ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 103 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2041 - 2060 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2041 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศ ได้แก่ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่เพื่อบริหารกิจการรถไฟความเร็วสูง [รวมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ARL)] ภายใต้กระทรวงคมนาคม โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมลงทุนในกิจการ โดยบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่กำกับดูแลสัญญาสัมปทาน และการโอนกรรมสิทธิ์การใช้พื้นที่เขตทางสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงให้แก่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยมีการชำระค่าใช้ประโยชน์พื้นที่ให้แก่ รฟท. บนหลักการเดียวกับการขอใช้พื้นที่ในเขตทางของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำรายได้ไปแก้ไขปัญหาหนี้ของ รฟท. ต่อไป ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ โดยให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนวทางดังกล่าวไปประกอบการพิจารณารายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยื่นหนังสือต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอขยายระยะเวลาการจัดทำคำชี้แจงการดำเนินงานของ กยอ. ต่อศาลปกครองกลาง กรณีสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวก รวม ๓๙ คน ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ดำเนินคดีกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และ กยอ. ในการสนับสนุนและอนุญาตให้ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำถาวรเพื่อล้อมรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ออกไปอย่างน้อย ๓๐ วัน นับจากวันที่ครบกำหนด พร้อมทั้งยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อทำคำให้การแก้ต่างทางคดีดังกล่าวแทน กยอ. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) เป็นผู้แทน กยอ. ในการนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำพยานบุคคลที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง และให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อพนักงานอัยการ และประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดจนกว่าการดำเนินการทางคดีจะแล้วเสร็จ ๓. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กับหน่วยงานไปดำเนินการ รวมเป็นเงิน ๔๗,๙๖๓ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘ ล้านบาท ซึ่งแผนงานที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว ได้แก่ แผนการดำเนินการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ แผนการป้องกันปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่ตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา แผนการฟื้นฟู การอนุรักษ์ป่าและดิน การทำฝาย แผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนอง และแผนการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยสำหรับนิคม/สวน/เขตอุตสาหกรรม สำหรับวงเงินที่เหลือ จำนวน ๓๐๒,๐๓๖ ล้านบาท ได้ประกาศเชิญชวนผู้สนใจร่วมเสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยในอนาคต ๔. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๐๒ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๗๙ ราย และยังไม่ได้เปิดดำเนินการ จำนวน ๑๕๘ ราย ส่วนการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำคาดว่าจะสามารถสร้างเสร็จได้ทันภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ยกเว้นนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครที่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๕. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ โดยผลการรับประกันภัยตั้งแต่ ๒๘ มีนาคม - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม ได้ออกกรมธรรม์ไปแล้วรวม ๔๗,๐๑๕ ฉบับ ทุนประกันภัยพิบัติรวม ๖,๓๔๑.๙๑ ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรวม ๔๕.๑๙ ล้านบาท ส่วนประมาณการประกันภัยทรัพย์สิน (กันยายน - ธันวาคม ๒๕๕๕) กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม จะมีการออกกรมธรรม์ ๓๖๔,๓๗๒ ฉบับ ทุนประกันภัย ๓,๖๕๕,๖๐๗ ล้านบาท และประมาณการทุนประกันภัย ๔๗๕,๕๕๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินการต่อไป อาทิ การสรรหาที่ปรึกษาด้านการประกันภัยต่อเพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่กองทุนฯ ในการจัดแผนการประกันภัยต่อที่เหมาะสม การเดินทางไปเจรจากับบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศเพื่อให้สามารถเจรจาต่อรองเงื่อนไขความคุ้มครองรวมทั้งเบี้ยประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด การดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และการคัดเลือกบริษัทที่จะได้จ้างดำเนินการวางแผนการประชาสัมพันธ์และการใช้สื่อในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2042 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรแล้วสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๐๓๐.๑๗๔๑ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๐,๖๔๗.๙๙๕๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๐๙.๒๖๑๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๕๕ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๒,๔๘๔.๐๔๙๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๗๐ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๑ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๓๒ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๔๙๙.๓๙๗๒ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้ จำนวน ๕,๖๓๘.๔๐๓๒ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๗ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๕๔๑.๘๕๐๑ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๓๒๔.๘๕๘๓ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๘,๔๖๔.๖๘๖๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๙๐๘.๕๘๙๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2043 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร โดยมีอธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหรือผู้แทน และที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการอื่นอีก ๑๓ คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการตรวจสอบสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล ให้การปฏิบัติตามโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง เกิดความรัดกุม และมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการดำเนินงานและเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจมีขึ้นจากการดำเนินโครงการ ประเมินผลโครงการ และรายงานผลของโครงการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบ และมีอำนาจขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเชิญมาประชุมชี้แจงเมื่อมีความจำเป็น ตลอดจนมีอำนาจแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือบุคคล เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้เพิ่มผู้แทนจากศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย เพื่อประโยขน์ต่อการประสานงานในภาพรวมระหว่างคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรกับหน่วยงานในศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตามความเห็นของกระทรวงกลาโหม โดยกระทรวงการคลังไม่ต้องออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวอีก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2044 | การดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมาร์ (พ.ศ. 2555-2561) | ยธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมาร์ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๑) และกรอบวงเงินงบประมาณในเบื้องต้นสำหรับดำเนินโครงการฯ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ตามโครงการฯ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปแล้ว จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้จำนวน ๘๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2045 | แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | พม | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และเพื่อให้ประชากรเป้าหมายเข้าถึงหลักประกันด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ประกอบด้วยมาตรการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการดำเนินคดี ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบาย และด้านการพัฒนาและบริหารข้อมูล โดยการดำเนินโครงการ ๗ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑๕๒,๙๖๑,๗๗๒ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจและคุ้มครองแรงงาน งบประมาณดำเนินการ ๑๗,๓๓๒,๘๕๐ บาท ๑.๒ โครงการเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมาย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างทัศนคติและความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดี และเพื่อพัฒนาศักยภาพพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ งบประมาณดำเนินการ ๑๑,๓๑๖,๔๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน ขยายผล ปราบปรามและจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสืบสวนและปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๓๕,๙๓๒,๙๒๒ บาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการคุ้มครองและส่งกลับ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการทางสังคมให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือผู้เสียหายในการดำเนินคดี รวมทั้งเพื่อพัฒนากระบวนการส่งกลับ งบประมาณดำเนินการ ๑๘,๔๘๑,๗๐๐ บาท ๑.๕ โครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าทุกรูปแบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และเพื่อสร้างหลักประกันการเข้าถึงความปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕๗,๐๖๙,๙๐๐ บาท ๑.๖ โครงการพัฒนานโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกระบวนการพัฒนานโยบายเชิงรุก สนับสนุนการศึกษาและวิจัยต่อต้านการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๗ โครงการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการปราบปรามการดำเนินคดีการค้ามนุษย์ และการคุ้มครองผู้เสียหาย รวมทั้งเพื่อติดตามสถานการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๗,๑๒๘,๐๐๐ บาท ๒. ส่วนงบประมาณสำหรับดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เกี่ยวกับการดำเนินการแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เห็นควรบูรณาการการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นเอกภาพ รวมทั้งควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการฯ ให้ประชาชนรับทราบด้วย และควรให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ในส่วนของโครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบด้วย รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกิจกรรมตรวจสอบสภาพการจ้างและการทำงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวในเรือประมง ที่ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงทะเล การพิสูจน์สถานภาพของแรงงานต่างด้าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าว การกำหนดมาตรฐานสภาพการจ้าง/การทำงานในเรือประมงให้มีความชัดเจน รวมทั้งการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ทหารเรือในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน การบริหารจัดการเพื่อการนำไปสู่การบรูณาการร่วมกัน โดยเฉพาะในกิจกรรมที่มีหน่วยงานรับผิดชอบหลายหน่วยงาน การระบุเกี่ยวกับเหยื่อการค้ามนุษย์ในคนต่างชาติที่ถูกหลอกมาเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์กับกรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพื่อมาทำงานในประเทศไทยต้องมีหลักเกณฑ์การแยกให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดรายละเอียดของข้อมูลว่าต้องการข้อมูลประเภทใด จากหน่วยงานใด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและครอบคลุมทุกมิติ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ รักษาพยาบาล ผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในกรณีที่เป็นคนต่างชาติ สำหรับโรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ควรมีแนวทางในการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจน รวมทั้งการเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลแผนปฏิบัติการฯ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงวิธีการบริหารการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จากทุกภาคส่วน และการเชื่อมโยงงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2046 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 และการขอขยายปริมาณ และกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่อนุโลมให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม ๒๕๕๕ เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ รอบ ๒ ได้อีก ๑ ครั้ง ๒. อนุมัติการขยายปริมาณและกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายไว้ จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน เพิ่มเติมอีก จำนวน ๒.๒๐ ล้านตัน รวมเป็นปริมาณ ๑๓.๓๑ ล้านตัน และเห็นชอบให้ใช้วงเงินที่กระทรวงการคลังเห็นชอบวงเงินค้ำประกันให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท นำมาใช้ในปริมาณที่เพิ่มเติมดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการ) ให้ใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๓. ส่วนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือกนาปรังและข้าวเปลือกนาปีที่รับจำนำไว้เดิมและที่ระบายออกไปแล้ว ปริมาณเป้าหมายที่จะรับจำนำใหม่ในปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ รวมทั้งแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมถึงการรับจำนำ การเก็บรักษา การระบาย ตลอดจนวงเงินสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอ กขช. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2047 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมปีที่ผ่านมา ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากคูคลองส่วนใหญ่มีวัชพืช และขยะอุดตันอยู่มาก จึงมอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน ๓๐๗ คลอง เพื่อรณรงค์และดำเนินการดูแลคูคลองให้สะอาดและสามารถระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการร่วมมือกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ๓ ฝ่าย ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐทำหน้าที่ในการจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ และดำเนินการขุดลอกคูคลอง หน่วยงานภาคเอกชนให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ของหน่วยงานภาคเอกชนแต่ละแห่ง และชุมชนที่อยู่ใกล้คูคลองที่คอยดูแลรักษาคูคลองให้สะอาดและไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำ ทั้งนี้ หากกระทรวงต่าง ๆ มีข้อมูลหรือเห็นควรให้หน่วยงานภาคเอกชนรายใดเข้าร่วมดำเนินโครงการดังกล่าวเพิ่มเติม ให้แจ้งข้อมูลไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) รายงานเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2048 | การดำเนินการรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok's Institute | กค | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok''s Institute) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังมีหนังสือถึงธนาคารโลกเพื่อขอให้พิจารณาปรับปรุงข้อกำหนดในสัญญาเกี่ยวกับวิธีการอนุญาโตตุลาการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งธนาคารโลกได้มีหนังสือชี้แจงว่า ไม่สามารถปฏิบัติตามความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่ให้กำหนดในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก จึงไม่สามารถใช้กฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งในกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้ ทั้งนี้ ตามกระบวนการของธนาคารโลกกรณีหากเกิดข้อพิพาทจะดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อให้ได้ข้อตกลงเห็นชอบร่วมกัน โดยข้อกำหนดของธนาคารโลกเป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานเดียวกับที่ใช้กับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ซึ่งที่ผ่านมากรณีความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกที่ไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาลยังไม่เคยเกิดกรณีพิพาทและต้องใช้วิธีอนุญาโตตุลาการระหว่างหน่วยงานดำเนินโครงการและธนาคารโลก ๑.๒ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นผู้ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ ในนามประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานดำเนินโครงการ ซึ่ง สบน. ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานดำเนินโครงการและธนาคารโลก เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ของทั้ง ๒ ฝ่าย และบรรลุผลตามวัตถุประสงค์โครงการ ทั้งนี้ ธนาคารโลกจะติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการ และจะรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการมายัง สบน. เป็นระยะ ๆ จนสิ้นสุดการดำเนินโครงการ ๑.๓ กระทรวงการคลังจะรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการไปดำเนินการในกรณีเกิดข้อพิพาท ทั้งนี้ หากมีการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นคณะอนุญาโตตุลาการในกรณีเกิดข้อพิพาทขึ้น กระทรวงการคลังจะขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงกระทรวงยุติธรรม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน ๒. อนุมัติให้กระทวงการคลัง โดย สบน. ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok’s Institute ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และเพื่อให้สถาบันพระปกเกล้าซึ่งเป็นหน่วยดำเนินโครงการสามารถรับดำเนินโครงการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2049 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรแล้วสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๐๗๖.๘๖๐๗ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๐,๐๓๘.๗๓๔๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๗๗๕.๗๙๘๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๗๑ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๐,๒๐๔.๘๒๖๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๕.๗๕ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๘ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๐ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๒ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๓๑ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๔๔๐.๘๕๓๐ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้ จำนวน ๕,๕๗๙.๘๕๙๐ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๗ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๕๔๑.๘๕๐๑ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๒๖๖.๓๑๔๑ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๐๖๗.๔๘๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือจำนวน ๗,๖๙๕.๓๗๕๔ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๑๐.๗๔๘๔ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2050 | โครงการจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกประเทศไทย | นร | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกประเทศไทย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๙๐,๒๖๕,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป และให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานเบิกจ่ายงบประมาณ เนื่องจากมีการปรับรูปแบบ แนวทาง วิธีการ จากรูปแบบเดิม วงเงินค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น จากที่เคยเสนอไว้เดิม จำนวน ๔๑,๔๑๕,๐๐๐ บาท โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น) ที่อนุมัติให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรณีที่มีวงเงินเกินกว่า ๑๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณพิจารณานำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน โดยนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการก่อนก็ได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2051 | การลงนามในเอกสารโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ (Full-Size Project Document on Promotion Energy Efficiency in Commercial Building, PEECB) ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme, UNDP) | พน | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงนามในเอกสารโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ (Full-Size Project Document on Promotion Energy Efficiency in Commercial Building, PEECB) ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme, UNDP) โดยเอกสารโครงการฯ จะใช้เป็นกรอบในการดำเนินโครงการร่วมกัน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๔ ปี นับจากวันลงนามรับรองเอกสารโครงการฯ โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจะดำเนินกิจกรรมร่วมกันใน ๓ ภารกิจหลัก ได้แก่ ๑.๑ การส่งเสริมด้านการสร้างจิตสำนึกเพื่อสร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้ด้านประสิทธิภาพพลังงาน รวมถึงการจัดตั้งของศูนย์รวมข้อมูลด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับอาคารธุรกิจ การฝึกอบรมและการพัฒนาแบบจำลองสภาวะอาคารอนุรักษ์พลังงานที่ถูกกำหนดเพื่ออาคารธุรกิจในประเทศไทย ๑.๒ การจัดทำกรอบนโยบาย แผนการดำเนินงานระยะสั้นและระยะยาวเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานในอาคารธุรกิจ การประเมินผล และปรับปรุงมาตรการเชิงนโยบายด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ ๑.๓ การสาธิตการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านประสิทธิภาพพลังงานในอาคารธุรกิจ ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่กระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของเอกสารโครงการฯ นี้ ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำดังกล่าวได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2052 | แนวทางการดำเนินการตามโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 4 และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 | กค | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (โครงการ PGS ระยะที่ ๔) และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (โครงการ PGS New/Start-up SMEs) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากกรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs ซึ่งไม่ครบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ หาก บสย. ต้องดำเนินการโครงการทั้งสองก็จะส่งผลกระทบทางการเงินของ บสย. ดังนี้ ๑.๑ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๑๕ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๘.๗๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๕ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๕ ปี) และร้อยละ ๖.๒๕ (๑๕ - ๘.๗๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๓ ที่เหลือ (๑๘ - ๑๕) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๗๒๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการ PGS New/Start-up SMEs บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๓๐ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๑๒.๒๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๗ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๗ ปี) และร้อยละ ๑๗.๗๕ (๓๐ - ๑๒.๒๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๑๘ ที่เหลือ (๔๘ - ๓๐) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๑,๘๐๐ ล้านบาท ๒. บสย. ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs โดยปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยของโครงการทั้งสอง ดังนี้ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๑๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๑๕ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs จากไม่เกินร้อยละ ๔๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ซึ่งการดำเนินการตามแนวทางนี้ยังคงถือว่าเป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยไว้สูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ และร้อยละ ๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2053 | ขออนุมัติให้เอกชนร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | กค | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ไว้เป็นพื้นที่สำหรับประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบอาคารสูงขนาด ๓๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตารางเมตร ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพิจารณาปรับปรุงหลักการคิดประเมินผลประโยชน์ตอบแทนนอกเหนือจากค่าเช่าที่ดินของโครงการ โดยกำหนดให้มีผลตอบแทนในลักษณะส่วนแบ่งรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ของโครงการในกรณีที่โครงการมีรายได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาบริเวณแยกปทุมวัน (MBK) และโครงการโรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ รวมทั้งกำหนดให้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนการได้สิทธิ (Upfront) เพื่อสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันการดำเนินโครงการของเอกชน ๑.๒ ที่ตั้งของโครงการอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ หากมีการใช้ประโยชน์และเปิดบริการเชิงพาณิชย์เต็มพื้นที่จะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อปัญหาการจราจรในโครงข่ายถนนโดยรอบ จึงควรพิจารณาลดผลกระทบดังกล่าว โดยอาจประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการจัดการจราจรที่เหมาะสม และในขั้นตอนการออกแบบโครงการ ควรกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนจัดทำแผนการลดผลกระทบการจราจรบริเวณโดยรอบโครงการดังกล่าว รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามขั้นตอนของกฎหมาย และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสม การคัดเลือกเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของโครงการ การให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถและการสัญจรภายในโครงการ โดยมีการออกแบบทางเข้า - ออกโครงการ และจุดรับส่งรถบัสขนาดใหญ่อย่างเหมาะสม รวมทั้งจัดหาพื้นที่จอดรถอย่างพอเพียง การสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงการเชิงพาณิชย์และสร้างความร่วมมือกับเอกชนในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการกิจการเชิงพาณิชย์รูปแบบต่าง ๆ การจัดพื้นที่สีเขียวและพื้นที่จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น สวนสาธารณะ และศูนย์การเรียนรู้สำหรับประชาชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ พิจารณาหลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดทำ Market Sounding ที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2054 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | คค | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในประเด็นความคุ้มค่าระหว่างการให้เอกชนหรือภาครัฐเข้าลงทุนในโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีต้นทุนทางการเงินและภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนผู้ให้บริการในระยะยาว ความเหมาะสมของการปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ความถูกต้องของการประมาณการปริมาณจราจรและผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านทางตลอดอายุสัญญา ความเหมาะสมของการกำหนดเส้นทางที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันตามสัญญาโครงการฯ การกำหนดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นผู้รับภาระค่าภาษีโรงเรือน รวมทั้งความสามารถของ กทพ. ในการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่เอกชนตามสัญญาก่อสร้างโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๒ เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ที่เสนอให้บริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ และรับทราบเงื่อนไขของสัญญาตามผลการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เนื่องจาก กทพ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้ว โดยให้รับประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดของการคำนวณกรอบวงเงินใหม่ ตามมาตรา ๖ ของโครงการฯ ให้รอบคอบ เนื่องจากการลงทุนโดยรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก การทำสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในอนาคตจะต้องไม่กำหนดเงื่อนไขที่ให้สิทธิพิเศษกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน และให้มีกลไกติดตามเพื่อให้การส่งมอบพื้นที่เป็นไปตามกำหนดสัญญา รวมถึงการบริหารจัดการสัญญาให้มีความชัดเจนและยุติธรรมทั้งแก่ภาครัฐและเอกชน เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และกรมทางหลวงชนบท เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา รวมทั้งให้ กทพ. และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เรื่องการกำหนดอัตราค่าผ่านทางและการปรับค่าผ่านทางที่ระบุไว้ในสัญญา เพื่อสร้างความเข้าใจและยอมรับแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ๑.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อติดตามผลการตรวจร่างสัญญาการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ของสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อนำร่างสัญญาที่ผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วนั้นเสนอพร้อมกับรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในคราวเดียวกัน ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างสัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้าง บริหารจัดการให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาและพิมพ์ยกร่างขึ้นใหม่ และผนวกแนบท้ายสัญญา รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับไปประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดอย่างเคร่งครัด โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประโยชน์สาธารณะ แล้วดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2055 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๓๒๐.๐๘๒๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๙,๒๖๒.๙๓๕๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๘๘.๑๓๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๔๕ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๘๗,๙๒๒.๖๐๗๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๓.๖๙ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง ส่วนมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๓ จังหวัด ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๓๐ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๕,๒๐๙.๔๘๙๐ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก จำนวน ๕,๓๔๘.๔๙๕๐ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๖ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๕๔๑.๘๕๐๑ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๓๔.๙๕๐๑ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือจำนวน ๗,๕๔๖.๗๕๕๔ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๑๐.๗๔๘๔ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๐.๒๐๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2056 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ | กษ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๑.๔๕ แสดงความเห็นด้วยต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ในทุกหัวข้อ ซึ่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ไปปรับปรุงเป็นข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) สำหรับการศึกษาระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ผลการศึกษามี ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑.๑ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Environmental Assessment L : SEA) เป็นกระบวนการในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของนโยบาย แผน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยมีการพิจารณาถึงผลกระทบทางลบ ทางบวกจากการดำเนินโครงการต่อมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผลการศึกษาสรุปว่า ทางเลือกการจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมมีด้วยกัน ๔ ทางเลือก คือ ๑.๑.๑ ทางเลือกที่ ๑ มีการพัฒนาเฉพาะมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทาน ๑.๑.๒ ทางเลือกที่ ๒ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง ทั้งอ่างเก็บน้ำและฝาย/ประตูระบายน้ำตามลำน้ำยม รวมถึงการพัฒนาและจัดสรรน้ำโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก ๑.๑.๓ ทางเลือกที่ ๓ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแม่ยม และเขื่อนแม่ยมตอนบน ๑.๑.๔ ทางเลือกที่ ๔ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้งนี้ แนวทางการเลือกการพัฒนาโครงการ ทางเลือกที่ ๔ เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพมากที่สุด โดยมีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับทางเลือกที่ ๑, ๒ และ ๓ ในด้านความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ ทางเลือกที่ ๔ จะให้ผลประโยชน์สุทธิมากกว่าทางเลือกที่ ๓ และทางเลือกที่ ๒ ตามลำดับ ๑.๒ การใช้นโยบายสาธารณะแบบบูรณาการเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยม ทั้งนี้ ผลจากการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ทางเลือกในการจัดการลุ่มน้ำยม” ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนบนและลุ่มน้ำยมตอนล่าง รวม ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร และนครสวรรค์ โดยให้จัดมีการประชุมรวมทั้งหมดจำนวน ๙ ครั้ง โดยพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายของการประชุมในพื้นที่ลุ่มน้ำยมได้ครอบคลุมพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มาจากพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยทั้ง ๑๑ ลุ่มน้ำ มีพื้นที่ครอบคลุม ๑๖๑ ตำบล ๓๑ อำเภอ ๑๐ จังหวัด ผลสรุปจากการมีส่วนร่วมในการจัดระดับความสำคัญของทางเลือกในการพัฒนาลุ่มน้ำยมพบว่า ผู้มีส่วนได้เสียส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ รองลงมาได้แก่ ทางเลือกที่ ๓ ทางเลือกที่ ๒ และทางเลือกที่ ๑ ตามลำดับ ยกเว้นกลุ่มองค์กรอิสระที่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ น้อยที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2057 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๗๗๕.๗๔๕๙ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๘,๗๗๔.๘๐๑๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๒๔๗.๘๓๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๑๖ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๘๕,๙๙๓.๙๑๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๔๐ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๗ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๖ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๒๐๙.๔๘๙๐ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก จำนวน ๕,๓๔๘.๔๙๕๐ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๖ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๐๓๑.๕๘๓๗ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๓๔.๙๕๐๑ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๕๔๖.๗๕๕๔ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๑๐.๗๔๘๔ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๐.๒๐๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2058 | การรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานและการขออนุมัติเพิ่มวงเงินกู้ตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ มีสถาบันเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๕๒ จังหวัด เพิ่มขึ้นจากเดิม ๓ จังหวัด มีสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๖๗๖ สถาบัน เพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน ๑๓๖ แห่ง โดยอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน ๖๑๑ แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน ๑๑๗ แห่ง อยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน ๔๗ แห่ง และไม่ผ่านการอนุมัติ จำนวน ๕ แห่ง องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เปิดจุดรับซื้อยางตามโครงการฯ เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๑ จุด คือ ภาคใต้ ๗ จุด ภาคตะวันออก ๑ จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๓ จุด รวมทั้งสิ้น ๔๒ จุด การรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกร ข้อมูล ณ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ อ.ส.ย. ซื้อยางไปแล้ว จำนวน ๖๑,๗๖๒ ตัน คงเหลือพื้นที่โกดังเก็บยางได้อีก ๑๓,๐๐๐ ตัน ซึ่ง อ.ส.ย. ได้ประสานงานหาสถานที่เก็บยางเพิ่มอีก ๘,๐๐๐ ตัน การเบิกเงินกู้ อ.ส.ย. ได้เบิกเงินเต็มจำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการฯ ๑.๒.๑ จุดรับซื้อของ อ.ส.ย. ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เนื่องจากยังไม่มีโรงงานแปรรูปยาง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการปลูกยาง และสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ มาก เช่น จังหวัดพัทลุง และตามพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ๑.๒.๒ จุดรับซื้อของ อ.ส.ย. อยู่ไกล ทำให้สถาบันเกษตรกรต้องแบกรับภาระค่าขนส่ง ๑.๒.๓ อ.ส.ย. ยังไม่ได้มีการเปิดรับซื้อน้ำยางสด ทำให้สถาบันเกษตรกรที่ซื้อขายน้ำยางสดไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ โดยเฉพาะในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๔ การคัดชั้นยาง ณ จุดรับซื้อยางของ อ.ส.ย. เป็นไปตามมาตรฐานของกรมวิชาการเกษตร โดยมีคณะกรรมการคัดชั้นยางที่คณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การสวนยางแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและน้ำหนักยางทำให้สถาบันเกษตรกรบางแห่งที่ไม่ได้คัดคุณภาพยางตามมาตรฐานมีความเห็นขัดแย้ง ๑.๒.๕ การลงยาง ณ จุดรับซื้อล่าช้า สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรติดคิวในการลงยางทำให้ไม่สามารถนำส่งยางได้ภายใน ๑ วัน ทำให้เกิดการสะสมและไม่สามารถขายยางที่เหลือต่อได้ ๑.๒.๖ สถาบันเกษตรกรมีการนำยางซึ่งไม่ใช่ของสมาชิกมาสวมสิทธิ์สมาชิกแล้วคิดค่าบริหารจัดการเพื่อหากำไรจากโครงการฯ ๑.๒.๗ ผลผลิตยางจากวิสาหกิจชุมชนมาจากหลายสถานที่และคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ ๑.๒.๘ เกษตรกรไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกหรือสมาชิกสมทบของสหกรณ์ได้ เนื่องจากสหกรณ์มีผลผลิตยางเต็มกำลังการผลิต จึงไม่สามารถรับสมาชิกเพิ่มได้ ๒. อนุมัติให้ อ.ส.ย. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ในส่วนของสถาบันเกษตรกร จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินการตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกัน รวมทั้งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุวงเงินส่วนของสถาบันเกษตรกร จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาทดังกล่าวในแผนบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ด้วย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) รับไปเร่งรัดจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาและจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีรายละเอียดแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ที่ชัดเจน เป็นระบบ ครอบคลุมถึงการรับซื้อในราคาที่เหมาะสม การบริหารจัดการสต๊อก (stock) ยางพารา และแนวทางการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในการประกอบการต่าง ๆ ให้แพร่หลายมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุปสงค์ของยางพารา โดยให้นำผลงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย เช่น การนำยางพาราไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางล้อเครื่องบินทดแทนส่วนผสมที่เป็นโลหะมากขึ้น และการนำยางพาราไปเป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างถนนแทนยางแอสฟัลต์ เป็นต้น ๔. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อ.ส.ย. เร่งดำเนินการแก้ไขข้อจำกัดในการดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะการเพิ่มจุดรับซื้อเพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนการขนส่งให้กับเกษตรกร การคัดชั้นยางตามมาตรฐานทางวิชาการอย่างโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับจากเกษตรกร การพิจารณาความเหมาะสมในการเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางทั่วไปสามารถขายยางให้กับ อ.ส.ย. ได้ และให้ กนย. กำกับให้ อ.ส.ย. จัดทำแผนบริหารจัดการระบายยางในสต๊อก และช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ชัดเจน รวมถึงอัตราการขาดทุนที่ยอมรับได้ และแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการฯ โดยไม่ต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม พร้อมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การตั้งราคารับซื้อยางพาราให้มีความยืดหยุ่นเพื่อให้ดำเนินธุรกิจของ อ.ส.ย. มีความคล่องตัวและไม่เป็นภาระในการชดเชยส่วนต่างของราคาซึ่งสูงกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ให้ กนย. กำกับและติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้เกิดภาระงบประมาณที่เกิดจากการชดเชยผลการขาดทุนน้อยที่สุด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2059 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 7/2555 | วท | 21/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบข้อเสนอของหน่วยงานต่าง ๆ ในการจัดหา/ผลิต เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำและส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และข้อเสนอแผนงานเร่งด่วน การติดตั้งตะแกรงกันขยะ การขยายเขตไฟฟ้า การติดตั้งแพลูกบวบสำหรับเครื่องสูบน้ำ ของกรมชลประทาน และข้อเสนอโครงการเร่งด่วนอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. เสนอ ๒. อนุมัติงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามข้อเสนอหน่วยงานในการจัดหา/จัดทำ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นรายการที่ขอทดแทนของเดิมที่ชำรุดเสียหาย/หมดอายุใช้งานและรายการที่ขอเพิ่มเติม จำนวนทั้งสิ้น ๑๔๘,๖๒๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ กองทัพเรือ จำนวน ๑ รายการ คือ เรือผลักดันน้ำขนาด ๑๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน (ลำ) จำนวน ๑๐ เครื่อง เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙,๘๕๐,๐๐๐ บาท ๒.๒ กรุงเทพมหานคร จำนวน ๓ รายการ คือ เครื่องสูบน้ำไฟฟ้าชนิดจุ่ม (Submersible Propeller) ๑๒๐ ลูกบาศก์เมตร/นาที จำนวน ๑๔ เครื่อง วงเงิน ๔๒,๘๔๐,๐๐๐ บาท เครื่องสูบน้ำไฟฟ้าชนิดจุ่ม (Submersible Propeller) ๑๘๐ ลูกบาศก์เมตร/นาที จำนวน ๑๐ เครื่อง วงเงิน ๓๒,๖๘๐,๐๐๐ บาท และเครื่องสูบน้ำไฟฟ้าชนิดจุ่ม (Submersible Propeller) ๒๕๘ ลูกบาศก์เมตร/นาที จำนวน ๖ เครื่อง วงเงิน ๕๓,๒๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๘,๗๗๐,๐๐๐ บาท ๓. ในส่วนของข้อเสนอตามแผนงานเร่งด่วน การติดตั้งตะแกรงกันขยะ การติดตั้งแพลูกบวบ ของกรมชลประทาน จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๒๔๙,๔๗๖,๐๐๐ บาท นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) อนุมัติให้กรมชลประทานใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท แล้ว จึงให้กรมชลประทานเร่งจัดทำรายละเอียดเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติงบประมาณโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันกับฤดูน้ำหลากที่จะมาถึง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. สำหรับข้อเสนอตามแผนงานเร่งด่วน การขยายเขตไฟฟ้าของกรมชลประทาน จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๑๗๔,๙๖๑,๒๐๐ บาท (โครงการซื้อหม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ จำนวน ๕๘ แห่ง วงเงิน ๔๘,๘๔๖,๓๐๐ บาท และโครงการขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าแรงสูงสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ จำนวน ๕๙ แห่ง วงเงิน ๑๒๖,๑๑๔,๙๐๐ บาท) นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเร่งรัดดำเนินการโครงการที่เกี่ยวข้องข้างต้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้มีไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ได้ทันฤดูน้ำหลาก ทั้งนี้ ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ โดยหากจำเป็นต้องขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการข้างต้นด้วย ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายใน ๒ สัปดาห์ ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทัพเรือ กรุงเทพมหานคร รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับสถานการณ์น้ำหลากที่จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนนี้ โดยเมื่อได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและสำนักงบประมาณพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของราคาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งก่อนการอนุมัติเบิกจ่ายต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๑๕ ที่ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และจัดสรรวงเงินกู้ตามที่ได้รับอนุมัติ ให้สำนักงบประมาณส่งข้อมูลแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้แก่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อประกอบการพิจารณาจัดหาเงินกู้ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งประมาณการการเบิกจ่ายเงินกู้รายเดือนให้แก่ สบน. เพื่อประกอบการพิจารณาเบิกจ่าย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2060 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 21/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๑๑๑.๒๘๖๐ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๗,๕๒๖.๙๖๗๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๓๒.๒๒๕๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๕๐ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๘๔,๒๖๙.๕๗๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๓๕ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๐ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๙ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๔ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนเงินในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๒๐๘.๐๓๕๓ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก จำนวน ๕,๓๔๗.๐๔๑๓ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๕ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๘๒๔.๕๗๗๖ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๓,๓๔๖.๔๘๖๖ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๕๒๒.๔๖๓๗ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๕๔๖.๗๕๕๔ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๑๐.๗๔๘๔ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๐.๒๐๐๐ ล้านบาท
|
.....