ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 109 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2161 - 2180 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2161 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2555 | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กยอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยเสนอ โดยให้รับข้อสังเกตและความเห็นของคณะกรรมการ กยอ. เรื่องการพิจารณาทบทวนการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ซึ่งจะมีผลต่ออัตราเบี้ยประกันภัย ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ ต่อไป ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์พร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องของโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้เกิดความชัดเจนและถูกต้องตามข้อกฎหมาย แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการ กยอ. ทราบต่อไป ๑.๓ เห็นชอบประเด็นการศึกษาเพื่อจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งรูปแบบการทำงานของที่ปรึกษา ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และมอบให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำข้อกำหนดโครงการ (Term of Reference) และดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาต่อไป รวมทั้งเห็นชอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๖๐ ล้านบาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้ฝ่ายเลขานุการเร่งนำเสนอเรื่องแผนงานการลงทุนพัฒนาระบบรางให้คณะกรรมการ กยอ. พิจารณา โดยไม่ต้องรอการศึกษาในภาพรวม ๑.๔ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำรับไปดำเนินการศึกษาประเมินความเป็นไปได้แบบเร่งด่วน (Rapid Assessment) ถึงความเหมาะสมของรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของการจัดตั้งองค์กรขับเคลื่อนภารกิจและบูรณาการยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตเรื่องการสนับสนุนให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและข้อกำหนดการศึกษาที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และประสานงานกับสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2162 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554) | กษ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย ดินโคลนถล่ม คลื่นลมแรงเกิดคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้รับเงินงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๗,๕๓๐,๔๐๐ บาท เพื่อดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลในเขตพื้นที่อนุญาตบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ไชยา ดอนสัก และท่าฉาง พื้นที่รวม ๑๔,๘๖๑.๔๖ ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่เลี้ยงหอยแครง ๑๒,๘๕๕.๘๖ ไร่ พื้นที่เลี้ยงหอยนางรม ๑,๘๕๒.๔๐ ไร่ และพื้นที่เลี้ยงหอยแมลงภู่ ๑๕๓.๒๐ ไร่ โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. รายละเอียดของการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีดังนี้ ๒.๑ ทำความสะอาดแปลงหอยโดยใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดดินบริเวณเลี้ยงหอยในเขตพื้นที่อนุญาต และเก็บซากหอยตายและวัสดุเจือปนอันเนื่องจากภาวะอุทกภัยในบริเวณพื้นที่อนุญาต จำนวน ๑๔,๙๖๑.๔๖ ไร่ ๒.๒ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินในแหล่งเลี้ยงหอยทะเล โดยเก็บตัวอย่างน้ำและดินเพื่อตรวจวิเคราะห์ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังฟื้นฟู ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ๖ จุด อำเภอไชยา ๔ จุด อำเภอดอนสัก ๒ จุด และอำเภอท่าฉาง ๔ จุด ๒.๓ จัดสร้างแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยทะเล ๒.๔ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยแครง โดยคราดทำความสะอาดแปลงเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หอยแครง จัดซื้อลูกพันธุ์หอยแครง จำนวน ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หว่านหอยแครงพร้อมทั้งทำป้ายห้ามทำการประมงและแนวเขตพ่อแม่พันธุ์หอยแครง ๒.๕ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยนางรม โดยจัดซื้อลูกพันธุ์หอยนางรม จำนวน ๓๐,๐๐๐ ตัว พร้อมทั้งติดตาหอยและปักแนวเขต
|
|||||||||||||||||||||||||||
2163 | ร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ภายในระยะเวลา ๒ ปี นับแต่วันพ้นจากตำแหน่งห้ามมิให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเป็นกรรมการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ ที่ปรึกษาหรือถือหุ้นเกินร้อยละศูนย์จุดห้าของทุนที่ชำระแล้วของเอกชนที่คณะกรรมการดังกล่าวได้อนุมัติหลักการให้ร่วมลงทุนในกิจการของรัฐหรือได้ทำสัญญาร่วมลงทุนกับหน่วยงานเจ้าของโครงการ และให้มีอำนาจในการให้คำแนะนำหรือความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก่อนมีการตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นไม่ให้นำร่างพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดเสนอกรอบนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในความรับผิดชอบของกระทรวงต่อคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ต่อไป โดยกรอบนโยบายที่แต่ละกระทรวงเสนอให้แสดงภาพรวม ลักษณะของโครงการ ลำดับความสำคัญของกิจการของรัฐในความรับผิดชอบของกระทรวงที่จำเป็นหรือเหมาะสมจะให้เอกชนร่วมลงทุน ๑.๓ กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งรายงานของที่ปรึกษาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเสนอโครงการด้วย ๑.๔ กำหนดขั้นตอนการดำเนินโครงการเพื่อคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ๑.๕ กำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในกระทรวงการคลัง เพื่อสนับสนุนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และสนับสนุนหน่วยงานของรัฐในการเสนอโครงการที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ การจัดทำผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และการจ้างที่ปรึกษา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินกิจการของรัฐภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุด ควรมีการกำหนดหัวข้อ และรายละเอียดที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานเจ้าของโครงการใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการจัดทำแนวทางที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2164 | การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้เงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท เดิม เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวนประมาณ ๘ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มเติม รวมวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๖๓,๒๕๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวนประมาณ ๘ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๖๓,๒๕๐ ล้านบาท จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้ง ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๔ ให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีการดำเนินงาน บัญชีธนาคารของโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยเฉพาะ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. หากมีผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวน ๘ ล้านตัน ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไป โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้การรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการดำเนินโครงการดังกล่าวในปีนั้น ๆ รวมทั้งชดเชยต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และส่วนที่กู้จากสถาบันการเงิน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณด้านดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้คงค้างโครงการฯ เป็นเวลานาน รวมทั้งเพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อใช้ในโครงการอื่นในปีต่อ ๆ ไป หากมีกำไรเกิดขึ้นจากการดำเนินงานหลังจากการระบายผลผลิตหรือสิ้นสุดโครงการฯ ให้ ธ.ก.ส. นำเงินส่งคลังทันที ๑.๕ ให้หน่วยงานดำเนินการที่ได้จำหน่ายสินค้าตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และได้รับชำระค่าสินค้าแล้วให้นำส่งเงินดังกล่าวแก่ ธ.ก.ส. ภายใน ๗ วัน นับจากวันที่ได้รับเงิน หากล่าช้าให้ชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เพื่อ ธ.ก.ส. จะได้นำไปชำระหนี้และลดภาระหนี้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ชำระคืนแหล่งเงินกู้ทันทีหรือภายใน ๓ วันทำการ โดยให้ชำระคืนเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก่อนเป็นลำดับแรก ๑.๖ ให้หน่วยงานดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ได้แก่ สถาบันเกษตรกรและองค์การสวนยาง หน่วยงานดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดย อคส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ดูแลคลังสินค้า (Stock) ของโครงการฯ ไม่ให้มีการสูญหาย เว้นแต่จะมีการเสื่อมคุณภาพของสินค้าตามปกติ แต่หากมีการสูญหายหรือสินค้าเสื่อมคุณภาพเพราะความบกพร่อง หน่วยงานดังกล่าวจะต้องชดใช้ให้แก่รัฐ เนื่องจากได้รับอนุมัติวงเงินจ่ายขาดสำหรับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าแล้ว ทั้งนี้ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. ปิดบัญชีโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๒ ปี นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการโครงการฯ ๑.๗ ให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ รวมทั้งให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อดำเนินการปิดบัญชีโครงการดังกล่าว หลังจากครบกำหนดไถ่ถอน และ/หรือสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายผลิตผล เพื่อลดความเสี่ยงด้านการจัดหาเงินทุน และภาระการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง โดยมีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) สำนักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ร่วมติดตามการระบายผลิตผลอย่างใกล้ชิด และให้มีการปิดบัญชีเป็นปี ๆ ไป โดยให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี ๑.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงาน การเบิกจ่ายเงิน การระบายสินค้า ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมทั้งปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นสำหรับโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป จนกว่าหนี้คงค้างได้รับชำระครบถ้วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสามารถติดตามการดำเนินงานได้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้รายงานการระบายสินค้า ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าคงเหลือ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) และสำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งระบายผลผลิตให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อไม่ให้สินค้าเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ราคาสินค้าตกต่ำ และเพื่อจะได้รับรู้ผลกำไร/ขาดทุนของพืชแต่ละชนิดโดยแท้จริง รวมทั้งควรพิจารณาวางแผนเพื่อเร่งระบายผลผลิตอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แยกบัญชีการดำเนินงานให้ชัดเจน และดำเนินการปิดบัญชีโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องนำไปชำระเป็นต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้มีเงินกลับเข้ามาในระบบสำหรับนำมาใช้ในโครงการอื่นด้วย นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการนำผลผลิตที่รับจำนำ/ซื้อมาสร้างมูลค่าเพิ่มและแปรรูปสินค้าเพื่อจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ เร่งส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ดำเนินการลดต้นทุนการผลิตควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้เมื่อมีการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดี นอกเหนือจากการรับจำนำผลผลิตหรือแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2165 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๖๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๑๕,๑๔๙.๙๗๓ ล้านบาท ไม่มีการจัดสรรเพิ่มเติม ๑.๑.๑.๑ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ณ เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๖,๒๖๒.๐๕๗ ล้านบาท เปรียบเทียบกับแผนฯ ณ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๑,๗๘๓.๐๓๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๔,๔๗๙.๐๑๙ ล้านบาท คิดเป็น ๓๔.๖๕ ๑.๑.๑.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการแล้วมีการเบิกจ่ายสะสม ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๙,๖๙๔.๙๐๖ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๗,๒๑๒.๒๙๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๒,๔๘๒.๖๑๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๖๗ ๑.๑.๑.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาแล้ว เป็นเงิน ๔๙,๕๑๑.๔๒๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๐๐ ของวงเงินจัดสรร และยังไม่ลงนามในสัญญา เป็นเงิน ๖๕,๖๓๘.๕๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๐๐ ของวงเงินจัดสรร ๑.๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม ๑.๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๑๓ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๑๐,๓๘๑.๑๘๑ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๓ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๐๗.๒๓๖ ล้านบาท ที่เหลืออีก จำนวน ๑๐ หน่วยงาน ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และมีการลงนามในสัญญาแล้วบางส่วนแต่อยู่ระหว่างการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญาจัดซื้อ หรือ Purchase Order : PO ในระบบระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์” หรือ ระบบ Government Fiscal Management System : GFMIS และ (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แล้ว แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๑๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓,๐๓๙.๓๕๑ ล้านบาท เนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๑ หน่วยงาน เป็นเงิน ๓.๖๙๘ ล้านบาท ๑.๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๕๒,๓๕๔.๒๓๗ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๑๖ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๐,๒๓๔.๐๙๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๕๕ ของวงเงินจัดสรร (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ จำนวน ๔ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๓,๒๖๗.๒๑๗ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑,๐๘๒.๗๔๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๑๔ ของวงเงินจัดสรร และ (๓) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ จำนวน ๘ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๗,๑๔๙.๕๓๖ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๘ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑,๗๙๘.๕๓๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๑๖ ของวงเงินจัดสรร ๑.๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๓ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๓๘,๙๕๘.๔๕๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๑๓ หน่วยงาน เป็นเงิน ๓๖,๑๘๕.๑๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๘๘ ของวงเงินจัดสรร ๑.๒ เห็นชอบแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้ดำเนินการหรือยังมิได้เบิกจ่าย หรือเบิกจ่ายล่าช้ากว่าแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง/ลงนามในสัญญา หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) เพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างเหมาะสม ๑.๒.๒ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ลงนามในสัญญาแล้ว และมีวงเงินจัดซื้อจัดจ้างหรือวงเงินดำเนินการเองต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับการจัดสรร ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดสรรงบประมาณคืนสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน หลังจากทราบผลการจัดซื้อจัดจ้างหรือวงเงินดำเนินการเองตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ หากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจยังไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกวดราคา หรือกรณีดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานตามแผนฯ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการดำเนินการโครงการอีกครั้ง หากเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของแผนงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ก็ให้แจ้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้นำเสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อพิจารณาใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ทบทวนโครงการแล้วปรากฏว่ามีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการและเป็นโครงการที่ไม่เป็นลักษณะเฉพาะที่ต้องดำเนินการโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ให้สามารถปรับเปลี่ยนหน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความพร้อมมากกว่าได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ในการรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประมวลผลข้อมูลการเบิกจ่ายและผลการดำเนินงานโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการให้เสร็จสิ้นทุกวันพุธ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันอังคารสัปดาห์ถัดไป เพื่อที่รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๔. ให้รัฐมนตรีนำข้อมูลตามรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ไปตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะโครงการในกลุ่มที่ถึงกำหนดตามแผนฯ แล้วแต่ยังไม่ได้เบิกจ่าย กลุ่มที่เบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ และกลุ่มที่เบิกจ่ายระหว่างร้อยละ ๓๐ - ร้อยละ ๕๐ และให้รายงานสถานะความก้าวหน้าล่าสุด ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและสาเหตุของความล่าช้าในการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไปในวันจันทร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๕ |
|||||||||||||||||||||||||||
2166 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | สว | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมควบคุมโรค ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังโรคติดต่อต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาวิจัยเพื่อคาดการณ์โรคติดต่อที่สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาอุทกภัยและศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยหนาวด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อเตรียมพร้อมและรับมือกับปัญหาดังกล่าวซึ่งคาดการณ์ว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ผลกระทบต่อสุขภาพจากภัยหนาวและอุทกภัยมีความรุนแรงมากขึ้น ๒. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อโรคไข้เลือดออกและยุงพาหะ เพื่อให้ได้ข้อมูลการคาดการณ์การเกิดโรคไข้เลือดออกเชิงพื้นที่ และจัดทำแผนที่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) แสดงสถานะเชิงพื้นที่ของโรคไข้เลือดออก ประชากรยุงพาหะ และการดื้อสารเคมีในระดับพันธุกรรม และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ๓. กรมอนามัย ได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน ๒ ส่วน ได้แก่ การลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) โดยดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุนให้ลดก๊าซเรือนกระจกในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินงานลดโลกร้อนและเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรสาธารณสุขเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปรับตัว (Adaptation) โดยพัฒนาองค์ความรู้เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การดำเนินโครงการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำแผนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายในการป้องกันและควบคุมโรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งผลักดันให้เกิดแผนแม่บทด้านสาธารณสุขด้านการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในการลดหรือป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๔. กรมสุขภาพจิต ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติ พัฒนาแนวปฏิบัติการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตในภาวะวิกฤต การเตรียมความพร้อมบุคลากรที่ปฏิบัติงาน และเครื่องมือเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเกิดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ๕. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดทำองค์ความรู้เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความตระหนักเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพ รวมทั้งแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้ดำเนินการรวมกับกรมควบคุมโรคในการแก้ไขปัญหาภัยหนาวด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยสำรวจกลุ่มเสี่ยง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการเฝ้าระวังด้านสุขภาพและเป็นฐานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ในการให้ความช่วยเหลือต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2167 | รายงานผลการตรวจสอบสภาพพื้นที่เพื่อประกอบการพิจารณาสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ตซึ่งได้จัดสรรงบประมาณไว้แล้ว พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างสนามบินพังงาในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง จังหวัดพังงา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานแขวงการทางพังงา เพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ ถนน หรือสะพานเข้าแหล่งท่องเที่ยวให้แก่จังหวัดพังงาได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งพิจารณาการอนุมัติงบประมาณเพื่อก่อสร้างสะพานข้ามจากฝั่งไปบนเกาะคอเขา เพื่อสนับสนุนนโยบายการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างท่าเทียบเรือท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอคุระบุรีและทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เพื่อให้เป็นท่าเทียบเรือท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวพังงาเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถบริหารจัดการท่องเที่ยวจังหวัดพังงาได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการตลาด และการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น ๑.๕ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน พิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน อาทิ ปัญหาขยะมูลฝอย และปัญหาปะการังฟอกขาว รวมทั้งกำหนดเขตพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปท่องเที่ยวได้ให้ชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อจัดระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวให้เป็นมาตรฐานสากล ๑.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเหมาะสมในการลดอัตราค่าธรรมเนียมวีซ่าเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจากประเทศยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของจังหวัดพังงา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ และให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. เร่งดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้ ทอท. จัดทำแผนรองรับชั่วคราวในการบริหารจัดการจราจรภายในท่าอากาศยานเพื่อบรรเทาปัญหาความแออัด และมิให้ส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ สำหรับการรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศในระยะยาว ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาท่าอากาศยานในจังหวัดใกล้เคียงเป็นลำดับแรก โดยศึกษาการบริหารจัดการใช้ประโยชน์สนามบินในลักษณะที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงในการแบ่งปริมาณการจราจรไม่ให้เกิดความแออัดเพื่อสนับสนุนการท่องเทียว รวมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายไปยังกลุ่มจังหวัดใกล้เคียง เช่น กระบี่ และตรัง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ศึกษาและพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมในการดำเนินการจัดตั้งแขวงการทางพังงา และการก่อสร้างสะพานข้ามจากฝั่งไปบนเกาะคอเขา และให้กรมเจ้าท่าศึกษารายละเอียดความเหมาะสมในการก่อสร้างท่าเทียบเรือในพื้นที่อำเภอคุระบุรีและทับละมุ ๒.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันบูรณาการแผนพัฒนาการท่องเที่ยวและการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ตลาดท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดให้มีการดำเนินงานภายใต้กรอบทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดตามที่ได้ร่วมกำหนดไว้ ๒.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ความสำคัญลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการแก้ปัญหาในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ภายใต้แผนงานการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติให้มีมาตรฐานในระดับสากล ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน) นำโครงการตามข้อเสนอดังกล่าวไปบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ตามกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อนำโครงการไปบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของส่วนราชการ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
2168 | การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) | ทส | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) [การจัดการผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกตเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพข้ามเขตแดนระหว่างประเทศไทย (ระยะที่ ๓)] กับองค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) โดยร่างความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการฯ ระยะที่ ๓ จะนำบทเรียนจากการดำเนินงานโครงการฯ ระยะที่ ๑ และ ๒ มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและกิจกรรมในการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในโครงการ ๑.๑.๒ เป้าประสงค์ของโครงการฯ ระยะที่ ๓ คือ ส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย กัมพูชา และลาว โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะของโครงการเพื่อเสริมสร้างการป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในบริเวณผืนป่าสามเหลี่ยมมรกต โดยมีการดำเนินงานและการพัฒนาในด้านความร่วมมือตามแผนการจัดการระยะยาว และการบูรณาการงานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนาซึ่งเป็นกรอบงานเพื่อดูแลรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ถาวรระหว่างประเทศทั้งสามประเทศ ๑.๑.๓ ผลผลิตของโครงการฯ ระยะที่ ๓ ประกอบด้วย (๑) แผนการจัดการและดำเนินการในการพัฒนาด้านความร่วมมือและการบูรณาการ งานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนา ซึ่งรวมถึงผลจากการวิจัยถึงชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ต่าง ๆ และกระบวนการทางนิเวศวิทยาที่สอดคล้องกันระหว่างประเทศที่ร่วมโครงการ (๒) การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ (๓) ชุมชนท้องถิ่นจะได้รับการส่งเสริมความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น จากการดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการลดการพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑.๑.๔ เมื่อโครงการฯ ระยะที่ ๓ สิ้นสุด คาดว่าจะทำให้พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการเคลื่อนย้ายถิ่นและการอยู่รอดในระยะยาวของสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในบริเวณผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ๑.๒ ให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้ลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้แทนลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงโครงการฯ เป็นความร่วมมือระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ซึ่งยังคงมีปัญหาการปักปันเขตแดนในบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ยังไม่ได้ข้อยุติ การดำเนินการใด ๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรนำข้อมูลจากระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่มีอยู่แล้วของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการวิจัย การอนุรักษ์ และการจัดการ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรข้อมูลที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินงานตามหลักกฎหมายนานาชาติ โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และควรมีการศึกษาวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและกระบวนการทางนิเวศวิทยาในพื้นที่ของโครงการ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัยของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กัน ทั้งนี้ ข้อมูลสารสนเทศ GIS และผลการศึกษาวิจัยที่ได้จากโครงการฯ ควรขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณากลั่นกรองข้อมูลก่อนนำไปเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพันธุ์พืชในเขตอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งอยู่ในภาวะถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2169 | ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยและจีนในโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย | พน | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายจีนและฝ่ายไทยในโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย โดยสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้กำหนดความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลไทยและจีนในการดำเนินโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย โดยรัฐบาลจีนจะมอบอุปกรณ์การผลิตก๊าซชีวภาพพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่อพ่วง จำนวน ๓๐๐ ชุด โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์พร้อมค่าขนส่งระหว่างประเทศ และส่งช่างเทคนิคมาให้การอบรมการติดตั้ง ตรวจสอบแก้ไข และบำรุงรักษาอุปกรณ์ ส่วนรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบการดำเนินการด้านศุลกากรและการขอยกเว้นค่าธรรมเนียม การเดินทางเข้าและออกของเจ้าหน้าที่เทคนิค และพาหนะของจีน การดำเนินการติดตั้งระบบตามคำแนะนำของจีน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำดังกล่าวได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาข้อสังเกตจากที่ประชุม เรื่อง รัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ อาทิ เทคโนโลยีการก่อสร้าง การคัดเลือก และกำหนดพื้นที่ก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุ้มค่าในการดำเนินการและการฝึกอบรมเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผล และบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ในการคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการควรส่งเสริมการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบ่อก๊าซชีวภาพให้กับชุมชนและครัวเรือนเพิ่มเติมล่วงหน้า และให้ความสำคัญในเรื่องการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งและบำรุงรักษาบ่อก๊าซชีวภาพจากเจ้าหน้าที่เทคนิคจีน โดยจัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในด้านเทคนิค และรู้ประเด็นปัญหาของการติดตั้งบ่อก๊าซชีวภาพในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และขอคำปรึกษาด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาบ่อก๊าซชีวภาพ และนำองค์ความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดให้กับชุมชนและครัวเรือน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการควรพิจารณาคัดเลือกจากชุมชนที่มีความพร้อมและสมัครใจเพื่อให้โครงการบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลโครงการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2170 | โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | กค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนการเสนอโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตลอดจนข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์พิจารณาทบทวนผลการศึกษารายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ โดยกำหนดสมมติฐานที่ใช้ในการประมาณการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการปรับปรุงประมาณการวงเงินลงทุนโครงการ รายได้ และผลตอบแทนของโครงการ การพิจารณารูปแบบธุรกิจที่สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันและความต้องการของตลาด การบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการระหว่างภาครัฐและเอกชน ทางเลือกของรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ของโครงการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและจราจรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานกระทรวงคมนาคมในเรื่องการใช้พื้นที่โครงการสำหรับการพัฒนาสถานีขนส่งรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด เพื่อให้การศึกษาความเหมาะสมของโครงการมีความชัดเจน และสามารถกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2171 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา | ศธ | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ การเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาในครั้งนี้ เป็นการขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เดิม จากการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เป็น การทำสัญญากับบริษัทที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนคัดเลือก ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ นั้น ไม่มีกฎหมายหรือนิยามกำหนดเป็นการเฉพาะไว้ จึงขึ้นอยู่กับความตกลงร่วมกันระหว่างประเทศที่ได้ทำความเข้าใจไว้ว่า จะดำเนินการในลักษณะใด ซึ่งกรณีนี้เป็นการดำเนินการจัดซื้อกับบริษัทที่สาธารณรัฐประชาชนจีนจัดส่งรายชื่อมาให้รัฐบาลไทยดำเนินการคัดเลือก และในท้ายที่สุดรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะได้มีหนังสือรับรองและทราบการดำเนินการคัดเลือก และการจัดทำสัญญากับบริษัทดังกล่าว การดำเนินการจัดซื้อกับบริษัทโดยตรงจึงเป็นไปตามความประสงค์ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนและเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทย ซึ่งยังอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย คณะรัฐมนตรีจึงสามารถเสนอรายชื่อมาให้คัดเลือกได้ แทนวิธีการจัดซื้อระหว่างรัฐต่อรัฐโดยตรงตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม ๑.๒ ในประเด็นเรื่องการจัดซื้อตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้น เนื่องจากการจัดซื้อกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีนี้ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้ให้การยกเว้นไว้แล้ว การจัดซื้อจึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เมื่อเป็นการจัดซื้อโดยคัดเลือกบริษัทที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอ โดยมีหลักเกณฑ์วิธีการในการดำเนินการจัดซื้อเป็นกรณีเฉพาะสำหรับกรณีนี้ ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงสามารถดำเนินการได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังมีส่วนอื่นที่ยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เช่น การจัดหาหลักประกัน เป็นต้น ตามความเห็นของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ๒. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียนเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ที่เสนอโดยกระทรวงศึกษาธิการ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้เป็นไปตามรูปแบบที่เป็นผลจากการเจรจากับฝ่ายจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานต่อคณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียน กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำความเข้าใจในการดำเนินการเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรบุคคลในประเทศไทยในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารและอุปกรณ์ทันสมัย [คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต)] โดยฝ่ายจีนตกลงที่จะจัดหา (Recommend) รายชื่อบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ตามคุณสมบัติเฉพาะ และขอบเขตของงาน (TOR) สำหรับการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เพื่อให้ฝ่ายไทยดำเนินการคัดเลือกบริษัทหนึ่งบริษัท และเมื่อฝ่ายไทยได้คัดเลือกบริษัทที่เหมาะสมหนึ่งบริษัทแล้ว ต้องแจ้งให้ทางการจีนทราบผลการคัดเลือก และหลังจากนั้นฝ่ายไทยจึงเจรจาจัดทำความตกลงจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) กับบริษัทนั้นโดยตรงต่อไป ๒.๒ กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อมิให้เกิดความล่าช้า เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประโยชน์ต่อการศึกษาของชาติ เห็นชอบตามกระบวนการและขั้นตอนการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว ๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำความตกลงจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) กับบริษัทผู้ขายของจีนที่ได้รับคัดเลือกตามกระบวนการและขั้นตอนที่ได้ดำเนินการไว้ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ลงนามเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๑ ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบของทางการไทยและจีน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารลงนามความตกลงจัดซื้อฯ ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้ว กับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก ๓. สำหรับกรณีการยกเว้นภาษีอื่น ๆ ทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการในครั้งนี้ รวมทั้งการขนส่งระหว่างประเทศและสถานที่จัดเก็บในประเทศไทย ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ในส่วนของร่างความตกลง/ร่างสัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) หากสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้วยังคงเป็นไปตามแนวทางตัวอย่างร่างสัญญาที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุกำหนด โดยไม่มีข้อแตกต่างในสาระสำคัญก็ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากสำนักงานอัยการสูงสุดได้แก้ไขร่างความตกลง/ร่างสัญญาฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการลงนามต่อไป โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาประกอบการลงนามในร่างความตกลง/ร่างสัญญาฯ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2172 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย | พณ | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ประกอบด้วย โครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” และโครงการมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ระยะเวลา ๖ เดือน ในช่วงเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๕ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑,๖๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จำนวน ๑,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” เห็นควรกำหนดวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าให้แก่ประชาชนให้ทั่วถึงมากที่สุด และป้องกันมิให้เกิดการกักตุนสินค้า กำหนดวิธีการคัดเลือกร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการที่ชัดเจน โปร่งใสและเป็นธรรม และพิจารณาถึงผลกระทบต่อรายได้ของร้านค้าในชุมชนอื่นที่ไม่ได้รับคัดเลือก รวมทั้งเห็นควรประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจผู้เข้าร่วมโครงการโดยใช้หลักการ Corporate Social Responsibility : CSR หรือการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดีโดยรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับไกลและใกล้อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ยึดหลักการ ดังนี้ ๒.๑ การพิจารณากำหนดรายการสินค้าควรเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าหมวดของใช้ ๘ รายการ ได้แก่ สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ผงซักฟอก แป้งผงโรยตัว น้ำยาล้างจาน ผ้าอนามัย ยากำจัดยุงและแมลง ต้องมีความยืดหยุ่นในการพิจารณารายการสินค้าดังกล่าวให้เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง และต้องดำเนินการให้สินค้าที่จำเป็นดังกล่าวมีราคาจำหน่ายถูกกว่าราคาจำหน่ายปลีกในตลาด รวมทั้งมีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนด้วย ๒.๒ การคัดเลือกร้านค้าเข้าร่วมโครงการต้องมีกระบวนการและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เป็นธรรม และทั่วถึง เพื่อให้สินค้าต่าง ๆ เข้าถึงประชาชนผู้บริโภคอย่างแท้จริง และให้พิจารณาใช้ร้านโชห่วย ร้านค้าชุมชน ตลอดจนช่องทางการกระจายสินค้าที่มีอยู่เดิมด้วย ทั้งนี้ หากร้านค้าใดปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดก็ต้องดำเนินการยกเลิกและมีบทลงโทษด้วย ๒.๓ โครงการดังกล่าวจะมีการจ้างบุคลากรในการติดตามดูแลการจำหน่ายของร้านโชห่วยและร้านอาหาร จำนวน ๑,๐๐๐ คน จึงควรมีการจัดการฝึกอบรม ชี้แจง ทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกัน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ การดำเนินโครงการจะต้องกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนและเป็นการดำเนินการชั่วคราวในระยะสั้น เพราะในระยะยาวจะส่งผลกระทบเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการแล้วรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทุกเดือนด้วย ๓. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชน โดยให้พิจารณากำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวให้ถูกต้อง ครบถ้วน และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2173 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๑๑๕,๑๔๙.๙๗๓ ล้านบาท โดยมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม (ตุลาคม ๒๕๕๔ - กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) จำนวน ๔๑,๘๐๘.๖๙๕ ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการแล้ว มีการเบิกจ่ายสะสม จำนวน ๓๗,๒๑๒.๒๙๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๐๑ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ๑.๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ ๑.๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๒๓ หน่วยงาน และส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๕ หน่วยงาน ๑.๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๑๐ หน่วยงาน จำนวน ๔๘๘.๖๓๘๗ ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๗ หน่วยงาน จำนวน ๔๘๓.๐๔๔๓ ล้านบาท และส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑๑๖.๙๓๕๐ ล้านบาท ๑.๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๑๒ หน่วยงาน วงเงิน ๓๖,๑๑๒.๖๓๘๑ ล้านบาท ๑.๒ ให้รัฐมนตรี ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างเหมาะสม ๑.๒.๒ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และ/หรือทำสัญญา รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้ และหากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงโดยด่วนภายในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในกรณีที่วงเงินจัดซื้อจัดจ้างต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับจัดสรร ให้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณคืนสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน ๑.๒.๔ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมิได้ดำเนินการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญาจัดซื้อ หรือ Purchase Order : PO ในระบบระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์” หรือ ระบบ Government Fiscal Management System : GFMIS ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสากิจดังกล่าวดำเนินการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญา (PO) ในระบบ GFMIS โดยด่วนภายใน ๓ วัน เพื่อใช้ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการในลำดับต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ จังหวัด และผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบันทึกข้อมูลในระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com ให้เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้ประมวลผลและบูรณาการข้อมูลดังกล่าวกับแผนของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการต่อคณะรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ โดยให้ส่งเรื่องถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันศุกร์เพื่อดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวาระปกติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2174 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ๑.๑.๑ เห็นชอบโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการขุดลอกขุมน้ำเฉลิมพระเกียรติ และขุมน้ำราชภัฏพร้อมก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ๑.๑.๒ เห็นชอบหลักการโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียบริเวณพื้นที่สามกอง เทศบาลนครภูเก็ต วงเงิน ๖๐ ล้านบาท โดยให้เทศบาลนครภูเก็ตบรรจุโครงการไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๑.๑.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียระยะที่ ๔ วงเงิน ๙๕ ล้านบาท โดยให้กองทุนสิ่งแวดล้อมเร่งรัดพิจารณาการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการ และโครงการก่อสร้างอาคารกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ วงเงิน ๖๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบโครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๕ ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ ๔๙.๖๘ ล้านบาท งบประมาณที่เหลือ จำนวน ๒๔.๖๘ ล้านบาท ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมทบงบประมาณดำเนินการ ๑.๑.๕ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท และให้มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการแบบ One Stop Service ๑.๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต โดยจัดลำดับความสำคัญของจุดติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วรถยนต์ในพื้นที่ถนนหลัก จากเดิม ๖ จุด ลดเหลือ ๓ จุดที่สำคัญ และปรับลดวงเงินเหลือ ๑๗ ล้านบาท ๑.๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจร วงเงิน ๕,๕๕๖.๐๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติม และให้เทศบาลเมืองป่าตองหารือกับท้องถิ่นใกล้เคียงในการพิจารณากำหนดสัดส่วนเงินสมทบของท้องถิ่นในการลงทุนก่อสร้างอุโมงค์ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน และการกำหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสม ๑.๑.๘ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังใหม่ โดยให้คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนแม่บทตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๑.๙ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างถนนสี่ช่องจราจรถนนวิชิตสงคราม (ระยะที่ ๔) กม. ๑๑+๙๕๐ - กม. ๑๓+๓๐๐ และ กม. ๑๓+๗๔๕ - กม. ๑๔+๕๔๖ วงเงิน ๗๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการแก้ปัญหาจราจรในเมืองภูเก็ต โดยบูรณาการแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๑๐ เห็นชอบโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม โดยสนับสนุงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙.๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๑๑ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถานเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดภูเก็ตหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการการทำงานและจัดทำแผนแม่บท โดยมีรายละเอียดกิจกรรม งบประมาณและแผนบริหารจัดการโครงการที่ระบุหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานที่ชัดเจน ๑.๒ จังหวัดพังงา ๑.๒.๑ สนับสนุนงบประมาณโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา วงเงิน ๓๕ ล้านบาท โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และจัดทำข้อตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงอันดามัน (Hub & Double Main Corridors) รวม ๓๕ โครงการ วงเงิน ๑๗,๑๐๗.๘๒ ล้านบาท โดยให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม บรรจุโครงการไว้ในแผนแม่บทระยะ ๕ ปี และจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางเพื่อเสนอขอรับการจัสรรงบประมาณประจำปี ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โดยเร่งรัดให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒.๔ เห็นชอบโครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ เห็นชอบโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ๑.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจและออกแบบเพื่อการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองกระบี่ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๑.๓.๒ เห็นชอบการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการสัญจรไปยังเกาะลันตา ส่วนการแก้ปัญหาโดยการขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตา เห็นควรให้เปลี่ยนจากการขุดลอกร่องน้ำ เป็นการขยายการก่อสร้างสะพานเพื่อให้แพขนานยนต์สามารถเข้าเทียบท่าได้ตลอดเวลา ๑.๓.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙๙.๓๔ ล้านบาท ๑.๓.๔ รับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับจังหวัดกระบี่ศึกษาโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ จังหวัดตรัง ๑.๔.๑ เห็นชอบโครงการการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๖๔ ล้านบาท โดยทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังจัดทำแผนการบริหารท่าเรือและบำรุงรักษาในระยะยาว โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อไป ๑.๔.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมที่มีระบบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพิจารณาอุดหนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สนับสนุนการดำเนินการต่อไป ๑.๔.๔ เห็นชอบโครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดามัน โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ดังนี้ ๓.๑ จังหวัดภูเก็ต ๓.๑.๑ ให้แขวงการทางภูเก็ต สำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) จัดทำโครงการปรับปรุงเรขาคณิตของทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ (บริเวณโค้งคอเอน) เพิ่มเติม เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉลอง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกบำบัดรักษาโรงพยาบาลฉลอง วงเงิน ๑๐๒ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างอาคารบ้านพักแพทย์/พยาบาล เจ้าหน้าที่ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น รพ.สต.ฉลอง วงเงิน ๘๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการต่อไป ๓.๑.๓ เห็นชอบหลักการโครงการของโรงพยาบาลถลาง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และโครงการก่อสร้างแฟลตพยาบาล ๗ ชั้น ๘๐ ยูนิต วเงิน ๖๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2175 | ขออนุมัติการค้ำประกันเงินกู้และขอขยายระยะเวลาการกู้เงินโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | พณ | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการค้ำประกันเงินกู้และขยายระยะเวลาการกู้เงินโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) จำนวน ๙๖๔,๓๘๖,๐๓๔.๗๓ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไปจนกว่าสำนักงบประมาณจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการฯ เสร็จสิ้น โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากการกู้เงิน รวมทั้งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราเดิม ร้อยละ ๒.๕๐ ต่อปี และงดคิดดอกเบี้ยเพิ่ม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนธุรกิจและแผนการชำระหนี้เพื่อใช้ประกอบการวางแผนชำระคืนเงินกู้คงค้างของ อคส. ให้ชัดเจน และเร่งรัดดำเนินการจำหน่ายข้าวในโครงการฯ ที่คงเหลือให้หมดในช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติได้รับทราบสถานการณ์เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและดำเนินการระบายข้าวได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดการจำหน่ายข้าวและนำเงินที่ได้จากการขายข้าวเปลือกหรือข้าวสารที่ได้จากการสีแปรสภาพข้าวเปลือกที่รับซื้อไว้เพื่อไปชำระหนี้เงินกู้ในลำดับแรกก่อน หากยังมีหนี้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และผลการขาดทุนจากการดำเนินงานตามโครงการฯ เหลืออยู่ภายหลังจากที่จำหน่ายข้าวเสร็จสิ้นแล้ว ให้ อคส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2176 | แนวทางการดำเนินงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 (ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ....) | นร | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ร่างระเบียบนี้ใช้บังคับเฉพาะแก่โครงการที่ต้องดำเนินการโดยใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ กำหนดระยะเวลาในการเสนอโครงการที่ประสงค์จะใช้จ่ายจากเงินกู้ กรอบระยะเวลาในการใช้เงินเหลือจ่ายเพื่อดำเนินโครงการใดเพิ่มเติม เพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถดำเนินการผลักดันโครงการให้สอดคล้องกับกำหนดเวลาในการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ ปรับปรุงขั้นตอนการอนุมัติโครงการ โดยกำหนดให้ขั้นตอนในการขออนุมัติจัดสรรเงินกู้ของหน่วยงานเจ้าของโครงการ กรณีโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้เสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ และกรณีโครงการตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ให้เสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ๑.๔ แก้ไขเพิ่มเติมขั้นตอนในการดำเนินโครงการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการแล้ว โดยตัดอำนาจหน้าที่ที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงานออก เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นและสอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๕ กำหนดให้หน่วยงานเลขานุการของ กบอ. และ กยอ. ทำหน้าที่ในการติดตามและประเมินผลโครงการ ๒. ให้ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เชิญเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ จัดประชุมชี้แจงส่วนราชการให้ทราบเกี่ยวกับรายละเอียด วิธีปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งจัดทำผังขั้นตอนการดำเนินงาน (Flowchart) และกรอบระยะเวลาการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการตามแผนปฏิบัติการบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยแห่งชาติให้ชัดเจน
|
|||||||||||||||||||||||||||
2177 | การเสนอตั้งงบประมาณของแผนงานปรับปรุงระบบการเตือนภัยของประเทศ ภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ไว้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | วท | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการเกี่ยวกับระบบการเตือนภัยของประเทศ ภายใต้ข้อกำหนดโครงการ (Terms of Reference : TOR) และวิธีปฏิบัติทางเทคนิคที่ได้รับความเห็นชอบจากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๔๒๔ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบแผนงานปรับปรุงระบบการเตือนภัยของประเทศให้ครอบคลุมถึงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดให้ครบทุกประตูระบายน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและสั่งการระบบปิดเปิดประตูระบายน้ำจากส่วนกลาง และเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานทั้งในด้านพื้นที่ดำเนินโครงการ กลุ่มเป้าหมาย และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดำเนินโครงการ รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนของแผนงานกับโครงการเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อลดระยะเวลาการดำเนินการที่ซ้ำซ้อนและลดภาระงบประมาณ นอกจากนี้ เห็นควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แผนงานปรับปรุงระบบเตือนภัยของประเทศเกิดประสิทธิผลในการใช้งานจริง และการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก การเกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ และลานิญา ที่จะส่งผลกระทบต่อการจัดการน้ำตลอดจนภาคการผลิตต่าง ๆ และการดำรงชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ ในการดำเนินการโครงการในส่วนของแผนงานการเตือนภัยภายใต้แผนงานพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์และเตือนภัย ซึ่งจะมีการติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องมีการจัดทำแผนการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่เสียหายและมีการดูแลรักษามิให้เกิดการสูญหาย โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2178 | ขอความเห็นชอบโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย (Industrial Energy Efficiency : IEE) | อก | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ดำเนินโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย (Industrial Energy Efficiency : IEE) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) โดยโครงการ IEE มีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน (Energy Management Standard System) ในโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน (Standard of Energy Management System) สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโรงงานอุตสาหกรรม และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากข้อกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีในการค้า (Non - Tariff Barrier) ที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามหนังสือตอบรับการเข้าร่วมดำเนินโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ (Industrial Energy Efficiency : IEE) ร่วมกับ UNIDO ๒. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมีศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตและการประหยัดพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยกระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาให้การสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ในการมีมาตรฐานระบบการจัดการพลังงานในโรงงานด้วย และเห็นควรกำหนดตัวชี้วัดผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการ IEE ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินโครงการ และให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและปรับปรุงประสิทธิภาพโครงการอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2179 | แนวทางการดำเนินงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] โดยให้ยกเลิกคณะกรรมการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุน เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ที่ตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เกี่ยวกับการบริหารโครงการ การจัดหาพัสดุ การจัดหาเงินกู้ การเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารเงินกู้ รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความในร่างระเบียบฯ ว่าเมื่อหน่วยงานเจ้าของโครงการได้รับอนุมัติโครงการแล้ว ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอคณะรัฐมนตรีทราบก่อนดำเนินโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยเสนอต่อรัฐสภาไว้แล้ว ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ส่วนขั้นตอนการอนุมัติโครงการ เห็นควรให้มีที่ปรึกษาทำหน้าที่วิเคราะห์และกลั่นกรองแผนงาน/โครงการด้านเทคนิคเพื่อให้เกิดความรอบคอบและรัดกุม รวมทั้งในการติดตามและประเมินผลโครงการ เห็นควรให้ดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการติดตามและประเมินผล ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการอนุมัติโครงการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติให้ใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) วงเงิน ๓๙ ล้านบาท ที่คงเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝากเงินกู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระทรวงการคลัง เพื่อสนับสนุนการจัดเตรียมระบบฐานข้อมูลและระบบงานเพื่อรองรับการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตของประเทศ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้อนุมัติรายละเอียดและวงเงินโครงการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๔. อนุมัติให้ใช้เงินกู้ SAL วงเงิน ๓๕ ล้านบาท ที่คงเหลือจากการดำเนินโครงการตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐที่ยังไม่มีแผนงานรองรับของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อสนับสนุนระบบการติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (Project Financial Monitoring System - Flood Recovery Project : PFMS - FRP) ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||||||||
2180 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 1/2555 | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) เพิ่มเติม ๑.๒ เห็นชอบให้แต่งตั้งอธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพิ่มเติม ๑.๓ รับทราบในหลักการแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเน้นหลักการระบายน้ำ จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ให้สามารถระบายน้ำได้มากที่สุดตามศักยภาพ ประกอบกับสามารถป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนที่สำคัญ ป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยการดำเนินการในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา รวม ๑๕,๕๙๒,๘๒๑,๕๐๐ บาท เป็นโครงการเร่งด่วน ๑๕,๕๙๒,๘๒๑,๕๐๐ บาท และการดำเนินการในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา รวม ๒๕,๗๓๕,๙๙๙,๐๐๐ บาท เป็นโครงการเร่งด่วน ๙,๒๓๕,๙๙๙,๐๐๐ บาท รวมงบประมาณที่พิจารณาทั้งสิ้น ๔๑,๓๒๘,๘๒๐,๕๐๐ บาท จำนวน ๒๔๙ โครงการ เป็นโครงการเร่งด่วน ๒๔,๘๒๘,๘๒๐,๕๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๔๖ โครงการ ตามที่ กบอ. ได้มีมติเห็นชอบในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานจัดทำแผนปฏิบัติการพร้อมรายละเอียดรูปแบบโครงการเสนอ กบอ. เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ๒. สำหรับองค์ประกอบของ กบอ. ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและผู้อำนวยการสำนักงบประมาณร่วมเป็นกรรมการเพิ่มเติมด้วย และให้ กบอ. นำแผนแม่บทและแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) มารวมพิจารณาเพื่อบูรณาการโครงการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน โดยการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้เน้นการดำเนินโครงการเพื่อการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากน้ำที่ระบายออกมาจากพื้นที่ทั้ง ๒ ฝั่งดังกล่าว แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอ กนอช. พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
.....