMSTEC ว่าด้วยการลดความยากจน ครั้งที่ ๓ ๒. เห็นชอบต่อถ้อยแถลงกาฐมาณฑุว่าด้วยการลดความยากจน (Kathmandu Statement on Poverty Alleviation) และแผนปฏิบัติการลดความยากจน (Plan of Action on Poverty Alleviation : PPA) |
.....